Categories
NEWS UPDATE

ตร. เดินหน้าบุหรี่ไฟฟ้า ทั่วประเทศ ชี้ฝ่าฝืนมีโทษหนัก ปรับ 5000 จำคุก 5 ปี

 
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. (ปป 2 ) ซึ่งรับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม เปิดเผยว่า ได้กำชับรอบโรงเรียนต้องปลอดจากบุรี่ไฟฟ้าด้วยปัจจุบัน มีการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มของเด็กและเยาวชนมีการใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันอย่างแพร่หลาย มีช่องทางการจำหน่ายทางออนไลน์ที่สามารถซื้อขายได้ง่าย รัฐบาลจึงให้ความสำคัญในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยให้ทุกหน่วยงานราชการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
 
 
พล.ต.ท.นิรันดร กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงมีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกพื้นที่กวดขันจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด และมอบหมายให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป) และ ตนประชุมขับเคลื่อนมาตการในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า
ร่วมกับผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รอง ผบช.น. , รอง ผบช.ภ. 1-9 รอง ผบช.สอท. รอง บช.ก. และ ผบก.ปคบ. พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ รองเลขาธิการคณะกรรมกาคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งในการประชุมครั้งนี้
 
 
ได้มีการชี้แจงข้อกฎหมาย ฐานความผิดของผู้ลักลอบนำเข้า ผู้จำหน่ายและผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าตลอดจนกำหนด แนวทางในการสืบสวนจับกุม รวมถึงมาตรการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้กับชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในระดับพื้นที่ ทั้งนี้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป)ประธานการประชุม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง
ดังนี้
(1.) เน้นยำให้ทุก สน.,สภ. สืบสวนจับกุมร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ในพื้นที่โดยรอบ
โรงเรียน และสถานศึกษาทุกแห่ง ต้องทำให้สถานศึกษาเป็นเขตปลอดบุหรี่ไฟฟ้า
(2.)ให้ทุกหน่วยนำข้อมูลร้านค้าบุหรี่ไฟฟ้าเป้าหมาย ซึ่งมีทั้งร้านจำหน่ายที่มีหน้าร้านและเว็บไซต์ที่จำหน่ายช่องทางออนไลน์ โดยข้อมูลเป้าหมายดังกล่าวเป็นข้อมูลทั่วประเทศ ที่ ตร.ได้รวบรวมจากการข่าว การแจ้งเบาะแสของประชาชนและภาคีเครือข่าย จึงให้ทุกกองบัญชาการนำข้อมูลดังกล่าวมากำหนดเป้าหมายในการเข้าตรวจค้นจับกุม โดยทุกกองบัญชาการจะต้องมีผล
การจับกุมที่เป็นรูปธรรม
(3.) ให้ บก.ปคบ. และ บช.สอท. รับผิดชอบสืบสวนจับกุม ผู้กระทำผิดรายใหญ่
โดยเฉพาะการจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ ที่เป็นเครือข่ายระดับประเทศ เพื่อตัดวงจรการกระจายสินค้าไปยังร้านค้ารายย่อย
(4.) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงข้อกฎหมาย ความผิดและอัตราโทษ
ที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้า และอันตรายจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานด้านชุมชนสัมพันธ์ ของทุกสถานีตำรวจ ซึ่งต้องเข้าไปให้ความรู้แก่ชุมชน โรงเรียน หรือสถานศึกษาเพิ่มเติมความรู้ในข้อกฎหมายและอันตรายจากการใช้บุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว
 
 
หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.อ. กิตติ์รัฐฯ ขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนว่า บุหรี่ไฟฟ้าแทบทุกชนิดมีส่วนผสมของนิโคตินซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย การสูบบุหรี่ไฟฟ้านอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพแล้ว การมีไว้ในครอบครอง อาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 ซึ่งโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเขตปลอดบุหรี่ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 ซึ่งมีโทษปรับทางพินัยไม่เกิน 5,000 บาทอีกด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งข้อมูลเบาะแสได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ หรือสายด่วน 1599″ ผู้ช่วย ผบ.ตร.กล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

เชียงราย ส่งทีมจับร้านบุหรี่ไฟฟ้า ลักลอบขายทั้งหน้าร้านและออนไลน์

 

