Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มะม่วงเชียงรายวิกฤต ราคาดิ่ง เกษตรกรขาดทุนหนัก

วิกฤตราคามะม่วงตกต่ำในรอบหลายปี เกษตรกรเชียงรายขาดทุนหนัก เสียงสะท้อนจากชุมชนถึงภาครัฐ

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 — เช้าตรู่ในฤดูเก็บเกี่ยวที่ควรจะเต็มไปด้วยความหวังของชาวสวนมะม่วง อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย กลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อมีภาพมะม่วงจำนวนมากถูกนำมาทิ้งข้างทาง เผยให้เห็นอีกด้านของปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเล่นงานเกษตรกรไทยอย่างรุนแรงในปีนี้

จากสวนสู่ข้างทาง จุดเริ่มต้นของวิกฤต

ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านกระแล หมู่ 7 ตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมะม่วงที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ได้พบกับนายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา ซึ่งเป็นเจ้าของสวนมะม่วงกว่า 200 ไร่ ภายในสวนแห่งนี้ปลูกมะม่วงหลากหลายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดอกไม้สีทอง โชคอนันต์ อาร์ทูอีทู มหาชนก และแก้วขมิ้น โดยผลผลิตจะถูกส่งไปยังล้ง จุดรับซื้อกลาง มีพ่อค้าแม่ค้าตลาดไทมารับไปขายในตลาดกรุงเทพฯ บ้าง หรือส่งออกไปยังประเทศจีนและมาเลเซีย

ปีนี้กลับกลายเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายปี ราคามะม่วงร่วงหนักสวนทางกับต้นทุนที่พุ่งสูง ทำให้เกิดภาพเศร้าใจเมื่อเกษตรกรต้องนำมะม่วงที่ตกเกรดหรือมีแมลงวันเจาะมาเททิ้งไว้ข้างถนน ภาพเหล่านี้กลายเป็นประเด็นในโลกโซเชียล สะท้อนวิกฤตการณ์ที่ชาวสวนกำลังเผชิญ

เสียงจากคนทำสวนขายก็ขาดทุน ทิ้งก็เจ็บปวด

นายปรีชาเผยว่า แม้ชาวสวนในพื้นที่จะพยายามควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดด้วยการห่อผลมะม่วงทุกลูก เพื่อป้องกันแมลงและสร้างมาตรฐาน แต่ก็ยังไม่วายประสบปัญหาราคาตกต่ำอย่างหนัก “ปีที่แล้ว มะม่วงน้ำดอกไม้สีทองเกรด A ขายได้ 80 บาท/กก. แต่ปีนี้ลดเหลือแค่ 21-22 บาท/กก. ส่วนมะม่วงแก้วขมิ้นที่กำลังได้รับความนิยม ปีที่แล้วขาย 40 บาท/กก. ปีนี้เหลือแค่ 11-12 บาท/กก. เรียกว่าราคาตกทุกสายพันธุ์” กำนันปรีชากล่าว

สำหรับมะม่วงที่ถูกนำไปทิ้งข้างทาง ส่วนใหญ่มักเป็นมะม่วงตกเกรดหรือถูกแมลงวันเจาะจนขายไม่ได้ “เราเองไม่อยากทิ้ง แต่ตลาดไม่รับซื้อ ราคาก็ตกต่ำมาก” นายปรีชาย้ำ

เศรษฐกิจโลกดิ่ง ต้นทุนสูง กระทบหนักถึงชาวสวนรายย่อย

สาเหตุที่ทำให้ราคามะม่วงตกต่ำในปีนี้ มาจากหลายปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว มาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงการแข่งขันจากประเทศผู้ผลิตอื่น ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและราคาภายในประเทศโดยตรง

ขณะที่ต้นทุนการผลิต เช่น ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง และค่าจ้างแรงงานเก็บเกี่ยวยังคงสูงไม่เปลี่ยนแปลง หลายคนบ่นกับกำนันว่า ถึงทำงานหนักแค่ไหนแต่ก็แทบไม่มีเงินเหลือ “เราเองก็ต้องให้กำลังใจชาวสวน ว่าถึงปีนี้จะขาดทุนอย่างไร ก็ต้องดูแลรักษาต้นไว้ เผื่อปีหน้าราคากลับมาดีขึ้น” กำนันปรีชากล่าวอย่างมีความหวัง

