Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย พร้อมแผนฟื้นฟูยั่งยืน

การประชุมวางแผนแก้ปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม เชียงใหม่-เชียงราย

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (คอส.) ครั้งที่ 2/2567 โดยมี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยที่ปรึกษา ศปช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์

เร่งรัดแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ

นายสุริยะ กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อเร่งรัดการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อบูรณาการทรัพยากรและแผนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องและเกิดความเป็นเอกภาพ

คณะทำงานดังกล่าวจะรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอแผนงานต่อที่ประชุมศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ก่อนนำเสนอแผนต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

ผลการประชุมและแผนดำเนินงานที่สำคัญ

ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบแนวทางสำคัญเพื่อปกป้องและลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน

    • รับทราบคำสั่งที่ 1/2567 ของคณะทำงานศึกษาวางแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ
    • ประเมินผลการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยเน้นความคืบหน้าและความสอดคล้องของแผนงาน
  2. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่

    • เสริมสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมและปรับปรุงระบบการระบายน้ำ
    • ฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต
  3. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย

    • บูรณาการการจัดการน้ำและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    • วางระบบเตือนภัยล่วงหน้าและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ

ความสำคัญของการประชุมและเป้าหมายในอนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

ทั้งนี้ นายสุริยะ ย้ำว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถในการฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้พิจารณาการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบตรวจวัดระดับน้ำแบบอัตโนมัติ และการวางแผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เมื่อแผนงานได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในปลายเดือนนี้ คาดว่าจะสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย

ข้อสรุป

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มอย่างจริงจัง โดยใช้แนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘น้ำท่วมเชียงราย’ พ่นพิษเสียหาย กระทบภาคเกษตรสูงถึง 6,412 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แสดงความกังวลต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังขยายวงกว้างในพื้นที่ 33 จังหวัดของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมวลน้ำจำนวนมหาศาล ทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวในพื้นที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่

น้ำท่วมเชียงใหม่กระทบหนัก รายได้หายกว่า 2,000 ล้านบาท

นายพัลลภ แซ่จิว รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ภาพลักษณ์ของเชียงใหม่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยจำนวนมากยกเลิกการเดินทางมายังเชียงใหม่ ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวที่เคยเฉลี่ยเดือนละ 6,000 ล้านบาท เหลือเพียง 200 ล้านบาทต่อวัน คิดเป็นความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท ในช่วง 10 วันที่ผ่านมา โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอย่าง อำเภอแม่แตง และ อำเภอแม่ริม ที่เป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ และคาดว่าสถานการณ์นี้จะลากยาวออกไปอีกอย่างน้อย 15 วัน หากไม่มีการฟื้นฟูและสร้างความเชื่อมั่นอย่างรวดเร็ว

น้ำท่วมกระทบภาคเกษตร เชียงรายเสียหายสูงสุด

จากการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากอุทกภัยในครั้งนี้ มูลค่าความเสียหายทั้งหมดกว่า 30,000 ล้านบาท โดยภาคการเกษตรได้รับผลกระทบหนักที่สุด คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 24,553 ล้านบาท หรือคิดเป็น 82.3% ของความเสียหายทั้งหมด ส่วนภาคบริการเสียหายเป็นมูลค่า 5,121 ล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม 171 ล้านบาท

สำหรับจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย มีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 6,412 ล้านบาท รองลงมาคือ จังหวัดพะเยา 3,292 ล้านบาท และ จังหวัดสุโขทัย 3,042 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดเชียงใหม่มีความเสียหายรวม 2,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขยังไม่นิ่งและอาจสูงกว่าที่ประเมินในปัจจุบัน

ภาคธุรกิจท่องเที่ยวเรียกร้องมาตรการช่วยเหลือด่วน

นายสนั่นได้เน้นย้ำว่า หอการค้าไทย ได้เร่งหารือกับภาครัฐเพื่อหามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเชียงใหม่ โดยหอการค้าไทยจะร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือ ทั้งการจัดหาสินค้าในราคาประหยัด การซ่อมแซมบ้านเรือน และการเยียวยาเชิงเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังมีแผนฟื้นฟูภาพลักษณ์การท่องเที่ยว โดยการจัดแคมเปญ “เชียงใหม่ปลอดภัย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาเยือน หลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งหากการประชาสัมพันธ์ล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปี และอาจทำให้รายได้หายไปอีกหลายพันล้านบาท

รัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ทางด้านรัฐบาลได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประสบภัย เช่น โครงการมอบเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท สำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น สนับสนุนเงินเพิ่มอีก 10,000 บาท เมื่อประชาชนใช้จ่ายครบ 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงรณรงค์ให้ผู้มีรายได้สูงร่วมบริจาคเงิน โดยสามารถนำใบเสร็จไปลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้

ข้อเสนอเพื่อรับมือวิกฤตอุทกภัยในอนาคต

นายสนั่นได้เสนอแนวทางในการรับมือกับอุทกภัยในอนาคต โดยเน้นการบูรณาการความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน ทั้งการพัฒนาระบบชลประทาน การออกแบบเมืองที่มีความยืดหยุ่นต่อภัยพิบัติ การประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยง และการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชน เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความพร้อมและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุป: การฟื้นฟูและการสร้างความเชื่อมั่นสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

การฟื้นฟูภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายหลังน้ำท่วมจะเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่ หากสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยลดผลกระทบระยะยาวและกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รองนายกฯ สั่งเร่งฟื้นฟูน้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงรายด่วน

 

วันที่ 8 ตุลาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) แถลงข่าวหลังประชุมคณะกรรมการประเมินสถานการณ์น้ำท่วมและดินโคลนถล่มว่า ในที่ประชุมได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยการประชุมร่วมกันทั้งจากส่วนกลางและศูนย์บัญชาการส่วนหน้าในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีการแจ้งประเด็นสำคัญ 5 ข้อเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต

สาเหตุน้ำท่วมหนักเชียงใหม่และแม่สาย

นายภูมิธรรม เปิดเผยว่าสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่อำเภอเชียงดาวและอำเภอแม่ริมในวันที่ 3 และ 4 ตุลาคม โดยปริมาณน้ำฝนที่ตกครั้งนี้สูงเป็นประวัติการณ์ และมีความรุนแรงมากกว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทั้งยังเกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทำให้สถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลกระทบในวงกว้าง นอกจากนี้น้ำจากอำเภอเชียงดาวที่ไหลมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เวลานานถึง 30 ชั่วโมง อำเภอแม่แตง 16 ชั่วโมง และอำเภอแม่ริม 6 ชั่วโมง ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำปิงสะสมและเกิดน้ำล้นตลิ่ง

จำเป็นต้องสร้างเขื่อนป้องกันเมืองและแก้ปัญหาลำน้ำปิง

การประชุมครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่าจำเป็นต้องสร้าง เขื่อนขนาดเล็ก เพื่อป้องกันพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ พร้อมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดเชียงใหม่ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ นอกจากนี้ยังพบว่าแม่น้ำปิงมีความตื้นเขินและคดเคี้ยว ส่งผลต่อการระบายน้ำ ทำให้กรมโยธาธิการและผังเมือง รวมถึงกรมเจ้าท่าและกรมปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องร่วมมือกันในการศึกษาเส้นทางน้ำและปรับปรุงพื้นที่ลุ่มน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมในอนาคต

ฟื้นฟูป่าต้นน้ำและจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำปิง

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นายภูมิธรรมกล่าวถึงคือ ปริมาณฝนที่ตกติดต่อกันถึง 5 วันในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1A และ 1B ส่งผลให้ป่าต้นน้ำไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ดีเหมือนในอดีต เนื่องจากมีการบุกรุกและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ผิดกฎหมายมากถึง 5% ทำให้การกักเก็บน้ำลดลง จึงมีคำสั่งให้กรมอุทยานแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการฟื้นฟูป่าต้นน้ำในพื้นที่อย่างจริงจัง

สร้างแผนแก้ไขปัญหาระยะยาวและระยะสั้น

จากสถานการณ์ดังกล่าว นายภูมิธรรมได้มอบหมายให้ที่ประชุมพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาแผนการแก้ไขปัญหาในระยะยาวและเฉพาะหน้า โดยมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นที่ปรึกษา เพื่อจัดทำแผนและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ภายใน 3 เดือน เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว โดยตั้งเป้าฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สายที่ได้รับความเสียหายจำนวน 753 หลังคาเรือน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งขณะนี้สามารถฟื้นฟูได้แล้ว 418 หลัง หรือคิดเป็น 56%

ยืนยัน “น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ” เหตุการณ์แบบปี 54 จะไม่เกิดขึ้น

นายภูมิธรรมยืนยันว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนปี 2554 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนภูมิพลยังคงสามารถรองรับได้ และมีการบริหารจัดการระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และไม่แชร์ข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือสร้างความตื่นตระหนกในสังคม

