Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำท่วมหนัก ประปาเริ่มจ่ายน้ำช่วยเหลือประชาชน

แม่สายฟื้นตัวจากอุทกภัย: การประปาฯ และหน่วยงานท้องถิ่นระดมช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย ที่เริ่มทยอยจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมความหวังที่ชุมชนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การระดมกำลังจากกรมทรัพยากรน้ำ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย และหน่วยงานในพื้นที่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาความเดือดร้อนและปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในยามวิกฤต

ฝนกระหน่ำและสายน้ำที่โหมกระพือ

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆฝนหนาที่ยังคงเทน้ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านปิยะพร และชุมชนใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มสังเกตเห็นระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำ รวมถึงในฝั่งเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายรับน้ำปริมาณมหาศาลจนเกินกว่าพนังกั้นน้ำจะรับไหว ไม่นาน น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมถนน พื้นที่ลุ่มต่ำ และบ้านเรือนของประชาชนอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อน้ำท่วมขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตลาดสายลมจอย และบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ชาวบ้านจำนวนมากต้องเผชิญกับความสูญเสียทรัพย์สิน ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและตะกอนโคลนที่ไหลเข้าปิดกั้นระบบ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายต้องหยุดจ่ายน้ำชั่วคราว เนื่องจากน้ำดิบมีความขุ่นสูงเกินกว่าที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้ ความหวังของประชาชนในพื้นที่เริ่มริบหรี่ ขณะที่หลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากแม่น้ำสาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่ฝนตกหนักและน้ำจากลุ่มน้ำในเมียนมาไหลบ่าลงมา ชาวบ้านในชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเร่งหาทางแก้ไขเพื่อลดความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน

การระดมกำลังช่วยเหลือและฟื้นฟู

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มรุนแรง หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายและระดับชาติไม่รอช้าที่จะลงมือปฏิบัติการช่วยเหลือทันที กรมทรัพยากรน้ำ ภายใต้การนำของนายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จัดเตรียมเครื่องจักรและกำลังพลเพื่อเข้าสนับสนุนพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สาย โดยนายนิทัศน์ สุดดีพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 มอบหมายให้นายศิริศักดิ์ เกษารัตน์ ผู้อำนวยการส่วนการจัดสรรน้ำที่ 1 ลำปาง นำทีมเจ้าหน้าที่ 15 คน พร้อมเครื่องจักร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว 2 ชุด เครื่องสูบน้ำขนาด 3 นิ้ว 3 ชุด และรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 1 คัน เข้าติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดวิกฤต เช่น ตลาดสายลมจอย ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่

ในขณะเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ระดมทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย พร้อมทีมงาน นำกระสอบทราย 9,000 ใบ รถบรรทุกน้ำ 4 คัน รวมถึงรถดับเพลิงที่บรรทุกน้ำได้ 12,000 ลิตร และเครื่องสูบน้ำ 4 ชุด เข้าสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ อบจ.เชียงรายยังส่งรถไถ 1 คัน เพื่อช่วยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางในพื้นที่น้ำท่วม

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชน ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูระบบน้ำประปา หลังจากน้ำดิบในแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงจนไม่สามารถผลิตน้ำได้ในช่วงแรก เมื่อสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายและค่าความขุ่นลดลง ทีมงานของ กปภ.สาขาแม่สายสามารถเริ่มผลิตน้ำได้ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 และทยอยจ่ายน้ำเข้าสู่ระบบท่อตั้งแต่เวลา 18.40 น. โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเวลา 19.00 น. ของวันเดียวกัน กปภ.สาขาแม่สายออกแถลงการณ์ขออภัยในความไม่สะดวกและยืนยันความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูการให้บริการโดยเร็วที่สุด

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ร่วมกับนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ และทีมงาน พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายสูงเกินพนังกั้นน้ำ ส่งผลให้น้ำล้นผ่านกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กที่กั้นไว้ใต้สะพาน ไหลเข้าท่วมชุมชนริมน้ำอย่างรวดเร็ว ผู้ว่าฯ สั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำและป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารและแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านหน่วยงานท้องถิ่น

การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่เพียงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการวางแผนป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว เทศบาลตำบลแม่สายได้รับการสนับสนุนกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจาก อบจ.เชียงราย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในระดับชุมชน ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำเตรียมประสานงานกับหน่วยงานข้ามพรมแดนในเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสายและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

ความหวังและการฟื้นตัวของชุมชน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในอำเภอแม่สายเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลง หลังจากฝนหยุดตกและเครื่องสูบน้ำทำงานอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น บ้านปิยะพร และพื้นที่ใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มเห็นน้ำลดลงจากถนนและบ้านเรือน การกลับมาของระบบน้ำประปาจาก กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการฟื้นตัว

การสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย เช่น รถบรรทุกน้ำและกระสอบทราย ช่วยให้ชุมชนสามารถจัดการกับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “เราจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์ภัยพิบัติ และจะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อให้แม่สายกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ในระยะยาว หน่วยงานต่างๆ มีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น การเสริมพนังกั้นน้ำและการขุดลอกลำน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ นอกจากนี้ ชุมชนในแม่สายจะได้รับการสนับสนุนด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอย เพื่อให้สามารถกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การระดมเครื่องจักร กำลังพล และทรัพยากรจากกรมทรัพยากรน้ำ อบจ.เชียงราย และ กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยลดผลกระทบและเร่งการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การประสานงานระหว่างหน่วยงาน ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการทำงานร่วมกับชุมชน สร้างความเข้มแข็งในการรับมือภัยพิบัติ
  3. การฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค การกลับมาของน้ำประปาภายใน 24 ชั่วโมงหลังน้ำท่วมแสดงถึงความพร้อมของ กปภ.สาขาแม่สายในการจัดการวิกฤต
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลและสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำท่วมที่ไม่เพียงพอ พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กไม่สามารถต้านทานน้ำปริมาณมากได้ แสดงถึงความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
  2. การพึ่งพาน้ำจากลุ่มน้ำข้ามพรมแดนnน้ำท่วมส่วนหนึ่งเกิดจากฝนตกหนักในเมียนมา ซึ่งต้องมีการประสานงานข้ามชาติเพื่อบริหารจัดการน้ำ
  3. ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำ ชุมชนริมแม่น้ำสายยังคงเสี่ยงต่อน้ำท่วมซ้ำซาก ต้องมีการยกระดับที่อยู่อาศัยและวางแผนผังเมืองใหม่
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะสั้น

