Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ชี้ ห้วยส้านพัฒนา แหล่งน้ำร่วมสองอำเภอต้องมีธรรมาภิบาล

อบจ.เชียงรายเปิด “วาระน้ำเร่งด่วน” ลงมือแก้ปัญหาอ่างเก็บน้ำห้วยส้านพัฒนา จุดเชื่อมโยงแหล่งน้ำร่วมแม่สรวย แม่ลาว ขับเคลื่อนจากนโยบายสู่ผลลัพธ์ “ถึงมือประชาชน”

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ประกาศยกระดับ “วาระน้ำเร่งด่วน” เป็นภารกิจสำคัญของจังหวัด เดินหน้าจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อลดปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเริ่มปฏิบัติการที่ อ่างเก็บน้ำห้วยส้านพัฒนา ตำบลแม่สรวย อำเภอแม่สรวย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ ประชาชนสองอำเภอ แม่สรวยและแม่ลาว ใช้ร่วมกัน สะท้อนโจทย์ใหญ่ของ “การจัดการน้ำข้ามเขต” ที่ต้องการกลไกเชิงนโยบายและการบูรณาการหน่วยงานอย่างจริงจัง

การขับเคลื่อนครั้งนี้อยู่ภายใต้บทบาทของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ในฐานะ รองประธานคณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาที่ดิน แหล่งน้ำ และเกษตรกรรม ระดับจังหวัด ซึ่งทำหน้าที่เชื่อม “นโยบาย” กับ “การลงมือทำ” ให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยได้มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 เพื่อสำรวจสภาพแหล่งน้ำ รับฟังปัญหา และหารือแนวทางพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม

บทนำแบบเรื่องเล่า แหล่งน้ำเดียวกัน แต่ความต้องการต่างกัน

เช้าตรู่ปลายพฤศจิกายน หมอกบางๆ ลอยต่ำเหนือน้ำในอ่างห้วยส้านพัฒนา เสียงเครื่องสูบน้ำจากไร่นาใกล้เคียงดังสลับกับการพูดคุยของชาวบ้านสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งอยู่เขตแม่สรวย อีกฝั่งอยู่เขตแม่ลาว ทุกสายตาจับจ้องไปยังคันอ่างและท่อส่งน้ำที่เป็นเส้นเลือดหลักของชุมชน หลายคนกังวลว่าพอถึงหน้าแล้งน้ำจะพอหรือไม่ ขณะที่อีกหลายคนห่วงระบบระบายน้ำหน้าแล้ง หน้าฝนที่ผันผวนหนักขึ้นตามสภาพอากาศ

ภาพเล็กๆ ตรงคันอ่างห้วยส้านสะท้อน “โจทย์ใหญ่ของจังหวัดเชียงราย” อย่างชัดเจน ทรัพยากรน้ำที่ใช้ร่วมกัน หากไร้กติกาและกลไกดูแลที่ดี ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งได้ง่าย ในทางกลับกัน หากมีกระบวนการประสานงานที่เป็นธรรมและโปร่งใส แหล่งน้ำเดียวกันก็จะแปลงเป็น “ความมั่นคงทางน้ำ” ของทั้งสองอำเภอร่วมกันได้

จากนโยบาย 7 เรือธง สู่ภารกิจ “ถึงมือชุมชน”

นโยบาย “7 เรือธง” ของ อบจ.เชียงราย โดยเฉพาะ เรือธงที่ 1 กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นได้เร็วและตรงจุด หลักคิดคือ “ไม่รอให้ปัญหาลุกลาม” แต่เข้าถึงจุดวิกฤตด้วยเครื่องจักร บุคลากร และกระบวนการตัดสินใจที่ชัดเจน เพื่อเปลี่ยนการแก้เฉพาะหน้าให้เป็นการซ่อมแบบถาวรตามหลักวิศวกรรม

กรณี ห้วยส้านพัฒนา จึงถูกวางเป้าหมายเป็น 3 ระดับต่อเนื่องกัน ได้แก่

  1. ปรับปรุงตัวอ่างเก็บน้ำ เพื่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง,
  2. ยกเครื่องระบบส่งน้ำ ลดการสูญเสียและความคับคังในท่อ คลอง เพื่อจ่ายน้ำถึงเกษตรกรอย่างทั่วถึง, และ
  3. เพิ่มศักยภาพการกักเก็บ ผ่านการขุดลอก เสริมคันดินในแนวทางที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน

แนวทางดังกล่าวสอดรับกับบทเรียนที่ อบจ.เคยทำในหลายพื้นที่ อาทิ การซ่อมเร่งด่วนคันอ่างห้วยสัก ที่มีการวางแผนซ่อมแบบถาวรตามหลักวิศวกรรม เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำปริมาณมากในช่วงรอยต่อฤดูกาล และ ปฏิบัติการกู้ชีพหนองหลวง อำเภอเวียงชัย ที่ระดมเครื่องจักรกำจัดวัชพืชน้ำกว่า 9,800 ไร่ เพื่อฟื้นระบบนิเวศและเตรียมพื้นที่รองรับกิจกรรมท่องเที่ยวระดับจังหวัด ทั้งหมดนี้คือ “รูปธรรมของความเร็วและความละเอียด” ที่ อบจ.ต้องการนำมาปรับใช้กับห้วยส้าน

น้ำร่วม” ข้ามเขต ความท้าทายเชิงธรรมาภิบาล

จุดสำคัญของห้วยส้านคือเป็น แหล่งน้ำร่วม (Joint-use Resource) ของสองอำเภอ ดังนั้นความสำเร็จจึงไม่ได้วัดเพียงตัวเลขปริมาณน้ำ แต่ต้องวัดจาก “ข้อตกลงร่วมกัน” ที่ทำให้การใช้น้ำยุติธรรมและยั่งยืน อบจ.เชียงรายจึงผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 ประการ เพื่อจัดวางรากฐานธรรมาภิบาล ได้แก่