เร่งฟื้นฟูอาชีพและเกษตรกรรมในพื้นที่ประสบภัย

นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีการเสนอแผนการฟื้นฟูอาชีพและเกษตรกรรมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยประสานงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณางบประมาณในการซ่อมแซมฟื้นฟูพื้นที่การเกษตร รวมถึงการจัดการผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย โดยมีการแบ่งแผนเป็นระยะยาวและเฉพาะหน้าเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม

บทสรุป: วางแผนระยะยาว รับมือภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

จากการประชุมในครั้งนี้ นายภูมิธรรมได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวางแผนการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติอย่างมีระบบและยั่งยืน โดยต้องประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการจัดการลำน้ำปิง การสร้างเขื่อนป้องกันเมือง และการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ภาคเหนือ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะถูกแก้ไขและฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

นักวิชาการเตือน! ฝนหนัก-เกษตรเชิงเดี่ยว ต้นเหตุอุทกภัยเชียงใหม่

 

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 “อาจารย์สนธิ คชวัฒน์” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Sonthi Kotchawat” อธิบายถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยเน้นไปที่ปัญหาฝนตกหนักหลายวันและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูเขาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว ส่งผลให้เกิดมวลน้ำมหาศาลไหลท่วมลงมาสู่พื้นที่ราบ ทำให้เชียงใหม่เผชิญอุทกภัยในครั้งนี้

สาเหตุหลักของอุทกภัยจากฝนตกหนัก

จากข้อมูลที่อาจารย์สนธิได้เผยแพร่ ระบุว่า ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 เชียงใหม่มีฝนตกหนักต่อเนื่องนานถึง 3 วัน แม้จะไม่มีพายุเข้า แต่เกิดจากมวลอากาศเย็นจากแผ่นดินใหญ่เคลื่อนลงมาปะทะกับร่องมรสุมความกดอากาศต่ำในพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลให้ฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ อำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริม และอำเภอพร้าว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ราบเชิงเขาและเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยมีข้อมูลการวัดปริมาณน้ำฝนสูงถึง 200-300 มิลลิเมตรภายในระยะเวลา 3 วัน

 ต้นน้ำแม่ปิง – สาเหตุการท่วมตัวเมืองเชียงใหม่

แม่น้ำปิงซึ่งมีต้นกำเนิดจาก เทือกเขาผีปันน้ำ ในอำเภอเชียงดาว เป็นเส้นทางหลักที่น้ำจากพื้นที่ต้นน้ำไหลลงสู่เขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยแม่น้ำปิงจะไหลผ่านหุบเขาลงมาเข้าสู่พื้นที่ อำเภอแม่แตง ซึ่งรับน้ำจากแม่น้ำแม่งัดทางฝั่งซ้าย และแม่น้ำแม่แตงทางฝั่งขวา ก่อนจะไหลลงมาบรรจบในตัวเมืองเชียงใหม่และไหลต่อไปยังจังหวัดลำพูนและจังหวัดตาก ระหว่างทางยังมีแม่น้ำแม่กวง แม่น้ำลี้ และแม่น้ำแม่แจ่ม ไหลมาสมทบ ทำให้เกิดการสะสมของปริมาณน้ำจนเกินความจุของลำน้ำ ส่งผลให้น้ำปิงล้นตลิ่งในหลายจุด

ระดับความจุของแม่น้ำปิงในเขตตัวเมืองเชียงใหม่อยู่ที่ 440 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และระดับวิกฤติที่ทำให้น้ำเริ่มล้นฝั่งคือ 3.70 เมตร ซึ่งในครั้งนี้ระดับน้ำได้พุ่งเกินค่าดังกล่าว ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองและพื้นที่ใกล้เคียง

ผลกระทบจากการเปลี่ยนภูเขาเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว

นอกจากฝนตกหนักต่อเนื่องแล้ว อาจารย์สนธิยังได้ระบุถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าบนดอยสูงเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในปี 2566/2567 มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดในจังหวัดเชียงใหม่มากถึง 285,004 ไร่ โดยเฉพาะในอำเภอเชียงดาวมีการปลูกข้าวโพดจำนวน 19,878 ไร่ และในอำเภอแม่แตงอีก 1,636.75 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ดอยสูงที่เคยมีป่าธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นภูเขาหัวโล้น ทำให้เกิดปัญหาการชะล้างหน้าดินและน้ำป่าไหลลงสู่พื้นที่ราบได้อย่างรวดเร็ว

