กรีนบัสเปิดตัว “EV Greenbus” 12 คันแรกของภาคเหนือ พร้อมสถานีชาร์จเร็ว “Fair Super Charge” วางรากฐานคมนาคมสะอาด มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย NET ZERO
เชียงราย, 30 พฤศจิกายน 2568 – เปิดฉาก จากฝุ่นควันสู่เส้นทางสีเขียวของภาคเหนือ ท่ามกลางเสียงกังวลเรื่องมลพิษทางอากาศและฝุ่น PM 2.5 ที่ปกคลุมเมืองใหญ่ในภาคเหนือแทบทุกฤดูกาล ภาพของรถโดยสารไฟฟ้าคันใหม่สีเขียว–ขาวที่เคลื่อนตัวออกจากอู่กรีนบัส จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ไม่ได้เป็นเพียง “การเปิดตัวรถรุ่นใหม่” แต่ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านระบบขนส่งสาธารณะภาคเหนือไปสู่พลังงานสะอาดอย่างจริงจัง
บริษัท ชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด ในเครือกรีนแคปปิตอล (Greenbus) ทุ่มงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เปิดตัว “EV Greenbus” รถโดยสารไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จำนวน 12 คัน ภายใต้แนวคิด “A New Journey Toward Sustainability” พร้อมเดินหน้าทดแทนรถโดยสารดีเซลในเส้นทางหลัก เชียงใหม่–เชียงราย และเชียงใหม่–พะเยา โดยยังคง “ค่าโดยสารเท่าเดิม” เพื่อไม่ให้ภาระการเปลี่ยนผ่านตกอยู่บนบ่าของผู้โดยสาร
การเปิดตัวครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงข่าวดีของผู้ใช้บริการประจำบนเส้นทางสายเหนือเท่านั้น แต่ยังถูกจับตามองในฐานะต้นแบบของ “โมเดลขนส่งสะอาดภาคเหนือ” ที่อาจถูกต่อยอดไปยังจังหวัดอื่นในอนาคต
รัฐ–เอกชนจับมือ ขยับเมืองสู่ NET ZERO
เช้าวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 บริเวณสำนักงานกรีนบัส จังหวัดเชียงใหม่ บรรยากาศคึกคักไปด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสื่อมวลชนที่เข้าร่วมพิธีเปิดตัว “EV Greenbus” และสถานีชาร์จรถไฟฟ้า “Fair Super Charge”
นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ทำหน้าที่ประธานในพิธี พร้อมด้วยนายมานพ พุทธวงค์ ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ นายกอบกิจ อิสรชีววัฒน์ ประธานหอการค้าเชียงใหม่ และนายกฤษฏิภาชย์ ทองคำคูณ ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรีนแคปปิตอล จำกัด ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ถึงอนาคตของระบบขนส่งสาธารณะพลังงานสะอาดของเมืองเชียงใหม่และภาคเหนือ
ในเชิงสัญลักษณ์ งานเปิดตัวครั้งนี้ถูกออกแบบภายใต้ธีม “A New Journey Toward Sustainability” เพื่อสะท้อนการเดินทางครั้งใหม่ของทั้งองค์กรและเมือง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เน้นย้ำว่า การเดินรถ EV Greenbus บนเส้นทาง เชียงใหม่–เชียงราย และเชียงใหม่–พะเยา ไม่เพียงเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย และทันสมัยให้ผู้โดยสารเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมาย “เชียงใหม่ NET ZERO” ในระยะยาว
ตัวเลขที่เล่าเรื่องได้ ลดดีเซลนับล้านลิตร ลดคาร์บอนเกือบพันตันต่อปี
หัวใจสำคัญที่ทำให้ EV Greenbus ถูกจับตามอง ไม่ได้อยู่แค่รูปลักษณ์รถโดยสารรุ่นใหม่ หรือภาพเบาะวีไอพี 24 ที่นั่งแบบ V Class เท่านั้น หากแต่อยู่ที่ “ตัวเลข” ซึ่งสะท้อนผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจที่จับต้องได้