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 เวลา 18.00 น. ภายใต้การอำนวยการของ นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย พล.ต.ต.มานพ เสนากูล ผบก.ภ.จว. เชียงราย และ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ได้สั่งการให้ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจ นำโดย นายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย ผู้ช่วยป้องกันจังหวัดเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 ปลัดอำเภอเมืองเชียงราย สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองร้อยอาสารักษาดินแดนอำเภอเมืองเชียงรายที่ 3 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ออกปราบปรามร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ให้แก่เด็กและเยาวชน

 

เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนมาเป็นจำนวนมาก ว่ามีร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย มีการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็กและเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไปโดยมีการบริการขายทั้งหน้าร้านและออนไลน์โดยมีการส่งของผ่านไรเดอร์ ซึ่งมีการเปิดขายเป็นจำนวนมาก
ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้มีการสืบทราบว่ามีร้านในบริเวณโซนนิ่งสถานบริการ เปิดแอบขายบุหรี่ไฟฟ้าจำนวน 3 ร้าน ซึ่งทั้ง 3 ร้านมีการติดฟิล์มสีขาวขุ่นอำพรางไม่ให้มีการมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นในบริเวณด้านใน และมีกล้องวงจรปิดรอบทิศทางเพื่อดูสถานการณ์จากภายนอก แต่ผู้ซื้อจะรู้กันภายในกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค หรือสื่อสังคมต่างๆ
 
 
เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบทราบแล้วว่าทั้ง 3 ร้านมีการขายบุหรี่ไฟฟ้าจริง จึงวางแผนเข้าทำการจำกุมทั้ง 3 ร้านพร้อมกัน ซึ่งทั้ง 3 ร้าน ตั้งอยู่ในพื้นที่ หมู่ 13 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย
 
 
จากการตรวจสอบภายในร้านทั้ง 3 ร้านพบบุหรี่ไฟฟ้า อุปกรณ์ น้ำยา และอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายซึ่งสินค้าที่ตรวจยึดได้ของทั้ง 3 ร้านจำแนกเป็น
1. เครื่องบุหรี่ไฟฟ้า 635 เครื่อง
2. หัวพอตบุหรี่ไฟฟ้า 2,811 ชิ้น
3. บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง 1,810 ชิ้น
4. น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 208 ชิ้น
5. คอร์ยบุหรี่ไฟฟ้า 353 ชิ้น
6. หัวคอร์ยบุหรี่ไฟฟ้า 25 ชิ้น
 
 
มูลค่ารวมประมาณ 1,802,650 บาทและจากการตรวจสอบการรับจ่ายเงินหรือเงินหมุนเวียนภายในร้าน พบแต่ละร้านมีรายได้ต่อวันตั้งแต่วันละ 10,000 – 40,000 บาทต่อวัน หรือเดือนละประมาณ 300,000 – 500,000 บาท ซึ่งจากการสอบถามผู้ดูแลพบ เจ้าของที่แท้จริงจะติดต่อผ่านไลน์และส่งของมาให้ขายจึงไม่ทราบราคาต้นทุนต่อชิ้น และจะขายบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ตั้งแต่ราคาหลักสิบ ถึง หลักพันบาทเจ้าหน้าที่จึงนำตัวผู้ดูแลทั้ง 3 ร้าน รวม 4 ราย โดยแจ้งข้อหา
 
 
1) ได้มีการซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
 
2) ขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
 
 
นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวในช่วงท้ายว่า ปัญหาการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ทั้งปัญหาสุขภาพร่างกาย และก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมอีกหลายประเด็น ซึ่งอำเภอเมืองเชียงรายได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่มาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนในความร่วมมือร่วมใจ และขอเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานด้วยความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ในฐานะผู้ทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน รักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อย เพื่อให้ทุกคนในสังคมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านให้ช่วยเป็นหูเป็นตา ระแวดระวังบ้านเมืองของเรา หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดทุกรูปแบบ สามารถแจ้งข้อมูล และร้องเรียนร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ สายด่วน 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

“หมอชลน่าน” หนุน เครือข่ายฯ ร่วมสร้างสังคมไทยปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า

