Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ต่อชีวิต! บริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ ถวายความจงรักภักดี

กาชาดจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา อวัยวะ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ครบ 70 พรรษา

เชียงราย, 2 เมษายน 2568 — เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงรายจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 70 พรรษา ของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS อำเภอเมืองเชียงราย

โดยกิจกรรมจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย สมพระเกียรติ มีประชาชน ข้าราชการ นักเรียน นักศึกษา และจิตอาสา เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด

พิธีเปิดอย่างสมพระเกียรติ ผนึกพลังภาครัฐ-ประชาชน

เวลา 09.00 น. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดฯ เดินทางเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนผู้ร่วมบริจาคโลหิต และหน่วยบริการจาก โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สำนักงานเหล่ากาชาดเชียงราย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย

นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เป็นผู้นำเปิดกิจกรรม พร้อมด้วยรองนายกเหล่ากาชาด เจ้าหน้าที่ และสมาชิกจากหลายภาคส่วน อาทิ หน่วยงานการศึกษา ภาคเอกชน และกลุ่มอาสาสมัครต่าง ๆ

บรรยากาศภายในงานอบอวลด้วยน้ำใจและความเสียสละ โดยเปิดรับบริจาคตั้งแต่เวลา 09.00 – 12.00 น. พร้อมทั้งมีการมอบของที่ระลึก ใบประกาศเกียรติคุณ และรางวัลพิเศษเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมบริจาค

เลือดคือชีวิต บริจาคหนึ่งครั้ง ช่วยได้มากกว่าสามชีวิต

การบริจาคโลหิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่จะผลิตโลหิตทดแทนได้โดยสมบูรณ์ การบริจาคเพียงหนึ่งครั้ง สามารถนำไปแยกส่วนประกอบของเลือด ได้แก่

  • เกล็ดเลือด ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ไข้เลือดออก
  • เม็ดเลือดแดง รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง ธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ
  • พลาสมา ใช้รักษาผู้มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ หรือภาวะเลือดออกมาก ตลอดจนสามารถนำไปผลิตเซรุ่มป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี และโรคพิษสุนัขบ้า

ด้วยเหตุนี้ การบริจาคเพียงครั้งเดียวสามารถ “ต่อชีวิต” ให้ผู้ป่วยได้ถึง 3 คน อย่างแท้จริง

การบริจาคดวงตาและอวัยวะคือการให้ที่ไม่สิ้นสุด

นอกจากโลหิตแล้ว ยังมีผู้ร่วมบริจาค ดวงตา และ อวัยวะ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ โดยการบริจาคอวัยวะ เช่น ไต หัวใจ ตับ ปอด หรือกระดูก สามารถช่วยรักษาชีวิตของผู้ป่วยเรื้อรังที่รอคอยความหวังจากการปลูกถ่าย

ในส่วนของดวงตา การบริจาคช่วยคืนแสงสว่างให้แก่ผู้พิการทางสายตา และช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้อีกครั้ง

เสียงสะท้อนจากผู้บริจาค

นายณัฐวุฒิ สุขสม นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หนึ่งในผู้บริจาคโลหิตวันนี้ ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมมาบริจาคครั้งแรกครับ เพราะรู้ว่าการบริจาคสามารถช่วยชีวิตคนได้จริง และครั้งนี้ยิ่งมีความหมายมาก เพราะได้ร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ ด้วยครับ”

ขณะเดียวกัน นางจันทร์เพ็ญ อินทรีย์ อายุ 58 ปี แม่บ้านจากอำเภอแม่จัน กล่าวว่า “ดิฉันตั้งใจมาบริจาคทุกปีค่ะ โดยเฉพาะในวันสำคัญแบบนี้ รู้สึกปลาบปลื้มที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการถวายความจงรักภักดี”

สถิติบริจาคโลหิตประเทศไทย ปี 2566

จากรายงานของ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย พบว่า:

  • ปี 2566 มีผู้บริจาคโลหิตทั่วประเทศรวม 1,748,002 ราย
  • สามารถผลิตโลหิตได้รวมกว่า 2.2 ล้านยูนิต
  • กรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ยังคงมีอัตราบริจาคสูงสุด
  • จังหวัดเชียงรายอยู่ในอันดับกลาง โดยมีผู้บริจาคเฉลี่ย 45,000 ยูนิตต่อปี
  • ปริมาณความต้องการโลหิตเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 6,500 ยูนิต/วัน
  • แต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ทำให้การบริจาคลดลงต่ำกว่าความต้องการถึง 30%

(ที่มา: ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย, รายงานปี 2566)

มุมมองสองด้านต่อการรณรงค์บริจาค

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การจัดกิจกรรมบริจาคในวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วยเพิ่มความตระหนักรู้ และเชื่อมโยงความจงรักภักดีกับการให้เพื่อเพื่อนมนุษย์ เป็นวิธีรณรงค์ที่สร้างแรงจูงใจ และควรจัดต่อเนื่องอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งในระดับจังหวัด