วิกฤตการณ์ในโลกออนไลน์และข้อเท็จจริงในพื้นที่

ในสื่อสังคมออนไลน์มีการแชร์ภาพมะม่วงถูกนำไปทิ้งเป็นจำนวนมาก หลายฝ่ายแสดงความห่วงใยต่อเกษตรกรในพื้นที่ นายปรีชาให้ข้อมูลว่า “ในพื้นที่ตำบลแม่เปา ยังไม่พบเห็นการนำมะม่วงไปทิ้งแบบที่แชร์กัน อาจจะเป็นมะม่วงจากพื้นที่ใกล้เคียงที่ไม่ผ่านมาตรฐานตลาดหรือถูกแมลงเจาะ”

ข้อเสนอจากชุมชน อยากเห็นรัฐช่วยเหลือแบบเป็นรูปธรรม

สิ่งที่ชาวสวนคาดหวังจากภาครัฐไม่ใช่เพียงนโยบายระยะสั้น แต่ต้องการมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับที่เคยทำในช่วงราคาหอมกระเทียมตกต่ำ จังหวัดให้กำนันผู้ใหญ่บ้านทั่วจังหวัดช่วยซื้อคนละ 1 ถุง (10 กก./ถุง) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกร

“ปีนี้ราคามะม่วงตกต่ำสุดในรอบหลายปี อยากให้จังหวัดใช้มาตรการเดียวกันนี้กับชาวสวนมะม่วงบ้าง จะช่วยให้พวกเรามีกำลังใจและสามารถดำรงอาชีพต่อไปได้” กำนันปรีชาย้ำข้อเรียกร้อง

อนาคตเกษตรกรเชียงรายอยู่ที่ไหน?

แม้ว่าชาวสวนบางส่วนในพื้นที่อาจรอดจากวิกฤตราคาตกต่ำด้วยการรักษาคุณภาพผลผลิตเพื่อให้ได้ราคาดี แต่สำหรับชาวสวนรายย่อยที่ต้นทุนน้อย หรือประสบปัญหาผลผลิตตกเกรด กลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักสุด หากไม่เร่งแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ อาจนำไปสู่การสูญเสียรายได้หลักของครอบครัว เกิดปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว และท้ายที่สุดอาจต้องละทิ้งอาชีพทำสวนมะม่วงที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงภาครัฐ ในการทบทวนมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการสนับสนุนตลาด ผลักดันการแปรรูป และส่งเสริมช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ลดการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงอย่างเดียว

สรุป

ปัญหาราคามะม่วงตกต่ำในอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเกษตรกรไทยที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ต้นทุนการผลิตที่สูง และขาดกลไกช่วยเหลือที่เหมาะสมจากภาครัฐ เสียงจากชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ควรได้รับการรับฟังและนำไปปรับใช้อย่างเร่งด่วน เพื่อปกป้องอาชีพและคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สัมภาษณ์นายปรีชา ลักษณาการ กำนันตำบลแม่เปา อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย
  • ข่าวช่อง 7HD “มะม่วงราคาตกต่ำหนักสุดในรอบหลายปี” เผยแพร่ 3 มิถุนายน 2568
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ www.moac.go.th
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แฟรนไชส์ซบ การเมืองกดดัน ค่าเช่าพุ่งวอนรัฐช่วยพยุง

ธุรกิจแฟรนไชส์ไทยอ่วม! ผู้ประกอบการวอนรัฐช่วยเปิดพื้นที่ค้าขายฟรี สู้พิษเศรษฐกิจ-การเมือง กำลังซื้อหด ค่าเช่าพุ่ง ปิดสาขาเพิ่ม