 
เมื่อวันที่19 กุมภาพันธ์ 2567 ณ อาคารเฉลิมพระบารมี ๕๐ ปี  แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมมหกรรมวิชาการฟ้าใส 2567 “ปกป้องสุขภาพของคนไทยห่างไกลควันบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า” และมอบรางวัลเพชรนคราอวอร์ด ประจำปี 2567 ให้แก่องค์กรและบุคคลที่มีผลงานในการควบคุมยาสูบด้านต่าง ๆ จำนวน 65 รางวัล โดยมี ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ รศ. นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา เลขาธิการเครือข่ายวิชาชีพแพทย์ในการควบคุมการบริโภคยาสูบ บุคลากรวิชาชีพสุขภาพ และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมกว่า 600 คน
 

         นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเป็นอันดับ 1 ของประชากรทั่วโลก และทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากถึงปีละกว่า 70,000 คน ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจภาคครัวเรือนปีละกว่า 100,000 ล้านบาท ปัจจุบันประเทศไทยมีกระบวนการควบคุมการบริโภคยาสูบที่เข้มแข็ง มีอัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 35 ในปี 2532 เหลือร้อยละ 17.4 ในปี 2564 ซึ่งนับเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมของทุกภาคีเครือข่ายที่ร่วมมือกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์การควบคุมยาสูบของประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากผลิตภัณฑ์ยาสูบรุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่เย้ายวนใจให้กลุ่มเด็กและเยาวชนทดลองสูบ โดยจากการสำรวจล่าสุด ในปี 2566 พบว่า อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนและสตรีเพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 3.3 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 17.6 ในปี 2566 ซึ่งหากไม่รีบดำเนินการแก้ไขจะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างตามมา ทั้งด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
 

          นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า การเข้าถึงกระบวนการเลิกบุหรี่ที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงยาเลิกบุหรี่มาตรฐานมีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน ซึ่งต้องขอบคุณสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ ที่ได้จัดตั้งเครือข่ายคลินิกฟ้าใส เป็น one stop service ให้บริการเลิกยาสูบโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ ปัจจุบันมี 563 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ และขณะนี้องค์การเภสัชกรรมสามารถผลิตยาเลิกบุหรี่ที่ชื่อว่า Cytisine ได้แล้ว จึงนับเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้เข้าถึงยาชนิดนี้ต่อไป
 

          “การดำเนินงานด้านการควบคุมยาสูบจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานช่วยกันขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา กระทรวงสาธารณสุขพร้อมให้การสนับสนุนสร้างสังคมปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าลดจำนวนผู้สูบปัจจุบัน ป้องกันผู้สูบหน้าใหม่ในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น สร้างความตระหนักรู้ถึงพิษภัยของบุหรี่และบุหรี่ฟ้า ไม่ให้หลงเชื่อทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกรูปแบบ” นพ.ชลน่านกล่าว
 

          สำหรับการประชุมในวันนี้ เครือข่ายหลายภาคส่วน อาทิ เครือข่ายคลินิกฟ้าใส สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ เครือข่ายสถาบันอุดมศึกษาปลอดบุรี่ และเครือข่ายสถานประกอบการปลอดบุหรี่ จะได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน ข้อมูลสถานการณ์ของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาสูบรูปแบบใหม่ๆที่แพร่หลายอยู่ในขณะนี้ เพื่อนำไปปรับใช้ตามบริบทพื้นที่ และเป็นต้นแบบให้หน่วยงานอื่นๆ ได้ร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความมั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และปลอดภัยจากพิษของบุหรี่
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ห่วงเด็กไทย ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า “สร้างมายาคติ ความเชื่อผิดๆ”

 

รศ.ดร.จักรพันธ์ เพ็ชรภูมิ อาจารย์ประจำสาขาวิชาอนามัยชุมชนและหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการวิจัยและวิชาการด้านการควบคุมยาสูบภาคเหนือ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดเผย ผลการวิจัย ‘การใช้บุหรี่ไฟฟ้าของนักเรียนมัธยมศึกษาและการปรับตัวในการจัดการเรียนการสอนเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าของครูในโรงเรียน’ ระหว่างเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2566 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 6,147 คน จาก 16 จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาพบว่า เด็ก 9.6% มีประสบการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในรอบ 30 วันที่ผ่านมา และที่สำคัญเด็กที่ไม่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้า 17.6% มีความตั้งใจที่จะทดลองใช้บุหรี่ไฟฟ้าในอนาคต

