Categories
SOCIETY & POLITICS

‘สมศักดิ์’ ชื่นชมรัฐบาล ปราบบุหรี่ไฟฟ้า หมอเตรียมแฉโทษ

รัฐบาลยืนยันนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเด็ดขาดภายใน 30 วัน ด้านแพทย์เตรียมเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับรู้

สมศักดิ์” หนุนแนวทางรัฐบาล “แพทองธาร” จัดการบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แสดงความพอใจต่อ นโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยสั่งการให้ ดำเนินมาตรการกวาดล้างภายใน 30 วัน เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม

ในการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2568 นายสมศักดิ์ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการบูรณาการของหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะในด้านกฎหมายที่กระทรวงสาธารณสุขไม่มีอำนาจครอบคลุมทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กระทรวงยืนยันว่าจะดำเนินมาตรการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าให้เต็มที่ตามกรอบกฎหมายที่มีอยู่

“บุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษที่อันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะ กลีเซอรีนและโพรไพลีนไกลคอล ที่เกิดปฏิกิริยากลายเป็นฟอร์มาลีน หรือสารดองศพ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน” นายสมศักดิ์กล่าว

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การที่รัฐบาลให้ความสำคัญและมีแนวทางที่ชัดเจน ย่อมทำให้การบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม

นายกรัฐมนตรีสั่งเดินหน้าปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เข้มงวดห้ามขายใกล้สถานศึกษา

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพการประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเน้นเป้าหมายไปที่เยาวชนและสถานศึกษา

นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบและกวาดล้างการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบริเวณใกล้สถานศึกษา พร้อมย้ำว่าหากพบเจ้าหน้าที่รัฐหรือข้าราชการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องได้รับโทษทางวินัยและอาญา

“ดิฉันมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกรมศุลกากร ปราบปรามการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดภายใน 30 วัน โดยเริ่มจากการสกัดกั้นการนำเข้าที่ด่านศุลกากร ปิดช่องทางการลักลอบนำเข้า และจับกุมผู้ค้าที่ลักลอบจำหน่าย” นายกรัฐมนตรีระบุ

เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการบังคับใช้กฎหมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็น หน้าที่ของทุกภาคส่วนในการร่วมกันปกป้องเด็กและเยาวชน หากพบเห็นการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเยาวชน ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดีต่อไป”

ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์ แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า

วันที่ 11 มีนาคม 2568 ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนา หมอไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า: ข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องรู้” ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี ภายในงานจะมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ อันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าต่อสมองเด็ก, บุหรี่มือหนึ่ง มือสอง และมือสาม, สารเสพติดที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้า และความเสี่ยงที่นำไปสู่การเสพติดสารเสพติดชนิดอื่น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) รายงานว่าประเทศไทยมีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 2.6% เป็น 4.8% ของประชากรกลุ่มวัยรุ่นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
  • กรมควบคุมโรค (2567) เปิดเผยว่า 80% ของเยาวชนที่เริ่มใช้บุหรี่ไฟฟ้า มีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปสู่การสูบบุหรี่แบบมวนในอนาคต
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าบุหรี่ไฟฟ้าอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและปอด มากกว่าบุหรี่ทั่วไปถึง 30% หากใช้ในระยะยาว

สรุป

รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้สั่งการให้ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาดภายใน 30 วัน โดยเน้นเป้าหมายไปที่ กลุ่มเยาวชนและพื้นที่สถานศึกษา ด้านกระทรวงสาธารณสุขยืนยันดำเนินมาตรการตามกรอบกฎหมายอย่างเข้มงวด ขณะที่ราชวิทยาลัยวิชาชีพแพทย์เตรียมเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน

ฝ่ายที่สนับสนุนมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้ามองว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องเพื่อปกป้องสุขภาพของเยาวชนและประชาชนทั่วไป ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านชี้ว่าการแบนอาจ ทำให้เกิดตลาดมืดและการลักลอบนำเข้า ซึ่งอาจเป็นอันตรายมากขึ้นจากการขาดมาตรฐานในการควบคุม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567) / กรมควบคุมโรค / กระทรวงสาธารณสุข / องค์การอนามัยโลก (WHO)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘แพทองธาร’ ล้อมวงเปิดอก รับฟังข้อเสนอจิตอาสา หลังวิกฤตน้ำท่วมเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 เวลา 11.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงาน “ประสานพลัง ประสานใจ” โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวแทนจิตอาสา ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

