Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ลำไยล้นตลาด-น้ำท่วมหนัก เกษตรกรเชียงรายวิกฤตซ้ำซ้อน

วิกฤตลำไยเชียงรายน้ำท่วมซ้ำเติมราคาตกต่ำ เกษตรกรบ้านวังผา-ป่าแดดเดือดร้อนหนัก ร้องรัฐเร่งหาทางออก

เชียงราย, 29 กรกฎาคม 2568 – เมื่อดินแดนลำไยกลายเป็นพื้นที่ความทุกข์ชีวิตจริงหลังม่านสวนผลไม้ กลางฤดูเก็บเกี่ยวลำไยที่ควรจะคึกคัก บ้านวังผา ตำบลสันมะค่า อำเภอป่าแดด จังหวัดเชียงราย กลับปกคลุมด้วยบรรยากาศเงียบเหงาและวิตกกังวล ชาวสวนลำไยที่นี่ในปีนี้ต้องพายเรือเข้าไปเก็บผลผลิตกลางน้ำท่วม ขณะที่ราคาลำไยตกต่ำถึงขีดสุดจนเจ้าของสวนแทบไม่อยากพูดถึง ตัวเลข “ร่วงจนน่าตกใจ” กลายเป็นวลีที่สะท้อนหัวใจของเกษตรกร และถึงแม้จะเก็บผลผลิตมาได้ ก็ยังหาที่ขายได้ยากยิ่ง

สถานการณ์เลวร้ายนี้สะท้อนให้เห็นผ่านโพสต์ในโซเชียลของชาวบ้านและเพจท้องถิ่นที่ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานเกี่ยวข้องช่วยเหลือ ทั้งในเรื่องถนนที่ใช้ขนผลผลิต (ซึ่งถูกน้ำท่วมขังเสียหาย) และการเข้ามารับซื้อลำไยในราคายุติธรรม หลังโรงงานรับซื้อส่วนใหญ่ประกาศรับจำนวนจำกัด บางแห่งถึงขั้นปิดรับซื้อเพราะโกดังล้น แม้ชาวสวนบางรายถึงกับประกาศ “แจกฟรี” ลำไยทั้งสวนเพื่อให้มีพื้นที่ปลูกใหม่ในปีหน้า ก็ยังไม่มีใครมาเก็บ เพราะเก็บแล้ว “ขาดทุน” หรือ “ไม่มีที่ขาย” อยู่ดี

คลื่นน้ำและคลื่นราคาซัดซ้ำปัญหาตกค้างข้ามจังหวัด

วิกฤตราคาลำไยปี 2568 ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเชียงรายเท่านั้น แต่ลุกลามไปยังจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และลี้ (ลำพูน) ซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญของประเทศเช่นกัน ลำไยคุณภาพดี ลูกโต รสหวาน ก็เริ่มมีสีดำ เน่าเสียในสวน และโรงรับซื้อจำนวนมากหยุดรับซื้อหรือไม่แสดงราคาซื้อขาย ข้อมูลล่าสุดจากแหล่งข่าวพื้นที่ต่างๆ ระบุว่า ราคาลำไยเกรด AA เหลือเพียง 9-14 บาท/กก., A 4-7 บาท/กก., B 2 บาท/กก. ส่วน C ไม่มีใครรับซื้อ ขณะที่ต้นทุนการผลิตสูงกว่านั้นมาก

นอกจากราคาตลาดตกต่ำแล้ว ปัญหาน้ำท่วมหนักที่ซ้ำเติมหลายพื้นที่ ทำให้ชาวสวนไม่สามารถขนส่งผลผลิตได้ทันเวลา ผลผลิตตกค้าง เริ่มเน่าเสีย ต้นทุนแรงงานในการหักลำไยออกจากต้นก็สูงเกินคุ้ม แม้แต่ผู้รับซื้อเหมาสวนที่เคยคึกคักในอดีตอย่าง “นายแก้ว” ชาวไทใหญ่ ยังต้องยอมแพ้ เพราะรับซื้อไปก็ขาดทุนไม่มีที่ระบายผลผลิต