  1. MOU ระดับจังหวัดสำหรับแหล่งน้ำร่วม   กำหนดโควตาการใช้น้ำช่วงปกติ หน้าแล้ง บทบาทการบำรุงรักษา และการจัดสรรงบประมาณร่วมของ อปท. แต่ละฝ่าย เพื่อป้องกันข้อขัดแย้ง และสร้างความชัดเจนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
  2. มาตรฐานความปลอดภัยทางวิศวกรรม   พื้นที่แม่ลาว แม่สรวยเคยเผชิญเหตุแผ่นดินไหวปี 2557 จึงต้องออกแบบ ซ่อมแซมอ่างให้ทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน การทรุดตัว รวมถึงระบบระบายน้ำ (Drainage & Relief) และการป้องกันการพังทลายของคันอ่าง (Piping) เพื่อความเชื่อมั่นของประชาชนท้ายน้ำ
  3. กลไกสนับสนุนทางเทคนิคหลังถ่ายโอน   เมื่อแหล่งน้ำขนาดเล็กถูกถ่ายโอนให้ อปท. ระดับล่างที่งบจำกัด อบจ.ควรตั้งหน่วยสนับสนุนถาวร (เครื่องจักร ช่าง แผนบำรุงรักษา) เพื่อไม่ให้สินทรัพย์เสื่อมโทรมกลับไปที่เดิม

ข้อเสนอทั้งสามเป็น “จิ๊กซอว์” ที่เติมเต็มนโยบายการกระจายอำนาจของรัฐ ซึ่งมุ่งให้การดูแลแหล่งน้ำขนาดเล็กอยู่ใกล้ชิดชุมชนมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยกำลังเสริมจาก อบจ.ในเชิงเทคนิคและงบประมาณ เพื่อให้การถ่ายโอนภารกิจเดินหน้าอย่างมีคุณภาพ

เติมเต็ม “ช่องว่างระยะสุดท้ายของน้ำ” (Last Mile Water Gap)

แม้โครงการขนาดใหญ่ระดับชาติ เช่น การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ใกล้เคียง หรือกรอบงบประมาณด้านน้ำระดับจังหวัด จะเพิ่ม “แหล่งน้ำต้นทุน” ให้ระบบโดยรวม แต่ในความเป็นจริง ชุมชนจำนวนมากยัง ไกลกว่าที่น้ำจะไปถึง” ช่องว่างจึงอยู่ที่ “ระยะสุดท้ายของการส่งน้ำ” ท่อ คลอง ระบบกระจายน้ำ และความพร้อมของผู้ดูแลในพื้นที่

งานของ อบจ.เชียงรายที่ห้วยส้าน จึงเปรียบเหมือน “ตัวเร่งถ่ายทอดประโยชน์” จากการลงทุนก้อนใหญ่ให้เปลี่ยนเป็นน้ำที่ไหลถึงก๊อกและไร่นาจริง โดยตั้งเป้า เพิ่มความสามารถกักเก็บและลดการสูญเสียน้ำในระบบส่ง ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งในฤดูแล้ง (มีน้ำสำรอง) และฤดูฝน (ระบายน้ำได้ดี ลดน้ำท่วมขัง)

สาระสำคัญ โครงการใหญ่ทำหน้าที่ “สร้างต้นทุน” ขณะที่ อบจ.ทำหน้าที่ “แปลงต้นทุนให้เป็นน้ำถึงมือ” เมื่อสองชั้นงานทำงานร่วมกัน “ความมั่นคงทางน้ำ” จึงเกิดจริง

การทำงานเชิงบูรณาการ “สามพี่น้องท้องถิ่น” บวกหน่วยงานกลาง

จากประสบการณ์ภาคสนามของ อบจ.ในหลายพื้นที่ การทำงานที่ได้ผลต้องอาศัย “การผนึกกำลังของสามพี่น้องท้องถิ่น” อบจ., เทศบาล/อบต., และชุมชน ร่วมกับหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ กรมทรัพยากรน้ำ กรมพัฒนาที่ดิน และกรมชลประทาน

โมเดลนี้ทำให้

  • ข้อมูลพื้นที่ จากชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ถูกยกขึ้นมาใช้กำหนดแบบ ขนาดงานอย่างเหมาะสม,
  • ข้อจำกัดทางกฎหมาย แนวเขต ได้รับการคลี่คลายร่วมกับหน่วยงานป่าไม้และที่ดิน, และ
  • ทรัพยากรเครื่องจักร บุคลากร ของ อบจ. ถูกนำไปวางให้ตรงจุดวิกฤตได้รวดเร็ว

เมื่อหันกลับมาที่ห้วยส้าน กระบวนการลงพื้นที่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 จึงไม่ใช่เพียง “การไปดูงาน” แต่เป็น “การตั้งต้นข้อมูลจริง” เพื่อขับเคลื่อนขั้นตอนถัดไป การออกแบบ การประมาณการงบประมาณ การจัดลำดับความสำคัญ และการสื่อสารทำความเข้าใจกับชุมชน ให้เดินหน้าอย่างมีส่วนร่วม

มิติความปลอดภัย ภูมิอากาศ ออกแบบวันนี้ เพื่อรับมือความเสี่ยงพรุ่งนี้

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ต้องรับมือทั้ง ความเสี่ยงแผ่นดินไหว และ ความผันผวนของอากาศ ที่ทำให้วงรอบน้ำท่วม แล้งเข้มข้นขึ้น การเพิ่มศักยภาพกักเก็บ ระบายน้ำที่ห้วยส้าน จึงเป็นการลงทุนที่ป้องกันความเสียหายในอนาคต ขณะเดียวกันการออกแบบต้องคำนึงถึง

  • วัสดุ โครงสร้างคันอ่าง ให้ทนต่อแรงสั่นสะเทือน,
  • ระบบระบายน้ำสำรอง เพื่อคลายแรงดันตอนน้ำหลาก, และ
  • การป้องกันการกัดเซาะ เพื่ออายุใช้งานยาวขึ้น

มาตรฐานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง “ซ่อมถาวร” ที่ อบจ.ใช้กับอ่างน้ำอื่นๆ และต้องถูกยกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ห้วยส้าน เพื่อให้ประชาชนท้ายน้ำมั่นใจอย่างยั่งยืน