ภูเขาหัวโล้นกับการเพิ่มความเสี่ยงอุทกภัย

การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลลงมาอย่างรวดเร็ว เมื่อฝนตกบนภูเขาที่มีป่าใหญ่ น้ำฝนส่วนใหญ่จะถูกดูดซับและกักเก็บไว้ในดิน ปล่อยไหลลงสู่พื้นที่ด้านล่างเพียง 10% ทำให้การไหลของน้ำช้าและเกิดอุทกภัยได้น้อย แต่หากพื้นที่ภูเขาถูกเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวหรือภูเขาหัวโล้น ปริมาณน้ำฝนที่ถูกดูดซับจะมีเพียง 10% ในขณะที่อีก 90% จะไหลลงสู่พื้นที่ราบด้านล่างอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและความเสียหายอย่างหนัก

แนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เชียงใหม่จำเป็นต้องมีการจัดการทั้งในระดับพื้นที่ต้นน้ำและการวางระบบระบายน้ำในเขตเมือง โดยต้องมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำในพื้นที่ดอยสูง และลดการทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวลง เพื่อให้พื้นที่ดอยสามารถดูดซับน้ำได้มากขึ้น รวมถึงการวางแผนระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพในเขตเมืองเชียงใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมซ้ำในอนาคต

บทสรุป: การฟื้นฟูพื้นที่ป่าและจัดการน้ำคือทางออก

ปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาธรรมชาติ แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ดอยสูงจากป่าเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาวจึงต้องมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำ และลดการใช้พื้นที่บนดอยเป็นเกษตรกรรม เพื่อช่วยให้ดอยสูงกลับมาเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติอีกครั้ง รวมถึงต้องมีการวางแผนระบบจัดการน้ำในตัวเมืองที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดน้ำท่วมในอนาคตอย่างยั่งยืน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กำแพงป้องกันแชงกรี-ลา เชียงใหม่ กันน้ำทะลักเอาอยู่แม้ท่วมหนัก

 

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะบริเวณที่ติดกับริมแม่น้ำปิงทั้ง 2 ฝั่ง ส่งผลให้น้ำไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ตลาดวโรรส, ตลาดเมืองใหม่, บ้านเรือน, และอาคารพาณิชย์หลายแห่ง โดยระดับน้ำบางจุดสูงถึงระดับอก ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะมีการกั้นกระสอบทรายเพื่อป้องกันน้ำแล้ว แต่ก็ไม่สามารถต้านทานมวลน้ำได้ทั้งหมด

ในขณะเดียวกัน โรงแรมแชงกรี-ลา เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนช้างคลาน ใกล้ริมแม่น้ำปิง ได้กลายเป็นตัวอย่างในการป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยโรงแรมได้ติดตั้งระบบกำแพงกันน้ำชั่วคราวที่ด้านหน้า รวมถึงการวางระบบระบายน้ำป้องกันน้ำทะลักทางท่อภายใน ทำให้โรงแรมไม่ถูกน้ำท่วม ขณะที่บริเวณโดยรอบจมอยู่ใต้น้ำ นอกจากนี้ โรงแรมยังจัดรถขนาดใหญ่ช่วยรับส่งลูกค้าและประชาชน จนได้รับเสียงชื่นชมจากชาวเน็ตในความพร้อมรับมือกับภัยพิบัติครั้งนี้

“Flood Barriers” โซลูชั่นที่ควรมีทุกบ้าน

Wan Wiriya ผู้ใช้โซเชียลได้โพสต์ข้อความแนะนำว่า ควรนำกำแพงกันน้ำชั่วคราว หรือ Flood Barriers มาใช้ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม โดยเฉพาะบ้านเรือนที่อยู่ใกล้แม่น้ำและหน่วยงานราชการที่สำคัญ ทั้งนี้ กำแพงกันน้ำมีหลายรูปแบบและราคาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัสดุและลักษณะการใช้งาน เช่น:

  1. กำแพงกันน้ำชั่วคราว (Sandbags):
    เป็นวิธีที่พบมากที่สุด ใช้กระสอบทรายเรียงกันเพื่อสร้างแนวกั้นน้ำ ราคาถูก แต่ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก (ราคา 30-60 บาทต่อกระสอบ)

  2. กำแพงน้ำ (Water-filled Barriers):
    เป็นท่อหรือกำแพงที่สามารถเติมน้ำได้ ใช้งานได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับน้ำท่วมระดับต่ำถึงปานกลาง (ราคาประมาณ 3,000 – 10,000 บาทต่อเมตร)

  3. กำแพงน้ำท่วมแบบโมดูลาร์ (Modular Flood Walls):
    ทำจากโลหะเบาหรือพลาสติก ปรับใช้กับพนังเหล็กแบบหนา สามารถติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับพื้นที่เมืองหรือหน่วยงานสำคัญ (ราคาประมาณ 10,000 – 50,000 บาทต่อเมตร)