จากข้อมูลเชิงเทคนิคของโครงการ EV Greenbus ระบุว่า รถโดยสารไฟฟ้า 12 คันนี้สามารถสร้างผลลัพธ์ในหนึ่งปีได้ดังนี้
- รองรับการเดินรถรวม กว่า 3,066,864 กิโลเมตรต่อปี
- วิ่งได้ไกลกว่า 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
- ลดการใช้น้ำมันดีเซลกว่า 1,076,093 ลิตรต่อปี
- ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 960 ตันต่อปี
- เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 96,000 ต้นต่อปี
- ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้ราว 50% เมื่อเทียบกับระบบเดิม
ตัวเลขเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงข้อมูลทางวิศวกรรมหรือการตลาด แต่หากมองในมิติสิ่งแวดล้อม นั่นหมายความว่า ทุกเที่ยวรถที่ออกจากเชียงใหม่ มุ่งหน้าเชียงรายหรือพะเยา คือการลดควันดำและเขม่าดีเซลที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาพคุ้นตาของการเดินทางระหว่างจังหวัดในภาคเหนือ
เมื่อเชื่อมโยงกับปัญหา PM 2.5 ที่คนเชียงใหม่และเชียงรายเผชิญมาหลายปี การลดแหล่งกำเนิดมลพิษจากระบบขนส่งสาธารณะจึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยสร้าง “เมืองที่หายใจได้สะดวกขึ้น” แม้จะยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่ก็เป็นก้าวที่จับต้องได้ในทิศทางที่ถูกต้อง
ประสบการณ์บนรถ EV Greenbus สะอาด เงียบ และคิดถึงผู้โดยสารมากขึ้น
ในมิติของ “ประสบการณ์การเดินทาง” EV Greenbus ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถโดยสารมาตรฐาน 1 ก ระดับ V Class วีไอพี 24 ที่นั่ง ภายในห้องโดยสารออกแบบให้เบาะเดี่ยวอยู่ฝั่งขวาและเบาะคู่ฝั่งซ้าย พร้อมที่ชาร์จโทรศัพท์และเบาะปรับเอน ช่วยให้ผู้โดยสารเดินทางระยะไกลระหว่างจังหวัดได้อย่างสบายมากขึ้น
จุดต่างที่สำคัญจากรถดีเซลคือ “ความเงียบและความสะอาด” ห้องโดยสารติดตั้งระบบกรองอากาศภายใน ช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ในอากาศ นอกจากช่วยดูแลสุขภาพของผู้โดยสารแล้ว ยังสะท้อนแนวคิดการออกแบบที่ “ไม่มองเพียงการขนส่งคนจากจุด A ไปจุด B แต่คิดถึงคุณภาพชีวิตระหว่างทาง” ด้วย
ที่สำคัญ แม้จะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด กรีนบัสยืนยันว่า “ค่าโดยสารยังเท่าเดิม” ไม่มีการปรับเพิ่มในเฟสแรกของโครงการ ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดสามารถเกิดขึ้นได้ “โดยไม่ผลักภาระให้ประชาชนโดยตรง”
โครงสร้างพื้นฐานที่ตามมา “Fair Super Charge” สถานีชาร์จเร็ว 720 kW หัวใจของระบบ
รถไฟฟ้าจะวิ่งได้ ต้องมี “สถานีชาร์จที่พร้อม” เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน กรีนบัสและกลุ่มกรีนแคปปิตอลจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดหารถ EV แต่เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานควบคู่กันไป
ภายในพื้นที่สำนักงานกรีนบัส จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการเปิดตัวสถานีชาร์จรถไฟฟ้าความเร็วสูง “Fair Super Charge” ที่บริหารจัดการโดยกลุ่มบริษัทในเครือ พร้อมรองรับทั้งรถ EV Greenbus และรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป
คุณสมบัติหลักของสถานี “Fair Super Charge” ได้แก่
- เครื่องชาร์จ DC Fast Charger จำนวน 3 ตู้ 6 หัวชาร์จ
- รองรับกำลังชาร์จรวม สูงสุด 720 kW / 500 A
- ใช้มาตรฐานหัวชาร์จ CCS2
- รองรับระบบ AutoCharge และ RFID สำหรับการยืนยันตัวตนและชำระค่าบริการ
- ตั้งอยู่ใกล้แยกเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณพื้นที่ของกรีนบัส (Greenpark) เดินทางสะดวก เข้า–ออกง่าย
สถานีชาร์จนี้เปิดให้บริการ “ผู้ใช้รถ EV ทุกค่าย” ไม่ได้จำกัดเฉพาะรถของกรีนบัสเท่านั้น ทำให้ Fair Super Charge ทำหน้าที่มากกว่าศูนย์เติมพลังงานให้รถบัสเชิงพาณิชย์ แต่ยังทำหน้าที่เป็น “แพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานร่วม” ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของเชียงใหม่เข้ามาใช้ประโยชน์ร่วมกัน
มองไกลกว่าจังหวัดเดียว เชื่อมเชียงใหม่–เชียงราย–พะเยา สู่เครือข่าย “การเดินทางสีเขียว”
แม้เฟสแรกของ EV Greenbus จะเริ่มต้นที่เชียงใหม่เป็นหลัก แต่เป้าหมายของกรีนแคปปิตอลไม่ได้หยุดอยู่ที่จังหวัดเดียว
บริษัทประกาศชัดว่า มีแผนขยายทั้ง รถโดยสารไฟฟ้า EV Greenbus และ สถานีชาร์จ Fair Super Charge ไปยังเมืองหลักอื่นของภาคเหนือ เช่น เชียงราย รวมถึงพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อสร้างเครือข่าย “การเดินทางสีเขียว” เชื่อมโยงเมืองหลัก–เมืองรอง และรองรับการเติบโตของภาคท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ในมุมของเชียงราย การมี EV Greenbus เชื่อมต่อกับเชียงใหม่หมายความว่า เมืองชายแดนสำคัญที่กำลังพัฒนาเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ท้องถิ่นเองก็ได้รับประโยชน์จากการลดมลพิษทางอากาศ และยกระดับภาพลักษณ์ของเมืองสู่ “เมืองสะอาด เมืองท่องเที่ยวยั่งยืน”
จากแถบสีแดงสู่แถบพลังงานไฟฟ้าสีฟ้า
อีกหนึ่งรายละเอียดที่สะท้อนการเปลี่ยนผ่านเชิงยุทธศาสตร์ขององค์กร คือการปรับโฉมอัตลักษณ์แบรนด์ (Brand Identity) ของกรีนบัส
ข้อมูลจากการนำเสนอของผู้บริหารระบุว่า แถบพลังงานบนโลโก้กรีนบัสได้ถูกปรับจากสีแดงซึ่งสื่อถึงยุคน้ำมันเชื้อเพลิง ไปเป็นเฉดสีฟ้าที่สื่อถึง “พลังงานไฟฟ้าและความสะอาด” การเปลี่ยนแปลงนี้แม้ดูเป็นเพียง “รายละเอียดเล็ก ๆ” แต่ในเชิงภาพลักษณ์ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าบริษัทกำลังก้าวออกจากโลกของฟอสซิลฟิวเอล ไปสู่อนาคตของระบบคมนาคมสีเขียวอย่างเต็มตัว
เมื่อผนวกกับประวัติการให้บริการขนส่งสาธารณะภาคเหนือกว่า 60 ปี การตัดสินใจลงทุนใน EV และโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด จึงสะท้อนให้เห็นถึง “การรักษาราก” ควบคู่กับ “การกล้าเปลี่ยน” ในเวลาเดียวกัน
เชื่อมกับอนาคตเมือง Greenpark Chiang Rai และบทบาทของศูนย์กลางใหม่
นอกจากโครงการ EV Greenbus และสถานีชาร์จ Fair Super Charge แล้ว กลุ่มกรีนแคปปิตอลยังวางแผนต่อยอดแนวคิดความยั่งยืนไปสู่รูปแบบพื้นที่เมืองและไลฟ์สไตล์ ผ่านโครงการ “Greenpark Chiang Rai” คอมมูนิตี้มอลล์แนวยั่งยืนที่กำหนดเปิดเฟสแรกในเดือนมกราคม 2569