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • ลงทุนในโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม สร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำที่ทนทาน และขุดลอกลำน้ำเพื่อเพิ่มความจุน้ำ
  • พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันแจ้งเตือนน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวได้ทันท่วงที
  • ประสานงานข้ามพรมแดน สร้างความร่วมมือกับเมียนมาในการบริหารจัดการลุ่มน้ำสาย เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการและให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในแม่สาย
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในอำเภอแม่สายส่งผลกระทบต่อครัวเรือนกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอยและชุมชนริมน้ำ
    • แหล่งอ้างอิง: หอการค้าไทย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย.
  3. การสนับสนุนจากหน่วยงาน
    • ในปี 2567 หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลใช้เครื่องสูบน้ำกว่า 50 ชุดและกระสอบทรายกว่า 100,000 ใบในการจัดการน้ำท่วมทั่วภาคเหนือ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายรับน้ำใจ ‘หมูเด้ง’ สวนสัตว์ฯ ช่วย ร.ร. 17 แห่ง

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยสรุปความสำเร็จโครงการ “หมูเด้ง” เฟสแรก ช่วยเหลือผู้ประสบภัย-พัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ มอบเงินช่วยเหลือกว่า 5 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเฟส 2

กรุงเทพฯ, 21 มีนาคม 2568 – องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ประกาศความสำเร็จของโครงการ “หมูเด้ง” เฟสแรก ซึ่งสามารถระดมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหลายจังหวัด รวมทั้งสนับสนุนการดูแลสวัสดิภาพสัตว์ในสวนสัตว์ได้มากกว่า 5 ล้านบาท โดยเงินบริจาคดังกล่าวได้ถูกส่งมอบให้แก่โรงเรียนที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ รวมทั้งผ่านทางสภากาชาดไทยและมูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อให้การช่วยเหลือเกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม

นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการ “หมูเด้ง” เกิดขึ้นจากความตั้งใจขององค์การสวนสัตว์ฯ ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่า ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2567 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่หลายจังหวัด โดยเฉพาะในภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงราย และภาคใต้บางพื้นที่

การระดมทุนในโครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรภาคเอกชนมากถึง 98 ราย ส่งผลให้สามารถบริจาคสิ่งของและเงินสนับสนุนให้แก่โรงเรียนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม รวมถึงดำเนินกิจกรรมด้านการดูแลสัตว์ในสวนสัตว์ให้ดียิ่งขึ้น

รายละเอียดการช่วยเหลือภายใต้โครงการ “หมูเด้ง” เฟสแรก

  • ครั้งที่ 1: บริจาคที่นอนจำนวน 200 ชุด ให้แก่โรงเรียน 8 แห่งในจังหวัดเชียงราย
  • ครั้งที่ 2: บริจาคเงินจำนวน 500,000 บาท ให้แก่โรงเรียน 10 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่
  • ครั้งที่ 3: บริจาคเงินจำนวน 1,450,000 บาท ให้แก่โรงเรียน 14 แห่งในภาคใต้
  • ครั้งที่ 4: บริจาคเงินจำนวน 1,150,000 บาท ให้แก่โรงเรียน 9 แห่งในจังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ เงินบริจาคส่วนที่เหลือยังถูกจัดสรรเพื่อนำไปสนับสนุนภารกิจของสภากาชาดไทยและมูลนิธิชัยพัฒนาในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่อื่น ๆ

เชียงรายเป็นพื้นที่หลักในการรับการสนับสนุนจากโครงการ

จังหวัดเชียงรายได้รับการสนับสนุนจากโครงการนี้ใน 2 ช่วง คือ การบริจาคที่นอนในระยะแรก และการมอบเงินช่วยเหลือแก่โรงเรียน 9 แห่งในระยะต่อมา ซึ่งช่วยให้การฟื้นฟูสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ยังมีการประสานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในอนาคต

ด้านการดูแลสวัสดิภาพสัตว์

องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยยังได้ใช้งบประมาณจากโครงการดังกล่าวในการปรับปรุงพื้นที่จัดแสดงฮิปโปโปเตมัสแคระ “หมูเด้ง” ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี โดยเน้นการยกระดับความเป็นอยู่ของสัตว์ตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งกระจายทรัพยากรไปยังสวนสัตว์อีก 5 แห่งในเครือ เพื่อส่งเสริมการขยายพันธุ์สัตว์หายาก และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมภายในสวนสัตว์ให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า

แผนดำเนินโครงการ “หมูเด้ง” เฟส 2

องค์การสวนสัตว์ฯ ได้เปิดตัวโครงการ “หมูเด้ง เฟส 2” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ภายใต้แนวคิด “ชวนช่วยเพื่อนสัตว์ป่าและสนับสนุนการศึกษา” ซึ่งมีเป้าหมายในการระดมทุนต่อเนื่องจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569 เพื่อนำรายได้ไปใช้ในการดูแลสัตว์ทั้งในสวนสัตว์และในธรรมชาติ ตลอดจนสนับสนุนโครงการด้านการศึกษาเกี่ยวกับสัตว์ป่าในระดับเยาวชนและชุมชนท้องถิ่น