โดยนายกฯ กล่าวว่า ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือกับทางภาครัฐ เพราะทราบตั้งแต่ต้น ทุกคนที่อยู่หน้างานโดยตรงได้เข้าช่วยเหลือทันที นี่คือสิ่งที่คนหน้างานตรงนั้นเข้าไปก่อนถือว่าช่วยพี่น้องประชาชนได้อย่างมากมายรวมถึงจิตอาสาวันนี้ที่ได้มาคุยกันอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายจริงๆ ทั้งภาคเอกชน รัฐบาล จิตอาสา ประชาชน หน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ต้องขอบพระคุณมากๆ และของช่วยเหลือที่หลั่งไหลเข้าไปในพื้นที่ผู้ประสบภัยเยอะ ฝ่ายหน้างานบอกว่า เรื่องของอาหารการกินค่อนข้างพอ แต่เราก็มาย้อนดูว่าเราจะทำอะไรเพิ่มเติมได้อีก ซึ่งตอนนี้ทราบอยู่แล้วน้ำมาจากทางภาคเหนือ และค่อยๆย้ายจากภาคเหนือไปภาคอีสาน ฉะนั้นวันนี้ขอให้ทุกคนมีข้อมูลอะไรที่อยากจะบอกทางรัฐบาลให้ซัพพอร์ตอย่างไร ทุกคนพร้อมและยินดีที่จะช่วยเหลือกัน มีอะไรที่อยากให้รัฐบาลปรับปรุงตรงไหนขอให้แชร์กันในวันนี้เลย เดินเข้ามาบอกได้เลยว่าทำอะไรให้พี่น้องประชาชนบ้าง ประชาชนต้องการอะไรบ้าง ขอให้แชร์กันแบบเปิดพื้นที่

จากนั้นนายกฯพูดคุยหารือร่วมกับคณะจิตอาสา 12 องค์กร และภาคเอกชน โดยตัวแทนสมาคมเจ็ตสกีแห่งประเทศไทย กล่าวขอบคุณนายกฯ พร้อมมีข้อเสนอจากที่ได้ลงพื้นที่และคุยกับชาวบ้านในระยะต่อไปเฟสที่ 3 คือการป้องกันปัญหาในระยะยาวไม่ให้น้ำเข้าแม่สายอีก อยากเสนอให้มีการทำเขื่อนริมแม่น้ำแม่สาย โดยใช้เข็มตอกสองฝั่ง ทำเป็นเขื่อนด้านบนเพื่อให้รถวิ่งริมแม่น้ำได้ เป็นการใส่เกาะชั้นที่ 1 มีแนวประมาณ 2 กิโลเมตรจากด่านศุลกากรแม่สายที่ 1 ยาวจนถึงด่านศุลกากรแม่สายด่านที่ 2 อาจใช้งบประมาณไม่เยอะสามารถทำได้รวดเร็วเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมในครั้งหน้า

ด้านนายกฯ กล่าวว่า ทราบว่าเจ็ตสกีสำคัญมากจึงได้คุยกับรองนายกรัฐมนตรีว่าเราจำเป็นต้องจัดซื้ออะไรเพิ่มหรือไม่ เพราะบางทีเครื่องมือใหญ่ๆเรือใหญ่ๆเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านไม่ได้ แต่เจ็ตสกีสามารถเข้าไปได้ คนอายุมาก หรือคนป่วยติดเตียงก็จะได้รับตัวออกมาได้

ด้านทีมตอบโต้ภัยพิบัติ RDAT มูลนิธิสยามนนทบุรี กล่าวว่า ขอสะท้อนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นปัญหาคือเราไม่มีการรายงานตัวแบบออนไลน์เป็นกู้ภัยแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานต่างๆอยู่ในแอพพลิเคชั่นดังกล่าว ให้รัฐบาลเป็นแกนกลางสั่งการ ซึ่งจะทำงานได้ง่ายไม่ต้องเสียเวลาไปรายงานตัวกับอำเภอ จังหวัด แล้วนั่งรองาน เพราะการรายงานใช้เวลาครึ่งวันกว่าจะได้เข้าพื้นที่ทำงาน ดังนั้นควรจะมีแอพพลิเคชั่นกลางในการจ่ายงานและการขอความช่วยเหลือผ่านแอพพลิเคชั่น ซึ่งวันนี้เทคโนโลยีสามารถทำทุกอย่างได้แล้วควรจะพัฒนาในเรื่องนี้ และหากมีแล้วก็ต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ

ขณะที่ประธานมูลนิธิเพชรเกษม กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนกลุ่มอาสาสมัคร เนื่องจากพวกเราเป็นแขนขาของรัฐบาลอย่างแท้จริง และสิ่งหนึ่งที่อยากได้โดยเป็นการขอความอนุเคราะห์จากรัฐบาล คือให้ยกเว้นภาษีองค์กรการกุศล เนื่องจากเป็นองค์กรที่ทำเพื่อประเทศชาติ โดยให้รัฐบาลพิจารณาว่าองค์กรไหนเข้าเกณฑ์ และขอให้ช่วยประสานงานแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในการที่ทีมอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือประชาชน จึงขอให้บูรณาการอาจจะทำเป็นเลนให้เจ้าหน้าที่ 1 เลน และขอให้ดูแลอาสาสมัครที่ลงไปปฎิบัติหน้าที่และเกิดอุบัติเหตุ