วัฏจักร “ราคาดิ่ง-น้ำท่วม” กับความเปราะบางโครงสร้างลำไยภาคเหนือ

สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาลำไยดิ่งลงเหวในปีนี้ คือ “ผลผลิตล้นตลาด” สูงสุดในรอบหลายปี โดยผลผลิตรวมในภาคเหนือปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 10-17% (จากอิทธิพลสภาพอากาศและเทคนิคกระตุ้นการออกดอก) การเก็บเกี่ยวลำไยกระจุกตัวในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ก่อให้เกิด “คลื่นซัพพลาย” ถาโถมเข้าสู่ตลาดพร้อมกัน ขณะที่การส่งออกไปตลาดหลักอย่างจีนชะลอตัวลง เพราะจีนผลิตลำไยได้เองมากขึ้นและตั้งกฎระเบียบเข้มงวดเรื่องสารตกค้าง เวียดนามซึ่งเคยเป็นทางออกของลำไยเกรดรอง ก็ลดความต้องการลง ผลักให้ปริมาณลำไยเกรด B และ C กลับมาไหลบ่าลงสู่ตลาดในประเทศ

โรงงานแปรรูปในพื้นที่ต้อง “เลือกซื้อ” เฉพาะเกรดดี บางแห่งต้องหยุดรับเพราะปัญหาล้นคลัง ต้นทุนแรงงานและการแปรรูปสูง สินเชื่อจากธนาคารภาคเกษตรก็เข้มงวดขึ้น แรงงานรับจ้างขาดแคลน ผลผลิตที่เก็บแล้วขายไม่ออกจึง “ให้ฟรีก็ยังไม่มีใครเอา” สุดท้าย เกษตรกรต้องกลับไปวนเวียนกับหนี้สินรอฤดูใหม่

มาตรการรัฐ – ยุทธศาสตร์หรือแค่แก้เฉพาะหน้า?

รัฐบาลไทยรับรู้ปัญหานี้มานาน มีมาตรการช่วยเหลือหลายระดับ ทั้งเงินอุดหนุน (1,400 บาท/ไร่), โครงการสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย, รับประกันราคาขั้นต่ำในอดีต, การผลักดันตลาดส่งออกใหม่ (อินเดีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ฮ่องกง ฯลฯ), ส่งเสริมการแปรรูป และสนับสนุนอีคอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้แม้มีส่วนบรรเทาแต่ “เกษตรกรยังคงขาดความเชื่อมั่น” ว่าจะเพียงพอ และมองว่าเป็นการ “ดับไฟเฉพาะหน้า” มากกว่าการแก้ไขเชิงโครงสร้าง

วิกฤตซ้ำซากกับความจำเป็นในการปฏิรูป

ปัญหาลำไยล้นตลาด วนเวียนมาทุก 3-5 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะ “ผลิตมาก-ส่งออกน้อย” แต่เกิดจากความเปราะบางเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป การขาดแผนการผลิตที่สอดคล้องกับอุปสงค์จริง ระบบสหกรณ์ที่ยังไม่เข้มแข็ง และเทคโนโลยีแปรรูปที่ยังจำกัด ข้อเสนอจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญจึงชี้ไปที่

  • การวางแผนการผลิตที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลตลาด: รัฐต้องสร้างระบบข่าวกรองตลาดทันสมัย ชี้นำการปลูกและบริหารผลผลิตอย่างแม่นยำ
  • การลงทุนในเทคโนโลยีแปรรูปและนวัตกรรม: สร้างมูลค่าเพิ่ม ลดความเสี่ยงจากตลาดล้น
  • กระจายตลาดและส่งเสริมอีคอมเมิร์ซ: เพิ่มช่องทางขาย-ลดการพึ่งพาจีน
  • แก้ปัญหาแรงงานและโลจิสติกส์: ปรับนโยบายแรงงานและสนับสนุนขนส่ง
  • พัฒนาสหกรณ์และการขายตรง: ลดอำนาจต่อรองของพ่อค้าคนกลาง