นอกจากนี้ นายพัลลภ แซ่จิว รักษาการประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ยังกล่าวว่า ระบบกำแพงกันน้ำของโรงแรมแชงกรีลาเป็นตัวอย่างที่ควรนำไปใช้ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมอื่นๆ เพราะสามารถป้องกันน้ำไหลเข้าพื้นที่โรงแรมได้ แม้ว่าระดับน้ำจะต่างกันเกือบ 1 เมตร

ความเสียหายจากน้ำท่วม สะท้อนถึงความจำเป็นในการเตรียมพร้อม

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านและเจ้าของกิจการในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก หลายคนเพิ่งปรับปรุงร้านใหม่ บางบ้านถึงกับจมทั้งหลัง สถานการณ์ดังกล่าวเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเตรียมการรับมือน้ำท่วมด้วยการติดตั้งระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพ และหันมาใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น กำแพงกันน้ำชั่วคราวและระบบระบายน้ำที่สามารถป้องกันน้ำทะลักเข้าบ้านได้

สำหรับผู้ที่สนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกำแพงกันน้ำท่วม สามารถดูสินค้าได้จากบริษัทต่างๆ เช่น Garrison Flood Control หรือศึกษาแนวทางการ DIY ที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

เชียงใหม่ต้องไม่จม! การรับมือภัยพิบัติครั้งนี้เป็นบทเรียนสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องนำไปปรับใช้ ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันวางแผนระบบป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง เพื่อลดความเสียหายและเตรียมความพร้อมสำหรับเหตุการณ์ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Wan Wiriya / Demonball Ball

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

น้ำท่วมเชียงใหม่ปี 67 หนักสุดในรอบ 200 ปี แม่น้ำปิงรับน้ำไม่ไหว

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐ มาแจ้ง อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งระบุว่า น้ำท่วมปีนี้ถือว่าเป็นน้ำท่วมระดับ “รอบ 200 ปี” แม้ว่าอัตราการไหลของน้ำจะน้อยกว่าปี 2554 แต่ระดับน้ำกลับสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

จากการเปรียบเทียบข้อมูลระดับน้ำและอัตราการไหลของแม่น้ำปิง พบว่า ปี 2567 นี้ มีอัตราการไหลสูงสุดที่ 656 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งน้อยกว่าปี 2554 ที่มีอัตราการไหลสูงสุดถึง 816.8 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในทางกลับกัน ระดับน้ำสูงสุดในปีนี้กลับอยู่ที่ 305.8 เมตรรทก. ซึ่งสูงกว่าปี 2554 ที่ระดับ 305.44 เมตรรทก. แสดงให้เห็นว่าแม่น้ำปิงในปัจจุบันมีความสามารถในการระบายน้ำได้น้อยลงมากเมื่อเทียบกับอดีต

ผศ.ดร.ณัฐ ได้วิเคราะห์ว่า การที่แม่น้ำปิงมีความสามารถในการระบายน้ำลดลง อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การรุกล้ำแนวทางน้ำ การทับถมของตะกอนในลำน้ำ หรือมีสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำ ซึ่งทำให้แม้ปริมาณน้ำไหลจะน้อยกว่า แต่ระดับน้ำกลับสูงขึ้นมาก เป็นสัญญาณว่าลำน้ำมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างชัดเจน

เมื่อนำข้อมูลอัตราการไหลและระดับน้ำมาคำนวณเป็นรอบปีการเกิดซ้ำ พบว่า ระดับน้ำสูงสุดในปี 2567 อยู่ในระดับที่เกิดซ้ำได้ทุก ๆ 200 ปี ขณะที่ระดับน้ำสูงสุดในปี 2554 อยู่ที่รอบการเกิดซ้ำ 46 ปี แต่อัตราการไหลกลับตรงกันข้าม โดยปี 2567 อัตราการไหลสูงสุดอยู่ในรอบการเกิดซ้ำเพียง 17 ปี ขณะที่ปี 2554 อัตราการไหลสูงสุดอยู่ในระดับ 62 ปี แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบระบายน้ำและลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำปิงที่มีแนวโน้มแย่ลง

ดร.ณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม่น้ำปิงที่ไหลผ่านตัวเมืองเชียงใหม่มีความสามารถในการระบายน้ำลดลงอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีการเตรียมรับมือและระบบระบายน้ำที่ดี แต่หากยังมีการรุกล้ำลำน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของแม่น้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำท่วมในอนาคตอาจจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่โดยตรง