“ทั้งนี้พบว่า เด็กขาดความรู้และมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องต่อบุหรี่ไฟฟ้าใน 10 เรื่อง ดังนี้ 1) 49.2% เชื่อว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นที่ยอมรับในกลุ่มวัยรุ่น 2) 40.5% ไม่รู้ว่าการมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครองผิดกฎหมาย 3) 39.3% ไม่รู้ว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะผิดกฎหมาย 4) 39.3% ไม่รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าห้ามนำเข้ามาในประเทศไทย 5) 39.3% ไม่เชื่อว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด 6) 36.6% ไม่เชื่อว่าการได้รับไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสองมีอันตรายต่อสุขภาพ 7) 35.8% ไม่เชื่อว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าทำให้ปอดอักเสบรุนแรง (EVALI) 8) 34.2% ไม่เชื่อว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลเสียต่อสมองและการเรียนรู้ 9) 21.8% เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่แบบมวนได้ และ 10) 20.5% เชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่แบบมวน” รศ.ดร.จักรพันธ์ กล่าว

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า จากผลการวิจัยดังกล่าว น่าเป็นห่วงที่เด็กไทยได้รับมายาคติความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่พยายามทำการตลาดบิดเบือนข้อเท็จจริงว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน ทั้งๆ ที่มีนิโคตินเท่ากันหรือมากกว่าบุหรี่มวน จึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อทุกระบบของร่างกายโดยเฉพาะต่อสมองที่กำลังเจริญเติบโตของเด็กและเยาวชน ดังนั้นจึงเสนอให้บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บุคลากรสาธารณสุข ครู ผู้ปกครอง เร่งพัฒนามาตรการเสริมสร้างความรู้และความเชื่อที่ถูกต้องให้กับเด็ก รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนงควรมีจรรยาบรรณเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องให้สาธารณะทราบ ซึ่งจะเป็นการสร้างภูมิป้องกันให้เด็ก รู้เท่าทันภัยบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งมีความรู้ด้านกฎหมาย ที่บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมาย ทั้งห้ามนำเข้า ห้ามขาย ห้ามครอบครอง และห้ามสูบในที่สาธารณะ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

หายนะ “บุหรี่ไฟฟ้า” คืบคลานสู่ “เด็ก” ที่อายุน้อยลงมาก

 

จากข่าวเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ที่มีคุณแม่หัวใจสลายที่รับทราบว่าลูกสาววัย 9 ขวบ ไปลองดูดบุหรี่ไฟฟ้าเพราะเพื่อนที่โรงเรียนชวน ซึ่งได้มีจิตแพทย์เด็กได้ให้คำแนะนำในการดูแลลูกและเตือนว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ประมาท เลิกคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องไกลตัวแล้วนั้น  รศ.ดร.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า การลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กอายุเพียง 9 ปี หรือวัยประถมศึกษา นับเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะอายุเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าน้อยลงกว่าอายุเฉลี่ยของการเริ่มสูบบุหรี่มวนที่มักจะเริ่มสูบที่อายุ 18 ปี หรือชั้นมัธยมปลาย ข้อมูลการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติดอื่นๆ 

 

ที่ผ่านมาจึงมักจะเริ่มสำรวจในเด็กระดับชั้นมัธยมต้น ซึ่งในปี พ.ศ. 2562 การสำรวจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (อายุราว 13 ปี) ทั่วประเทศ จากกลุ่มตัวอย่าง 6,045 ราย พบว่า อัตราการสูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าของเด็ก ม.1 อยู่ที่ร้อยละ 7.2 และ 3.7 ตามลำดับ โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเรียงจากสูงสุดจากงานวิจัย ดังนี้ 1) การที่พ่อแม่สูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะสูบบุหรี่ไฟฟ้าเป็น 6.1 เท่า 2) การที่ไม่รู้ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตราย เพิ่มความเสี่ยง 5.3 เท่า และ 3) การที่มีเพื่อนสูบบุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มความเสี่ยง 3.8 เท่า ตามลำดับ นอกจากนี้จากการติดตามเด็กกลุ่มนี้เป็นเวลา 1 ปี พบเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้มีแนวโน้มสูบบุหรี่มวนเพิ่มขึ้น 5 เท่า และมีแนวโน้มสูบทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่มวนเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า