การเงินท้องถิ่น ลงทุนครั้งเดียว แต่ต้องดูแลระยะยาว

ประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายต้องจับตาคือ ภาระทางการคลังหลังการถ่ายโอน แหล่งน้ำขนาดเล็กไปยัง อปท. ระดับล่าง หากไม่มี หน่วยสนับสนุนทางเทคนิคถาวร จาก อบจ. งานซ่อมบำรุงประจำปี ขุดลอกใหญ่ ซ่อมคันดิน ซ่อมคอนกรีต อาจเกินกำลังของเทศบาล/อบต. ขนาดเล็ก นำไปสู่การเสื่อมโทรมซ้ำ การวางแผน แบ่งเขตรับผิดชอบบำรุงรักษา (Maintenance Zoning) และ บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล ที่บันทึกสภาพ ประวัติซ่อม รอบบำรุง จะช่วยให้การดูแลเกิดความต่อเนื่องและโปร่งใส

เสียงจากภาคสนาม “เร็ว จริง ร่วม”

ระหว่างการหารือกับชุมชน รองนายก อบจ.เชียงราย ย้ำหลักคิดสั้นๆ แต่ชัดเจนว่า อบจ.พร้อมสนับสนุนทุกแนวทางที่แก้ปัญหาได้จริง และต้องเร็วพอที่ประชาชนสัมผัสได้” ประโยคนี้ไม่ใช่ถ้อยคำสวยหรู หากแต่สะท้อน “วัฒนธรรมการทำงาน” ที่ อบจ.ต้องการสถาปนา การตัดสินใจบนข้อมูลจริง การสื่อสารโปร่งใส และการลงมือทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่กฎหมายและงบประมาณเอื้ออำนวย

สรุปภาพใหญ่ เมื่อ “นโยบาย” วิ่งถึง “คันอ่าง”

กรณีห้วยส้านพัฒนาคือจุดตัดระหว่าง “นโยบายระดับจังหวัด” กับ “ความต้องการระดับชุมชน” อย่างแท้จริง ด้านหนึ่ง เรามีกรอบการกระจายอำนาจและการถ่ายโอนแหล่งน้ำขนาดเล็กที่รัฐผลักดัน อีกด้านหนึ่ง เรามีความเป็นจริงภาคสนามที่ต้องการการประสานงาน เครื่องจักร บุคลากรและมาตรฐานวิศวกรรม การที่ อบจ.เชียงรายลงมือในจุดที่เป็น ระยะสุดท้ายของน้ำ” จึงทำให้ภาพใหญ่ของการลงทุนด้านน้ำมีความหมายต่อชีวิตคนมากขึ้น

เมื่อกระบวนการ MOU แหล่งน้ำร่วมเกิดขึ้น มาตรฐานความปลอดภัยถูกยกระดับ หน่วยสนับสนุนบำรุงรักษาถูกจัดตั้ง และระบบข้อมูลสินทรัพย์ถูกทำให้โปร่งใส น้ำหนึ่งอ่าง จะหล่อเลี้ยง สองอำเภอ อย่างเป็นธรรม ลดความขัดแย้ง เพิ่มคุณภาพชีวิต และเสริมภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแรง

ในระยะกลาง ยาว หากโมเดลห้วยส้านประสบผลสำเร็จ เชียงรายจะได้ “แบบเรียน” สำหรับแหล่งน้ำร่วมอื่นๆ ทั่วจังหวัด และอาจกลายเป็น ตัวอย่างระดับประเทศ ของการทำงานร่วมกันระหว่าง อบจ. อปท. หน่วยงานกลาง ที่เปลี่ยนแปลงได้จริงตั้งแต่ระดับคันอ่างไปจนถึงโต๊ะประชุม

กลไก ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ

  1. ทำ MOU แหล่งน้ำร่วม แม่สรวย–แม่ลาว ระบุโควตาน้ำ ฤดูแล้ง/ฤดูฝน บทบาทบำรุงรักษา และการแบ่งภาระงบ
  2. สำรวจ ออกแบบซ่อมถาวรตามมาตรฐานแผ่นดินไหว (Geo-Hydro-Structural) ครอบคลุมคันอ่าง ระบายน้ำ ป้องกันพังทลาย
  3. บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลแหล่งน้ำ  เก็บข้อมูลสภาพ ประวัติซ่อม รอบบำรุง เพื่อความโปร่งใสในการถ่ายโอนและตั้งงบระยะยาว
  4. Maintenance Zoning โดย อบจ. เป็น “แบ็กอัพเทคนิค” ให้ อปท. ที่รับโอน มีทีม เครื่องจักรช่วยงานหนักตามรอบ
  5. เวทีสื่อสารสาธารณะ รายไตรมาสกับชุมชนสองอำเภอ เพื่ออัปเดตความคืบหน้า ปัญหา ตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ (เช่น ปริมาณกักเก็บที่เพิ่มขึ้น ระยะเวลาจ่ายน้ำเฉลี่ยต่อครัวเรือนในหน้าแล้ง)

น้ำคือชีวิตของคนเชียงราย และก็เป็นนโยบายที่ต้องจับต้องได้ ห้วยส้านพัฒนาเผยให้เห็นว่า เมื่อ นโยบาย คน เครื่องมือ ถูกจัดวางบนฐานข้อมูลจริงและความร่วมมือที่เป็นธรรม ปมเรื่องน้ำร่วม ก็สามารถคลี่คลายได้อย่างยั่งยืน “วาระน้ำเร่งด่วน” ของ อบจ.เชียงราย จึงไม่ใช่เพียงแผนงานบนกระดาษ หากเป็น สัญญาประชาคม ที่เริ่มต้นแล้ว ณ คันอ่างเล็กๆ แห่งนี้

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่ยาว-แม่สลองนอก อบจ. เร่งแก้ภัยแล้ง น้ำมีใช้

อบจ.เชียงรายเร่งเดินหน้าโครงการป้องกันและแก้ไขภัยแล้งอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่จังหวัด

เปิดโครงการสร้างฝายชะลอน้ำพื้นที่แม่ยาว เสริมแกร่งระบบจัดการน้ำชุมชน

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – ที่บ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานเปิดกิจกรรมโครงการสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว ตามนโยบาย 7 เรือธงของจังหวัดเชียงราย โดยมีนายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เข้าร่วมพร้อมหัวหน้าส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่