อีกฝ่ายหนึ่ง เสนอว่า แม้กิจกรรมในวันสำคัญจะดี แต่ควรสร้างระบบบริจาคอย่างต่อเนื่อง เช่น ตั้งศูนย์เคลื่อนที่ในโรงเรียน สถานศึกษา หรือสถานที่ราชการ และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น พร้อมเสนอให้เพิ่มความรู้เรื่องการบริจาคในหลักสูตรสุขศึกษา

สรุปการให้ที่ไม่สิ้นสุดเพื่อมนุษยชาติ

กิจกรรมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะในวันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งการรวมพลังของชาวเชียงรายในการแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ในขณะเดียวกัน การบริจาคยังเป็นการ “ให้” ที่ทรงพลังที่สุด เพราะสามารถช่วยชีวิตผู้อื่นอย่างเป็นรูปธรรม และสะท้อนถึงหัวใจของความเป็นมนุษย์ที่มีต่อกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงรายจิตอาสา บริจาคโลหิต 70 ล้านซีซี

มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลจิตอาสาร่วมบริจาคโลหิต ในโครงการ “70 พรรษา 70 ล้านซีซี” เฉลิมพระเกียรติฯ

เชียงราย, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 นำกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน ร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในโครงการ “70 พรรษา 70 ล้านซีซี เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี” เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ ครบ 70 พรรษา 2 เมษายน 2568 โดยมีประชาชนและเจ้าหน้าที่ร่วมบริจาคโลหิตเป็นจำนวนมาก ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

จิตอาสาทหารบก ร่วมบรรเทาวิกฤตขาดแคลนโลหิต

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือของมณฑลทหารบกที่ 37 นำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพลจิตอาสา “เราทำความดีด้วยหัวใจ” ซึ่งได้ร่วมมือกับ กิ่งกาชาดอำเภอเชียงแสน จัดกิจกรรมนี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมการบริจาคโลหิต และสนับสนุนคลังโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น อุบัติเหตุ การผ่าตัด และผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องใช้โลหิตอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของ สภากาชาดไทย ปัจจุบันประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการขาดแคลนโลหิต โดยเฉพาะกลุ่ม หมู่เลือดหายาก ซึ่งมีความจำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยหนัก การบริจาคโลหิตในโครงการนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อรวบรวมโลหิตให้ได้ 70 ล้านซีซี ทั่วประเทศ ตลอดปี 2568 เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า ฯ และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง

ความสำคัญของการบริจาคโลหิต

โลหิตถือเป็น ของขวัญแห่งชีวิต” ที่ไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ และจำเป็นต้องรับบริจาคจากประชาชนเท่านั้น โดยเฉลี่ยร่างกายมนุษย์มีโลหิตประมาณ 4.5-6 ลิตร และสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน โดยที่ร่างกายสามารถสร้างโลหิตใหม่มาทดแทนได้ภายในเวลาไม่กี่วัน

การบริจาคโลหิตช่วยให้ร่างกายได้สร้างเซลล์โลหิตใหม่ ส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริจาค และยังเป็นการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นอีกด้วย ทั้งนี้ การบริจาคโลหิตในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่ช่วยสร้างคลังโลหิตสำรองให้กับ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลอำเภอเชียงแสน และโรงพยาบาลอื่นๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีความต้องการใช้โลหิตอย่างต่อเนื่อง

ประชาชนตอบรับเข้าร่วมบริจาคอย่างคับคั่ง

บรรยากาศการบริจาคโลหิตเป็นไปอย่างคึกคัก มีเจ้าหน้าที่จาก โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และทีมแพทย์จากสภากาชาดไทยให้คำแนะนำและดูแลประชาชนที่มาร่วมบริจาคอย่างใกล้ชิด โดยมีประชาชนเข้าร่วมบริจาคโลหิต กว่า 250 คน ซึ่งสามารถรวบรวมโลหิตได้มากกว่า 120,000 ซีซี ในวันเดียว

หนึ่งในผู้บริจาคโลหิต นางสาววิภาดา ชุ่มเย็น อายุ 32 ปี ชาวเชียงแสน กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ว่า
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้บริจาคโลหิต และรู้สึกภูมิใจมากที่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการเลือด ฉันหวังว่าโลหิตที่ฉันบริจาคไปจะสามารถช่วยต่อชีวิตให้ใครสักคนได้”

ขณะที่ พันตรีสุชาติ นามวงศ์ หนึ่งในกำลังพลจิตอาสาที่เข้าร่วมกิจกรรม กล่าวว่า
ในฐานะทหาร เรามีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนทุกด้าน การบริจาคโลหิตก็เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เราสามารถทำเพื่อสังคมได้ ผมขอเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมบริจาคโลหิต เพราะแค่ 1 ถุงเลือด ก็อาจช่วยชีวิตคนได้ถึง 3 คน”