ประเทศไทย, 2 มิถุนายน 2568 – ภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยังคงต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนัก ภาวะเศรษฐกิจและกระแสการเมืองที่ไม่แน่นอน กำลังซื้อของผู้บริโภคหดตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อยอดขายจนผู้ประกอบการแฟรนไชส์ต้องปรับตัวครั้งใหญ่ หลายรายทยอยปิดสาขาเพื่อหนีค่าเช่าที่เพิ่มสูง วอนรัฐบาลเร่งเปิดพื้นที่ค้าขายฟรีและสนับสนุนช่องทางสร้างรายได้ใหม่

เริ่มต้นจากบรรยากาศเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อเงียบทั่วประเทศ

นายสุทธิชัย พนิตนรากุล นายกสมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์ และเจ้าของแฟรนไชส์ THE Waffle เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจแฟรนไชส์ว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 สมาชิกในสมาคมต่างประสบปัญหาเดียวกัน คือ “กำลังซื้อเงียบ ยอดขายตกต่ำ” หลายร้านค้าประคองธุรกิจได้ลำบาก แม้การปิดกิจการอาจดูไม่ชัดเจน แต่สาขาที่อยู่ไม่ได้ก็ทยอยหายไปแล้ว ที่เหลือในตลาดล้วนแต่เป็นผู้ประกอบการที่ผ่านการปรับตัวครั้งใหญ่

ทั้งนี้ โอกาสขยายตลาดแฟรนไชส์ปี 2568 เหลือเพียง 4-5% ต่ำกว่าปกติที่ควรเติบโตเกิน 10% สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย กำลังซื้อในประเทศนิ่ง ทั้งจากคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ การออกไปกินเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด และเงินหมุนเวียนในประเทศก็ชะลอตัว

ปัญหาต้นทุน-ค่าเช่าพื้นที่เพิ่ม ผู้ประกอบการรายย่อยอ่วม

“ค่าเช่าแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาขาในศูนย์การค้า-ห้างสรรพสินค้า หลายแห่งต้องทยอยปิด เพราะสู้ค่าเช่าไม่ไหว” นายสุทธิชัยกล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่าเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าขยับขึ้นถึง 50% จากเดิมที่รายย่อยเคยเช่าในราคา 10,000 บาทต่อรอบการขาย ปัจจุบันขยับเป็น 15,000–18,000 บาท ขณะที่ยอดขายโตแค่ 2-3% เท่านั้น

ธุรกิจแฟรนไชส์จึงต้องเรียกร้องให้รัฐเร่งหาทางช่วยเหลือ เสนอเปิดเวทีค้าขายฟรีสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือให้เช่าพื้นที่ในอัตราต่ำ 2 ปีแรก ควรจัดสรรพื้นที่ค้าปลีกในสัดส่วน 30% เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเล็ก-รายใหม่ได้สร้างอาชีพ ลดภาระต้นทุน และกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการภาครัฐ

กำลังซื้อชะลอตัว ค้าปลีกหวั่น “ร้าง” เหมือนสิงคโปร์

นายสุทธิชัยสะท้อนว่า หากยังปล่อยให้ค่าเช่าแพงแต่รายได้ไม่โต ภาคค้าปลีกจะได้รับผลกระทบหนักในระยะยาว คนเดินห้างลดลงและอาจกลายเป็น “ศูนย์การค้าร้าง” เช่นที่เคยเกิดขึ้นในสิงคโปร์เมื่อสิบปีก่อน ทั้งนี้ ภาคเอกชนฝากความหวังไว้กับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทของรัฐ ว่าควรนำไปสนับสนุนธุรกิจ-แรงงานในประเทศอย่างแท้จริง เพื่อให้รายได้หมุนเวียนภายในระบบเศรษฐกิจไทย

อุปสรรคเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ รายย่อยปรับตัวยาก

ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นช่องทางหารายได้เสริมของแรงงานไทย แต่ผู้ประกอบการรายใหม่กลับเข้าถึงแหล่งทุนได้ยาก สถาบันการเงินเข้มงวดขึ้น กำลังซื้อนิ่ง ธุรกิจเดิมก็ต้องรับมือกับต้นทุนที่สูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเร่งด่วน ทั้งในด้านเงินทุน สนับสนุนพื้นที่ค้าขายฟรี และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อระยะสั้น

