Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายคุมเข้ม ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบข้ามแดน

เชียงรายเข้มงวด! ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ป้องกันลักลอบขนส่งข้ามแดน ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย พร้อมแนวทางซื้อน้ำมันอย่างถูกต้อง

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  –เชียงรายประกาศเตือน ห้ามกรอกน้ำมันใส่ภาชนะ ฝ่าฝืนดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายปรศักดิ์ งามสมภาค พลังงานจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ตรวจสอบและแจ้งเตือน สถานีบริการน้ำมันทุกแห่ง ห้ามกรอกน้ำมันลงภาชนะ เช่น ถังน้ำมัน กระป๋องน้ำมัน หรือแกลลอน โดยเด็ดขาด ตามมาตรการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงและนโยบายปราบปรามเครือข่าย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงจากชายแดนไทยไปดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายในเมียนมา

มาตรการเข้มงวด: ห้ามจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะ

จากการพิจารณาของ จังหวัดเชียงราย พบว่า การจำหน่ายน้ำมันลงภาชนะอื่นนอกเหนือจากการเติมในยานพาหนะ ไม่เป็นไปตาม พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 มาตรา 4 ซึ่งกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันต้องให้บริการแก่ยานพาหนะเท่านั้น

ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ ระงับการส่งออกน้ำมันไปยังเมียนมา เพื่อตัดวงจรการลักลอบใช้น้ำมันในกิจกรรมผิดกฎหมาย จึงมีการแจ้งเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน หากฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

หากต้องการซื้อน้ำมันในภาชนะ ต้องทำอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อน้ำมันเพื่อใช้งานในภาชนะสามารถซื้อได้จากแหล่งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 1 (สำหรับปริมาณน้อย)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ไม่เกิน 40 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ไม่เกิน 227 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ไม่เกิน 454 ลิตร

สามารถซื้อจากร้านค้าปลีกที่ได้รับอนุญาต เช่น ร้านค้าที่มีการกรอกน้ำมันใส่ขวดหรือแกลลอนขายภายใต้ข้อกำหนดทางกฎหมาย

  1. สถานที่เก็บรักษาน้ำมันลักษณะที่ 2 (สำหรับปริมาณมาก ต้องได้รับอนุญาตจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
  • น้ำมันชนิดไวไฟมาก: เก็บได้ตั้งแต่ 40 – 454 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟปานกลาง: เก็บได้ตั้งแต่ 227 – 1,000 ลิตร
  • น้ำมันชนิดไวไฟน้อย: เก็บได้ตั้งแต่ 454 – 15,000 ลิตร

หากต้องการใช้ในปริมาณมาก ผู้ประกอบการต้อง ขอใบอนุญาตเก็บรักษาน้ำมัน จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้ดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรการนี้ช่วยป้องกันอะไร?

  • ป้องกัน การลักลอบนำน้ำมันข้ามพรมแดน ไปใช้ในกิจกรรมผิดกฎหมาย
  • ควบคุม การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • สนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการ ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

จังหวัดเชียงราย ขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้ประกอบการทุกฝ่าย ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากพบเห็นการฝ่าฝืน สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานพลังงานจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก ผลกระทบและความท้าทาย

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก: ผลกระทบจากการตัดไฟของไทย

เชียงราย, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – บรรยากาศบริเวณชายแดนแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นไปอย่างคึกคัก แม้จะมีคำสั่งให้ตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังเมียนมาก็ตาม ที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ด่านพรมแดน อำเภอแม่สาย การข้ามไปมาของผู้คนสองฝั่งยังคงเป็นไปอย่างปกติ มีทั้งรถรับส่งนักเรียน พ่อค้าแม่ค้า และประชาชนที่มาซื้อสิ่งของและทำธุระกันอย่างหนาแน่น เจ้าหน้าที่ยังคงตรวจตราการเข้าออกอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการลักลอบขนสิ่งของผิดกฎหมาย