กิจกรรมในครั้งนี้อยู่ภายใต้การดำเนินการของกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีนางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองฯ เป็นผู้ควบคุมดูแลและดำเนินการร่วมกับจิตอาสาผู้ก้าวพลาดจากเรือนจำกลางเชียงรายตามโครงการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งนับเป็นตัวอย่างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและภาคสังคมอย่างแท้จริง

วัตถุประสงค์ของโครงการ: ป้องกันภัยแล้ง – ฟื้นฟูระบบนิเวศน้ำ

โครงการฝายชะลอน้ำเพื่อชุมชนแม่ยาว มีจุดประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ ส่งเสริมระบบนิเวศน้ำ และช่วยลดความรุนแรงของภัยแล้งในพื้นที่เสี่ยง โดยฝายที่สร้างขึ้นนี้เป็นฝายชะลอน้ำแบบกึ่งถาวร ใช้วัสดุจากธรรมชาติร่วมกับวัสดุพื้นบ้านซึ่งสามารถก่อสร้างได้รวดเร็วในงบประมาณจำกัด ทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นระบบฝายถาวรได้ในอนาคต

ในระยะยาว ฝายชะลอน้ำจะทำหน้าที่เพิ่มระดับน้ำใต้ดิน ส่งผลดีต่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของชุมชน ทั้งยังช่วยลดการพังทลายของหน้าดิน และสนับสนุนการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพในระบบลุ่มน้ำแม่ยาวอีกด้วย

สำรวจแหล่งน้ำใต้ดินเสริมระบบการจัดการน้ำในพื้นที่สูง

ต่อมาเวลา 12.00 น. นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ อบจ. ลงพื้นที่ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจสอบสภาพแหล่งน้ำและความเหมาะสมในการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะในพื้นที่สูงที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง

จากการสำรวจเบื้องต้น พบแหล่งน้ำใต้ดินที่มีศักยภาพในการขุดเจาะจำนวน 2 จุด ซึ่งจะถูกบรรจุไว้ในแผนการดำเนินการตามโครงการขุดเจาะน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาภัยแล้งระยะที่ 2 ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายในปีงบประมาณ 2568

บูรณาการความร่วมมือภาครัฐและประชาชนเพื่อความยั่งยืนด้านทรัพยากรน้ำ

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง ซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย อบจ. เชียงรายมีเป้าหมายที่จะสร้างฝายชะลอน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำใน 18 อำเภอ และขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลเพิ่มเติมกว่า 60 จุดภายในปี 2568

สถิติและแหล่งข้อมูลสนับสนุน

ข้อมูลจากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล (2567) ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับรุนแรงจำนวน 34 ตำบล ครอบคลุมประชากรประมาณ 126,000 คน โดยเฉพาะในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สรวย และเวียงป่าเป้า

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO) รายงานว่า การจัดการน้ำในพื้นที่สูงผ่านระบบฝายชะลอน้ำสามารถเพิ่มระดับน้ำใต้ดินเฉลี่ย 30-50 เซนติเมตรต่อปี และช่วยฟื้นคืนความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ลุ่มน้ำระดับตำบลได้ภายใน 1-2 ปี

ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ภัยแล้งในจังหวัดเชียงรายทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงเฉลี่ยปีละ 7-10% คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 1,400 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด มันสำปะหลัง และผลไม้ในพื้นที่สูง

โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งของ อบจ.เชียงราย ภายใต้การดำเนินการของศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) จึงนับเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางน้ำ ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในการรับมือกับวิกฤติภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

  •  

    สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (BEDO)

  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มติที่ประชุมปิดล่องแพ 30 เมษาฯ แม่สรวยน้ำน้อย แต่นั่งซุ้มต่อได้

ประกาศปิดล่องแพแม่สรวย 30 เม.ย. 68 – เพื่อสำรองน้ำเกษตร ชี้จำเป็นตามมติคณะกรรมการฯ ร่วมมือบริหารจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วม

เชียงราย, 3 เมษายน 2568 — ตามที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศ ยุติการล่องแพเปียกในอ่างเก็บน้ำแม่สรวยภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 เนื่องจากระดับน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องเก็บกักน้ำไว้เพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง ภายใต้นโยบายการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรผู้ใช้น้ำ

การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ภายใต้กรอบ ข้อตกลงความร่วมมือบริหารจัดการชลประทานแบบมีส่วนร่วม (MOU for JMC) ซึ่งจัดขึ้น ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาแม่ลาว ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบกิจการแพเปียก และตัวแทนเกษตรกรผู้ใช้น้ำเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

จำเป็นต้องสำรองน้ำ – ล่องแพได้ถึง 30 เม.ย. ก่อนลดปริมาณการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q

นายวรวิทย์ สุวรรณจักร หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันได้มีการปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยอยู่ที่ 5–6 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (Q) เพื่อให้สามารถล่องแพได้อย่างปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยจะสิ้นสุดกิจกรรมล่องแพในวันที่ 30 เมษายน 2568 หลังจากนั้นจะลดการปล่อยน้ำเหลือเพียง 1Q เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง

ถึงแม้จะมีคำถามจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวในพื้นที่ว่า หากมีฝนตกหรือพายุฤดูร้อนในเดือนเมษายนจะสามารถขยายเวลาได้หรือไม่ ทางชลประทานยังไม่ได้รับรายงานพยากรณ์อากาศที่ชัดเจนจากกรมอุตุนิยมวิทยา จึงยังคงยึดตามมติที่ประชุมไว้ก่อน

ยังเปิดให้นั่งซุ้มริมเขื่อน ชิมอาหารท้องถิ่นได้ถึง 15 พ.ค.

