Categories
NEWS UPDATE

ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เริ่มปี 2568 กระตุ้นเศรษฐกิจ

รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เป็นของขวัญปีใหม่ เริ่ม 1 ม.ค. 2568

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังเดินหน้าผลักดันนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อต้อนรับปีใหม่ให้กับผู้ใช้แรงงาน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวม

เตรียมจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่

ในขั้นตอนการดำเนินการ กระทรวงแรงงานได้เร่งรัดการจัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดไตรภาคีชุดใหม่ เพื่อทดแทนคณะกรรมการชุดเดิมที่กำลังหมดวาระ โดยจะมีการเสนอรายชื่อกรรมการฝ่ายรัฐที่ยังว่างอยู่ 2 คน ให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้

ทั้งนี้ รายชื่อที่เสนอจะรวมถึงอดีตผู้บริหารของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะถูกแทนที่ด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นนายอัครุตม์ สนธยานนท์ รองปลัดกระทรวงการคลัง และว่าที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานคนใหม่ เพื่อร่วมทำงานกับฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง

เป้าหมายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน

กระทรวงแรงงานมีความชัดเจนในการผลักดันนโยบายนี้ โดยตั้งเป้าหมายให้เริ่มใช้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวันทั่วประเทศให้ทันวันที่ 1 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนคาดหวังของขวัญปีใหม่จากรัฐบาล ในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ยังเร่งรัดให้คณะกรรมการค่าจ้างชุดใหม่จัดประชุมในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อสรุปอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมกับแต่ละจังหวัด

“ตอนนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้รับทราบรายละเอียดทั้งหมดแล้ว และจะเสนอที่ประชุม ครม.ได้ในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเร่งประชุมคณะกรรมการไตรภาคี โดยคาดว่าจะสามารถสรุปข้อสรุปได้ภายในเดือนธันวาคม 2567” แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงานกล่าว

ข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

แม้การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ แต่รัฐบาลก็ได้พิจารณาถึงความยืดหยุ่นสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีที่อาจได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงอย่างรวดเร็ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงได้มอบหมายให้มีการช่วยเหลือและให้เวลาธุรกิจกลุ่มนี้ในการปรับตัวก่อน 1 ปี เพื่อให้สามารถรับมือกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้

กระบวนการประชุมคณะกรรมการไตรภาคี

หลังจากที่ ครม. เห็นชอบรายชื่อคณะกรรมการที่กระทรวงแรงงานเสนอ คณะกรรมการค่าจ้างจะเริ่มนัดประชุมครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งการประชุมอาจต้องมีหลายรอบเพื่อพิจารณารายละเอียดจากคณะอนุกรรมการค่าจ้างระดับจังหวัด

การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้นับเป็นครั้งสำคัญที่รัฐบาลตั้งใจผลักดันเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานไทย แต่อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่า ยังต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุม ครม. ในวันที่ 19 พฤศจิกายน เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและสามารถบังคับใช้ได้ทันเวลา

รัฐบาลเร่งเดินหน้าเพื่อให้ทันปีใหม่ 2568

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเผยว่า การปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศและเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นในช่วงปีใหม่ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา

สรุปประเด็นสำคัญ

  • รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ เริ่ม 1 มกราคม 2568
  • จัดตั้งคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีชุดใหม่ เสนอ ครม. พิจารณาวันที่ 19 พฤศจิกายน
  • ขึ้นค่าแรงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมยกเว้นธุรกิจขนาดเล็กเพื่อให้ปรับตัว

FAQs

  1. การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเริ่มเมื่อไหร่?
    เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

  2. ทำไมรัฐบาลถึงขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ?
    เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับแรงงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ

  3. ธุรกิจขนาดเล็กจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
    ธุรกิจขนาดเล็กอาจได้รับการผ่อนผันในการปรับขึ้นค่าแรง เพื่อให้มีเวลาปรับตัว

  4. คณะกรรมการไตรภาคีมีหน้าที่อะไร?
    พิจารณาและกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ

  5. มาตรการนี้มีผลทั่วประเทศหรือไม่?
    ใช่ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีที่อาจได้รับการผ่อนผัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงแรงงาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
FEATURED NEWS

ในหลวง – พระราชินี พระราชทานบัตรพระราชทานพรปีใหม่ 2567 แก่ปวงชนชาวไทย

 
วันที่ 31 ธันวาคม 2566 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชทานพรเนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2567 เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ปวงชนชาวไทย ความว่า “ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2567 นี้ ข้าพเจ้าขอส่งความสุขและความปรารถนาดีมายังท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน ในรอบปีที่ล่วงแล้ว มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในบ้านเมืองเราหลายอย่างดังที่ท่านทั้งหลายก็คงทราบกันเป็นอย่างดีแล้ว 
 
เรื่องหนึ่งที่ควรกล่าวถึงก็คือ ได้มีการประกาศให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เป็นวันนวมินทรมหาราช และได้มีพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา มีประชาชนไปร่วมงาน ร่วมถวายราชสักการะ และร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นจำนวนมาก
 

ทั้งยังมีเรื่องที่น่ายินดี คือ เมืองโบราณศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม นำความปลาบปลื้มใจมาสู่เราทุกคนโดยถ้วนหน้ากัน