 

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า การที่พบว่าเด็กอายุน้อยขนาดนี้ ไปลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นประเด็นที่สังคมไทยจะต้องตระหนักอย่างจริงจัง เพราะแสดงว่าหายนะจากบุหรี่ไฟฟ้ากำลังคืบคลานไปสู่เด็กไทยที่มีอายุน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งบุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์เสพติดสูงสุด เมื่อลองแล้วจะเสพติด ที่อันตรายที่สุดคือนิโคตินจะทำลายสมองที่กำลังพัฒนาตั้งแต่ในครรภ์จนถึงอายุ 25 ปี 

 

โดยเฉพาะหากเสพตั้งแต่อายุน้อยกว่า 14 ปี โดยการป้องกันลูกจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีไม่สูบบุหรี่/บุหรี่ไฟฟ้า เพิ่มความระมัดระวังและหมั่นเอาใจใส่ดูแลลูกรวมถึงให้ความรู้ในประเด็นบุหรี่ไฟฟ้ามากยิ่งๆ ขึ้น ให้มีทักษะชีวิตอย่าให้ลูกไปริลอง และโรงเรียนต้องมีหลักสูตรให้ความรู้เรื่องพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า ที่สำคัญรัฐบาลต้องจัดบรรยากาศที่ปลอดบุหรี่ไฟฟ้าทั้งที่โรงเรียนและชุมชน นั่นคือบังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มงวดในการห้ามนำเข้า ห้ามขายและห้ามโฆษณาโดยเฉพาะบนสื่อออนไลน์ เพื่อปกป้องหายนะนี้จากเด็กไทย

อ้างอิง: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36104174. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34319044.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

อังกฤษชื่นชมไทย ตัดสินใจรวดเร็ว “ห้ามนำเข้า ห้ามขาย บุหรี่ไฟฟ้า”

ผศ.ดร.นพ.วิชช์ เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2566 สองวันหลังจากที่รัฐบาลออสเตรเลียประกาศนโยบายห้ามนำเข้าบุหรี่ British Medical Journal ชองประเทศอังกฤษ ได้เผยแพร่ความเห็นทางวิชาการว่า นโยบายการปราบปรามอย่างเด็ดขาดดังกล่าว เพราะความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายของบุหรี่ไฟฟ้าในตลาดมืด จะส่งผลให้มีการเสพติดในกลุ่มเยาวชนเพิ่มมากขึ้น โดยระบุว่า การแพร่ระบาดบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนมิใช่ความเสี่ยง แต่เป็นหายนะทางด้านสาธารณสุข ในขณะที่ยกตัวอย่างประเทศอื่นๆ เช่น ประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการใช้มาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า มาตั้งแต่ พ.ศ.2557

“ซึ่งแนวคิดการห้ามบุหรี่ไฟฟ้านี้ มีพื้นฐานจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ (systematic review) ดังนี้ 1) บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติดและสารพิษต่างๆ เทียบเท่ากับหรือมากกกว่าบุหรี่ปกติ ส่งผลกระทบต่อทุกระบบของร่างกายทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทั้งผู้สูบและผู้อยู่ใกล้ชิด โดยเฉพาะทำลายสมองของเยาวชน 2) ไม่มีหลักฐานงานวิจัยยืนยันว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่มวน 3) บุหรี่ไฟฟ้ายังเป็นจุดเริ่มต้นในการเสพติดบุหรี่มวนหรือสารเสพติดประเภทอื่นในเยาวชนต่อเนื่องตลอดชีวิต 4) ด้วยรูปลักษณ์และสารปรุงแต่งกลิ่นรสของบุหรี่ไฟฟ้า สร้างความยั่วยวนใจ ให้วัยรุ่นหันมาทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งการโหมโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการระดมขายในสื่อออนไลน์ ซึ่งผู้ที่นิยมใช้สื่อเหล่านี้คือเยาวชน จึงเกิดการระบาดอย่างกว้างขวางในกลุ่มเยาวชน ทั้งนี้เสรีภาพของเยาวชนเป็นหลักการที่สำคัญ แต่ไม่ควรถูกบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้านำมาบิดเบือนหลอกล่อโดยการตลาดล่าเหยื่อให้เสพติดเป็นนักสูบหน้าใหม่ และ 5) บทเรียนและประสบการณ์ของประเทศต่างๆ พบว่ายังไม่มีมาตรการอื่นใดที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องเยาวชนไม่ให้เข้าถึง และริลองเสพบุหรี่ไฟฟ้าได้ ดังนั้นการคงมาตรการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า และเร่งบังคับใช้กฎหมาย เป็นสิ่งที่ดีที่สุด” ผศ.ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

