
ค้นพบอิฐโบราณตราประทับ 120 ปี เผยประวัติศาสตร์ซ่อนเร้นศาลากลางหลังแรกเชียงราย
เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – การบูรณะศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกได้นำไปสู่การค้นพบทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ เมื่ออิฐโบราณหลายร้อยก้อนที่มีตราประทับระบุปีศักราชถูกขุดพบ เปิดเผยความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้โครงสร้างของอาคารแห่งนี้มานานกว่า 120 ปี
วันที่ 11 กันยายน 2568 เวลา 13.00 น. นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และนางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิ อบจ.เชียงราย ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการบูรณะอาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรก ซึ่งได้ก่อสร้างขึ้นและเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2443
การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้นำไปสู่การค้นพบที่น่าตื่นเต้น เมื่อทีมงานได้พบอิฐโบราณจำนวนมากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเดิม โดยอิฐเหล่านี้มีตราประทับที่ชัดเจนสองแบบ ได้แก่ “ศก. 130” และ “ร.ศ. 122” ปรากฏอยู่บนผิวหน้าของอิฐ ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยยืนยันช่วงเวลาการก่อสร้างของศาลากลางแห่งนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์
ความขัดแย้งทางลำดับเวลาที่น่าสนใจ
การค้นพบอิฐที่มีตราประทับเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดคำถามทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ เนื่องจากเมื่อแปลงปีศักราชที่ปรากฏบนอิฐเป็นพุทธศักราช พบว่าอิฐที่มีตราประทับ “ร.ศ. 122” นั้นตรงกับปี พ.ศ. 2446 และอิฐที่มีตราประทับ “ศก. 130” ตรงกับปี พ.ศ. 2454
ความขัดแย้งนี้แสดงให้เห็นว่าการก่อสร้างศาลากลางหลังแรกอาจไม่ได้เป็นกระบวนการที่เสร็จสิ้นในครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่มีหลายช่วงเวลาและมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เอกสารราชการระบุว่าอาคารเปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2443 อาจหมายถึงการก่อสร้างอาคารหลักที่แล้วเสร็จและการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ ขณะที่อิฐที่มีตราประทับปีหลังอาจบ่งชี้ถึงการต่อเติมหรือซ่อมแซมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในภายหลัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิฐที่มีตราประทับ “ศก. 130” ที่พบในปริมาณมาก แสดงให้เห็นถึงโครงการก่อสร้างครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าสังเกต เนื่องจากตรงกับยุคที่สยามกำลังเผชิญหน้ากับความไม่สงบทางการเมือง การที่รัฐบาลสยามยังคงลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในหัวเมืองสำคัญในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนทางการเมืองเช่นนี้ อาจเป็นการแสดงออกถึงความพยายามในการสร้างเสถียรภาพและอำนาจของส่วนกลางในภูมิภาคที่อยู่ห่างไกลจากราชธานี


ความสำคัญของอิฐในฐานะ “พยานเงียบ”
อิฐที่ปรากฏตราประทับ “ร.ศ. 122” ได้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกอันทรงคุณค่าแก่แวดวงโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ขณะที่อิฐส่วนใหญ่ที่มีตราประทับ “ศก. 130” สะท้อนถึงมาตรฐานและระบบการจัดการอุตสาหกรรมการผลิตวัสดุก่อสร้างในยุคนั้น หลักฐานเหล่านี้จึงมิใช่เพียงก้อนอิฐธรรมดา แต่เปรียบเสมือน “พยานเงียบ” ที่บอกเล่าเรื่องราวด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมของเมืองเชียงรายในอดีตได้อย่างชัดเจน
