Categories
SOCIETY & POLITICS

สัญญาณล้ำข้ามแดน ตร.-กสทช. สั่งปรับทิศทางเสาแม่สอด-เชียงแสน ตัดท่อน้ำเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์

ตร.-กสทช.” ลุยแม่สอด–เชียงราย กดสวิตช์ “ดิจิทัลบอร์เดอร์” สกัดสแกมเมอร์—ขณะวิกฤต 1,598 คนจาก KK Park ท้าทายระบบ NRM

เชียงราย/ตาก, 5 พฤศจิกายน 2568 — ลมหายใจของชายแดนไทยในสัปดาห์นี้เต็มไปด้วยสัญญาณ—ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ทางฝั่งเหนือและตะวันตก เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตหลายต้นถูกตรวจวัดความสูง–ความแรง–ทิศยิงคลื่นอย่างละเอียด ด้วยโดรนและอุปกรณ์วัดสนามคลื่น ขณะที่อีกด้าน หน่วยงานไทยยังเดินหน้าคัดกรองชาวต่างชาติ 1,598 คน ที่หลบหนีความรุนแรง–การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมใน KK Park จังหวัดเมียวดี เข้าสู่ฝั่งไทย

ในเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย นำโดย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย และ นายศุภลักษณ์ รูปศรี ผอ.สำนักงาน กสทช. เขต 34 ลงพื้นที่ อ.เชียงแสน–อ.แม่สาย ตรวจสายสื่อสารข้ามแดนและเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ โดยเฉพาะบริเวณตรงข้าม คิงส์โรมัน เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และแนวสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1–2 อ.แม่สาย ที่เชื่อมต่อกับท่าขี้เหล็ก เมียนมา

พบเสาส่งสัญญาณบางจุดสูงเกินเกณฑ์อย่างชัดเจน” แหล่งข่าวในชุดตรวจระบุถึงผลตรวจเบื้องต้น อ.เชียงแสน วัดสูง 33 เมตร ขณะที่ อ.แม่สาย บ้านสันทราย พบเสาเครือข่ายมือถือ 2 ค่าย สูง 37 เมตร และ 40 เมตร ตามลำดับ—ทั้งหมดสูงเกิน ลิมิต 15 เมตร ตามมติบอร์ด กสทช. ปี 2568 พร้อมมีคำสั่ง ปรับทิศส่ง–ลดองศา–หันสัญญาณเข้าสู่ประเทศ เพื่อจำกัดการล้ำข้ามแดน และ แจ้งให้ผู้รับใบอนุญาตลดความสูงตามกฎหมาย โดยกำชับให้ สภ.เชียงแสน/สภ.แม่สาย รายงานผลการแก้ไข–ทดสอบครอบคลุมสัญญาณทั้งฝั่งไทยและฝั่งตรงข้าม

ฝั่ง โครงข่ายอินเทอร์เน็ต จุดชุมสายในแนว สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ปัจจุบันเหลือ 6 บริษัท 9 สาย จากเดิม 6 บริษัท 12 สาย (เหตุอุทกภัย) ส่วน สะพานฯ แห่งที่ 2 เดิมมีเอกชน 2 บริษัท 3 สาย ปัจจุบัน ปิดใช้งานทุกสาย สะท้อนแนวโน้ม “กระชับช่องทางข้ามแดน” ที่อาจถูกใช้หนุนโครงข่ายหลอกลวงออนไลน์

หนึ่งวันถัดมา (4 พ.ย.) แนวรบเลื่อนไป แม่สอด จ.ตาก ตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การกำกับของ พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ มอบหมาย พล.ต.ต.ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รอง ผบช.ภ.6 และ พล.ต.ต.ไพศาล นันตา ผบก.ภ.จว.ตาก ลงพื้นที่ตรวจจุดเสี่ยง ด่านบ้านวังตะเคียน (ตรงข้าม เมียวดีคอมเพล็กซ์) และแนวตรงข้าม ชเวก๊กโก โดยใช้โดรน “บินสำรวจ–วัดความแรง” เจาะจงจุดที่เคยมีปัญหา โรมมิ่ง ไปใช้เครือข่ายเพื่อนบ้าน และสัญญาณไทย “ล้ำข้ามแดน” อันอาจกลายเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์–สแกมเมอร์ใช้งาน