เสียงสะท้อนจากหลายภาคส่วน

ประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายโดยเฉพาะในเขตโรงเรียนที่ได้รับการสนับสนุน ได้แสดงความขอบคุณต่อองค์การสวนสัตว์ฯ ที่ให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดภาระทางการเงินของโรงเรียนและผู้ปกครองในช่วงที่ประสบภัยพิบัติ ในขณะที่ภาคประชาสังคมบางส่วนเสนอให้มีการเปิดเผยรายชื่อโรงเรียนและรายละเอียดการใช้เงินเพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ

ด้านนักอนุรักษ์บางรายแสดงความเห็นว่า การที่องค์การสวนสัตว์ฯ ให้ความสำคัญกับการยกระดับสวัสดิภาพสัตว์อย่างจริงจัง ถือเป็นก้าวสำคัญของการบริหารจัดการสวนสัตว์ในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันก็ควรมีมาตรการติดตามผลในระยะยาวเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความยั่งยืนของโครงการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สถิติที่เกี่ยวข้องกับโครงการ

  • ยอดเงินบริจาคโครงการหมูเด้ง เฟสแรก: 5,100,000 บาท
  • จำนวนพันธมิตรภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุน: 98 ราย
  • จำนวนโรงเรียนที่ได้รับความช่วยเหลือ: 41 แห่ง (เชียงราย 17 แห่ง, เชียงใหม่ 10 แห่ง, ภาคใต้ 14 แห่ง)
  • จำนวนที่นอนบริจาค: 200 ชุด (เชียงราย)
  • จำนวนสวนสัตว์ที่ได้รับการสนับสนุนการพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์: 6 แห่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (แถลงข่าววันที่ 21 มีนาคม 2568)
  • สำนักงานสภากาชาดไทย
  • มูลนิธิชัยพัฒนา
  • รายงานภาคสนามจากจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เร่งฟื้นฟูสะพานแม่สาย ไทย-เมียนมาขุดลอก รับมือน้ำท่วม

กรมทางหลวงเร่งบูรณะสะพานมิตรภาพแม่สาย หนุนเศรษฐกิจและความมั่นคงชายแดน

เชียงรายเดินหน้าฟื้นฟูหลังน้ำท่วมใหญ่ ปี 2567

เชียงราย, 23 มีนาคม 2568 – หลังเหตุการณ์อุทกภัยรุนแรงเมื่อเดือนกันยายน 2567 ที่สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 ได้เร่งดำเนินการฟื้นฟูและซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง

นายอลงกรณ์ กัวตระกูล ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1 เปิดเผยว่า ขณะนี้การดำเนินงานมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยแบ่งภารกิจหลักออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

ซ่อมแซมทางหลวงที่เสียหายจากอุทกภัย

กรมทางหลวงได้ดำเนินการบูรณะถนนที่ได้รับผลกระทบจำนวน 28 แห่ง โดยซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว 25 แห่ง คงเหลืออีก 3 แห่งที่อยู่ระหว่างดำเนินการ การฟื้นฟูดังกล่าวช่วยให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น

จัดระเบียบพื้นที่บริเวณด่านชายแดนแม่สาย

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญ คือ การรื้อถอนร้านค้าและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำแนวเขตบริเวณด่านพรมแดนแม่สาย โดยดำเนินการเสร็จเรียบร้อยตามมติศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเปิดพื้นที่ให้กับการพัฒนาระบบคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานใหม่

เสริมกำลังโครงสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา

กรมทางหลวงได้ดำเนินโครงการเสริมความแข็งแรงของสะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 ด้วยงบประมาณ 15 ล้านบาท เริ่มสัญญาตั้งแต่มีนาคม 2568 และจะแล้วเสร็จภายในตุลาคม 2568 รวมระยะเวลาดำเนินงาน 210 วัน เพื่อยกระดับความปลอดภัยและรองรับการจราจรในอนาคต

ผลกระทบและการปรับตัวของประชาชนในพื้นที่

พ่อค้าแม่ค้าในตลาดดอยเวาบางส่วน ระบุว่า แม้ร้านค้าจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงเพราะตั้งอยู่บนที่สูง แต่บ้านพักในชุมชนเหมืองแดงซึ่งเป็นที่ลุ่มกลับได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะดินโคลนที่ไหลเข้าบ้านจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้แรงงานในการล้างทำความสะอาดซึ่งมีค่าใช้จ่ายวันละ 400–1,000 บาทต่อคน

แม้จะได้รับเงินเยียวยาเบื้องต้นครอบครัวละ 9,000 บาท แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย จนล่าสุดรัฐบาลได้อนุมัติเงินค่าล้างโคลนครอบครัวละ 10,000 บาทเพิ่มเติม

รัฐบาลเร่งอนุมัติงบฟื้นฟูคุณภาพชีวิต

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย รายงานว่า จังหวัดได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณทดรองราชการจำนวน 292,143,249 บาท แบ่งเป็น อ.แม่สาย 134,776,273 บาท และ อ.เมืองเชียงราย 157,370,976 บาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนในด้านการดำรงชีพและค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน

ไทย-เมียนมา ร่วมขุดลอกแม่น้ำสาย ป้องกันน้ำท่วมซ้ำ

ทั้งสองประเทศเร่งจัดการพื้นที่ริมแม่น้ำสาย โดยดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำและขุดลอกแม่น้ำเพื่อทำแนวพนังกันน้ำ หนึ่งใน 45 จุดที่ต้องรื้อถอนในฝั่งไทยคือบริเวณวัดเกาะทราย ขณะเดียวกันฝั่งเมียนมาก็ได้เร่งเสริมแนวกั้นดินและสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง

ความเห็นของนักวิชาการต่อสถานการณ์แม่น้ำสาย

นายธนพล พิมาน หัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านบริหารจัดการน้ำ จากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม ประจำเอเชีย ให้ความเห็นว่า การเกิดน้ำท่วมโคลนในแม่สายเมื่อปี 2567 ส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งทำให้ตะกอนในน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หากไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ปี 2568 อาจเกิดโคลนถล่มอีกครั้ง เพราะต้นน้ำเสื่อมโทรมและยังไม่มีหน่วยงานใดลงพื้นที่ตรวจสอบผลกระทบโดยตรง