ตัวเลขธุรกิจแฟรนไชส์และเศรษฐกิจไตรมาสแรก

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า การจดทะเบียนเลิกกิจการไตรมาสแรกปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) มีถึง 3,107 ราย เพิ่มขึ้น 10.61% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ทุนจดทะเบียนเลิกสะสม 11,859 ล้านบาท ส่วนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด ได้แก่ ก่อสร้าง 307 ราย, อสังหาริมทรัพย์ 137 ราย และร้านอาหาร/ภัตตาคาร 129 ราย

การจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ไตรมาสแรกปี 2568 มี 23,823 ราย ลดลง 4.72% จากปีก่อน แม้ทุนจดทะเบียนรวมจะเพิ่มขึ้นถึง 79,920 ล้านบาท (+17.63%) อัตราส่วนตั้ง:เลิกธุรกิจอยู่ที่ 7:1

ความเชื่อมั่น SME ลดลงต่อเนื่อง

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 51.5 ลดลงจากเดือนก่อนที่ 52.1 เป็นการลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ปัจจัยสำคัญมาจากกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาทระยะที่ 2 ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน

ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นตัวขับเคลื่อนหลักก็เริ่มชะลอลง จำนวน นทท. ต่างชาติลดลง ขณะที่ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบจากราคาตกต่ำและภัยธรรมชาติ ทำให้ธุรกิจรายย่อยในภูมิภาคเปราะบางมากขึ้น

ภาคธุรกิจพบจุดอ่อนใหญ่ 3 ด้าน

SME D Bank รายงานจาก “Business Health Check” พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีจุดอ่อน 3 ด้านหลักคือ

  1. การบริหารจัดการการเงิน (คะแนนเฉลี่ย 1.8/5) โดยเฉพาะกลุ่มรายย่อยที่ไม่แยกบัญชีส่วนตัวกับธุรกิจ ขาดความรู้บัญชี
  2. นวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6/5) รายย่อยไม่รู้เทคโนโลยีที่เหมาะกับธุรกิจ รายเล็กขาดแผนหรือนโยบายด้านนวัตกรรม กลางไม่สร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เกิดนวัตกรรม
  3. การสื่อสารการตลาด (3.6/5) รายย่อยขาดทักษะโซเชียล มีเดีย รายเล็กขาดการวิเคราะห์ผลลัพธ์การตลาด รายกลางขาดบูรณาการข้อมูล

วิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มผลกระทบ

จากภาพรวมข้างต้นสะท้อนว่า ธุรกิจแฟรนไชส์ในไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจภายใน ความไม่แน่นอนทางการเมือง และต้นทุนดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากรัฐไม่เข้ามาแก้ไขและสนับสนุนให้ตรงจุด โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ค้าขายฟรี หรือลดต้นทุนค่าเช่า คาดว่าผู้ประกอบการรายย่อยจะทยอยปิดกิจการเพิ่มขึ้น กระทบทั้งอุตสาหกรรมค้าปลีก เศรษฐกิจชุมชน และแรงงานไทยในภาพรวม

แม้ตลาดแฟรนไชส์ไทยยังคงมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว แต่สถานการณ์ในปี 2568 บ่งชี้ชัดว่าจำเป็นต้องอาศัยมาตรการเชิงรุกและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อรักษาระบบนิเวศธุรกิจแฟรนไชส์ไทยให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างมั่นคง

สถิติสำคัญและแหล่งอ้างอิง

  • เลิกกิจการไตรมาส 1/2568: 3,107 ราย (+10.61%) ทุนจดทะเบียนเลิก 11,859 ล้านบาท (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ตั้งธุรกิจใหม่ไตรมาส 1/2568: 23,823 ราย (-4.72%) ทุนจดทะเบียน 79,920 ล้านบาท (+17.63%) (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
  • ดัชนี SME เดือนมีนาคม 2568: 51.5 ลดลงจาก 52.1 (สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม)
  • ผลการตรวจ Business Health Check: เอสเอ็มอีไทยพบจุดอ่อน 3 ด้านหลัก (SME D Bank)
  • ตลาดแฟรนไชส์โตเพียง 4-5% ต่ำกว่าปกติที่ 10% (สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมแฟรนไชส์และไลเซนส์
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
  • SME D Bank
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดคอนโดไทยซบ ลูกค้าจีนหาย แผ่นดินไหวซ้ำ