นอกจากนี้ เขายังเน้นว่าการปรับปรุงลำน้ำ คูคลอง และเส้นทางน้ำในพื้นที่เชียงใหม่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ระบบระบายน้ำสามารถรองรับน้ำท่วมได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างและการพัฒนาเมืองที่รุกล้ำพื้นที่ทางน้ำมากกว่าที่ควรจะเป็น หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงใหม่อาจเกิดซ้ำบ่อยครั้ง และความรุนแรงของน้ำท่วมจะสูงขึ้นตามลำดับ

จากการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ข้อมูลระดับน้ำและอัตราการไหลของแม่น้ำปิง ผศ.ดร.ณัฐ มาแจ้ง จึงสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของลำน้ำปิงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น แม้จะมีอัตราการไหลของน้ำที่ลดลงก็ตาม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป และการปรับตัวของมนุษย์ที่มีผลต่อระบบนิเวศน้ำในพื้นที่

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำและการฟื้นฟูลำน้ำ เพื่อให้ลำน้ำสามารถรองรับปริมาณน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต” นอกจากนี้ การป้องกันและเตรียมการล่วงหน้าจำเป็นต้องวางแผนระยะยาว โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งจากธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์เป็นหลัก เพื่อป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Nat MJ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

พระครูอ๊อดนำช้างลุยน้ำท่วมเชียงใหม่ ช่วยชาวบ้านฝ่าวิกฤตเสบียงขาดแคลน

 

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2567 พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้นำช้างจากบ้านพักช้างตระกูลแสน ได้แก่ พลายคุณแสน และพลายแสนทัพ ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในอำเภอสารภี ถนนสายต้นยาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเกิดน้ำท่วมสูงบางจุดจนไม่สามารถเข้าถึงได้โดยรถขนาดใหญ่

การนำช้างมาช่วยเหลือในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่สามารถใช้รถหกล้อหรือเรือเข้าไปในพื้นที่ได้ เนื่องจากกระแสน้ำที่ไหลแรงและระดับน้ำที่สูง ทำให้ช้างกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการขนส่งเสบียงและสิ่งของจำเป็น เช่น ข้าวสาร อาหารแห้ง และข้าวกล่อง เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในพื้นที่ประสบภัย

พระครูอ๊อดกล่าวว่า ช้างเป็นสัตว์ที่มีพละกำลังสูงและสามารถฝ่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกรากได้ดีกว่าเรือท้องแบน นอกจากนี้ ยังมีทีมควาญช้างและทีมกู้ภัยน้ำหลากคอยประกบช้างทั้งสองตลอดการทำงานเพื่อความปลอดภัย โดยช้างทั้งสองเชือกยังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะมีอุปสรรคจากกระแสน้ำและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ในพื้นที่

“การนำช้างมาช่วยเหลือในครั้งนี้ไม่ใช่แค่การช่วยผู้ประสบภัย แต่ยังเป็นการฝึกช้างให้มีความคุ้นเคยกับการทำงานช่วยเหลือสังคม ซึ่งถือว่าเป็นการใช้พละกำลังของช้างให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง นับเป็นภารกิจสำคัญของช้างตระกูลแสนที่จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวบ้านในเวลาวิกฤต” พระครูอ๊อดกล่าว

ช้างทั้งสองเชือกได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากทีมงานควาญช้าง เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น เช่น การเหยียบตะปูหรือท่อที่อาจอยู่ในน้ำ นอกจากนี้ยังมีการควบคุมการเดินของช้างในเลนกลางถนน และมีทีมกู้ภัยคอยประกบทุกฝีก้าว

คุณแสนและแสนทัพยังแสดงความน่ารักให้เห็นในระหว่างการช่วยเหลือ เมื่อมีคนเรียกชื่อ “แสนทัพ” ช้างก็หันไปทักทายด้วยการโบกงวง ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกอบอุ่นและชื่นชมการทำงานของทั้งช้างและทีมช่วยเหลือ

พระครูอ๊อดได้เปิดรับบริจาคเพื่อสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยผู้ที่สนใจสามารถร่วมทำบุญได้ที่บัญชีธนาคารกรุงไทย เลขที่ 5400186947 หรือผ่านระบบพร้อมเพย์หมายเลข 0808500184 ในชื่อบัญชี “พระวีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน”

ผู้ใช้โซเชียลต่างพากันชื่นชมการทำงานของทีมช้างและทีมกู้ภัย พร้อมแชร์โพสต์และภาพถ่ายของคุณแสนและแสนทัพที่ลุยน้ำช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ทำให้ข่าวนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในโลกออนไลน์