ความท้าทายของการพัฒนาระหว่างประเทศ

การดำเนินโครงการฟื้นฟูและป้องกันน้ำท่วมระหว่างไทย-เมียนมา ต้องอาศัยความร่วมมือและการตกลงร่วมกันในเชิงนโยบายและการปฏิบัติ โดยเฉพาะการขุดลอกแม่น้ำสายซึ่งต้องมีการรื้อถอนสิ่งกีดขวางในทุกจุดที่ระบุไว้ หากสามารถดำเนินการแล้วเสร็จทันปลายเดือนมีนาคมหรืออย่างช้าต้นเดือนเมษายน จะช่วยลดความเสี่ยงก่อนฤดูฝนมาถึง

สถิติและแหล่งอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนจุดที่ต้องรื้อถอนฝั่งไทย: 45 จุด (ข้อมูลจากแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1)
  • งบประมาณซ่อมสะพาน: 15 ล้านบาท (กรมทางหลวง)
  • งบประมาณช่วยเหลือประชาชน: 292.14 ล้านบาท (สำนักงาน ปภ.จังหวัดเชียงราย)
  • ความเสียหายเบื้องต้นจากน้ำท่วม: บ้านเรือนกว่า 100 หลัง, ร้านค้าหลายสิบแห่ง (สำรวจโดยอำเภอแม่สาย)
  • ข้อมูลนักวิชาการจากสถาบันสิ่งแวดล้อมสตอกโฮล์ม: ผลกระทบจากเหมืองต้นน้ำในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

ความคิดเห็นอย่างเป็นกลาง

ฝ่ายไทยมุ่งเน้นการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่เพื่อความปลอดภัยและเศรษฐกิจ ขณะที่ฝ่ายเมียนมาเน้นการจัดการระบบป้องกันตลิ่งและรุกขุดลอกแม่น้ำตามแผนป้องกันของตน ทั้งสองฝ่ายต่างมีบทบาทสำคัญในการจัดการน้ำและความร่วมมือข้ามพรมแดน ซึ่งหากประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและสร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงเชียงรายที่ 1

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

ซ่อมใหม่ “สะพานฮาแหล่จะ” แลนด์มาร์คเชียงราย เริ่มมีนา 68

อบจ.เชียงราย ร่วมลงนาม MOU ดำเนินโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ เชื่อมบ้านแคววัวดำ – บ้านผาเสริฐ

เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – ผู้าื่อข่าวรายงานว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อดำเนินโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ เชื่อมระหว่างบ้านแคววัวดำ หมู่ 12 ตำบลแม่ยาว และบ้านผาเสริฐ หมู่ 6 ตำบลดอยฮาง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย โดยมีภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

พิธีลงนามจัดขึ้น ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมี นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ปฏิบัติหน้าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย, นายปิยพันธุ์ ธนะโสภณ ประธานคณะกรรมการโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ, นายอภิรักษ์ อินต๊ะวัง นายกเทศมนตรีตำบลแม่ยาว, นายเอื้ออังกูร เทพสมรส นายกเทศมนตรีตำบลดอยฮาง และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นที่ปรึกษาโครงการ

วัตถุประสงค์ของโครงการ

การซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะเป็นไปเพื่อฟื้นฟูการใช้งานให้สามารถใช้สัญจรได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน

ปัจจุบันทางคณะกรรมการโครงการได้คัดเลือก บริษัท บีเทคกรุ๊ป จำกัด เป็นผู้รับจ้างก่อสร้างภายใต้งบประมาณ 6,170,000 บาท ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากเอกชน 2 แห่ง ได้แก่:

  1. สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 โครงการ “ช่อง 8 ปันน้ำใจ” จำนวน 6,000,000 บาท
  2. โรงแรมโฆษะขอนแก่น และกลุ่ม Kosa Group จำนวน 170,000 บาท

รายละเอียดของการก่อสร้าง

โครงการนี้ประกอบด้วย:

  • การสร้างสะพานแขวนใหม่โดยใช้โครงสร้างลวดสลิงเดิม
  • การสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งเพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะ
  • การปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เอื้อต่อการเดินทางและการท่องเที่ยว

โครงการคาดว่าจะเริ่มต้นก่อสร้างภายในเดือนมีนาคม 2568 และแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2568 หากไม่มีอุปสรรคใดๆ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

เมื่อโครงการซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะเสร็จสมบูรณ์ คาดว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ต้องเดินทางไกลขึ้นเนื่องจากสะพานพัง รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของตำบลแม่ยาวและตำบลดอยฮาง โดยเฉพาะธุรกิจท้องถิ่น ร้านอาหาร และสินค้า OTOP ที่จะได้รับประโยชน์จากการที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น

ประโยชน์ของโครงการ

  • อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน: สะพานแขวนฮาแหล่จะเป็นเส้นทางหลักของชาวบ้านจากตำบลแม่ยาว, ตำบลดอยฮาง และตำบลห้วยชมภู ที่ต้องใช้ในการเดินทางไปทำงาน, ไปโรงเรียน และไปยังสถานพยาบาล
  • ลดระยะทางการเดินทาง: สะพานช่วยร่นระยะทางไปกลับได้ถึง 10 กิโลเมตร ทำให้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น
  • ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว: คณะกรรมการโครงการตั้งเป้าหมายให้สะพานฮาแหล่จะเป็น แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนและสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ความเป็นมาของสะพานแขวนฮาแหล่จะ

สะพานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2541 ด้วยเงินทุนสนับสนุนจากสถานทูตญี่ปุ่น เพื่อช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทไทย โดยสะพานเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งพืชผลทางการเกษตรและการเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ของชุมชน

อย่างไรก็ตาม สะพานได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเดือนกันยายน พ.ศ. 2567 ที่ระดับน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นจนสะพานพังเสียหาย ไม่สามารถใช้สัญจรได้ ส่งผลให้ประชาชนต้องใช้เส้นทางอ้อมที่มีระยะทางไกลขึ้นและอาจมีอันตรายในการเดินทาง

ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

การซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะครั้งนี้เป็นความร่วมมือจากจิตอาสา 100% จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนในพื้นที่ โดยคณะกรรมการโครงการและผู้เกี่ยวข้องต่างมุ่งมั่นให้สะพานกลับมาใช้งานได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด

ทางคณะกรรมการโครงการซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ และมั่นใจว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จตามกำหนด และสะพานแขวนฮาแหล่จะจะกลับมาเป็นเส้นทางหลักที่ปลอดภัยและเป็นสัญลักษณ์แห่งการพัฒนาในจังหวัดเชียงรายต่อไป

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง:

  • สะพานแขวนฮาแหล่จะ ถูกสร้างขึ้นในปี 2541 และใช้สัญจรมากกว่า 1,000 คน/วัน ก่อนจะได้รับความเสียหายจากอุทกภัย
  • งบประมาณโครงการซ่อมสร้างสะพานแขวนฮาแหล่จะ 6,170,000 บาท ได้รับการสนับสนุนจาก 2 องค์กรเอกชน
  • สะพานแห่งนี้ช่วยร่นระยะทางเดินทางของประชาชนในพื้นที่ได้ถึง 10 กิโลเมตร
  • การซ่อมแซมคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน กรกฎาคม 2568 และคาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น 20-30% ในปีแรกหลังเปิดใช้งาน

อ้างอิง: ข้อมูลจากคณะกรรมการโครงการซ่อมสร้างสะพานฮาแหล่จะ, องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และเทศบาลตำบลแม่ยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลเชียงรายเร่งฟื้นฟู ดูดโคลนเลน 52 ชุมชนหลังน้ำท่วม

เทศบาลนครเชียงรายฟื้นฟูเมืองหลังน้ำท่วมใหญ่ ดูดโคลนเลนแก้ปัญหาท่อระบายน้ำ 52 ชุมชน

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 เทศบาลนครเชียงราย นำโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมคณะผู้บริหาร ได้เดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่ในเขตเทศบาลนครเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา โดยเน้นการดูดโคลนและเลนที่สะสมในท่อระบายน้ำและพื้นที่สาธารณะ เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและแก้ปัญหาการระบายน้ำในอนาคต

ดำเนินการฟื้นฟูใน 52 ชุมชน

เทศบาลนครเชียงรายได้ส่งรถดูดโคลนเลนพร้อมเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานใน 52 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยมีเป้าหมายในการฟื้นฟูครบทั้ง 65 ชุมชนในเขตเทศบาล เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ การทำความสะอาดและขจัดสิ่งอุดตันในท่อระบายน้ำยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคต

ฝาท่อชำรุด ปรับปรุงใหม่เพื่อความปลอดภัย

อีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่ได้รับการแก้ไขคือเรื่องฝาท่อระบายน้ำที่ชำรุดหรือหายไป ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เทศบาลฯ ได้ออกแบบฝาท่อใหม่ให้ยากต่อการโจรกรรม พร้อมคำนึงถึงความคงทนและสะดวกต่อการเปลี่ยนในกรณีที่เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการทำงานของผู้รับเหมา เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่

น้ำท่วมครั้งใหญ่ในจังหวัดเชียงรายได้สร้างความเสียหายให้กับชุมชนอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ต่ำที่น้ำไหลบ่าลงมาสะสมในระบบระบายน้ำ การฟื้นฟูดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวว่า การฟื้นฟูครั้งนี้ไม่เพียงแค่การขจัดโคลนและเลน แต่ยังรวมถึงการวางแผนแก้ปัญหาเชิงรุก เช่น การตรวจสอบระบบระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน และการวางมาตรการลดผลกระทบจากน้ำท่วมในระยะยาว

ร่วมมือฟื้นฟูชุมชน

นอกจากนี้ เทศบาลฯ ยังได้ร่วมมือกับชุมชนในพื้นที่เพื่อวางแผนการฟื้นฟูที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยชาวบ้านต่างให้ความร่วมมืออย่างดีในการช่วยกันฟื้นฟูชุมชนของตน

การดำเนินการฟื้นฟูครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลนครเชียงรายในการพัฒนาชุมชนและสร้างความมั่นคงในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเผชิญกับสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างมั่นใจ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายร่วมใจสร้างบ้านช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม 20 หลังสำเร็จ

โครงการบ้านร่วมใจสร้างบ้านน็อคดาวน์ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมในเชียงราย

เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย พร้อมด้วย นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่บ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเตรียมพื้นที่และตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนการส่งมอบบ้านในโครงการ “บ้านร่วมใจสร้างบ้านน็อคดาวน์เพื่อผู้ประสบภัยน้ำท่วม”

โครงการดังกล่าวจัดขึ้นโดยความร่วมมือของเรือนจำกลางเชียงราย กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม โดยได้รับการสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์จากหลายภาคส่วน รวมถึงเพจอีจัน ซึ่งช่วยจัดหาและสนับสนุนการสร้างบ้านจำนวน 20 หลัง มูลค่าหลังละ 90,000 บาท บ้านแต่ละหลังถูกออกแบบให้เป็นบ้านน็อคดาวน์เพื่อการอยู่อาศัยชั่วคราวที่สามารถก่อสร้างได้รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของผู้ประสบภัยจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ในพื้นที่

ที่มาของโครงการบ้านร่วมใจฯ

นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว เปิดเผยว่า โครงการนี้ริเริ่มจากการที่เรือนจำกลางเชียงรายเล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่บ้านได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านจะเด้อ ตำบลดอยฮาง บ้านแคววัวดำ และบ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งบ้านหลายหลังได้รับความเสียหายจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

เรือนจำกลางเชียงรายจึงขอความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและภาคเอกชนในการสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้าง ในขณะที่บุคลากรที่เป็นผู้ต้องขังได้รับการฝึกฝนจากเรือนจำได้เข้ามามีส่วนร่วมในการก่อสร้างบ้านน็อคดาวน์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือชุมชนและสร้างคุณค่าให้กับตนเอง

ความคืบหน้าของโครงการ

สำหรับบ้านในเฟสที่สองของโครงการนั้น จะมีการส่งมอบจำนวน 13 หลัง ประกอบด้วย บ้านรวมมิตรจำนวน 11 หลัง บ้านริมกกจำนวน 1 หลัง และบ้านเมืองงิม ตำบลริมกกอีก 1 หลัง โดยกำหนดส่งมอบในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เตรียมส่งมอบบ้านอย่างเป็นทางการ

ในวันส่งมอบบ้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางมาเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้าน ณ บ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว พร้อมทั้งติดตามความคืบหน้าของโครงการและตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกำหนดการตรวจราชการหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

แผนการดำเนินงานในอนาคต

หลังจากการส่งมอบบ้านในเฟสที่สองแล้ว จะมีการก่อสร้างบ้านอีก 3 หลังสุดท้ายในพื้นที่บ้านแคววัวดำและบ้านรวมมิตร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกลางเดือนธันวาคม 2567

ผลกระทบที่คาดหวัง

โครงการบ้านร่วมใจฯ ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยน้ำท่วม แต่ยังสะท้อนถึงความร่วมมือของหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และประชาชนที่ร่วมแรงร่วมใจสนับสนุนโครงการนี้ นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้ทรัพยากรและกำลังคนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน

สำหรับผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารและผลการดำเนินโครงการ สามารถเข้าร่วมพิธีส่งมอบบ้านได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ณ บ้านรวมมิตร ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งนอกจากการส่งมอบบ้านแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เห็นถึงความสำเร็จของการสร้างบ้านเพื่อผู้ประสบภัยในชุมชนโดยใช้เวลาและทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

นายกฯ ชูแผนแก้น้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย เสร็จก่อนฤดูฝนปี 2568

นายกฯ เคาะแผนแก้น้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย เร่งเสร็จก่อนฤดูฝนปีหน้า

เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เป็นผู้นำทีมวางแผนแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย เพื่อป้องกันเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำในปีหน้า

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและโฆษก ศปช. เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงรุก โดยแผนระยะเร่งด่วนต้องเร่งให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2568 ก่อนฤดูฝน เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะการขุดลอกแหล่งน้ำ การกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ และการสร้างแนวป้องกันตลิ่ง ทั้งนี้ ศปช.เห็นชอบในหลักการแผนงานที่เสนอมาแล้ว และจะนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรในสัปดาห์นี้ เพื่อเริ่มดำเนินงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568

แผนระยะกลางและระยะยาว

ในระยะกลางและระยะยาว แผนงานจะรวมถึงการขุดคลองผันน้ำ การสร้างแก้มลิงชั่วคราว และการพัฒนาระบบป้องกันตลิ่งที่มีความยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญ เช่น แม่น้ำปิงในจังหวัดเชียงใหม่ และแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงราย

การแก้ปัญหาน้ำท่วมแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก ระหว่างไทย-เมียนมา

สำหรับปัญหาการไหลของน้ำในแม่น้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งเป็นพื้นที่เขตแดนระหว่างประเทศไทยและเมียนมา ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-เมียนมา (JCR) ได้เห็นพ้องในการขุดลอกแม่น้ำเพื่อเพิ่มช่องทางการระบายน้ำ และแก้ปัญหาสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำแม่น้ำ ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดเชียงราย ดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

เสียงสะท้อนจากประชาชน

นายจิรายุเปิดเผยว่า มีเสียงสะท้อนจากประชาชนในอำเภอแม่สายว่าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ซ้ำอีก ทาง ศปช. จึงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการรุกล้ำลำน้ำอย่างจริงจัง เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อบ้านเรือนประชาชนและเศรษฐกิจในพื้นที่

การดูแลเยียวยากำลังพลที่ได้รับผลกระทบ

ในขณะเดียวกัน ศปช. ได้เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงกลาโหม รวบรวมรายชื่อกำลังพลที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่ยังไม่ได้รับเงินเยียวยา 9,000 บาท ส่งให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการหารือกับกรมบัญชีกลาง เพื่อจัดการเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว

นายกรัฐมนตรีชื่นชมการทำงานเชิงรุกของ ศปช. ที่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกำชับให้ทุกฝ่ายดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติในอนาคตอย่างเต็มที่.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงราย พร้อมแผนฟื้นฟูยั่งยืน

การประชุมวางแผนแก้ปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม เชียงใหม่-เชียงราย

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (คอส.) ครั้งที่ 2/2567 โดยมี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยที่ปรึกษา ศปช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบออนไลน์

เร่งรัดแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ

นายสุริยะ กล่าวว่าการประชุมครั้งนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยได้แต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อเร่งรัดการจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เพื่อบูรณาการทรัพยากรและแผนงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องและเกิดความเป็นเอกภาพ

คณะทำงานดังกล่าวจะรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอแผนงานต่อที่ประชุมศูนย์ประสานงานส่วนหน้า (ศปช.) ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ก่อนนำเสนอแผนต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร วันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

ผลการประชุมและแผนดำเนินงานที่สำคัญ

ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบแนวทางสำคัญเพื่อปกป้องและลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและบ้านเรือนของประชาชน โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้:

  1. รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน

    • รับทราบคำสั่งที่ 1/2567 ของคณะทำงานศึกษาวางแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ
    • ประเมินผลการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยเน้นความคืบหน้าและความสอดคล้องของแผนงาน
  2. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำปิง จังหวัดเชียงใหม่

    • เสริมสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมและปรับปรุงระบบการระบายน้ำ
    • ฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อป้องกันความเสียหายในอนาคต
  3. แผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่ม แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย

    • บูรณาการการจัดการน้ำและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    • วางระบบเตือนภัยล่วงหน้าและเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ

ความสำคัญของการประชุมและเป้าหมายในอนาคต

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย

ทั้งนี้ นายสุริยะ ย้ำว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของทุกภาคส่วน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนระยะยาวเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถในการฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้พิจารณาการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การใช้ระบบตรวจวัดระดับน้ำแบบอัตโนมัติ และการวางแผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อภัยพิบัติ

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

เมื่อแผนงานได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในปลายเดือนนี้ คาดว่าจะสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่มในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย

ข้อสรุป

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่มอย่างจริงจัง โดยใช้แนวทางการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนแก่ประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงคมนาคม 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ศิลปินเชียงรายจัดนิทรรศการ Red Mud, Green Shoots ฟื้นฟูหลังน้ำท่วม

นิทรรศการ “Red mud, Green shoots” เชียงราย เปิดตัวผลงานศิลปะ 28 ศิลปินแม่ญิง สะท้อนความหวังท่ามกลางโคลนตม

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 เวลา 15.00 น. ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานเปิดงานนิทรรศการ Red mud, Green shoots (Resilience and regrowth) โดยกลุ่มศิลปิน Maeying Artists Collective ซึ่งประกอบด้วยศิลปินหญิง 28 คนจากเชียงรายและพื้นที่อื่นๆ นิทรรศการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสะท้อนความหวังและความเข้มแข็งของชุมชนที่เผชิญกับ อุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2567

แนวคิดและแรงบันดาลใจของนิทรรศการ

นิทรรศการ Red mud, Green shoots เกิดขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เชียงรายและพื้นที่ภาคเหนือในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2567 ทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงทั้งต่อพื้นที่การเกษตร บ้านเรือน และธุรกิจในท้องถิ่น เมื่อน้ำลดลง พื้นที่หลายแห่งถูกปกคลุมไปด้วยโคลนสีแดง แต่ท่ามกลางความสูญเสีย กลับมี ความหวัง ที่ผลิบานขึ้นจากน้ำใจและการช่วยเหลือของผู้คน

ศิลปินหญิงจากกลุ่ม Maeying Artists Collective ได้นำเอาความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้พบเจอระหว่างเหตุการณ์น้ำท่วม มาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะหลากหลายเทคนิค ทั้งภาพวาด จิตรกรรม และสื่อผสม เพื่อถ่ายทอดความเข้มแข็งและการฟื้นฟูจิตใจของชุมชน

กิจกรรมและการแสดงผลงานศิลปะ

นิทรรศการจัดแสดงผลงานตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน ถึง 21 ธันวาคม 2567 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น. ยกเว้นวันจันทร์ โดยมีผลงานกว่า 28 ชิ้นจากศิลปินหญิงที่มีชื่อเสียงของเชียงราย เช่น สมลักษณ์ ปันติบุญ และ สมพงษ์ สารทรัพย์ รวมถึงการเสวนาและการแสดงผลงานศิลปะเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ที่เข้าชมงาน

สะท้อนความหวังผ่านศิลปะ

ศิลปินผู้เข้าร่วมแสดงงานเล่าว่า การสร้างผลงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสะท้อนถึงเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง ความสามัคคี และการฟื้นฟูของชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ศิลปินหญิงทั้ง 28 คนได้ร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่เต็มไปด้วยพลังบวก เพื่อส่งต่อกำลังใจให้กับผู้ที่เผชิญความยากลำบาก

ส่งเสริมการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมในท้องถิ่น

นิทรรศการครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงผลงานศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและการส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย โดยมีการเชิญชวนนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปเข้าชมงาน เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนและสนับสนุนการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “นิทรรศการครั้งนี้เป็นการรวมพลังของชุมชนและศิลปินในการสร้างความหวังและกำลังใจให้กับผู้ประสบอุทกภัย เราหวังว่าการจัดแสดงผลงานศิลปะในครั้งนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้กับทุกคน”

ข้อมูลเพิ่มเติม

นิทรรศการจัดขึ้น ณ บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย เชียงราย ผู้สนใจสามารถเข้าชมงานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณพจวรรณ พันธ์จินดา โทร. 084-115-0396

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. นิทรรศการนี้จัดขึ้นเพื่ออะไร?
    เพื่อสะท้อนความหวังและการฟื้นฟูจิตใจของชุมชนหลังเผชิญอุทกภัยที่เชียงราย

  2. สามารถเข้าชมงานได้เมื่อใด?
    ระหว่างวันที่ 16 พฤศจิกายน – 21 ธันวาคม 2567 เวลา 10.00-16.00 น. ยกเว้นวันจันทร์

  3. นิทรรศการนี้มีผลงานของศิลปินกี่ท่าน?
    มีผลงานจากศิลปินหญิงทั้งหมด 28 ท่าน

  4. มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมหรือไม่?
    ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชม

  5. นิทรรศการจัดขึ้นที่ไหน?
    บ้านสิงหไคล มูลนิธิมดชนะภัย ถนนสิงหไคล อำเภอเมืองเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘วิโรจน์’ เผยผลสำรวจหลังร่วมฟื้นฟู น้ำท่วมเชียงราย เสนอมาตรการระยะยาว

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เปิดเผยผลสำรวจหลังร่วมฟื้นฟูน้ำท่วมเชียงราย เสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระยะยาว

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานของทีมอาสาสมัครฟื้นฟูน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย ซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยนายวิโรจน์ได้เน้นย้ำถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่อย่างรุนแรง

ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปี

เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นน้ำท่วมทั่วไป แต่ยังรวมถึงน้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐานอย่างรุนแรง นายวิโรจน์ระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2547 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด

ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการฟื้นฟู

หลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนประจำจังหวัดเชียงราย ได้ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนเบื้องต้น และได้ร่วมกันจัดตั้ง “ศูนย์ประชาชนอาสา” เพื่อระดมความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย โดยมีมูลนิธิกระจกเงาเข้ามาร่วมเป็นพี่เลี้ยงในการดำเนินงาน

