- กลุ่มที่มีพระพักตร์กลม พระวรกายอวบอ้วน กำหนดอายุได้ในต้นพุทธศตวรรษที่ 21
- กลุ่มที่พระพักตร์ออกเสี้ยมยาว พระวรกายเริ่มแข็งกระด้าง มีอายุในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งกลุ่มหลังนี้อาจมีอิทธิพลต่อศิลปะล้านช้างต่อไปด้วย
พระพุทธรูปสกุลช่างเชียงแสนพบแพร่หลายในเขตเชียงแสน เชียงของ และชุมชนในลุ่มแม่น้ำอิง สำหรับพระพุทธรูปที่ค้นพบเมื่อเดือนมีนาคม 2567 นั้น จากรูปแบบและบริบทร่วมแล้วเป็นหลักฐานชั้นต้น ซึ่งอาจเกิดจากการพังทลายของวัดด้วยการกัดเซาะของแม่น้ำโขงและถูกทับถมในชั้นทรายไว้
พระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่ที่พบเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 นั้น พุทธศิลป์ดูเป็นพระพุทธรูปล้านนาในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 21 แต่ส่วนฐานมีรูปแบบที่น่าสงสัยเพราะเป็นการประดับเสาอิงเรียงเป็นแถว ไม่เคยพบในระเบียบของพระพุทธรูปล้านนาหรือล้านช้างมาก่อน อาจเป็นไปได้ว่าถูกเคลื่อนย้ายมาจากแห่งอื่น รัศมีที่หล่อแยกชิ้นกับองค์พระดูเป็นโลหะที่ต่างสีกันชัดเจน
แหล่งที่พบนี้อาจเป็นวัดที่มีการใช้งานในพุทธศตวรรษที่ 21 เรื่อยมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 22-23 เนื่องจากพบหลักฐานที่มีรูปแบบศิลปกรรมหลายสมัย เช่น เสาวิหารที่มีปูนปั้นประดับลวดลายมีเค้าของศิลปะพม่า และจารึกที่พบล่าสุดซึ่งมีผู้ปริวรรตอ่านได้ศักราชตรงกับช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 24 แสดงว่าแม้เมืองเชียงแสนตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าหรือทิ้งร้างไปแล้ว ชุมชนทางฝั่งดินแดนประเทศลาวยังมีการอยู่อาศัยกันสืบมา โดยความสัมพันธ์นี้น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับเมืองเชียงแสนและเมืองสุวรรณโคมคำ ซึ่งเป็นเมืองโบราณในวัฒนธรรมล้านนาที่ปัจจุบันอยู่ริมแม่น้ำโขงฝั่ง ส.ป.ป.ลาว ห่างลงไปราว 10 กิโลเมตร
น่าสังเกตว่าการค้นพบกลุ่มพระพุทธรูปสำคัญนี้ เป็นการดำเนินการขุดหาโดยไม่มีกระบวนการทางโบราณคดีมารองรับ ทำให้ขาดบริบทในการวิเคราะห์ตีความไปอย่างน่าเสียดาย
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์ / Art and culture of Laos / ขัตติยะบารมี ขัตติยะบารมี