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกิจ หากอยู่ภายใต้กรอบนโยบายกำกับของ สำนักงาน กสทช. ที่ออกประกาศ มาตรการเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” 8 ข้อ (มีผล 30 ส.ค. 2568) และแนวทาง ระงับบริการบริเวณชายแดนเสี่ยง” ซึ่งให้อำนาจกำกับตรวจสอบ–บังคับแก้ไขต่อผู้รับใบอนุญาตที่ฝ่าฝืน ทั้งในเชิงวิศวกรรมโครงข่ายและการคุ้มครองผู้บริโภคในพื้นที่ชายแดน

เมื่อ “เสา–คลื่น–ทิศยิง” กลายเป็นแนวป้องกันหน้าด่าน

ในสมรภูมิอาชญากรรมออนไลน์ “สัญญาณ” คืออาวุธและเส้นเลือดใหญ่ การยกมาตรฐานทางเทคนิคชายแดนจึงเป็นการ เสริมรั้วที่มองไม่เห็น” ให้กับไทย การพบเสาที่ สูง 33–40 เมตร เทียบ ลิมิต 15 เมตร สะท้อนความจำเป็นของ การกำกับแบบจุดต่อจุด (site-by-site) ไม่ใช่คำสั่งกว้าง ๆ ระดับประเทศเท่านั้น

ผลคาดหวัง จากการหันทิศ–ลดองศา–ลดความสูงเสา คือ

  1. ลดโอกาส “สัญญาณไทย” ล้ำไปเลี้ยงอุปกรณ์ของขบวนการในฝั่งนอก, 2) ลดโอกาส โรมมิ่ง ของผู้ใช้ไทยไปใช้เครือข่ายเพื่อนบ้านโดยไม่ตั้งใจ (ซึ่งเปิดช่องเสี่ยงด้านค่าบริการ–ความปลอดภัยข้อมูล), 3) ทำให้การ วัด–ติดตาม ความผิดปกติของทราฟฟิกในแนวแดนทำได้แม่นขึ้น

แนวสะพานมิตรภาพฯ ซึ่งเป็น “จุดบรรจบ” ของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ลากข้ามพรมแดน กำลังถูก “ทำให้เรียวลง” (จาก 12 เหลือ 9 สายในสะพานที่ 1 และ 0 สายในสะพานที่ 2 ณ ขณะตรวจ) เพื่อลดจุดเสี่ยง—พร้อมคำสั่งทดสอบครอบคลุมสัญญาณถึงฝั่ง คิงส์โรมัน และ ท่าขี้เหล็ก ภายหลังการปรับปรุง

อีกฟากของชายแดน “1,598 ชีวิต” ที่บอกเราว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เทคนิค

ในเวลาใกล้เคียงกัน กัณวีร์ สืบแสง อดีต ส.ส. แสดงความห่วงกังวลผ่านสื่อสังคม ตั้งคำถามถึง การบริหารจัดการของรัฐบาลไทย ต่อชาวต่างชาติ 1,598 คน จาก 28 ประเทศ ที่หลบหนีจากเหตุปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติใน KK Park เมียวดี เข้าสู่ไทยตั้งแต่ปลายต.ค. โดยให้ข้อมูลว่า 12 วัน ผ่านไป คัดกรอง ~700 คน ส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง >700 คน, เข้าสู่กลไก NRM เพียง 18 คน, และเข้าสถานคุ้มครองในฐานะ เหยื่อการค้ามนุษย์ 5 คน (เวียดนาม 1, จีน 4)

