Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ปากแบง HPP ชี้แจง โครงการลาวเดินหน้า ชี้ผลกระทบข้ามพรมแดน

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง เดินหน้าสื่อสาร-รับฟังชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมโขง เชียงราย แจงผลศึกษา TbEIA–CIA ย้ำมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก สปป.ลาว จัดประชุมชี้แจงความคืบหน้าโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบง (Pak Beng HPP) กับชาวบ้าน 8 หมู่บ้านริมแม่น้ำโขง กลุ่มรักษ์เชียงของ กลุ่มนักวิชาการอิสระในพื้นที่ ตัวแทนโรงเรียน หน่วยงานท้องถิ่น และสื่อมวลชนกว่า 500 คน จากอำเภอเวียงแก่นและเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 18-21 มิถุนายน 2568 เพื่ออัปเดตสถานะการก่อสร้าง กำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบข้ามพรมแดน พร้อมสร้างความเข้าใจ กระตุ้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่

สาระสำคัญของโครงการ

ดร.วรวิทย์ ผดุงบวรศิลป์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโครงการ บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงเป็นเขื่อนแบบทดน้ำ (run off river) มีจุดเด่นที่ควบคุมปริมาณน้ำท้ายน้ำอย่างสมดุล (Inflow = Outflow) เพื่อลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและชุมชนในลุ่มน้ำโขงตอนล่างทั้งลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม โดยเน้นย้ำถึงการดำเนินงานตามมาตรการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน (TbEIA) และผลกระทบสะสม (CIA) อย่างรอบคอบ รวมถึงมีแผนช่องทางเดินเรือ ทางผ่านปลา ระบบระบายตะกอน และกำหนดแผนก่อสร้างในหน้าแล้ง ตุลาคม 2568

การศึกษา TbEIA–CIA และข้อกังวลชุมชน

คุณเยาวภา ชูวงศ์ จากบริษัทที่ปรึกษา ระบุว่า การศึกษาผลกระทบข้ามพรมแดนเน้นความโปร่งใสตามแนวทาง MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) มีการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ครอบคลุมระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และชุมชน ก่อนกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ ยังมีการดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการ PNPCA อย่างครบถ้วน โดยผลการจำลองคณิตศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ระดับน้ำจะเปลี่ยนแปลงน้อยมาก (ผาไดถึงบ้านดอนมหาวัน 10 กม.) จากนั้นระดับน้ำจะคงที่

รับฟังเสียงชุมชน–เยียวยาอย่างต่อเนื่อง

ในเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้านแสดงความกังวลเรื่องระดับน้ำโขงที่อาจส่งผลต่อพื้นที่ทำกิน น้ำเท้อเข้าลำน้ำสาขา เกษตรกรสวนส้มโอ และประมง พร้อมสอบถามมาตรการเยียวยา การฟื้นฟูอาชีพ และกลไกพิจารณาการชดเชย ด้านผู้พัฒนาโครงการยืนยันจะเร่งสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจ-สังคม เจรจาแนวทางเยียวยา พร้อมเปิดเวทีชี้แจงปีละ 2 ครั้ง ตลอด 29 ปีของโครงการ โดยลงพื้นที่ศึกษาข้อมูลร่วมกับเกษตรกรในลำน้ำงาวหลังประชุม เพื่อคลายความกังวลของชุมชน

โอกาส–ความท้าทาย

โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำปากแบงสะท้อนการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียนและความรับผิดชอบข้ามพรมแดน ทั้งในมิติสังคม สิ่งแวดล้อม และความโปร่งใส แม้โครงการจะวางแผนบรรเทาผลกระทบและเยียวยาอย่างเป็นรูปธรรม แต่การรับฟังและแก้ไขข้อห่วงใยของชุมชนยังต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง การมีส่วนร่วมจริงของชาวบ้านจะเป็นตัวชี้ขาดความสำเร็จของโครงการนี้

สรุปและทิศทางต่อไป

ผู้พัฒนาโครงการยืนยันความมุ่งมั่นร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการรับฟังความเห็นและเดินหน้าโครงการด้วยความรับผิดชอบ เปิดกว้างต่อข้อเสนอแนะ พร้อมสัญญาจะรายงานความคืบหน้าและมาตรการเพิ่มเติมแก่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ปากแบง พาวเวอร์ จำกัด
  • ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่งแอนด์แมนเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน)
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
  • ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กลุ่มรักษ์เชียงของ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายคุมเข้ม ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบข้ามแดน

เชียงรายเข้มงวด! ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบขนส่งข้ามแดน ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย พร้อมแนวทางซื้อน้ำมันอย่างถูกต้อง

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  –เชียงรายประกาศเตือน ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ฝ่าฝืนดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ตรวจสอบและแจ้งเตือน สถานีบริการน้ำมันทุกแห่ง ห้ามกรอกน้ำมันลงภาชนะ เช่น ถังน้ำมัน กระป๋องน้ำมัน หรือแกลลอน โดยเด็ดขาด ตามมาตรการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงและนโยบายปราบปรามเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงจากชายแดนไทยไปดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในเมียนมา

มาตรการเข้มงวด: ห้ามจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะ

จากการพิจารณาของ จังหวัดเชียงราย พบว่า การจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะอื่นนอกเหนือจากการเติมในยานพาหนะ ไม่เป็นไปตาม พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 มาตรา 4 ซึ่งกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันต้องให้บริการแก่ยานพาหนะเท่านั้น

ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังเมียนมา เพื่อตัดวงจรการลักลอบใช้น้ำมันในกิจกรรมผิดกฎหมาย จึงมีการแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน หากฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

หากต้องการซื้อน้ำมันในภาชนะ ต้องทำอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อน้ำมันเพื่อใช้งานในภาชนะสามารถซื้อได้จากแหล่งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 1 (สำหรับปริมาณน้อย)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ไม่เกิน 40 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ไม่เกิน 227 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ไม่เกิน 454 ลิตร

สามารถซื้อจากร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาต เช่น ร้านค้าที่มีการกรอกน้ำมันใส่ขวดหรือแกลลอนขายภายใต้ข้อกำหนดทางกฎหมาย

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 2 (สำหรับปริมาณมาก ต้องได้รับอนุญาตจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ตั้งแต่ 40 – 454 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ตั้งแต่ 227 – 1,000 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ตั้งแต่ 454 – 15,000 ลิตร

หากต้องการใช้ในปริมาณมาก ผู้ประกอบการต้อง ขอใบอนุญาตเก็บรักษาน้ำมัน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรการนี้ช่วยป้องกันอะไร?

  • ป้องกัน การลักลอบนำน้ำมันข้ามพรมแดน ไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • ควบคุม การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

จังหวัดเชียงราย ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการทุกฝ่าย ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากพบเห็นการฝ่าฝืน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก ผลกระทบและความท้าทาย

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก: ผลกระทบจากการตัดไฟของไทย

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – บรรยากาศบริเวณชายแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นไปอย่างคึกคัก แม้จะมีคำสั่งให้ตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังเมียนมาก็ตาม ที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ด่านพรมแดน อำเภอแม่สาย การข้ามไปมาของผู้คนสองฝั่งยังคงเป็นไปอย่างปกติ มีทั้งรถรับส่งนักเรียน พ่อค้าแม่ค้า และประชาชนที่มาซื้อสิ่งของและทำธุระกันอย่างหนาแน่น เจ้าหน้าที่ยังคงตรวจตราการเข้าออกอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการลักลอบขนสิ่งของผิดกฎหมาย

การตัดไฟตามคำสั่งรัฐบาล

เมื่อเวลา 09.00 น. นายณัฏฐ์คเนศ จรัสรวีสิริกุล ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่สาย ได้นำเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าทำการตัดไฟที่สะพานไฟบริเวณหน้าด่านพรมแดนแห่งที่ 1 ตามคำสั่ง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หลังเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเด็นการตัดไฟในพื้นที่ชายแดนไทย – เมียนมา เพื่อสกัดการดำเนินการของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีทั้งสิ้น 5 จุด

นายณัฏฐ์คเนศ จรัสรวีสิริกุล กล่าวว่า การตัดไฟในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบกับทางท่าขี้เหล็ก เนื่องจากใช้ไฟจากไทยเป็นหลัก แต่ก็มีไฟอีกส่วนหนึ่งที่มาจาก สปป.ลาว อย่างไรก็ตาม หลังจากตัดไฟแล้วคาดว่า ทาง สปป.ลาว ต้องมีการแก้ไขในระบบการส่งไฟฟ้า ซึ่งอาจจะติดขัดทำให้ในตัวเมืองท่าขี้เหล็กไม่สามารถใช้งานได้อีกประมาณ 3-5 วัน

ประชาชนท่าขี้เหล็กแห่ซื้อน้ำมัน

ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ประชาชนท่าขี้เหล็ก เมียนมา ต่างพากันออกมาซื้อน้ำมันเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟ หลังจากเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าทำการตัดไฟ การตัดไฟในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบกับทางท่าขี้เหล็กอย่างหนัก

ประกาศจากทางการเมียนมา

ล่าสุดแหล่งข่าวใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ได้รายงานว่า หลังจากที่มีการตัดไฟฟ้าแล้ว ประชาชนในจังหวัดท่าขี้เหล็กต่างพากันออกมาซื้อน้ำมันเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องปั่นไฟ ทำให้รถติดยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร

ด้านทางการเมียนมาได้มีประกาศว่า “ประเด็นเรื่องการจำหน่ายไฟฟ้าทางเลือกคณะกรรมการขับเคลื่อนไฟส่องสว่างในเมือง (ธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้า) ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของท่าขี้เหล็ก รับและจำหน่ายไฟฟ้า (20 เมกะวัตต์) จากประเทศไทยในอดีต แต่ตอนนี้ได้รับไฟฟ้าเพิ่ม (30 เมกะวัตต์) จากประเทศลาวและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว (50 เมกะวัตต์) เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดไฟฟ้าที่ได้รับจากประเทศไทย (20 เมกะวัตต์) ถูกตัดออกอย่างกะทันหัน แต่เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้ตามปกติ จึงจะมีการต่ออายุและทดแทนไฟฟ้าจากลาว (30 เมกะวัตต์) อาจมีไฟฟ้าดับ”