การลงพื้นที่ช่วยเหลือของช้างตระกูลแสนในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจให้กับคนในสังคมในการทำความดีและช่วยเหลือกันในช่วงเวลาวิกฤตอีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการทำงานจิตอาสาที่ใช้ทรัพยากรอย่าง “ช้าง” ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสังคมในเวลาที่ต้องการ

ร่วมกันสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้พระครูอ๊อดและทีมกู้ภัยในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมครั้งนี้ เพื่อให้ช้างไทยได้แสดงพละกำลังและศักยภาพในการช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มที่ต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : แซนดี้ อะโลฮ่า (Sandy Aloha)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

พระแบกโลงศพลุยน้ำ หลังน้ำท่วมวัดป่าแพ่ง เชียงใหม่ จนเมรุงดใช้งาน

 

มื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00 น. สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ยังคงวิกฤติ หลังจากระดับน้ำในแม่น้ำปิงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลกระทบให้หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมอย่างหนัก โดยเฉพาะวัดป่าแพ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในย่านตลาดเมืองใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ที่ขณะนี้ถูกน้ำท่วมสูงจนไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ

จากภาพที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย แสดงให้เห็นพระสงฆ์และสามเณรภายในวัดต้องลงแช่น้ำที่ท่วมสูงถึงระดับหน้าอกเพื่อวัดระดับน้ำและดูแลความปลอดภัยของพื้นที่โดยรอบ เผยให้เห็นถึงความรุนแรงของสถานการณ์น้ำท่วมที่เข้าท่วมลานวัดและอาคารต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว แม้ว่าโชคดีที่น้ำยังไม่ท่วมถึงในวิหารหลวงของวัด แต่บริเวณรอบวิหารและพื้นที่ในวัดเกือบทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำ

ส่วนพื้นที่บริเวณด้านหลังวัด ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมรุเผาศพ ก็ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างหนัก ทำให้ต้องงดการประกอบพิธีฌาปนกิจศพในช่วงนี้ชั่วคราว เจ้าหน้าที่วัดและชาวบ้านได้ช่วยกันขนย้ายโลงศพออกจากพื้นที่เพื่อลดความเสียหายเพิ่มเติม

สำหรับชาวบ้านและผู้ค้าขายในบริเวณตลาดเมืองใหม่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกับวัดป่าแพ่ง ต่างได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งนี้เช่นกัน หลายร้านค้าต้องปิดชั่วคราวเพราะระดับน้ำเข้าท่วมจนไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เจ้าหน้าที่และทีมอาสาสมัครได้เข้ามาช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายสิ่งของมีค่าและป้องกันน้ำท่วมเข้าร้านค้า

สถานการณ์น้ำท่วมในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะคลี่คลายเมื่อใด เนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำปิงยังอยู่ในระดับวิกฤติ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงเตรียมพร้อมอพยพในกรณีที่ระดับน้ำเพิ่มขึ้นกะทันหัน พร้อมทั้งตรวจสอบทรัพย์สินและเคลื่อนย้ายสิ่งของมีค่าไปยังพื้นที่สูงเพื่อป้องกันความเสียหาย

ทางด้านเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้วางแผนเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ และจะเร่งระดมทรัพยากรเพื่อจัดการกับสถานการณ์ให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : วัดป่าแพ่ง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

น้ำป่าท่วมศูนย์บริบาลช้างแม่แตง เชียงใหม่ เร่งช่วยเหลือสัตว์กว่า 3,000 ชีวิต

 

เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 เวลา 18.20 น. พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือเร่งด่วนผ่านสื่อโซเชียล ขออาสาสมัครและกำลังสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือสัตว์หลายพันชีวิตในศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากเกิดน้ำป่าหลากเข้าท่วมพื้นที่อย่างหนัก ทำให้การขนย้ายสัตว์ต่าง ๆ ในศูนย์ประสบความยากลำบาก โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระดับน้ำยังคงสูงและการทำงานของทีมช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณคลองศูนย์ในอำเภอแม่แตง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากในครั้งนี้ เนื่องจากปริมาณน้ำที่ท่วมสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่ภายในศูนย์ซึ่งมีช้างประมาณ 100 เชือกได้รับความเสียหาย โดยส่วนใหญ่เป็นช้างเพศเมีย ช้างชรา และช้างพิการที่ศูนย์รับมาดูแล

