
วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สารหนูเกินมาตรฐาน กระทบสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่น
สถานการณ์ที่นำไปสู่การตรวจสอบคุณภาพน้ำแม่น้ำกก
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เชียงใหม่ ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินและตะกอนดินในแม่น้ำกก จำนวน 9 สถานี ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย การดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังจากที่ประชาชนในพื้นที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีและความขุ่นของน้ำในแม่น้ำกก
การตรวจสอบและผลการวิเคราะห์เบื้องต้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 สคพ.1 ได้ร่วมกับคณะทำงานระดับอำเภอ ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก ที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นจุดที่ชาวบ้านอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ ได้แก่ บริเวณบ้านแก่งตุ้ม ห่างจากเขตแดนไทย-เมียนมา 500 เมตร บริเวณสะพานบ้านท่าตอน ห่างจากจุดแรก 9 กิโลเมตร และบริเวณผาใต้ ห่างจากสะพานบ้านท่าตอน 10 กิโลเมตร
ผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 พบว่าไม่พบไซยาไนด์ในตัวอย่างน้ำ ซึ่งอาจเป็นเพราะไซยาไนด์สลายตัวเร็วจากการถูกแสงแดดและความร้อนจากอากาศ อย่างไรก็ตาม พบสารหนูเกินมาตรฐานทุกจุด โดยเฉพาะบริเวณแก่งตุ้ม พบสารหนูมีค่า 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่ค่ามาตรฐานควรไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
ผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจในพื้นที่
การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยอาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ไข้ดำ” ซึ่งผู้ที่สัมผัสสารหนูจะมีจุดสีดำบนผิวหนัง ระคายเคือง อาหารเป็นพิษ และหากสัมผัสมากๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง
นอกจากนี้ การปนเปื้อนดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาซึ่งบรรยากาศเงียบเหงา นักท่องเที่ยวลดลง ส่งผลต่อผู้ประกอบการในพื้นที่
การตอบสนองของหน่วยงานภาครัฐ
เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2568 นายธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานการประชุมผ่านระบบออนไลน์เพื่อติดตามสถานการณ์ดังกล่าว ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งตรวจสอบหาสาเหตุของการปนเปื้อน และให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) วางมาตรการการป้องกันและฟื้นฟูคุณภาพน้ำ หาแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
ต่อมา เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 พญ.อัมพร เพญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้เผยว่า กรมอนามัยได้เฝ้าระวังประเด็นปนเปื้อนสารหนู โดยตรวจปัสสาวะกลุ่มตัวอย่างเพื่อระวังผลกระทบ และสุ่มตรวจน้ำในครัวเรือน ซึ่งผลการตรวจสอบน้ำประปาไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน
ข้อเสนอแนะและความเห็นจากภาคประชาชน
นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ ส.ส.เชียงราย จากพรรคประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นว่า รัฐบาลควรเร่งเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการทำเหมืองทองของคนจีนที่ต้นน้ำ เนื่องจากไม่ทราบว่ามีกระบวนการบำบัดน้ำเสียหรือไม่ และในปีนี้นักท่องเที่ยวลดลงมาก ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่
ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งสถาบันตรวจสอบคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำโขงเหนือ ประจำจังหวัดเชียงราย และจัดตั้งคณะทำงานระดับประเทศและระดับจังหวัดที่มีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาระยะยาว พร้อมทั้งสร้างความโปร่งใสในการสื่อสารข้อมูลกับประชาชน
สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง
- จากผลการตรวจสอบเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568 พบสารหนูในแม่น้ำกกมีค่า 0.026 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษระบุว่า การสัมผัสสารหนูในระยะยาวสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดค่ามาตรฐานของสารหนูในน้ำดื่มไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ
สรุปและข้อเสนอแนะ
สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียงที่แม่น้ำกกไหลผ่าน ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาสังคม ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับภูมิภาค
แนวทางการดำเนินการระยะสั้นและระยะยาว
ในระยะสั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งรัดการดำเนินมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงต่อประชาชนอย่างเร่งด่วน อาทิ การเร่งจัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคให้กับชุมชนริมแม่น้ำกก การส่งเสริมความรู้เรื่องการกรองน้ำเบื้องต้นในครัวเรือน การจัดตั้งศูนย์แจ้งเตือนคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ รวมถึงการตรวจคัดกรองสุขภาพประชาชนที่มีความเสี่ยงสูง
ในระยะยาว รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินการเจรจาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และประเทศจีน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมเหมืองแร่และการใช้ที่ดินในต้นน้ำ โดยจะต้องผลักดันการทำข้อตกลงความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะรัฐต่อรัฐ (G to G) รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดการลุ่มน้ำข้ามพรมแดนอย่างแท้จริง
การออกแบบนโยบายควรตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ โดยจัดให้มีหน่วยงานอิสระด้านการติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่ขึ้นตรงต่อกระทรวงใด ๆ และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส ตลอดจนส่งเสริมบทบาทของภาควิชาการในการวิเคราะห์ผลกระทบและเสนอแนวทางแก้ไขอย่างเป็นวิทยาศาสตร์
บทสรุป
เหตุการณ์ปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกกที่เกิดขึ้นในปี 2568 ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤต “มลพิษข้ามพรมแดน” ที่เกิดจากการขาดการจัดการร่วมกันของประเทศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การฟื้นฟูแม่น้ำกกและสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตริมน้ำได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง จำเป็นต้องมีแผนยุทธศาสตร์ที่บูรณาการทุกมิติ โดยเฉพาะความร่วมมือข้ามแดนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตในภาคเหนือให้ยั่งยืนสืบไป
สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง
- ค่าเฉลี่ยสารหนูในน้ำแม่น้ำกก ณ จุดตรวจแก่งตุ้ม: 0.026 มิลลิกรัม/ลิตร (ค่ามาตรฐาน: ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร) – ที่มา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1, เมษายน 2568
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวหดตัว ช่วงสงกรานต์ ปี 2568: นักท่องเที่ยวลดลงมากกว่า 70% – ที่มา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
- จำนวนจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ-ดินในลุ่มแม่น้ำกก: 9 จุด – ที่มา รายงาน สคพ.1 วันที่ 22 เม.ย. 2568
- ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกลดต่ำกว่าค่ามาตรฐานเฉลี่ยในฤดูแล้งปีนี้กว่า 30% – ที่มา สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
- กรณีปนเปื้อนโลหะหนักและสารหนูในลุ่มน้ำทั่วโลก: มีรายงานว่ากว่า 140 ล้านคนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อนโลหะหนัก – ที่มา World Health Organization (WHO), 2024
หากรัฐบาลไทยสามารถเร่งดำเนินการตามแนวทางที่กล่าวมาได้อย่างจริงจัง แม่น้ำกกอาจกลับมาเป็นเส้นชีวิตของชุมชนริมฝั่งได้อีกครั้ง และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการจัดการสิ่งแวดล้อมในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายร่วมกันข้ามพรมแดน.
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
- สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย
- สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
- World Health Organization (WHO), 2024