ทางการเมียนมายังระบุว่า จะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับโดยเร็วที่สุด

ผลกระทบต่อประชาชน

การตัดไฟฟ้าในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวท่าขี้เหล็กเป็นอย่างมาก หลายครัวเรือนไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติ ธุรกิจต่างๆ ต้องหยุดชะงัก การดำรงชีวิตประจำวันเป็นไปด้วยความยากลำบาก

การแก้ไขปัญหา

ทางการเมียนมาได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับ โดยการเพิ่มปริมาณไฟฟ้าจากประเทศลาว และวางแผนที่จะปรับปรุงระบบไฟฟ้าภายในเมือง เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและเมียนมาในด้านพลังงาน การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อให้ประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สถานการณ์ล่าสุด

สถานการณ์ล่าสุดในท่าขี้เหล็กยังคงตึงเครียด ประชาชนยังคงประสบปัญหาไฟฟ้าดับอย่างต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหาของทางการเมียนมายังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ

บทสรุป

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและชาวเมียนมา การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

ป้องกันความมั่นคง ไทยยุติส่งไฟฟ้า 5 จุดชายแดนเมียนมา

ประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด เพื่อความมั่นคงของชาติ

กรุงเทพฯ, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยุติการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเมียนมาใน 5 จุดชายแดน ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

การดำเนินการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน

การตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุดใช้ระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล โดยทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที

จุดที่ถูกยุติการส่งไฟฟ้า ได้แก่:

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
  2. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  3. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – เมืองเมียวดี
  5. บ้านห้วยม่วง – เมืองเมียวดี

รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ถูกยุติการส่งทั้งสิ้น 20.37 เมกะวัตต์

นายอนุทินกล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของ สมช. ที่ประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งพบว่าการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมามีการนำไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

“เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. ก็สามารถดำเนินการได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการขายไฟฟ้า ซึ่งนายอนุทินระบุว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เมียนมาอาจร้องขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า “รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่”

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรม

นายอนุทินย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ตรึงราคา ‘ดีเซล ก๊าซหุงต้ม ลดค่าไฟ’ 3 มาตรการลดภาระให้ประชาชน

 
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) ได้นำเสนอ และมอบหมายให้ พน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามอำนาจและหน้าที่ โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2567 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ สรุปสาระสำคัญดังนี้

1. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ระยะเวลาดำเนินการ 20 เม.ย. – 31 ก.ค. 2567

2. ตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ระดับ 423 บาท/ถังขนาด 15 กก. ระยะเวลาดำเนินการ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2567

3. ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 19.05 สตางค์/หน่วย แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ระยะเวลาดำเนินการ พ.ค. – ส.ค. 2567 (4 เดือน)

ทั้งนี้คาดว่าจะใช้งบฯ สำหรับดำเนินทั้ง 3 มาตรการ รวมทั้งสิ้น 8,300 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

– มาตรการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 6,500 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซลจำนวน 6,000 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ก๊าซ LPG จำนวน 500 ล้านบาท

– มาตรการด้านไฟฟ้า จำนวน 1,800 ล้านบาท)

 

โดย ในที่ประชุม ครม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้การดำเนินการของมาตรการดังกล่าวพิจารณาใช้งบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน ในส่วนที่เหลือค่อยขอรับจัดสรรจากงบฯ ปี 2567 งบกลาง ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะลดลงได้อย่างไร ว่า ตอนนี้องค์ประกอบต่างๆเป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน ซึ่งตนกำลังแก้ไขอยู่ และเมื่อแก้เสร็จแล้วจะเปลี่ยนใหม่ จะเร่งทำให้เร็วที่สุด เพราะยอมรับว่าราคาน้ำมันขึ้น-ลง ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้ไม่มีใครคุมได้ ผู้ค้าคิดจะขึ้นก็ขึ้น คิดจะลงก็ลง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาคือการแก้กฎหมาย เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่มีอำนาจ ได้แต่ขอความร่วมมือ ตลกหรือไม่ อยู่กันมาแบบนี้

 

 

เมื่อถามว่า การแก้กฎหมายใช้เวลานานหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนกำลังร่างอยู่ พร้อมยกตัวอย่างว่า การผลิตไฟฟ้าก็ต้องใช้แก๊ส ราคามีความผันผวนเช่นกัน แต่ไม่ได้ปรับราคาขึ้นลงทุกวัน เพราะไฟฟ้ามีกฎหมายกำกับ แต่ราคาน้ำมันปรับขึ้นลงทุกวัน ตอนนี้ทำได้แค่เพียงการประกาศให้มีการแจ้งต้นทุน เมื่อ 15 เมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะที่ผ่านมาสังคมไม่รู้ต้นทุน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News