โครงการนี้ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ที่ผสานธรรมชาติ อัตลักษณ์ท้องถิ่น และความทันสมัย เป็นจุดเชื่อมทั้งด้านการเดินทาง การใช้ชีวิต และกิจกรรมของชุมชน หากมองในภาพรวม การพัฒนา Greenpark ควบคู่ไปกับ EV Greenbus และสถานีชาร์จ ถือเป็นการสร้าง “ระบบนิเวศ” (Ecosystem) ที่ทำให้เรื่องการเดินทางสีเขียวไม่ใช่แค่บริการขนส่ง แต่เข้ามาเชื่อมกับวิถีชีวิตของคนเชียงรายและคนเหนือในภาพกว้าง
จากโครงการนำร่องสู่โจทย์ใหญ่เชิงนโยบาย
แม้โครงการ EV Greenbus จะสร้างความหวังใหม่ให้กับระบบขนส่งสาธารณะของภาคเหนือ แต่ในมุมมองเชิงโครงสร้าง นี่เป็นเพียง “ก้าวแรกของการเปลี่ยนผ่าน” ที่ยังต้องอาศัยทั้งนโยบายและความร่วมมือจากหลายภาคส่วนต่อเนื่อง
คำถามสำคัญที่ต้องติดตามต่อไป ได้แก่
- การขยายผลสู่ระบบโดยสารอื่น ๆ
จะสามารถผลักดันให้รถโดยสารระหว่างจังหวัดสายอื่น และระบบขนส่งมวลชนภายในเมืองนำโมเดล EV ไปประยุกต์ใช้ได้อย่างไร - การสนับสนุนจากภาครัฐ
นโยบายด้านภาษี เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือมาตรการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน จะมีบทบาทอย่างไรในการช่วยลดต้นทุนการลงทุนของเอกชน เพื่อให้ค่าโดยสารยังอยู่ในระดับที่ประชาชนเข้าถึงได้ - การยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมเชิงระบบ
หากโครงการ EV Greenbus สามารถพิสูจน์ผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจนในระยะยาว ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เป็นฐานในการออกมาตรการหรือมาตรฐานใหม่ ๆ ด้านการปล่อยคาร์บอนจากภาคขนส่งหรือไม่
ในมิติของผู้โดยสาร สิ่งที่เห็นและสัมผัสได้ทันทีคือการเดินทางที่เงียบลง สะอาดขึ้น และเป็นมิตรต่อสุขภาพมากกว่าเดิม แต่ในมิติของระบบ นี่คือการทดลองสำคัญว่า “เมืองในภูมิภาค” อย่างเชียงใหม่และเชียงราย สามารถเป็นผู้นำด้านขนส่งสีเขียวในประเทศไทยได้จริงเพียงใด
EV Greenbus – การเดินทางที่มากกว่าจุดหมายปลายทาง
เมื่อมองย้อนกลับไปจากมุมมองของผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเบาะวีไอพี มองผ่านกระจกใสรักษ์สิ่งแวดล้อมออกไปยังภูเขาและทุ่งนาในภาคเหนือ “การเดินทาง” อาจดูเหมือนเรื่องเดิม ๆ ที่ทำซ้ำทุกวัน แต่ตัวเลข 960 ตันของคาร์บอนที่ลดลงต่อปี หรือน้ำมันดีเซลกว่า 1 ล้านลิตรที่ไม่ต้องถูกเผาไหม้ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้การเดินทางครั้งเดิมมีความหมายใหม่
วันนี้ EV Greenbus ไม่ได้เป็นเพียง “บริการเดินทาง” หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามร่วมกันของรัฐ เอกชน และชุมชน ในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบคมนาคมที่สะอาดขึ้น เป็นธรรมต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และตอบโจทย์เป้าหมาย NET ZERO ที่ไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม
สำหรับเชียงใหม่และเชียงราย การมาถึงของ EV Greenbus และสถานีชาร์จ Fair Super Charge คือการเริ่มต้น “เส้นทางสายใหม่” ที่ไม่ได้วัดกันแค่ระยะทางเป็นกิโลเมตร แต่ยังวัดด้วย “คุณภาพอากาศที่ดีขึ้น” และ “อนาคตที่ยั่งยืน” ของคนทั้งภูมิภาคด้วย
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
ที่สำนักงานกรีนบัส จังหวัดเชียงใหม่