คำถามหลักมีสองชั้น—ชั้นแรก คือรัฐไทยจะ “รีดข้อมูลโครงข่าย” จากกลุ่มนี้อย่างไรให้ได้มากที่สุดก่อนส่งกลับ เพื่อสาวไปถึง ขบวนการนำพา–ตัวการใหญ่–การฟอกเงิน ที่ใช้ไทยเป็นศูนย์กลางการกระจาย “แรงงานสแกมเมอร์” ไปยังพม่า–กัมพูชา–ลาว ชั้นถัดมา คือสมดุลระหว่าง ภาระมนุษยธรรม กับ ความมั่นคง–กฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อหลายประเทศต้นทางยังไม่เร่งรับกลับ ขณะที่บางชาติอย่าง อินเดีย (465 คน) มีแผนรับกลับ 6 พ.ย.

เสียงเตือนของกัณวีร์โยงไปสู่บทเรียนอดีต—คดีโรฮิงญา ที่การปราบปรามครั้งใหญ่ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง–นักการเมืองถูกดำเนินคดีจำนวนมาก แต่ขบวนการยังไม่หมดไป “อย่าปล่อยให้เป็นงานชั่วคราว—ต้องเป็นระบบ” เขาระบุทิ้งท้าย พร้อมเสนอให้ “ไล่ย้อนจาก เส้นทางเงิน–บริษัทพัวพัน” บวกมาตรการ อายัด–ทลายเครือข่าย ควบคู่ไปกับการเร่ง NRM ให้ทำงานเต็มฟังก์ชัน

ภาพใหญ่เดียวกัน ดิจิทัลบอร์เดอร์ + NRM + ดี-ริสก์การเงินเครือข่าย

ปฏิบัติการตรวจเสา–จำกัดสัญญาณล้ำแดนคือ แนวป้องกันชั้นนอก ที่มุ่งตัด “แบนด์วิธ” ของอาชญากร แต่เพื่อให้เกิดผลต่อเนื่อง ต้องมี สองฟันเฟืองเสริม
หนึ่ง—NRM และเครื่องมือกฎหมายพิเศษในการ คัดแยกเหยื่อ–ผู้เกี่ยวข้อง–ผู้กระทำผิด ให้ชัด (เพื่อคุ้มครองเหยื่อและใช้เป็นพยานเชิงเครือข่าย)
สองดี-ริสก์เส้นทางการเงิน อายัดทรัพย์–เครือข่ายฟอกเงิน–บริษัทหน้าฉาก และ เอกชน/ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสาร ที่เอื้อให้โครงข่ายตั้งฐานได้

ตัวเลข 33–40 เมตร ของความสูงเสาเมื่อเทียบเกณฑ์ 15 เมตร ดูเป็นเรื่องวิศวกรรม แต่ความจริงคือ ปุ่มเปิด–ปิด” ความเสี่ยงทางอาชญากรรมที่อาจไหลข้ามแดนโดยไร้พรมแดนทางกายภาพ ขณะเดียวกัน ตัวเลข 1,598–700–18–5 เป็น คอขวดมนุษยธรรม–การข่าว–กฎหมาย” ที่กำลังทดสอบความสามารถของรัฐไทยในการทำงานเชิงระบบ

Roadmap เชิงข้อเสนอ (บนฐานข้อมูลที่เปิดเผย)

  1. ทำแผนที่สัญญาณชายแดน (Border RF Heatmap) รายสัปดาห์ในจุดเสี่ยง—ผูกกับ SLA การแก้ไข ของผู้รับใบอนุญาตและรายงานผลสาธารณะ
  2. คณะทำงานร่วม “สัญญาณ–การเงิน” (กสทช.–ตำรวจ–AMLO) ไล่จับ จุดตัด ระหว่าง “ความผิดปกติของคลื่น/ทราฟฟิก” กับ “การเงินเครือข่าย” เพื่อเชื่อมคดี
  3. เร่งขยายศักยภาพ NRM ให้ “จำแนก–เก็บคำให้การ–เก็บดิจิทัลอีแวิดนซ์” ได้ไวขึ้น โดยคัดบางส่วนเป็น พยานความร่วมมือ (cooperating witnesses) เพื่อสาวเชิงลึกไปถึงตัวการ
  4. ความร่วมมือระหว่างประเทศ แบบเชิงรุก—ไม่รอเฉพาะการประสานของสถานทูต แต่ใช้กรอบทวิ/พหุภาคีด้าน ค้ามนุษย์–อาชญากรรมข้ามชาติ–ไซเบอร์ เร่งผลักดัน