การตัดไฟตามคำสั่งรัฐบาล

เมื่อเวลา 09.00 น. นายณัฏฐ์คเนศ จรัสรวีสิริกุล ผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอแม่สาย ได้นำเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าทำการตัดไฟที่สะพานไฟบริเวณหน้าด่านพรมแดนแห่งที่ 1 ตามคำสั่ง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หลังเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเด็นการตัดไฟในพื้นที่ชายแดนไทย – เมียนมา เพื่อสกัดการดำเนินการของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีทั้งสิ้น 5 จุด

นายณัฏฐ์คเนศ จรัสรวีสิริกุล กล่าวว่า การตัดไฟในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบกับทางท่าขี้เหล็ก เนื่องจากใช้ไฟจากไทยเป็นหลัก แต่ก็มีไฟอีกส่วนหนึ่งที่มาจาก สปป.ลาว อย่างไรก็ตาม หลังจากตัดไฟแล้วคาดว่า ทาง สปป.ลาว ต้องมีการแก้ไขในระบบการส่งไฟฟ้า ซึ่งอาจจะติดขัดทำให้ในตัวเมืองท่าขี้เหล็กไม่สามารถใช้งานได้อีกประมาณ 3-5 วัน

ประชาชนท่าขี้เหล็กแห่ซื้อน้ำมัน

ในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ประชาชนท่าขี้เหล็ก เมียนมา ต่างพากันออกมาซื้อน้ำมันเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟ หลังจากเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าทำการตัดไฟ การตัดไฟในครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบกับทางท่าขี้เหล็กอย่างหนัก

ประกาศจากทางการเมียนมา

ล่าสุดแหล่งข่าวใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ได้รายงานว่า หลังจากที่มีการตัดไฟฟ้าแล้ว ประชาชนในจังหวัดท่าขี้เหล็กต่างพากันออกมาซื้อน้ำมันเพื่อนำไปเป็นเชื้อเพลิง สำหรับเครื่องปั่นไฟ ทำให้รถติดยาวมากกว่า 1 กิโลเมตร

ด้านทางการเมียนมาได้มีประกาศว่า “ประเด็นเรื่องการจำหน่ายไฟฟ้าทางเลือกคณะกรรมการขับเคลื่อนไฟส่องสว่างในเมือง (ธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้า) ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของท่าขี้เหล็ก รับและจำหน่ายไฟฟ้า (20 เมกะวัตต์) จากประเทศไทยในอดีต แต่ตอนนี้ได้รับไฟฟ้าเพิ่ม (30 เมกะวัตต์) จากประเทศลาวและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว (50 เมกะวัตต์) เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดไฟฟ้าที่ได้รับจากประเทศไทย (20 เมกะวัตต์) ถูกตัดออกอย่างกะทันหัน แต่เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถใช้งานได้ตามปกติ จึงจะมีการต่ออายุและทดแทนไฟฟ้าจากลาว (30 เมกะวัตต์) อาจมีไฟฟ้าดับ”

ทางการเมียนมายังระบุว่า จะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับโดยเร็วที่สุด

ผลกระทบต่อประชาชน

การตัดไฟฟ้าในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวท่าขี้เหล็กเป็นอย่างมาก หลายครัวเรือนไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติ ธุรกิจต่างๆ ต้องหยุดชะงัก การดำรงชีวิตประจำวันเป็นไปด้วยความยากลำบาก

การแก้ไขปัญหา

ทางการเมียนมาได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับ โดยการเพิ่มปริมาณไฟฟ้าจากประเทศลาว และวางแผนที่จะปรับปรุงระบบไฟฟ้าภายในเมือง เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ไฟฟ้าได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ความร่วมมือระหว่างประเทศ

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและเมียนมาในด้านพลังงาน การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อให้ประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

สถานการณ์ล่าสุด

สถานการณ์ล่าสุดในท่าขี้เหล็กยังคงตึงเครียด ประชาชนยังคงประสบปัญหาไฟฟ้าดับอย่างต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหาของทางการเมียนมายังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ

บทสรุป

วิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับท่าขี้เหล็ก เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งชาวไทยและชาวเมียนมา การแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ และการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

ป้องกันความมั่นคง ไทยยุติส่งไฟฟ้า 5 จุดชายแดนเมียนมา

ประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด เพื่อความมั่นคงของชาติ

กรุงเทพฯ, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยุติการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเมียนมาใน 5 จุดชายแดน ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

การดำเนินการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน

การตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุดใช้ระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล โดยทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที

จุดที่ถูกยุติการส่งไฟฟ้า ได้แก่:

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
  2. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  3. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – เมืองเมียวดี
  5. บ้านห้วยม่วง – เมืองเมียวดี

รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ถูกยุติการส่งทั้งสิ้น 20.37 เมกะวัตต์

นายอนุทินกล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของ สมช. ที่ประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งพบว่าการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมามีการนำไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

“เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. ก็สามารถดำเนินการได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการขายไฟฟ้า ซึ่งนายอนุทินระบุว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เมียนมาอาจร้องขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า “รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่”

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรม

นายอนุทินย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ตรึงราคา ‘ดีเซล ก๊าซหุงต้ม ลดค่าไฟ’ 3 มาตรการลดภาระให้ประชาชน

 
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) ได้นำเสนอ และมอบหมายให้ พน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามอำนาจและหน้าที่ โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2567 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ สรุปสาระสำคัญดังนี้

1. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ระยะเวลาดำเนินการ 20 เม.ย. – 31 ก.ค. 2567

2. ตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ระดับ 423 บาท/ถังขนาด 15 กก. ระยะเวลาดำเนินการ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2567

3. ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 19.05 สตางค์/หน่วย แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ระยะเวลาดำเนินการ พ.ค. – ส.ค. 2567 (4 เดือน)

ทั้งนี้คาดว่าจะใช้งบฯ สำหรับดำเนินทั้ง 3 มาตรการ รวมทั้งสิ้น 8,300 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

– มาตรการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 6,500 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซลจำนวน 6,000 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ก๊าซ LPG จำนวน 500 ล้านบาท

– มาตรการด้านไฟฟ้า จำนวน 1,800 ล้านบาท)

 

โดย ในที่ประชุม ครม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้การดำเนินการของมาตรการดังกล่าวพิจารณาใช้งบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน ในส่วนที่เหลือค่อยขอรับจัดสรรจากงบฯ ปี 2567 งบกลาง ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะลดลงได้อย่างไร ว่า ตอนนี้องค์ประกอบต่างๆเป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน ซึ่งตนกำลังแก้ไขอยู่ และเมื่อแก้เสร็จแล้วจะเปลี่ยนใหม่ จะเร่งทำให้เร็วที่สุด เพราะยอมรับว่าราคาน้ำมันขึ้น-ลง ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้ไม่มีใครคุมได้ ผู้ค้าคิดจะขึ้นก็ขึ้น คิดจะลงก็ลง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาคือการแก้กฎหมาย เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่มีอำนาจ ได้แต่ขอความร่วมมือ ตลกหรือไม่ อยู่กันมาแบบนี้

 

 

เมื่อถามว่า การแก้กฎหมายใช้เวลานานหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนกำลังร่างอยู่ พร้อมยกตัวอย่างว่า การผลิตไฟฟ้าก็ต้องใช้แก๊ส ราคามีความผันผวนเช่นกัน แต่ไม่ได้ปรับราคาขึ้นลงทุกวัน เพราะไฟฟ้ามีกฎหมายกำกับ แต่ราคาน้ำมันปรับขึ้นลงทุกวัน ตอนนี้ทำได้แค่เพียงการประกาศให้มีการแจ้งต้นทุน เมื่อ 15 เมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะที่ผ่านมาสังคมไม่รู้ต้นทุน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News