แม้ว่าจะไม่สามารถล่องแพได้หลังวันที่ 30 เมษายน แต่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อนุญาตให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ยังคงเปิดบริการ “ซุ้มริมน้ำ” สำหรับรับประทานอาหารและพักผ่อนริมอ่างเก็บน้ำต่อได้ถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวชมในช่วงปลายฤดูร้อน

ข้อตกลง MOU for JMC – โมเดลบริหารน้ำโดยชุมชนมีส่วนร่วม

การดำเนินการครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของกรมชลประทาน ที่ส่งเสริมรูปแบบการบริหารจัดการน้ำ Participatory Irrigation Management (PIM) โดยให้เกษตรกร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานปกครอง และผู้ใช้น้ำ มีส่วนร่วมในการกำหนดแผนบริหารและจัดสรรน้ำผ่าน คณะกรรมการจัดการชลประทาน (JMC)

พื้นที่ในลุ่มน้ำแม่ลาวตอนที่ 2 ประกอบด้วย

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวย
  • ฝายเจ้าวรการบัญชา
  • ฝายถ้ำวอก
  • ฝายสมบัติ

โดยแต่ละแห่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญสำหรับเกษตรกรในอำเภอแม่สรวยและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งต้องอาศัยการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงฤดูแล้งของปี 2567/68 นี้

เสียงสะท้อนจากภาคเกษตรและการท่องเที่ยว

ฝ่ายเกษตรกรผู้ใช้น้ำ ระบุว่า เห็นด้วยกับมาตรการเก็บกักน้ำ เนื่องจากพื้นที่การเกษตรหลายแห่งในลุ่มน้ำแม่ลาว กำลังเข้าสู่ฤดูแล้ง และปริมาณน้ำในเขื่อนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่ผ่านมา หากไม่มีการบริหารน้ำอย่างเป็นระบบ จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ข้าวนา และพืชผักสวนครัว ซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชน

ในขณะที่ผู้ประกอบการล่องแพและร้านอาหารริมเขื่อน ได้แสดงความกังวลว่า การปิดให้บริการล่องแพก่อนฤดูท่องเที่ยวจะสิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อรายได้และแรงงานในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของแม่สรวย

ข้อมูลสถานการณ์น้ำล่าสุดในภาคเหนือ

จากรายงานของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน ประจำวันที่ 3 เมษายน 2568 พบว่า

  • อ่างเก็บน้ำแม่สรวยมี ปริมาณน้ำในอ่าง : 47.704 (65.350%) ของความจุ  73.000 ล้าน ลบ.ม.
  • คาดการณ์ว่าในช่วงเดือนเมษายนจะไม่มีฝนตกชุก
  • ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำแม่ลาวรวมลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วกว่า 15%
  • ความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้นกว่า 10% เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น
  • พื้นที่การเกษตรในอำเภอแม่สรวยและแม่ลาวกว่า 6,200 ไร่ ต้องพึ่งพาน้ำจากอ่างเก็บน้ำแม่สรวยเป็นหลัก

(ที่มา: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, กรมชลประทาน, รายงานสถานการณ์น้ำประเทศไทย ประจำเดือนเมษายน 2568)

แนวทางและข้อเสนอแนะต่อการจัดการน้ำแบบสมดุล

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการปิดล่องแพ เห็นว่าเป็นการดำเนินการที่จำเป็นและสมเหตุสมผล ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทาง PIM ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการบริหารทรัพยากรสาธารณะอย่างยั่งยืน

อีกมุมหนึ่ง ของผู้ประกอบการท่องเที่ยวเสนอว่า รัฐควรมีมาตรการเยียวยา หรือจัดกิจกรรมท่องเที่ยวทางเลือกในพื้นที่แทน เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป พร้อมทั้งเสนอให้ปรับเปลี่ยนกำหนดการเปิด–ปิดล่องแพตามสถานการณ์น้ำจริงรายสัปดาห์ โดยใช้เทคโนโลยีพยากรณ์น้ำมาเป็นตัวกำหนด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายพร้อม ตรวจเขื่อน รับมือแล้ง-ฝน-เตือนภัยน้ำท่วม

เชียงรายตรวจเข้มเขื่อน! รับมือแล้ง-ฝน, ติดตั้งระบบเตือนภัยน้ำท่วม

เชียงราย, 31 มีนาคม 2568 – ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย เพื่อติดตามความพร้อมในการรับมือภัยแล้งและฤดูฝนปี 2568 พร้อมเน้นย้ำมาตรการป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

การตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากโครงการชลประทานเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเขื่อนเชียงราย ฝ่ายส่งน้ำและบำรุงรักษาที่ 1 โครงการชลประทานเชียงราย ซึ่งเป็นเขื่อนสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยมีนายสมชาย บุญอนันต์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่ชลประทานให้การต้อนรับ พร้อมนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและสถานะความมั่นคงของเขื่อน

เขื่อนเชียงรายทำหน้าที่กักเก็บน้ำจากแม่น้ำกก เพื่อใช้ในการเกษตรในพื้นที่ชลประทานกว่า 50,000 ไร่ รวมถึงเป็นแหล่งน้ำดิบหลักในการผลิตน้ำประปาสำหรับประชาชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝน และเสริมความมั่นคงทางน้ำให้กับพื้นที่โดยรอบ

การตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อน หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ รวมถึงจังหวัดเชียงราย อย่างไรก็ตาม นายสมชาย บุญอนันต์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ได้รายงานว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ พบว่าเขื่อนเชียงรายยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่มีรอยร้าวหรือความเสียหายที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลัก

การบริหารจัดการน้ำเพื่อรับมือภัยแล้ง

นอกจากการตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้รับฟังรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในเขื่อนเชียงราย โดยข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ระบุว่า ปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ที่ 65% ของความจุอ่าง ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติและเพียงพอสำหรับการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง

นายชรินทร์ ทองสุข ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการใช้น้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ พร้อมกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง รวมถึงส่งเสริมการใช้น้ำอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ

การเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน

สำหรับการรับมือกับฤดูฝนปี 2568 ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้สั่งการให้โครงการชลประทานเชียงรายดำเนินการขุดลอกและซ่อมแซมแนวกั้นน้ำในพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม นอกจากนี้ยังได้กำชับให้มีการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำและระบบเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกก และแม่น้ำสาย-รวก เพื่อให้ประชาชนสามารถรับทราบข้อมูลสถานการณ์น้ำได้อย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที

การมีส่วนร่วมของชุมชน

นอกจากการดำเนินมาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากประชาชนในพื้นที่ โดยขอความร่วมมือจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการดูแลรักษาทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • ความจุของเขื่อนเชียงราย: 120 ล้านลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ชลประทานที่ได้รับประโยชน์: กว่า 50,000 ไร่
  • จำนวนประชาชนที่ได้รับน้ำประปา: มากกว่า 80,000 คนในเขตเทศบาลนครเชียงราย
  • สถิติการเกิดแผ่นดินไหว: แผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ
  • ระบบเตือนภัยน้ำท่วม: มีการติดตั้งเครื่องวัดระดับน้ำอัตโนมัติใน 10 จุดเสี่ยงภัยตามลำน้ำกก และแม่น้ำสาย-รวก

ความเห็น

จากการตรวจสอบและการรายงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่าเขื่อนเชียงรายยังคงมีความมั่นคงแข็งแรง และมีการวางแผนจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งในด้านการซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐาน การติดตั้งระบบเตือนภัย และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการจัดการน้ำที่ยั่งยืน

การติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้ข้อมูลจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือกับภัยแล้งและน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมชลประทาน, โครงการชลประทานเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหว
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, รายงานสถานการณ์น้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรับมือ PM2.5 คุมเผา-แล้งเข้ม สั่งปิดป่าบางพื้นที่

เชียงรายประชุมคณะกรรมการป้องกันภัย ยกระดับมาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5 และภัยแล้ง เตรียมการเชิงรุกปกป้องสุขภาพประชาชน

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ครั้งที่ 1/2568 เพื่อยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และภัยแล้งที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 แบบเข้มข้น

การประชุมได้เน้นย้ำแผนการป้องกันไฟป่าและฝุ่นละออง โดยมีมาตรการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร หรือชุมชนเมือง รวมถึงการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น โรงงาน เตาเผาถ่าน และเตาเผาขยะ พร้อมตั้งจุดตรวจวัดมลพิษจากยานพาหนะในจุดเสี่ยงสำคัญ

ดูแลสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง – แจกหน้ากาก N95 ครอบคลุม

ในด้านสุขภาพประชาชน จังหวัดได้ดำเนินมาตรการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย N95 และยาขยายหลอดลมให้กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และเด็กในสถานศึกษา พร้อมทั้งจัดบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และจัดระบบส่งยาถึงบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทาง

หากค่าฝุ่น PM 2.5 เกินระดับ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อเนื่อง 2 วัน จะมีการพิจารณาปรับรูปแบบการเรียนการสอน หรือปิดสถานศึกษาชั่วคราว พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) และลดกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมแพทย์ 3 หมอ และ อสม. เคลื่อนที่เร็ว ออกตรวจเยี่ยมบ้านประชาชน พร้อมแจกหน้ากากและมุ้งสู้ฝุ่นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง

การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์จังหวัด ได้รับมอบหมายให้เร่งกระจายข่าวสารผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และแนวทางการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย พร้อมรณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องผลกระทบจากการเผาในที่โล่งที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาฝุ่นในภาคเหนือ

ปิดป่า คุมเข้มบุคคลเข้าออก พร้อมวิจัยทางเลือกการเกษตร

เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดมีนโยบาย “ปิดป่า” ชั่วคราว ยกเว้นแหล่งท่องเที่ยว โดยพื้นที่ป่าสงวนจะมีการควบคุมบุคคลเข้าออกอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมีการประสานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อคิดค้นสารอินทรีย์ย่อยสลายเศษวัสดุทางการเกษตร ใช้แทนการเผาในพื้นที่สูง

ด้านการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร มีการผลักดันให้เปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรมูลค่าสูง เพื่อลดการเผาเศษพืชที่ก่อฝุ่นอย่างยั่งยืน

รับมือภัยแล้ง – จัดการน้ำ บูรณาการข้อมูลภาคเกษตร

โครงการชลประทานเชียงรายและการประปาส่วนภูมิภาค ได้รับมอบหมายให้ติดตามระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างใกล้ชิด หากพบว่าน้ำมีแนวโน้มต่ำกว่า 50% ต้องแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าและจัดแผนสำรองน้ำให้เพียงพอ

สำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมสำรวจพื้นที่เพาะปลูก แยกตามการใช้น้ำฝนและน้ำชลประทาน เพื่อใช้ในการวางแผนส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้ง

สำหรับแหล่งน้ำที่ตื้นเขิน มีการเตรียมแผนขุดลอกเร่งด่วน ได้แก่

  • หนองฮ่าง ตำบลทานตะวัน
  • อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว อำเภอพาน
  • ท้ายอ่างเก็บน้ำแม่ฉางข้าว อำเภอเวียงป่าเป้า

สร้างแรงจูงใจชุมชนต้นแบบ – ให้รางวัลหมู่บ้านไร้หมอกควัน

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหาหมอกควัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอแนวทาง “หมู่บ้านต้นแบบไร้หมอกควัน” โดยให้รางวัลกับหมู่บ้านที่สามารถจัดการปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้สำเร็จ สร้างแรงจูงใจและต้นแบบให้กับชุมชนอื่นในพื้นที่

ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน – เส้นทางสู่การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

นอกจากการประสานภายในจังหวัด เชียงรายยังดำเนินการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและหน่วยงานระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเพาะปลูก การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และส่งเสริมเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการเตรียมความพร้อมระยะยาวในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ
มองว่าการยกระดับมาตรการของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข เกษตร ไปจนถึงงานชลประทาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการจัดการวิกฤติอย่างรอบด้าน การแจกจ่ายหน้ากากและบริการแพทย์ทางไกลยังแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นหลัก

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
ชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ แม้จะมีความรัดกุม แต่หากขาดการบังคับใช้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือเขตภูเขา จะไม่สามารถลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องงบประมาณสนับสนุนที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินการอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียงในชนบท

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต 25 มีนาคม 2568)