ปัญหาที่พบและข้อเสนอแนะ

จากการลงพื้นที่และดำเนินงานฟื้นฟู นายวิโรจน์ได้พบปัญหาสำคัญหลายประการ เช่น ปัญหาเรื่องหนี้สินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสียในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ นายวิโรจน์ได้เสนอข้อเสนอแนะหลายประการ เช่น การให้รัฐบาลสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประสบภัย เพื่อให้สามารถฟื้นฟูชีวิตและธุรกิจได้ รวมถึงการเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียในพื้นที่อำเภอแม่สาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซากในอนาคต

ความสำคัญของการร่วมมือกัน

นายวิโรจน์ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะยาว เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

หลังจากตนประเมินสภาพพื้นที่ จึงได้พูดคุยขอคำปรึกษาจากเจ้ากรมยุทธการทหารและเจ้ากรมทหารช่าง ซึ่งต้องขอบคุณที่ในเวลาต่อมา ทหารช่างส่งเจ้าหน้าที่มาดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่อย่างรวดเร็ว นี่คือตัวอย่างของการร่วมแรงร่วมใจทำงาน เราผนึกกำลังกับทุกภาคส่วนทั้งราชการและท้องถิ่นเพื่อให้งานสำเร็จ

(1) จะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงการชดเชยเยียวยาอย่างรวดเร็วไม่ตกหล่น

(2) จะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากสถาบันการเงินในระบบ เพราะจากการลงพื้นที่ ตนพบว่าทุกบ้านจะมีบัตรของแหล่งเงินกู้นอกระบบตกอยู่ตามพื้นเต็มไปหมด แสดงว่านายทุนเงินกู้นอกระบบรู้ว่าชาวบ้านคนตัวเล็กต้องการเงินทุนเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่

ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ธนาคารออมสินซึ่งเป็นกลไกหลักของรัฐ ทำให้ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินในระบบได้ ไม่เช่นนั้นหลังจากนี้ภาวะหนี้ครัวเรือนจะยิ่งซ้ำเติมชาวเชียงราย

(3) ระบบระบายน้ำที่พร้อมรองรับฤดูฝนในปี 2568 เพราะเราเชื่อว่ายังมีโคลนค้างอยู่ในท่อบางจุด จึงจำเป็นต้องมีการลอกท่อครั้งใหญ่ ข้อจำกัดตอนนี้ คือ งบประมาณของท้องถิ่นอาจร่อยหรอลงเพราะต้องนำเงินสะสมไปใช้ในช่วงภัยพิบัติ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลต้องพิจารณางบประมาณให้เหมาะสมเพื่อช่วยเหลือประชาชน

(4) ปัญหาเอกสารสิทธิในที่ดิน เนื่องจากหลายบ้านไม่มีบ้านเลขที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ทำให้เข้าไม่ถึงการชดเชยเยียวยา รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน รวมถึงย้ายประชาชนที่ปัจจุบันอาศัยในพื้นที่เสี่ยง ให้ออกมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย

(5) ปัญหาบ่อบำบัดน้ำเสียที่ อ.แม่สาย ที่ประชาชนตั้งข้อสังเกตว่าสร้างขวางทางไหลของน้ำหรือไม่ ตอนนี้บ่อชำรุด รัฐควรให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบว่าขวางทางน้ำจริงหรือไม่ ปรับปรุงให้มีการระบายน้ำที่ดีขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ ในอนาคตจะได้ไม่เกิดปัญหาซ้ำเดิม

โดยเรื่องนี้ตนได้ตั้งกระทู้ถามไปยังนายกรัฐมนตรีให้ตอบในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้ประชาชนทราบว่ารัฐจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากยังมีประชาชนไม่สบายใจ กังวลว่าปีหน้าจะเกิดเหตุแบบปีนี้ ซึ่งนายกฯ มีหนังสือตอบกลับมาแล้ว ขอเวลาในการตอบเพิ่มเติม ตนจะติดตามเรื่องนี้ต่อไป

(6) การขุดลอกแม่น้ำสาย เนื่องจากเป็นแม่น้ำที่กั้นพรมแดนระหว่างไทยและเมียนมา การทำอะไรจึงมีข้อจำกัดเพราะมีประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่ต้องพูดคุยว่าจะขุดลอกแม่น้ำสายร่วมกันอย่างไร ทำระบบเตือนภัยให้ประชาชนทั้ง 2 ฝั่งลำน้ำได้ประโยชน์ รวมถึงพิจารณาปัญหาการรุกล้ำลำน้ำ

บทสรุป

เหตุการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของสังคมต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมและวางแผนรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต นอกจากนี้ ยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนเพื่อฟื้นฟูและสร้างสรรค์สังคมให้กลับมามีความเข้มแข็งอีกครั้ง

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายมากน้อยเพียงใด? เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อบ้านเรือน โครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจของประชาชนในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่อำเภอแม่สาย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดในรอบหลายปี

  2. มีการดำเนินการใดบ้างเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย? มีการจัดตั้งศูนย์ประชาชนอาสาเพื่อระดมความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย โดยมีการจัดส่งทีมอาสาสมัครเข้าไปช่วยเหลือในการทำความสะอาดบ้านเรือนและชุมชน

  3. ปัญหาที่สำคัญที่พบในการฟื้นฟูคืออะไร? ปัญหาที่สำคัญคือหนี้สินของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ และปัญหาเรื่องระบบบำบัดน้ำเสียในพื้นที่อำเภอแม่สาย

  4. มีมาตรการใดบ้างเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น? ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การให้รัฐบาลสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ประสบภัย และการเร่งแก้ไขปัญหาเรื่องระบบบำบัดน้ำเสีย

  5. บทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์นี้คืออะไร? เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมและวางแผนรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต รวมถึงความสำคัญของการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในการฟื้นฟู

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : วิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News