ปิดคลื่น–เปิดข้อมูล

เมื่อชายแดนไม่ได้มีเพียงรั้วและแม่น้ำ แต่มี “คลื่นสัญญาณ” เป็นพรมแดนชั้นใหม่ การบังคับใช้กติกาเรื่อง ความสูง–ทิศ–องศา ของเสาส่งสัญญาณจึงเป็น มาตรการเชิงหลักการ ที่จับต้องได้และวัดผลได้เร็ว การที่ตำรวจภูธรภาค 5–6 และ กสทช. ลงมือ “จูนชายแดนดิจิทัล” อย่างจริงจังในเชียงราย–ตากสะท้อนความเข้าใจร่วมว่าต้อง ตัดทางโลจิสติกส์ของคลื่น” ควบคู่กับการ ตัดทางโลจิสติกส์ของมนุษย์–เงิน” ในเครือข่ายสแกมเมอร์

อย่างไรก็ดี ตัวเลข 1,598 คน จาก 28 ประเทศ ที่ไหลเข้ามาในช่วงเวลาอันสั้นคือคำเตือนว่า ปิดคลื่นอย่างเดียวไม่พอ ถ้าไม่เปิดข้อมูล”—กล่าวคือ รัฐต้อง รีดข้อมูล–สร้างแฟ้มเครือข่าย–อายัดเส้นทางเงิน–ปลดซัพพลายเชน ไปพร้อมกัน เพื่อไม่ให้วิกฤตวันนี้กลายเป็นวงจรซ้ำพรุ่งนี้

ชายแดนที่ปลอดภัยในศตวรรษที่ 21 จึงไม่ใช่แค่ รั้วสูง–น้ำเชี่ยว” แต่คือ สัญญาณเป็นระเบียบ–ข้อมูลเป็นระบบ–ความร่วมมือเป็นเครือข่าย” และนี่คือบททดสอบสำคัญที่ไทยกำลังก้าวผ่าน—ด้วยการลงมือแก้ทั้ง “เสา” และ “คน” ไปพร้อมกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6
  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
  • ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
  • ตำรวจภูธรจังหวัดตาก/แม่สอด
  • กัณวีร์ สืบแสง (Kannavee Suebsang)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงรายเตรียมติดตู้แดง ทุกสถานศึกษา หลังกรณีครูถูกทำร้ายในช่วงอยู่เวร

 

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 ที่ห้องประชุม กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในการการประชุม หารือมาตรการในการป้องกันอาชญากรรมในสถานศึกษา และรับมอบตู้แดง เพื่อติดตั้งในสถานศึกษา จากบริษัท อีซูซุสงวนไทย จํากัด ซึ่งได้จัดทําตู้แดงเพื่อมอบให้ ตํารวจภูธรจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้บริหารทางด้านการศึกษาทุกระดับ ฝ่ายปกครอง เข้าร่วมในการสรุปแนวทางดำเนินการ รักษาความปลอดภัยในสถานศึกษา และประชาชน

 

จากนั้นได้มีการรับมอบตู้แดง จากตัวแทน บริษัท อีซูซุสงวนไทย จํากัด ที่ได้ดำเนินการผลิตให้กับทางตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย และยังได้มอบน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับสายตรวจ ที่จะเข้าไปตรวจป้องกันเหตุตู้แดงในสถานศึกษา
 
 
พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ทําร้ายร่างกายคุณครู ภายในโรงเรียน ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ ตํารวจภูธรจังหวัดเชียงราย เพื่อรักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาและประชาชน ในพื้นที่ จึงได้จัดการประชุมในครั้งนี้เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันและนำไปปฏิบัติได้ทันที ทั้งนี้การดำเนินการทางตำรวจไม่สามารถดำเนินการได้เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องทำงานร่วมกับทางสถานศึกษา ฝ่ายปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วจะต้องลงมือทำที
 