  • ค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายวัน (พื้นที่เมืองเชียงราย): 78–92 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำค่ามาตรฐาน PM 2.5: ไม่เกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงไฟป่าและฝุ่นละออง: อำเภอแม่สรวย, เวียงป่าเป้า, แม่ฟ้าหลวง
  • จำนวนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในระดับน้ำต่ำกว่า 50%: 3 แห่ง (ข้อมูลจากโครงการชลประทานเชียงราย)
  • จำนวนหมู่บ้านเป้าหมายในการแจกมุ้งสู้ฝุ่นและหน้ากาก N95: 67 หมู่บ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศกรมควบคุมมลพิษ
  • รายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ศปช. ย้ำข่าวน้ำท่วมแม่สายซ้ำไม่จริง เตือนเฝ้าระวังฝนใต้

ศปช.ย้ำข่าวลือ “ฝนหนักต้นน้ำแม่สายอาจท่วมซ้ำ” ไม่จริง ยืนยันสภาพอากาศแห้งแล้ว

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปช.) ย้ำว่า ข่าวลือเรื่องฝนหนักต้นน้ำแม่สายจะทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่นั้นไม่เป็นความจริง แม้ว่าจะมีฝนตกบ้างตามสภาพอากาศที่แปรปรวน แต่เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวและปริมาณน้ำในลำน้ำต่าง ๆ อยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ส่งผลกระทบหนัก นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนอากาศแปรปรวนในประเทศไทยตอนบนไปจนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายน โดยในภาคเหนืออาจมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง อุณหภูมิจะลดลงอีก 1-2 องศาเซลเซียส พร้อมเตือนประชาชนในพื้นที่ดูแลสุขภาพและระวังอัคคีภัยที่อาจเกิดจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง

ข่าวลือฝนตกหนักที่แม่สาย ยืนยันไม่มีผลกระทบน้ำท่วมซ้ำ

ข่าวลือที่ว่าลมฝ่ายตะวันตกจะทำให้เกิดฝนตกหนักในต้นน้ำของอำเภอแม่สาย และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำรอยนั้น กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า แม้ในช่วงนี้จะยังคงได้รับอิทธิพลจากลมตะวันตกอยู่บ้าง แต่มีลมตะวันออกเฉียงเหนือเข้ามาปกคลุม ซึ่งไม่ก่อให้เกิดฝนหนักถึงขั้นน้ำท่วม การทดสอบแบบจำลองสภาพอากาศพบว่าโอกาสที่จะเกิดฝนตกหนักนั้นน้อยมากและไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในลุ่มน้ำต้นน้ำแม่สาย

ฝนตกหนักในภาคใต้ เฝ้าระวังดินถล่มและน้ำป่าใน 13 จังหวัด

ขณะที่สถานการณ์ในภาคใต้ยังคงต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักในหลายพื้นที่ เช่น จ.ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และอื่น ๆ รวม 13 จังหวัด โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่พร้อมติดตั้งป้ายเตือนประชาชนที่สัญจรในเส้นทางที่มีความเสี่ยง

แผนช่วยเหลือและโอนเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำ ศปช. ระบุว่า การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำหนดโอนเงินเยียวยาผ่านระบบพร้อมเพย์ในวันพุธที่ 6 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะครอบคลุมกว่า 3 หมื่นครัวเรือน รวมเป็นเงินช่วยเหลือที่ได้รับอนุมัติแล้ว 1,695,653,000 บาท

เตรียมรับมือภัยแล้งตั้งแต่เนิ่นๆ รัฐบาลเร่งแผนการจัดการน้ำ

ในด้านการรับมือกับภัยแล้ง นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมเพื่อวางแผนการเตรียมพร้อมรับมือฤดูแล้งปี 2567/68 ในจังหวัดนครราชสีมา โดยรัฐบาลได้วาง 8 มาตรการเพื่อเฝ้าระวังและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อาทิ การสำรวจแหล่งน้ำสำรอง การจัดการน้ำในอ่างลำตะคอง และการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการใช้น้ำอย่างมีคุณค่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ช่วยภัยแล้งในพื้นที่อำเภอเชียงของ

 

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 67 เวลา 09.30 น. ที่หอประชุมเทศบาลตําบลห้วยซ้อ อําเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์นายกกิตติมศักดิ์ และองค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ของมูลนิธิชัยพัฒนา แก่เกษตรกรและกลุ่มเกษตรนาแปลงใหญ่ โดยมีนายดนุชา สินธวานนท์ กรรมการและรองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานในพิธี โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สภาเกษตรกรจังหวัดเชียงราย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ 3 ตำบล ร่วมให้การต้อนรับ

 

สำหรับ ฤดูการผลิตที่ผ่านมาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ 29 หมู่บ้าน ของตําบลครึ่ง ตําบลห้วยซ้อ และตําบลสถาน อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประสบกับวิกฤติภัยแล้งจนทำให้มีพื้นที่ปลูกข้าวได้รับความเสียหายจำนวน 8,869 ไร่ ในวันนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงได้พระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 จํานวน 133,035 กิโลกรัม แก่เกษตรกรและกลุ่มเกษตรนาแปลงใหญ่ ที่ประสบความเดือดร้อนจํานวน 549 ราย โดยกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทาน ต่างรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เพราะเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานที่ได้รับ ทำให้เกษตรกรมีเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี นําไปเพาะปลูกไว้บริโภคและจําหน่ายสร้างรายได้ในครัวเรือน อันจะเป็นการพื้นฟูคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้สามารถก้าวเดินต่อไปในฤดูกาลใหม่ที่กําลังจะมาถึง ด้วยเมล็ดพันธุ์อันเป็นมงคลยิ่ง
 
 
ทั้้งนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีรับสั่งให้มูลนิธิชัยพัฒนาดําเนินการผลิตพันธุ์ข้าว เพื่อสํารองไว้เป็นพันธุ์ข้าวพระราชทานแก่ราษฎรที่ประสบภัยพิบัติ มูลนิธิชัยพัฒนาจึงมอบหมายให้ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ จังหวัดเชียงราย เป็นผู้ด้าเนินงานผลิตพันธุ์ข้าวปทุมธานี 1 ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีเกษตรกรในตําบลเกาะช้าง อําเกอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เข้าร่วมในโครงการผลิตพันธุ์ข้าวพระราชทาน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ จับตาสถานการณ์ภัยแล้ง สั่งบูรณาการ จัดการอย่างเป็นระบบ