ด้านนายภูมิธรรม กล่าวว่า สิ่งที่นายกฯเน้นย้ำคือการช่วยเหลือชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ และได้รับรายงานเรื่องโคลน จึงได้ประสานงานกองทัพไทย และ 3 เหล่าทัพ ให้เข้าไปดำเนินการหน้างาน ซึ่งบ้านเรือนที่โดนโคลนจำนวน 500-1,000 หลังคาเรือน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องรีบทำเป็นเรื่องของสุขภาพของผู้ประสบอุทกภัย นอกจากเรื่องอาหารแล้วต้องมีเรื่องยาป้องกันโรคต่างๆตนยินดีและเต็มที่ และตนก็ทราบการติดขัดเรื่องการสื่อสาร เราจะเข้าไปช่วยอย่างเต็มที่ เชื่อว่าทั้งเครือข่ายทรูและ AIS จะรีบเข้าไปศึกษาจุดยุทธศาสตร์และนำสัญญาณเข้าไป

ด้านกู้ภัยคนแม่สาย กล่าวว่า การแจ้งเตือนของทางผู้ใหญ่บ้านไม่ทั่วถึง บางครั้งแจ้งเตือนบ่อยจนชาวบ้านไม่แน่ใจว่าน้ำจะขึ้นจริงหรือไม่ จนไม่มีความน่าเชื่อถือ พอน้ำมาจริงๆเราตั้งตัวไม่ทัน ขณะเดียวกันทีมงานกู้ภัยในอำเภอแม่สาย เครื่องมือไม่ครบ ในวันที่น้ำมาเราเข้าหน้างานอย่างเต็มกำลัง แต่ช่วยเหลือได้แค่ 40% ไม่มีเจ็ตสกี ไม่มีอุปกรณ์ที่จะอพยพคนออกมาทันที ต้องรออีก 1 วัน

นายกฯ กล่าวสรุปในช่วงท้ายว่า ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามา เชื่อว่าทุกคนทุกหน่วย ได้ทำแต่ละส่วนต่างกันไป แต่ทุกส่วนคือสิ่งสำคัญ สิ่งที่รัฐบาลตั้งใจคืออยากให้ความทุกข์ของพี่น้องประชาชนสั้นที่สุด อย่างตอนเยียวยา ดินโคลนถล่ม เราอยากให้ฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพเดิมให้เร็วที่สุด และคนที่หน้าหน้างานที่ดูแลขาดไม่ได้ทั้งหมด เป็นศูนย์รวมน้ำใจของคนไทย เพื่อช่วยคนไทยด้วยกันเอง อันนี้คือสิ่งสำคัญต้องขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง วันนี้เรามาร่วมกันด้วยความที่เรามีจิตใจตรงกันนั่นคือจิตใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนคนไทยด้วยกัน ฉะนั้นไม่มีใครมากไปกว่ากันหรือน้อยไปกว่ากัน ทุกคนตั้งใจที่จะช่วยจริงๆ แน่นอนทุกคนที่ส่งกำลังใจอย่างน้อยๆเป็นสิ่งดี เป็นเรื่องดีที่ทำให้ทุกคนมีกำลังใจทำงานต่อไป

“ขอให้กำลังใจหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่ผ่านมาต้องเหนื่อยกันมากและขอให้มีกำลังใจสู้ต่อ และแน่นอนภาคเอกชนทั้งหมดที่ช่วยส่งของยังไม่ขาดสาย ทั้งเรื่องสุขาและอีกหลายบริษัทที่มาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ น้ำใจของคนไทยยังอยู่ทั่วทั้งแผ่นดินไทย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี พระราชทานกระแสความห่วงใยมาตั้งแต่วันแรกๆ ถือว่าอย่างน้อยๆภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น แต่คนไทยยังรักกันและยังโชคดี”

จากนั้น นายกฯได้ออกมายังบริเวณ เสาธงหน้าตึกสันติไมตรี เพื่อรับมอบสิ่งของอุปโภค บริโภค อาหารแห้ง จากภาคเอกชน อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) มูลนิธิเอสซีจี SC ASSET กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน), ก่อนเดินเยี่ยมชมรถลำเลียงอุปกรณ์ของเหล่าทัพ พร้อมให้กำลังใจกำลังพลของเหล่าทัพที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน จากนั้นนายกฯได้เดินมายังสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า และกล่าวขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอีกครั้งว่า ขอขอบคุณทุกความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและจิตอาสา ที่ทำให้เห็นว่าประเทศเราแม้มีภัยภิบัติแต่ยังโชคดีที่คนไทยมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รัฐบาลจะทำหน้าที่ประสานพลังให้ประชาชนทั้งประเทศ วันนี้ที่เรามาร่วมกันเป็นภารกิจที่ทุกคนร่วมใจและอยากเยียวยาให้พี่น้องที่ประสบภัยตอนนี้มีความทุกข์ให้น้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News