แนวทางขยายโครงการบริจาคโลหิตต่อเนื่อง

หลังจากกิจกรรมในครั้งนี้ มณฑลทหารบกที่ 37 มีแผนที่จะร่วมมือกับ สภากาชาดไทย และ โรงพยาบาลในเครือข่าย เพื่อจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการรณรงค์ให้ประชาชนบริจาคโลหิตเป็นประจำ เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนโลหิตในโรงพยาบาล โดยมีเป้าหมายให้สามารถจัดหาปริมาณโลหิตให้เพียงพอสำหรับการรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการบริจาคโลหิต

  • ประเทศไทย ต้องการโลหิตประมาณ 2.1 ล้านยูนิตต่อปี แต่มีปริมาณโลหิตที่ได้รับบริจาคเพียง 1.6 ล้านยูนิตต่อปี ทำให้ขาดแคลนอยู่ประมาณ 500,000 ยูนิตต่อปี
  • สภากาชาดไทยระบุว่า ประชาชนที่บริจาคโลหิตประจำมีเพียง 1.5% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่องค์การอนามัยโลกแนะนำที่ 3-5%
  • ในปี 2567 การบริจาคโลหิตทั่วประเทศลดลง ประมาณ 10% เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนและสถานการณ์โรคระบาด
  • ผู้ที่สามารถบริจาคโลหิตได้ต้องมีอายุระหว่าง 17-70 ปี น้ำหนักตัวมากกว่า 45 กิโลกรัม และมีสุขภาพแข็งแรง

สรุป

กิจกรรมบริจาคโลหิตในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ช่วยเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้กับโรงพยาบาลและช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการเลือดฉุกเฉิน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งกำลังพลจิตอาสา หน่วยงานราชการ ประชาชน และภาคเอกชน เป็นตัวอย่างของการทำความดีเพื่อสังคมอย่างแท้จริง

มณฑลทหารบกที่ 37 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิตเพื่อเป็น ผู้ให้แห่งชีวิต” และสร้างบุญกุศลร่วมกัน โดยสามารถบริจาคโลหิตได้ที่ โรงพยาบาลสภากาชาดไทย หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร. 1664 หรือเว็บไซต์ www.redcross.or.th

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

12 สิงหาคม ชาวเชียงรายร่วมใจ บริจาคโลหิต อวัยวะ และดวงตา

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 ที่มูลนิธิสาธารณะกุศลสงเคราะห์เชียงราย (หน้าโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม) อ.เมืองเชียงราย เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และมูลนิธิสาธารณกุศลสงเคราะห์เชียงราย จัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 เพื่อถวายความจงรักภักดี ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ 

ที่ทรงมีต่อประชาชนและพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ซึ่งเปิดรับบริจาคตั้งแต่เวลา 9.00 – 14.00 น. โดยภายในกิจกรรมวันนี้ ชาวเชียงรายต่างรวมใจสวมเสื้อสีฟ้า สีสัญลักษณ์ของวันแม่ มีทั้งประชาชนจิตอาสา นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมบริจาคโลหิต ดวงตา และอวัยวะเป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ที่มาบริจาคโลหิตจะได้รับของที่ระลึก ใบประกาศเกียรติคุณ และได้ลุ้นรับรางวัลพิเศษ จากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย รวมถึงลุ้นรับแก้วน้ำเก็บอุณหภูมิ แก้วน้ำมินิมอล ร่ม และอื่นๆอีกมาย จาก การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย และไทย ฮอนด้า เชียงราย เพื่อเป็นการตอบแทนที่มีจิตอาสา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งการบริจาคโลหิตถือเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ และยังเป็นการต่อชีวิตให้กับผู้อื่น โดยการบริจาคเลือดปกติ 1 ครั้งสามารถช่วยต่อชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ 3 คน ทำให้มีเลือดเพียงพอในการรักษาชีวิตของผู้ป่วยตลอดไป

ทั้งนี้ “โลหิต” หรือ “เลือด” เป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญในการใช้รักษาผู้ป่วย ในปัจจุบันยังไม่มีผู้ที่สามารถคิดค้นสิ่งใดมาใช้ทดแทนโลหิตได้ จึงจำเป็นต้องมีการรับบริจาคโลหิต เพื่อให้ได้มาซึ่งโลหิตสำหรับใช้ในการช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยการบริจาคโลหิตแต่ละครั้ง สามารถปั่นแยกเป็นส่วนประกอบโลหิตได้มากกว่า 3 ส่วน ช่วยชีวิตได้มากกว่า 3 ชีวิต และผลิตเป็นผลิตภัณฑ์โลหิตได้อีกมากมาย เพื่อนำไปรักษาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ อาทิ เกล็ดเลือด นำไปรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ โรคไข้เลือดออก มะเร็งเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง นำไปรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย ไขกระดูกฝ่อ ผู้ป่วยที่สูญเสียเลือดจากการ ผ่าตัดหัวใจ อุบัติเหตุ ตกเลือดจากการคลอดบุตร พลาสมา นำไปรักษาผู้ที่มีอาการช็อกจากการขาดน้ำ ผลิตเซรุ่มป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี และเซรุ่มป้องกันโรคพิษสุนัข 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News