ในเรื่องที่ไทยได้รับการชื่นชมนี้ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า น่าสนใจที่สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ที่กำลังระบาดในเด็กนักเรียนและเยาวชนทั่วประเทศ โดยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 3 สิงหาคม นี้ มีวาระ 6.4 ที่เสนอให้มีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาผลประโยชน์ของการมีกฏหมายควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของความเป็นจริงในประเทศไทย สิ่งที่อยากจะฝากถึงสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันคือ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว มีการตั้งกรรมาธิการขึ้นศึกษาปัญหาบุหรี่มาแล้ว 2 ชุด เกิดการแทรกแซงของล็อบบี้ยิสต์บริษัทบุหรี่ ถึงขนาดมีการตั้งแกนนำล็อบบี้ยิสต์บุหรี่ไฟฟ้า 2 คน เข้าเป็นที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการชุดหนึ่ง ซึ่งขัดกับพันธกรณีที่ประเทศไทยมี ภายใต้อนุสัญญาควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ที่ห้ามแต่งตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจยาสูบ เป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการที่พิจารณานโยบายควบคุมยาสูบ จึงหวังว่ากรรมาธิการวิสามัญที่สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่จะตั้งขึ้น จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังที่เกิดขึ้นกับกรรมาธิการที่ศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

เตือน บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อสุขภาพ ไม่น้อยกว่าการสูบบุหรี่มวน

 

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประชาสัมพันธ์การแจ้งเตือน เรื่อง “บุหรี่ไฟฟ้า อันตรายพิษร้ายต่อสุขภาพ” ของกรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก ที่ออกคำเตือนบุหรี่ไฟฟ้านอกจากจะทำลายสุขภาพและเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคต่าง ๆ แล้ว ยังอันตรายไม่น้อยไปกว่าการสูบบุหรี่มวนทั่วไปอีกด้วย จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังผู้สูบบุหรี่ ควร ลด ละ เลิกสูบบุหรี่ เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และห่างไกลจากโรคร้ายต่าง ๆ

นายอนุชาฯ กล่าวถึงข้อมูลจากกรมการแพทย์ ระบุว่า ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเป็นของใหม่ที่ผู้สูบหันมานิยมสูบมากขึ้น เพราะมีความเชื่อว่าจะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ธรรมดา และเข้าใจว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้าจะปลอดภัย อันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าการสูบบุหรี่แบบเดิม ๆ แต่ความจริงแล้วสารประกอบในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า มีสารพิษที่อันตรายไม่ต่างกว่าบุหรี่มวนทั่วไป มีสารนิโคตินเหลวซึ่งมีความเข้มข้นมากกว่านิโคตินในบุหรี่มวนปกติ โดยในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามีสารประกอบ ได้แก่ 

1) นิโคติน (Nicotine) ที่กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง เพิ่มความดันโลหิต เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทําให้เกิดโรคมะเร็งปอดและโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ 

2) โพรไพลีนไกลคอล (Propylene glycol) เป็นสารสังเคราะห์ชนิดหนึ่งที่เมื่อสัมผัสหรือสูดดมเข้าไปอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ดวงตาและปอด โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง 

3) สารแต่งกลิ่นและรส (Flavoring) และ 

4) กลีเซอรีน (Glycerin) โดยบุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดโทษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ได้แก่ หายใจไม่ออก ไอ จาม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ระคายเคืองตาและผิวหนัง ระคายเคืองในช่องปากและคอ เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ หากได้รับไปนาน ๆ จนเกิดการสะสมจะทำให้เกิดอาการ เยื่อหุ้มฟันอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ ต้อกระจก ซีด นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ชัก วิตกกังวล ซึมเศร้า ปวดบวม จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหลอดเลือดหัวใจตามมา 

นอกจากนี้ กรมการแพทย์ยังระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับการสูบบุหรี่ สร้างความร้อนและไอน้ำด้วยแบตเตอรี่จึงไม่มีควันจากกระบวนการเผาไหม้ ส่วนประกอบสำคัญคือ “น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า” ที่มีส่วนผสมหลัก คือนิโคตินที่เป็นพิษร้ายต่อร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหดตัว เหนื่อยง่าย ระดับน้ำตาลเพิ่มขึ้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ยังสามารถทำให้เกิดมะเร็งปอดรวมไปถึงโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีสารโพรไพลีนไกลคอล และสาร Glycerol/Glycerin และสารประกอบอีกมากมายในไอของบุหรี่ไฟฟ้า เช่น โลหะหนัก สารหนู สารกลุ่ม Formaldehyde และกลุ่ม Benzene เป็นต้น จึงกล่าวได้ว่าการสูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าล้วนมีสารพิษที่ให้โทษต่อร่างกาย 

ขณะที่ข้อมูลกรมอนามัย เผยว่า การสูบบุหรี่ 20 มวนต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งช่องปากได้มากถึง 10 เท่า หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำร่วมด้วย จะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งช่องปากมากถึง 15 เท่า โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนบุหรี่ที่สูบต่อวันและจำนวนปีที่สูบ นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบอื่น ๆ จากการสูบบุหรี่ คือ คราบสีดำหรือน้ำตาลติดแน่นบนผิวฟัน วัสดุอุดฟันเปลี่ยนสี มีกลิ่นปาก ความสามารถในการรับรสลดลง เพิ่มความเสี่ยงการเกิดฟันผุ และการสูบบุหรี่ยังเป็นอุปสรรคต่อการรักษาทางทันตกรรม จากการมีคราบเหนียวของน้ำมันดินในบุหรี่ติดแน่นบนตัวฟัน ทำให้ต้องใช้เวลาในการขัดออกนาน ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคปริทันต์ขั้นรุนแรง รักษาไม่หายขาด

“สำหรับแนวทางการลด ละ เลิก ตามคำแนะนำของกรมการแพทย์ สิ่งที่สําคัญที่สุดในการเลิกบุหรี่ คือตัวผู้สูบเอง ด้วยการตั้งเป้าหมาย เช่น การลดปริมาณการสูบบุหรี่ให้น้อยลง ปฏิเสธเมื่อถูกชวน หากมีอาการอยากสูบสิ่งที่ต้องทำคือเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อไม่ให้มีการหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ เช่น การหักดิบ ออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือหากิจกรรมอื่น ๆ ทำ นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมก็มีส่วนต่อการช่วยให้เลิกสูบบุหรี่ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงกำลังใจจากคนในครอบครัวและคนรอบข้าง โดยการเลิกบุหรี่ให้หายขาดไม่ใช่เรื่องยาก เพียงทำตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถทำให้ไม่กลับไปสูบบุหรี่ได้ รวมทั้งยังส่งผลให้ผิวพรรณสดใส สุขภาพร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคร้ายอีกด้วย” นายอนุชาฯ กล่าว  

ทั้งนี้ สถาบันโรคทรวงอก เปิดให้บริการคลินิกอดบุหรี่ ในทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 8.30 – 16.30 น. หยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยมีการให้คำปรึกษาการเลิกบุหรี่ โดยบุคลากรทางการแพทย์ เฉพาะทาง และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเปิดบริการ อดบุหรี่ด้วยยา ทุกวันพุธ เวลา 08.00 น.– 12.00 น. สอบถามรายละเอียดได้ที่โทร 02-5470999 ต่อ 30927 รวมทั้ง กรมอนามัยเชิญชวนประชาชนเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคก่อนมะเร็งช่องปากได้ที่คลินิกทันตกรรมของรัฐทุกแห่ง เพื่อสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ นอกจากนี้ ประชาชนสามารถตรวจรอยโรคในช่องปากได้ด้วยตนเอง หากมีรอยโรคแดง ขาว แผลหรือก้อนที่ไม่หายใน 3 สัปดาห์ก็ควรมาพบทันตแพทย์หรือแพทย์เพื่อการตรวจรักษาต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการแพทย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News