
วิกฤตมลพิษแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย: เชียงราย-เชียงใหม่รวมพลังปกป้องลุ่มน้ำ เรียกร้องปิดเหมืองเถื่อนข้ามแดน
เชียงราย, 19 พฤษภาคม 2568 – ณ ห้องประชุมพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย การประชุมครั้งสำคัญในหัวข้อ “ปกป้องแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย/ปิดเหมืองต้นน้ำ-ฟื้นฟูลุ่มน้ำ” ได้จุดประกายความหวังและความตื่นตัวในหมู่ประชาชนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อต่อสู้กับวิกฤตมลพิษจากสารพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย อันเป็นผลจากการทำเหมืองแร่เถื่อนบริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 70 คน จากหลากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงพระภิกษุ นักธุรกิจ ศิลปิน นักการเมืองท้องถิ่น และตัวแทนองค์กรภาคประชาสังคม พร้อมตั้งเป้าจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยหวังระดมพลถึง 10,000 คน เพื่อส่งเสียงถึงรัฐบาลไทย เมียนมา และจีน ให้ยุติการทำเหมืองที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อระบบนิเวศและชุมชน
แม่น้ำแห่งชีวิตที่กำลังป่วยหนัก
แม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มานานนับศตวรรษ แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ผ่านจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ส่วนแม่น้ำสายเป็นลำน้ำสำคัญที่ไหลจากชายแดนไทย-เมียนมา มารวมกับแม่น้ำรวกและลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำทั้งสองสายนี้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเกษตร การประมง และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สาย เชียงแสน และเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภาคเหนือ
ทว่าในปี 2567 ภัยพิบัติจากอุทกภัยครั้งใหญ่ได้เผยให้เห็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ในลำน้ำเหล่านี้ การพังทลายของดินจากเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำในรัฐฉาน ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจากจีน ได้นำพาตะกอนโคลนและสารพิษ เช่น สารหนูและตะกั่ว ลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างรุนแรง ชาวบ้านในพื้นที่ท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยพบว่าน้ำขุ่นข้นผิดปกติและมีกลิ่นแปลกๆ เด็กที่ลงเล่นน้ำมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลทางการเกษตรเริ่มได้รับผลกระทบจากการรดน้ำที่ปนเปื้อนสารพิษ
รายงานจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 ความละเอียดสูง (0.5 เมตร) ในการวิเคราะห์ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอยในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ระบุว่าแม่น้ำรวกมีความหนาแน่นของตะกอนอยู่ที่ 40–60 มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งมีความหนาแน่นลดลงเหลือ 20–40 mg/L การวิเคราะห์นี้ใช้ดัชนี Normalized Difference Suspended Sediment Index (NDSSI) และสมการ Total Suspended Solids (TSS) เพื่อประเมินความรุนแรงของมลพิษ ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องลุ่มน้ำ
การรวมพลังของชุมชนเพื่อปกป้องแม่น้ำ
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 การประชุมที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยเมืองเชียงรายได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูลุ่มน้ำกกและสาย นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่ากังวล โดยระบุว่าการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ดำเนินการโดยกองกำลังว้าและบริษัทจีน โดยไม่มีการควบคุมหรือคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนท้ายน้ำ ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นการขุดเหมืองขนาดใหญ่ห่างจากชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร ซึ่งบางจุดถึงขั้นทำเหมืองกลางแม่น้ำสาย
“นี่เป็นเพียงผลกระทบในช่วงปีแรกๆ หากเหมืองเหล่านี้ยังดำเนินต่อไปอีกหลายปี ผลกระทบจะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในฤดูฝนที่น้ำจะพัดพาตะกอนและสารพิษลงสู่ท้ายน้ำมากขึ้น” นางสาวเพียรพรกล่าว พร้อมชี้ว่าการตรวจสอบน้ำในแม่น้ำกกพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ซึ่งเป็นผลจากการเดินขบวนเรียกร้องของชาวบ้านท่าตอนเมื่อวันที่ 14 มีนาคม
ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้มีการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 เพื่อแสดงพลังของประชาชน โดยตั้งเป้าระดมผู้เข้าร่วม 10,000 คน ซึ่งเทียบเท่า 1% ของประชากรจังหวัดเชียงราย การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะรวมถึงการยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีน ซึ่งเป็นผู้รับซื้อแรร์เอิร์ธจากเหมืองเถื่อน รวมถึงการเชิญตัวแทนกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเข้าร่วมหารือ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้จัดพิธีสืบชะตาแม่น้ำกก เพื่อรณรงค์ในเชิงสัญลักษณ์ และผูกริบบิ้นติดรถยนต์เพื่อกระตุ้นให้ชาวเชียงรายแสดงออกถึงความห่วงใยต่อแม่น้ำ
พระมหานิคม มหาภินิกฺขมโน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เปรียบแม่น้ำกกว่าประดุจมารดาที่กำลังป่วยหนักอยู่ในห้องไอซียู โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันรักษา “แม่น้ำกกคือความมั่นคงของชุมชนและชาติ รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง และประชาชนต้องส่งเสียงให้ดังถึงระดับนานาชาติ” พระมหานิคมกล่าว พร้อมเสนอให้ออกแถลงการณ์ร่วมและยกระดับเรื่องนี้ไปสู่เวทีอาเซียนและสหประชาชาติ
นายซอแลต นักวิจัยชาวคะฉิ่น เปิดเผยถึงความรุนแรงของการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่นและรัฐฉาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อแม่น้ำอิรวดีมาแล้ว โดยระบุว่าสารเคมีจากเหมืองทำให้ปลาและสัตว์ตาย ชาวบ้านไม่สามารถหาปลาหรือทำเกษตรได้ “ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ของไทย แต่กระทบถึงลาว เวียดนาม และกัมพูชา การแก้ไขต้องยกระดับเป็นประเด็นการเมืองระดับภูมิภาค” นายซอแลตกล่าว
แผนปฏิบัติการและความหวังในการฟื้นฟู
การประชุมครั้งนี้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในการจัดกิจกรรมใหญ่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2568 โดยจะมีการจัดงานทั้งในตัวเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน และอำเภอแม่สาย รวมถึงการใช้สวนตุงเป็นสถานที่หลักในตัวเมือง เพื่อดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าในวันที่ 24 มิถุนายน เพื่อกระจายข้อมูลและเชิญชวนประชาชนให้เข้าร่วม
ดร.สืบสกุลเสนอให้สามมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และมหาวิทยาลัยเชียงราย ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ติดตามและตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพื่อให้มีห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจสอบสารโลหะหนักในน้ำ ตะกอน ดิน และพืชผลเกษตรได้อย่างต่อเนื่อง “การตรวจสอบในปัจจุบันล่าช้าเกินไป เกษตรกรและชาวประมงต้องรอผลจากหน่วยงานในเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ การมีศูนย์ในเชียงรายจะช่วยให้ประชาชนมีข้อมูลที่ทันท่วงที” ดร.สืบสกุลกล่าว
รายงานจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่ ซึ่งเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินในวันที่ 1–2 พฤษภาคม 2568 พบว่า:
- แม่น้ำกก บริเวณจุดก่อนไหลลงแม่น้ำโขง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน มีสารหนู 0.031 mg/L และบริเวณสบกก ตำบลบ้านแซว มีสารหนู 0.036 mg/L (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
- แม่น้ำสาย บริเวณบ้านหัวฝาย ตำบลแม่สาย มีตะกั่ว 0.058 mg/L และสารหนู 0.44 mg/L บริเวณสะพานมิตรภาพแห่งที่ 2 มีตะกั่ว 0.063 mg/L และสารหนู 0.45 mg/L และบริเวณบ้านป่าซางงาม มีตะกั่ว 0.066 mg/L และสารหนู 0.49 mg/L (ค่ามาตรฐานตะกั่วไม่เกิน 0.05 mg/L)
ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉานและสำนักข่าวชายขอบ ระบุว่าการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธในรัฐฉานยังคงขยายตัว โดยมีโรงงานขุดทอง 3 จุด และเรือขุดทอง 2 ลำที่ใช้งานอยู่ในแม่น้ำกก ชาวบ้านในพื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน รายงานว่าน้ำขุ่นข้นและมีสารพิษ ทำให้เด็กมีอาการแพ้และปลาตายเป็นจำนวนมาก
ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต
การประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จในการสร้างความตื่นตัวและวางแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:
- การรวมพลังของชุมชน: การมีส่วนร่วมของกลุ่มต่างๆ ตั้งแต่พระภิกษุ ผู้นำท้องถิ่น ไปจนถึงนักวิชาการ แสดงถึงความเข้มแข็งของเครือข่ายประชาชน การตั้งเป้าระดม 10,000 คนในวันที่ 5 มิถุนายน เป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่มีความเป็นไปได้ หากมีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวาง
- การใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์: การนำภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2 และผลตรวจคุณภาพน้ำมาใช้ในการรณรงค์ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเน้นย้ำถึงความรุนแรงของปัญหา
- การยกระดับสู่ระดับนานาชาติ: ข้อเสนอให้ยื่นหนังสือถึงสถานทูตจีนและหารือกับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมา แสดงถึงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาข้ามแดน
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
- ความล่าช้าของภาครัฐ: แม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา แต่กลไกที่ใช้ยังเป็นแบบราชการทั่วไป ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและความรวดเร็วในการดำเนินการ
- ข้อจำกัดด้านการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองกำลังว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องซับซ้อน เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในเมียนมา และอิทธิพลของบริษัทจีนในภูมิภาค
- ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐาน: การจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงรายต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือภาคเอกชน
- ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขปัญหาต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการดังต่อไปนี้:
- เสริมสร้างการประชาสัมพันธ์: ใช้สื่อสังคมออนไลน์และสื่อท้องถิ่นเพื่อกระจายข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมวันที่ 5 มิถุนายน และผลกระทบของมลพิษ
- สร้างพันธมิตรระดับนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP หรือ MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน
- ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายเพื่อจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และสนับสนุนการวิจัยระยะยาว
- เพิ่มการมีส่วนร่วมของเยาวชน: จัดกิจกรรมสำหรับนักเรียนและนักศึกษา เช่น การแข่งขันด้านสิ่งแวดล้อม หรือแคมเปญออนไลน์ เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมเคลื่อนไหว
สถิติและแหล่งอ้างอิง
เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:
- ความหนาแน่นของตะกอนแขวนลอย:
- แม่น้ำรวก: 40–60 mg/L
- แม่น้ำโขง (บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ): 20–40 mg/L
- แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม THEOS-2.
- ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
- แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L
- แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
- แม่น้ำสาย (บ้านหัวฝาย อำเภอแม่สาย): ตะกั่ว 0.058 mg/L, สารหนู 0.44 mg/L
- แม่น้ำสาย (สะพานมิตรภาพแห่งที่ 2): ตะกั่ว 0.063 mg/L, สารหนู 0.45 mg/L
- แม่น้ำสาย (บ้านป่าซางงาม): ตะกั่ว 0.066 mg/L, สารหนู 0.49 mg/L
- แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
- การทำเหมืองในรัฐฉาน:
- โรงงานขุดทอง: 3 จุด (เมืองกก, เมืองสาด, บ้านฮุ่ง)
- เรือขุดทองในแม่น้ำกก: 2 ลำ (ใช้งานได้จากทั้งหมด 3 ลำ)
- แหล่งอ้างอิง: สำนักข่าวชายขอบ. (14 พฤษภาคม 2568). รายงานสถานการณ์การทำเหมืองทองในรัฐฉาน.
- ผลกระทบต่อชุมชน:
- เด็กที่มีอาการผื่นคันจากการสัมผัสน้ำในแม่น้ำกก: 3 ราย (พื้นที่เปียงคำ รัฐฉาน)
- การลดลงของรายได้จากการท่องเที่ยวในอำเภอแม่ยาว: 80%
- แหล่งอ้างอิง: มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน. (2568). รายงานผลกระทบจากการทำเหมืองแรร์เอิร์ธ.
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
- สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่
- มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
- องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers)
- มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉาน
- สำนักข่าวชายขอบ