การที่บ้านเมืองเราดำรงมั่นคงและมีเกียรติยศศักดิ์ศรีเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศชาติจวบจนทุกวันนี้ ก็ด้วยเราทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันบำเพ็ญความดีและมุ่งประโยชน์ของส่วนรวมมาโดยตลอด ดั่งเช่น โครงการต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนก็เป็นการทำงานร่วมกันของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทำให้ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

นอกจากนี้ ทุกคนยังช่วยกันสืบสาน รักษา ต่อยอด วัฒนธรรมอันดีงามของไทย โดยเต็มกำลังความสามารถ ด้วยเห็นได้ชัดเจนจากการจัดแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดงาม

ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้ทุกท่านร่วมมือร่วมใจกันอย่างมั่นคงแน่วแน่ และหากมีอุปสรรคปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ก็เผชิญปัญหาอย่างผู้มีสติมีปัญญา และร่วมกันคิดอ่านปฏิบัติแก้ไขด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ รวมกำลังความรู้ความสามารถของทุกคนทุกฝ่าย มาใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม ทันต่อเหตุการณ์ ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันได้ดังนี้ ประเทศชาติของเราก็จะเจริญวัฒนาเป็นที่อยู่ที่อาศัยอันสงบร่มเย็นของเราทั้งหลายได้สืบไป

ขออานุภาพแห่งพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ พร้อมด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จงคุ้มครองรักษาทุกท่าน ให้ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย ทุกๆ ประการ บันดาลให้มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา ประสบแต่สิ่งที่พึงปรารถนาตลอดศกหน้านี้และตลอดไป

ด้านหน้าของบัตรพระราชทานพรปีใหม่ มีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่กึ่งกลาง ด้านล่างเป็นตราพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และตราพระนามาภิไธย ส.ท.

เมื่อเปิดบัตรพระราชทานพร ด้านขวา มีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ระบุพระปรมาภิไธย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และพระนามาภิไธย “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ส่วนด้านซ้ายของบัตรพระราชทานพร มีข้อความว่า “พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๗ พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักพระราชวัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กรมขนส่งทางบก คาดปีใหม่ 2567 ไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน กลับภูมิลำเนาขนส่งสาธารณะ

 
นายสุรพงษ์ ปิยโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดกิจกรรมรณรงค์อำนวยความสะดวก และความปลอดภัย รองรับการเดินทางของประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567  พร้อมเปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567ซึ่งมีวันหยุดยาวต่อเนื่องระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2567 คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะรวม 15,840,000 คน
 
 
แบ่งเป็นระบบสาธารณะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 14.1 ล้านคน และการเดินทางระหว่างจังหวัด 1.8 ล้านคน ซึ่งในส่วนของผู้เดินทาง 100,000 คน  พบว่าในแต่ละปีมีค่าเฉลี่ยการเสียชีวิตถึง 25 คน ขณะที่กระทรวงคมนาคมตั้งเป้าลดการสูญเสียให้เหลือไม่เกินปีละ 12 คนเพียงเท่านั้น
 
 
การเตรียมการในปีนี้ ได้มีการเตรียมการล่วงหน้ามาก่อนราว 3 เดือน ทั้งการดูเรื่องของรถเชื่อมต่อสถานีกลางบางซื่อและหมอชิต รวมไปถึงการนำรถมาจอดที่สถานีขนส่งเพื่อดูความพร้อม และให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการตกค้างของประชาชน ซึ่งปีนี้จะพยายามบูรณาการร่วมโดยไม่ใช้งบประมาณ และใช้งบการบริหารจัดการร่วมกัน ส่วนเรื่องของตั๋วโดยสารยืนยันว่า วันนี้สามารถจองได้ตลอดไม่มีเต็ม

 

ด้านนาย วิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ระบุว่า ที่ผ่านมาดำเนินการประชุมร่วมกับสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย  สมาคมผู้ประกอบการรถยนต์รถโดยสาร สมาคมผู้ประกอบการขนส่งทั่วไทย และผู้ประกอบการผู้โดยสาร เพื่อที่จะหารือแนวทางร่วมกันในการอำนวยความสะดวก และความปลอดภัยการดูแลการเดินทางของประชาชน

 

ทั้งนี้ กรมขนส่งได้มีการเตรียมรถโดยสารไว้กว่า 4,000 เที่ยว และรถเสริมจำนวน 700 คันต่อวัน รองรับคนกลับวันละ 70,000 คน พร้อมตั้งศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารและรับเรื่องร้องเรียนเฉพาะกิจ และสายด่วน 1584 ที่สถานีขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน กำกับให้สำนักงานขนส่งทุกแห่ง ดำเนินการตรวจความพร้อมผู้ประกอบการขนส่ง 

 

ทั้งรถโดยสารสาธารณะทั่วประเทศ และสถานประกอบการ ทั้งก่อนและระหว่างเทศกาล  พร้อมวางจุดตรวจความพร้อมรถ และ พนักงานขับรถตามจุดต่างๆ ทั้งที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร 123 แห่ง จุดจอดจำนวน 55 แห่ง จุดตรวจความปลอดภัยจำนวน 15 จุด และจุดเช็คพ้อยจำนวน 28 จุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมขนส่งทางบก

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News