 
“ในขณะนี้ได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่สำรวจสถานศึกษาพื้นที่อื่นๆ ที่มีความต้องการตู้แดง จากนั้นให้สรุปส่งเข้ามายังตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เพื่อวางมาตราการการรักษาความปลอดภัยและติดตั้งตู้แดง และขณะนี้ได้ทำการสำรวจความต้องการในการติดตั้งตู้แดงในสถานศึกษา และต้องการตู้แดง จำนวน 246 โรงเรียน ทั้งนี้หากจะเกินกว่า 500 ตู้แดง ก็พร้อมดำเนินการ เพื่อความปลอดภัยในโรงเรียน รวมทั้งการทำเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งกล้องวงจรปิด การแจ้งเจ้าหน้าที่ในช่องทางอื่นๆ ที่รวดเร็ว รวมทั้งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ฝ่ายปกครอง ร่วมกันตรวจด้วยเช่นกัน” พล.ต.ต.มานพ กล่าว
 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในที่ประชุมได้พูดถึงเรื่องการดำเนินการจ้างบุคคลภายนอกเข้าไปปฏิบัติงาน นอกเหนือจากการเรียนการสอน ให้ทางสถานศึกษาพิจารณาเป็นพิเศษ และให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นข้อมูลเพื่อป้องกันเหตุร้าย รวมทั้งผู้นำหมู่บ้าน ชุมชน และคณะกรรมการศึกษาต้องเข้าไปดูแลด้วยเช่นกัน
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
All

ตำรวจเมืองเชียงรายยึดรถ 32 คัน หลังเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายไร้ท่อดัง”

 

เมื่อ27 ธันวาคม 2566 พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว.เชียงราย มอบหมายให้ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย พ.ต.ท.พันชาติ สมตัว รอง ผกก.จร.สภ.เมืองเชียงราย พ.ต.ท.ฉันทฤทธิ์ เหล่าไพโรจน์จารี รอง ผกก.ป.สภ.เมืองเชียงราย พ.ต.ท.พรต เศรษฐกร รอง ผกก.สส.สภ.เมืองเชียงราย ร่วมกับทาง ฝ่ายปกครอง กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงราย และ สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย ร่วมประชุมวางแผนดำเนินการป้องกันและปราบปรามรถจักรยานยนต์ดัดแปลงสภาพและท่อไอเสียเสียงดัง สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชน ณ ห้อง ศปก.สภ.เมืองเชียงราย

พร้อมได้เปิดปฏิบัติการ “เชียงรายไร้ท่อดัง” ร่วมบูรณาการ ปฏิบัติการร่วม 4 หน่วยงาน ได้แก่ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย (สภ.เมืองเชียงราย) ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองเชียงราย สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย และ วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย โดยความร่วมมือจาก ดร.ศรากร บุญประถัมภ์ ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย ลงพื้นที่ดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแข่งขันรถในทางและรถเสียงดัง แต่งซิ่ง และตั้งจุดตรวจ จุดสกัด
 
โดยแบ่งเป็น 2 ชุด คือ บริเวณถนนสันโค้งน้อย และ ถนนสนามบิน ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย และได้ออกตรวจจุดจอดรถภายในวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย และบริเวณโดยรอบ ทำการตรวจสอบรถจักรยานยนต์ที่มีลักษณะเข้าข่ายท่อเสียงดังจำนวน 45 คัน โดยเจ้าหน้าที่ขนส่งจังหวัดเชียงรายได้นำเครื่องวัดระดับเสียงทำการทดสอบรถจักรยานยนต์ดังกล่าว ผลการดำเนินการ สามารถจับกุมตรวจยึด รถจักรยานยนต์ดัดแปลงสภาพและท่อเสียงดังเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดได้จำนวน 32 คัน นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงรายดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News