การมีตราประทับบนอิฐแสดงให้เห็นถึงระบบการจัดการการผลิตวัสดุก่อสร้างที่มีมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการจัดการในยุคนั้น นอกจากนี้ ยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการลงทุนของรัฐในโครงการสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ในสมัยรัชกาลที่ 5
ศาลากลางในฐานะสัญลักษณ์การปฏิรูป
อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังแรกถือเป็นผลโดยตรงจากนโยบายการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์ของรัฐบาลสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ระบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลถูกนำมาใช้เพื่อรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง โดยเฉพาะในมณฑลพายัพ (ภาคเหนือ) ซึ่งห่างไกลจากราชธานี
ก่อนการปฏิรูป เมืองเชียงรายเคยอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกันระหว่างข้าหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งจากกรุงเทพฯ และเจ้าหลวงซึ่งเป็นเชื้อสายข้าราชการจากเมืองเชียงใหม่ โครงสร้างการปกครองที่ซ้ำซ้อนเช่นนี้มักนำมาซึ่งความขัดแย้งและไม่มีประสิทธิภาพ
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ในปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการให้พระยาศรีสหเทพ (เสง วิริยศิริ) จัดการการปกครองมณฑลพายัพชั้นใน จากนั้นในปี พ.ศ. 2440 ขุนรักษ์นราได้จัดตั้งระบบบริหารราชการใหม่ โดยมีการแบ่งส่วนงานออกเป็นกองมหาดไทย กองคลัง และกองตุลาการ
การจัดตั้งหน่วยงานใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องมีอาคารทำการที่เป็นศูนย์กลางที่มั่นคง เพื่อรองรับการบริหารราชการแบบสมัยใหม่ อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว
สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานสไตล์ตะวันตก
ศาลากลางจังหวัดเชียงรายหลังเก่าได้รับการออกแบบและก่อสร้างโดยนายแพทย์วิลเลี่ยม เอ. บริกส์ (Dr. William A. Briggs) ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอเมริกันผู้ทำงานในนามของคณะมิชชันนารีอเมริกันเพรสไบทีเรียน อาคารแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial) ที่สร้างขึ้นด้วยอิฐและปูน
อาคารมีลักษณะเป็นอาคารสามชั้น หลังคาทรงปั้นหยาที่มุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ ด้านหน้าอาคารโดดเด่นด้วยช่องโค้ง (Arch) ที่ก่อด้วยอิฐ และมีโถงทางเดินที่เชื่อมถึงกันตลอดแนว
สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเทคนิคการก่อสร้างที่ทันสมัยและแข็งแรงในยุคนั้น โดยอาคารใช้โครงสร้างแบบกำแพงรับน้ำหนัก (Wall Bearing) ซึ่งมีผนังหนาถึง 50 เซนติเมตร และไม่ได้ใช้เสาหรือคานคอนกรีตเสริมเหล็กเหมือนการก่อสร้างสมัยใหม่ นอกจากนี้ ฐานรากของอาคารยังใช้ไม้ซุงทำเป็นแพเพื่อรองรับน้ำหนักอาคาร ส่วนโครงสร้างคาน ตง และพื้นภายในอาคารทั้งหมดทำจากไม้สักทอง
องค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความทนทานและความประณีตของการออกแบบ เพื่อให้อาคารทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองได้อย่างยาวนาน
การส่งมอบหลักฐานให้กรมศิลปากร
ปัจจุบัน อิฐที่ค้นพบทั้งหมดได้ถูกส่งมอบให้กรมศิลปากรเข้าดำเนินการตรวจพิสูจน์และศึกษาวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อจัดทำเป็นรายงานข้อสรุปทางวิชาการ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ของอาคารได้อย่างครอบคลุมและถูกต้องยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ของกรมศิลปากรจะครอบคลุมถึงการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและกายภาพของอิฐ การวิเคราะห์เทคนิคการผลิต และการเปรียบเทียบกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลที่ได้จากตราประทับ