 

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ห่วงสถานการณ์ภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างทั้งภาคเกษตรกรรม ความเป็นอยู่ การลงทุน รวมทั้งการท่องเที่ยว เล็งภาคใต้จะกระทบหนัก สั่งการทุกหน่วยงานวางแผนบริหารการอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมเพื่อรับมือและบรรเทาสถานการณ์ และช่วยเหลือประชาชน โดยได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ดูแลเรื่องน้ำ กระทรวงมหาดไทยที่ดูแล บรรเทาสาธารณภัยรวมทั้งเหล่าทัพ ที่นำสรรพกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภัยแล้ง รวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยช่วยกัน ในส่วนที่ทำได้อำนวยความสะดวก ดูแล แบ่งเบาความทุกข์ ประชาชน และกำชับหน่วยกองทัพร่วมเข้าช่วยเหลือแก้ปัญหาภัยแล้ง ดูแลการขาดน้ำอุปโภค บริโภค ของประชนให้ทันท่วงทีและรายงานนายกรัฐมนตรีทุกระยะ เพื่อพิจารณาปรับแผนการดำเนินการที่เหมาะสม

 

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ซึ่งจากการสั่งงานของนายกรัฐมนตรี ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องน้ำ กษ. มท. เหล่าทัพ เร่งหามาตรการบรรเทา และเป็นการแก้ไขสถานการณ์ทั้งระบบเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและประชาชนน้อยที่สุด โดยขณะนี้มี รถผลิตน้ำดื่มเคลื่อนที่ รถขนน้ำ การขุดลอกแหล่งน้ำ และซ่อมบำรุงระบบปะปาแก่ชุมชน
 
 
“ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัดนี้ นายกรัฐมนตรีวางแผนการทำงานล่วงหน้าเพื่อบรรเทาน้ำแล้งทั้งระบบ ไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน ภารการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ที่รับรายงานว่าเกิดปัญหาขาดน้ำแล้วโดยขอทุกหน่วยงานแบ่งงานกันดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องและรายงานนายกรัฐมนตรีเป็นระยะเพื่ออาจพิจารณาปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ตรงความต้องการ” นายชัย กล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ดอยลาน ของบรัฐบาล 4 แสน กำจัดวัชพืชขวางทางน้ำลำห้วย

 

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 67 นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง พร้อมด้วย นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านระดับสูง นายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 16 และคณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมรับฟังปัญหา และลงพื้นที่ตรวจความพร้อม และความเหมาะสมของโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณงบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามอำนาจของรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ปีงบประมาณ 2567 ที่ห้องประชุมเทศบาลตำบลดอยลาน อำเภอเมืองเชียงราย โดยมี นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่นวราชการ นายกเทศมนตรีตำบลดอยลาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับและเยี่ยมชมพบปะประชาชนที่ได้มีการขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่างๆ จากคณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี

 

สำหรับพื้นที่ สถานการณ์ภัยแล้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ตำบลดอยลาน อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้รับผลกระทบเรื่องการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรกรรมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะพื้นที่ส่วนใหญ่มีการทำการเกษตรหลากหลายประเภท รวมทั้งพืชส่วนต่างๆ ซึ่งส่งผลทำให้ผลผลิตทางการเกษตรดังกล่าวมีปริมาณลดลง อีกทั้งน้ำในลำห้วยกั้งไม่มีการขุดลอกเป็นเวลานานจึงทำให้ลำห้วยกั้ง และลำห้วยกอบัว ตื้นเขินและมีวัชพืชขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้กักเก็บน้ำได้น้อยลงราษฎรภายในพื้นที่ได้รับผลกระทบและประสบปัญหาขาดแคลนน้ำในการอุปโภค บริโภค ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก 
 
 
ด้วยเหตุผลที่ว่าขาดแคลนน้ำสำหรับการสนับสนุนการเพาะปลูกเป็นช่วงฤดูแล้ง เพื่อเป็นการลดต้นทุนด้านการเกษตรและสร้างโอกาสในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพาะปลูกให้สามารถดำเนินการได้ในฤดูแล้งจำเป็นต้องอาศัยน้ำจากแหล่งน้ำลำห้วยกั้ง และลำห้วยกอบัว แต่เนื่องจากมีงบประมาณอยู่อย่างจำกัด การจ้างเหมากำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำลำห้วยดังกล่าว เกินศักยภาพงบประมาณของเทศบาลตำบลดอยลาน จึงได้มีการขอรับการสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว โครงการแรก จำนวน 415,000 บาทถ้วน และ หมู่ที่ 3 จำนวน 463,000 บาทถ้วน 
 
 
ซึ่งหากได้รับงบประมาณในการสนับสนุนดังกล่าวแล้ว ประชาชนทั้งตำบลดอยลานจะได้รับผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าว คือ การทำการเกษตรที่เป็นพืชหลัก เช่น การทำนา ทำไร่ ยางพารา และอื่นๆ อีกมากมาย และในบางพื้นที่บางปี ต้องพบกับสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่แปรปรวน ส่งผลให้ผลผลิตไม่เต็มที่จึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชุมชน และสถานการณ์ที่เกิดโรคระบาดมีเกษตรกรและผู้ว่างงาน ลูกหลานเกษตรกรบางส่วนถูกเลิกจ้างจากงานประจำที่ทำอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ หรือบางส่วนตัดสินใจที่จะกลับมาทำอาชีพการเกษตรในภูมิลำเนาของตัวเอง ได้สร้างอาชีพและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
 
 
โดยก่อนหน้านี้ ทางคณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี ยังได้ร่วมลงพื้นที่รับฟังรายละเอียดโครงการสนับสนุนงบประมาณกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามอำนาจของนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ที่อำเภอพญาเม็งราย อำเภอเทิง และอำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย มาแล้ว เพื่อที่จะรวบรวมโครงการที่ขอรับการสนับสนุนทุกพื้นที่ นำไปหารือพิจารณาร่วมกัน ในคณะฯ เพื่อบำบัดความเดือดร้อนของประชาชน ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นสามารถดำรงชีพอยู่ได้ด้วยความปกติสุขต่อไป
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News