ในเบื้องต้น ทางศูนย์ได้ทำการขนย้ายช้างทั้งหมดขึ้นไปอยู่บนพื้นที่สูงเพื่อความปลอดภัยแล้ว แต่ยังมีสัตว์เล็กอื่น ๆ ที่เลี้ยงไว้ในพื้นที่เดียวกัน เช่น หมู วัว ควาย หมา และแมว กว่า 3,000 ชีวิตที่ยังต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน คุณแสงเดือน ชัยเลิศ ผู้ดูแลศูนย์ ได้โพสต์ขอความช่วยเหลือผ่านทาง Facebook เพื่อให้ทีมอาสาสมัครและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยขนย้ายสัตว์เหล่านี้ออกจากพื้นที่โดยด่วน เนื่องจากการเดินทางในเส้นทางปกตินั้นไม่สามารถทำได้ จำเป็นต้องใช้เส้นทางผ่านบ้านแม่ตะมานและบ้านปางไม้แดงเท่านั้น

สำหรับความช่วยเหลือในขณะนี้ จำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริม เช่น รถสิบล้อสำหรับขนย้ายสัตว์ขนาดใหญ่ เรือเจ็ตสกี เรือกู้ภัย และเรือขนาดเล็กเพื่อการขนย้ายสัตว์เล็ก รวมถึงต้องการทีมอาสาสมัครจำนวนมากเพื่อสนับสนุนการขนย้ายสัตว์และช่วยเหลือในพื้นที่ประสบภัย

ด้านพระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานงานทีมลูกศิษย์และทีมอาสากู้ภัยของวัดเจดีย์หลวงเข้าไปสนับสนุนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยในขณะนี้พระครูอ๊อดและทีมอาสาได้เดินทางถึงพื้นที่แล้ว และกำลังประสานงานกับทีมอาสาเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อร่วมกันช่วยเหลือสัตว์และควาญช้างในพื้นที่

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างแม่แตงยังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากปริมาณน้ำที่ไหลหลากอย่างต่อเนื่องได้เริ่มกัดเซาะพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำแม่แตง ทำให้ระเบียงชมช้างในบริเวณบ้านพักช้างหลายจุดได้รับความเสียหายและมีความเสี่ยงที่จะถูกน้ำเซาะพังทลาย พระครูอ๊อดยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “แค่ให้ช้างและควาญช้างในความดูแลปลอดภัย พระครูฯ ก็ดีใจมากแล้ว แต่ตอนนี้เราต้องช่วยกันฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกันให้ได้”

ด้านเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ยังคงประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยกู้ภัยต่าง ๆ ในการเร่งระดมกำลังและอุปกรณ์เข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม พร้อมทั้งจัดตั้งศูนย์ประสานงานชั่วคราวในบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้สามารถเข้าถึงการขนย้ายและดูแลสัตว์ที่ได้รับผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ทางศูนย์บริบาลช้างและทีมอาสาฯ ยังได้วางแผนขนย้ายสัตว์ในช่วงกลางคืนเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ เนื่องจากหากฝนยังคงตกลงมาเพิ่มเติม จะทำให้การขนย้ายในเวลากลางวันยิ่งมีความยากลำบากมากขึ้น และเส้นทางการเดินทางอาจถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์

สถานการณ์ล่าสุด ทางศูนย์ยังคงต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรืออาสาสมัครทั่วไปที่สามารถช่วยเหลือได้ โดยสามารถติดต่อประสานงานได้ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างแม่เล็กแสงเดือน หรือประสานงานผ่านเพจ Facebook ของศูนย์ฯ เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว

ขอให้ประชาชนในพื้นที่อำเภอแม่แตงและใกล้เคียงติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำท่วมอย่างใกล้ชิด หากพบเห็นสัตว์ที่ต้องการความช่วยเหลือหรือพื้นที่ที่มีความเสี่ยง สามารถแจ้งทีมอาสาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างทันท่วงที

ล่าสุดมีรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการย้ายช้างจำนวน 117 เชือกไว้ในสถานที่ที่ปลอดภัยแล้วเหลือเพียงการช่วยเหลือช้างอีกประมาณ 10 เชือกซึ่งส่วนใหญ่เป็นช้างตัวผู้ และมีบางเชือกเป็นช้างที่ตาบอดต้องใช้ควาญที่มีความคุ้นเคยในการเข้ากู้ชีพ
 
ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ขณะนี้มีน้องช้าง น้องวัว น้องควายบางส่วนที่ช่วยไม่ทันได้ไหลไปตามน้ำทางอุโมงค์ ถ้าท่านใดพบเห็นสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ตามเบอร์ด้านล่างนี้
คุณเเพตตี้094 – 6352892
คุณไพลิน 088 – 9172668
คุณดาด้า 098 – 6566685
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กู้ภัยแม่โจ้/ควาญแบงค์พลายน้ำแตง / พระครูอ๊อด วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News