การศึกษาครั้งนี้ยังอาจนำไปสู่การค้นพบข้อมูลใหม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตอิฐในยุคนั้น ตลอดจนระบบการจัดการโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมของภาคเหนือ

จากศูนย์กลางการปกครองสู่แหล่งเรียนรู้
อาคารศาลากลางจังหวัดเชียงรายทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดมานานกว่าครึ่งศตวรรษ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2512 นายชูสง่า ไชยพันธุ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น ได้ย้ายศูนย์ราชการไปยังอาคารหลังใหม่ เนื่องจากอาคารเดิมเริ่มคับแคบและไม่เพียงพอต่อการใช้งาน
อาคารเก่าแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากรในปี พ.ศ. 2520 ซึ่งเป็นการยอมรับคุณค่าทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของอาคารอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2538 อาคารแห่งนี้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
ในปัจจุบัน อาคารแห่งนี้กำลังอยู่ในระหว่างการบูรณะและมีแผนจะพัฒนาให้เป็น “พิพิธภัณฑ์ภาพเจียงฮาย” เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด การค้นพบอิฐที่มีตราประทับศักราชได้เพิ่มคุณค่าให้กับโครงการบูรณะนี้ ทำให้การอนุรักษ์ไม่ได้หยุดอยู่แค่การซ่อมแซมโครงสร้าง แต่เป็นการเปิดประตูสู่การศึกษาประวัติศาสตร์ของอาคารในเชิงลึกยิ่งขึ้น
ความหมายที่ลึกซึ้งของการค้นพบ
การค้นพบครั้งนี้ไม่เพียงสร้างความภาคภูมิใจแก่ชาวเชียงราย แต่ยังช่วยยกระดับคุณค่าโครงการบูรณะศาลากลางหลังแรกให้มีความหมายเกินกว่าการซ่อมแซมอาคาร หากแต่เป็นการฟื้นคืนมรดกทางประวัติศาสตร์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และพร้อมก้าวสู่การเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าในอนาคตของจังหวัดเชียงราย
การค้นพบอิฐเหล่านี้ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงการรักษาโครงสร้างทางกายภาพเท่านั้น แต่รวมถึงการขุดค้นและเรียนรู้เรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในสิ่งก่อสร้างเหล่านั้น
อิฐแต่ละก้อนที่พบในครั้งนี้เป็นเหมือนหน้าหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของคนในอดีต ตั้งแต่ช่างที่ปั้นอิฐ คนงานที่ก่อสร้าง ไปจนถึงข้าราชการที่ทำงานในอาคารแห่งนี้ เรื่องราวเหล่านี้จะถูกนำมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความเป็นมาของเมืองเชียงรายและเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น
การวิเคราะห์วัสดุก่อสร้างในครั้งนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของหลักฐานทางโบราณคดีที่สามารถเติมเต็มหรือแก้ไขประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ ในขณะที่เอกสารราชการอาจมุ่งเน้นที่การบันทึกการเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ อิฐเหล่านี้ได้บันทึกประวัติการพัฒนาและปรับปรุงอาคารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความจริงเชิงปฏิบัติที่บันทึกไว้ในโครงสร้างของอาคารเอง
แนวทางการพัฒนาต่อไป
จากผลการค้นพบครั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งจัดทำและเผยแพร่รายงานฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับผลการตรวจสอบและวิเคราะห์อิฐที่ค้นพบ เพื่อให้ข้อมูลทางวิชาการที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง
ควรมีการสืบค้นเพิ่มเติมในเอกสารจดหมายเหตุและบันทึกทางการอื่นๆ เพื่อค้นหาหลักฐานการก่อสร้างหรือโครงการสาธารณูปโภคครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงรายในช่วงปี พ.ศ. 2446 และ พ.ศ. 2454
ในการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ ควรนำเสนอเรื่องราวของอาคารในฐานะ “เอกสารประวัติศาสตร์มีชีวิต” ที่มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจัดแสดงอิฐที่มีตราประทับพร้อมข้อมูลการวิเคราะห์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์
การค้นพบครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองเชียงรายและภาคเหนือโดยรวม ซึ่งอาจนำไปสู่การค้นพบข้อมูลใหม่ที่จะช่วยให้เข้าใจพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้น
ท้ายที่สุด การค้นพบอิฐโบราณพร้อมตราประทับครั้งนี้เป็นการเตือนใจให้เราได้เห็นว่าแม้สถานที่ที่เรารู้จักกันดี ก็ยังสามารถเก็บซ่อนความลับและเรื่องราวใหม่ๆ ที่รอการค้นพบและตีความได้เสมอ การบูรณะจึงไม่ได้เป็นเพียงการฟื้นฟูโครงสร้าง แต่เป็นการรื้อฟื้นองค์ความรู้ที่สำคัญและลึกซึ้งกว่าเดิม ซึ่งจะเป็นมรดกทางปัญญาที่ทรงคุณค่าสำหรับคนรุ่นต่อไป

ตัวเลขที่เล่าเรื่อง ทำไมค้นพบครั้งนี้ “คุ้มค่า” ต่อการลงทุนอนุรักษ์
อายุอาคาร เกิน 125 ปี (นับจาก พ.ศ. 2443)
ศักราชบนอิฐ อยู่ในช่วง พ.ศ. 2446 และ พ.ศ. 2454 —ห่างกัน 8 ปี สะท้อนรอบการซ่อมครั้งใหญ่
ความหนาผนัง ราว 50 ซม. —ชี้เทคนิคผนังรับน้ำหนัก (wall-bearing) ที่ต้องคำนวณอย่างประณีต
สถานะทางกฎหมาย: ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน พ.ศ. 2520—คุ้มครองโดยกฎหมายมรดกศิลปวัฒนธรรม
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “ข้อมูลประกอบ” แต่เป็น หลักฐานเชิงคุณค่า (value evidence) ที่อธิบายว่าทำไมเมืองจึงสมควรลงทุนอนุรักษ์—เพราะทุกเซนติเมตรของอาคารบรรจุความรู้และประสบการณ์ของบ้านเมืองไว้แน่นหนา
เมื่อ “กำแพง” พูด—เมืองก็ฟัง
การค้นพบ อิฐโบราณตรา “ร.ศ. 122” และ “ศก. 130” ในโครงการบูรณะศาลากลางหลังแรกเชียงราย ได้ยกระดับงานอนุรักษ์จาก “ซ่อม–เสริม–สวย” ไปสู่ “สืบ–สอบ–สื่อ”—สืบค้นหลักฐาน สอบทานกับเอกสาร และสื่อสารให้สาธารณะร่วมเป็นเจ้าของความรู้ใหม่ของเมือง ระหว่างที่ทีมวิชาการของ กรมศิลปากร เร่งตรวจพิสูจน์ในห้องแล็บ เมืองเองก็เริ่มวางแผนว่าจะให้ อิฐแต่ละก้อน เป็นครูของเด็กนักเรียนและนักท่องเที่ยวอย่างไร
สุดท้าย ความหมายของการบูรณะจึงไม่ใช่แค่ “คืนรูปทรง” แต่อยู่ที่การ “คืนเรื่องราว” ให้คนเชียงราย—ให้รู้ว่าเหตุใดเมืองจึงยืนอยู่ตรงนี้ และกำแพงอิฐที่เคยนิ่งเงียบ—แท้จริงกำลังเล่าประวัติศาสตร์ให้เราฟังอย่างไม่รู้จบ
ลำดับเวลาจากเอกสารและหลักฐานอิฐ
- พ.ศ. 2443 (ร.ศ. 119): ศาลากลางจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) ก่อสร้างและเปิดใช้งาน
- พ.ศ. 2446 (ร.ศ. 122): ปรากฏตราศักราชบนอิฐ—ตีความว่ามีการซ่อม/ต่อเติมช่วงต้นการใช้งาน
- พ.ศ. 2454 (ศก./ร.ศ. 130): ปรากฏตราศักราชบนอิฐจำนวนมาก—ตีความว่าเป็น “งานใหญ่” ระยะสำคัญ
- พ.ศ. 2512: ย้ายศูนย์ราชการไปอาคารใหม่
- พ.ศ. 2520: ขึ้นทะเบียนโบราณสถานโดยกรมศิลปากร
- พ.ศ. 2538: ปรับเป็นหอวัฒนธรรมนิทัศน์เฉลิมพระเกียรติกาญจนาภิเษก
- พ.ศ. 2568: เริ่มบูรณะเชิงอนุรักษ์ ค้นพบอิฐตราศักราช ส่งตรวจพิสูจน์โดยกรมศิลปากร
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.)
กรมศิลปากร
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
บทความทางวิชาการและเอกสารประวัติศาสตร์