พิษเศรษฐกิจ-ดินไหว-ทุนเทา ฉุดตลาดคอนโดต่างชาติ ลูกค้าจีนหาย 90%

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – ความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ และความเข้มงวดของภาครัฐต่อทุนต่างชาติ ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับต่างชาติเกิดภาวะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เคยเป็นตลาดหลัก กลับหายไปถึงร้อยละ 90

ปัจจัยสะเทือนตลาด เศรษฐกิจโลก ดินไหว และความไม่แน่นอน

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด เผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อกลุ่มนักลงทุนชาวจีนอย่างรุนแรง ซึ่งซ้ำเติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อหายไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น พัทยา ที่เคยได้รับความนิยม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ลูกค้าจีนและพม่าหายไปจากกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 90 ในขณะที่สมุยและภูเก็ตยังคงมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ซึ่งอาจมาจากเสน่ห์ของเมืองท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ถูกกระทบเท่าเขตเมืองหลัก

ห้องชุดรอโอนสะสม-แนวโน้มการซื้อระวังตัวมากขึ้น

ในกรุงเทพฯ มีห้องชุดรอโอนจำนวนหลักร้อยยูนิต ราคาต่อยูนิตอยู่ที่ 4-6 ล้านบาท ส่วนเชียงใหม่ มีห้องชุดรอโอนกว่า 200 ยูนิต ราคาประมาณ 2.5-3 ล้านบาท ขณะที่ภูเก็ตมีจำนวนสูงกว่า 400 ยูนิต คาดว่าจะโอนได้ในปี 2569 ราคายูนิตละ 2.5-4 ล้านบาท

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด และเคลเลอร์ วิลเลี่ยม ไทยแลนด์ ระบุว่า แม้ตลาดจะยังมีการซื้อจากกลุ่มต่างชาติในเมืองท่องเที่ยว แต่ปริมาณยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 โดยเฉพาะจากนักลงทุนจีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

อีกทั้งยังมีปัจจัยค่าเงินบาทที่ผันผวน ส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคำนวณต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นตลาดต่างชาติ

นายวิทย์เสนอว่า หากรัฐบาลสามารถเปิดการเจรจาเพื่อดึงดูดฐานการผลิตจากต่างชาติมาไทยได้สำเร็จ อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมอาจกลายเป็นจุดขายใหม่ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาว หรือการปรับปรุงข้อจำกัดด้านการโอนกรรมสิทธิ์

ความเข้มงวดของภาครัฐดาบสองคมของตลาดอสังหา

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า แม้จะมีการลดลงของยอดโอนคอนโดจากชาวจีน แต่ความเข้มงวดของกรมที่ดินต่อการซื้อบ้านผ่านบริษัทที่มีต่างชาติร่วมถือหุ้นกลับเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการครอบครองที่ดินของกลุ่มทุนเทา

หลายโครงการในนิคมอุตสาหกรรมที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนแม้ได้รับการส่งเสริมก็ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเป็นทั้งอุปสรรคและกลไกป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาวกับโครงสร้างประชากรในอนาคต

สร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์และความมั่นคง

ข้อเสนอเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากชาวต่างชาติอย่างยั่งยืนมีดังนี้

  1. คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น นักวิจัย วิศวกรระดับสูง ผู้เกษียณอายุรายได้สูง
  2. ขยายระยะเวลาวีซ่าพำนักในไทย เช่น วีซ่า 10 ปี หรือวีซ่าดิจิทัลโนแมด
  3. ปรับอัตราภาษีการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการเช่าอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างรายได้ภาครัฐ
  4. ผลักดันร่างกฎหมาย “ทรัพย์อิงสิทธิ์” เพื่อให้สิทธิ์เช่าที่อยู่อาศัยได้นานถึง 60 ปี

สถิติสะท้อนภาพรวมตลาดแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2568 ดังนี้

  • ยอดโอนห้องชุดของต่างชาติ: 3,919 หน่วย ลดลง 0.5% จากปีก่อน
  • มูลค่าการโอน 16,392 ล้านบาท ลดลง 9%

3 อันดับประเทศที่โอนมากที่สุด:

  1. จีน 1,481 หน่วย ลดลง 7.2% มูลค่า 6,117 ล้านบาท ลดลง 19.2%
  2. พม่า 439 หน่วย เพิ่มขึ้น 12% มูลค่า 1,587 ล้านบาท ลดลง 28.1%
  3. รัสเซีย 288 หน่วย ลดลง 2.4% มูลค่า 987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9%

จุดเปลี่ยนที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจ

การลดลงของนักลงทุนต่างชาติในตลาดคอนโดไทยเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการปรับยุทธศาสตร์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก

แม้การป้องกันทุนเทาจะยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่การสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายคุณภาพและสร้างสิทธิประโยชน์ที่สมดุลจะช่วยให้ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)
  • บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด
  • สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
  • บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด
  • กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ตลาดอสังหาฯ ปี 68 มีสัญญาณฟื้นตัว หลังมาตรการลดค่าธรรมเนียมหนุน

 

ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยไตรมาส 3 ปี 2567 สัญญาณฟื้นตัวแม้ยังติดลบเล็กน้อย

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสที่ 2 – 3 ของปี 2567 ว่ายังคงเผชิญกับการชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม พบว่าการติดลบลดลงจากไตรมาส 2 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยหลังได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งขยายจากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น

ยอดโอนกรรมสิทธิ์ฟื้นตัวในกลุ่มอาคารชุด

มาตรการดังกล่าวส่งผลให้ยอดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกลุ่มราคาเกิน 7 ล้านบาทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารชุดที่มีการโอนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยแนวราบกลับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ REIC คาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในปี 2567 จะมีจำนวนทั้งสิ้น 350,545 หน่วย ลดลงจากปีก่อนหน้าประมาณ 4.4% แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ 243,088 หน่วย ลดลง 6.0% และอาคารชุด 107,456 หน่วย ลดลงเพียง 0.6%

แนวโน้มการฟื้นตัวในปี 2568

สำหรับปี 2568 คาดว่าจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น โดย REIC ประมาณการณ์ว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 363,600 หน่วย คิดเป็นอัตราการเติบโต 3.7% หรืออยู่ในช่วง -4.5% ถึง 12.3% โดยที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะมีการโอนจำนวน 254,520 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนอาคารชุดคาดว่าจะมีการโอน 109,080 หน่วย เพิ่มขึ้น 1.5%

ในด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,043,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากปี 2567 ซึ่งที่อยู่อาศัยแนวราบจะมีมูลค่าการโอนประมาณ 739,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ส่วนอาคารชุดจะมีมูลค่าการโอน 303,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7%

ตลาดอสังหาฯ รับแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าธรรมเนียม

นายกมลภพกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงกว่า 7 ล้านบาท นอกจากนี้ การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินและการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของตลาด

ทิศทางตลาดอสังหาฯ ปีหน้า: ฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปี 2568 นายกมลภพคาดการณ์ว่าแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดและบ้านแนวราบ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นในการลงทุนอีกครั้ง ทั้งนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังคงต้องจับตาดูปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก อัตราดอกเบี้ย และมาตรการของภาครัฐที่จะส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

สรุป แม้ตลาดอสังหาฯ ในปี 2567 จะเผชิญกับความท้าทาย แต่การสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะทำให้ปี 2568 เป็นปีที่ตลาดกลับมาเติบโตอย่างมั่นคง

เครดิตข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : รับบินโดรนเชียงราย โดรนเชียงราย ถ่ายภาพมุมสูง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News