ท้ายที่สุด วิกฤตราคาลำไย 2568 ที่เชียงราย-เหนือ-ลำพูน กำลังเป็น “สัญญาณเตือน” ให้สังคมไทยตระหนักว่าการแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างรัฐ ภาคเอกชน เกษตรกร และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมเกษตรไทยอย่างจริงจัง มิใช่แค่การแจกเงินหรือรับประกันราคาเฉพาะปีต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • สมาคมเกษตรกรผู้ปลูกลำไยภาคเหนือ
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรเชียงราย
  • เพจหมู่บ้านโป่งศรีนคร เชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ราคาผลไม้ปี 2568 (Thai Fruit Board)
  • ข้อมูลและรายงานสื่อท้องถิ่นภาคเหนือ (เชียงราย, ลำพูน, เชียงใหม่)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รองนายกฯ สั่งเร่งฟื้นฟูน้ำท่วมเชียงใหม่-เชียงรายด่วน

 

วันที่ 8 ตุลาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) แถลงข่าวหลังประชุมคณะกรรมการประเมินสถานการณ์น้ำท่วมและดินโคลนถล่มว่า ในที่ประชุมได้มีการวิเคราะห์สถานการณ์และวางแผนการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยการประชุมร่วมกันทั้งจากส่วนกลางและศูนย์บัญชาการส่วนหน้าในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีการแจ้งประเด็นสำคัญ 5 ข้อเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาและป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต

สาเหตุน้ำท่วมหนักเชียงใหม่และแม่สาย

นายภูมิธรรม เปิดเผยว่าสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่อำเภอเชียงดาวและอำเภอแม่ริมในวันที่ 3 และ 4 ตุลาคม โดยปริมาณน้ำฝนที่ตกครั้งนี้สูงเป็นประวัติการณ์ และมีความรุนแรงมากกว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทั้งยังเกิดเหตุการณ์ดินโคลนถล่มในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ทำให้สถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลกระทบในวงกว้าง นอกจากนี้น้ำจากอำเภอเชียงดาวที่ไหลมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เวลานานถึง 30 ชั่วโมง อำเภอแม่แตง 16 ชั่วโมง และอำเภอแม่ริม 6 ชั่วโมง ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำปิงสะสมและเกิดน้ำล้นตลิ่ง

จำเป็นต้องสร้างเขื่อนป้องกันเมืองและแก้ปัญหาลำน้ำปิง

การประชุมครั้งนี้ได้ข้อสรุปว่าจำเป็นต้องสร้าง เขื่อนขนาดเล็ก เพื่อป้องกันพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ พร้อมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยและจังหวัดเชียงใหม่ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ นอกจากนี้ยังพบว่าแม่น้ำปิงมีความตื้นเขินและคดเคี้ยว ส่งผลต่อการระบายน้ำ ทำให้กรมโยธาธิการและผังเมือง รวมถึงกรมเจ้าท่าและกรมปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องร่วมมือกันในการศึกษาเส้นทางน้ำและปรับปรุงพื้นที่ลุ่มน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมในอนาคต

ฟื้นฟูป่าต้นน้ำและจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำปิง

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นายภูมิธรรมกล่าวถึงคือ ปริมาณฝนที่ตกติดต่อกันถึง 5 วันในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1A และ 1B ส่งผลให้ป่าต้นน้ำไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ดีเหมือนในอดีต เนื่องจากมีการบุกรุกและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ผิดกฎหมายมากถึง 5% ทำให้การกักเก็บน้ำลดลง จึงมีคำสั่งให้กรมอุทยานแห่งชาติและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการฟื้นฟูป่าต้นน้ำในพื้นที่อย่างจริงจัง

สร้างแผนแก้ไขปัญหาระยะยาวและระยะสั้น

จากสถานการณ์ดังกล่าว นายภูมิธรรมได้มอบหมายให้ที่ประชุมพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาแผนการแก้ไขปัญหาในระยะยาวและเฉพาะหน้า โดยมีนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นที่ปรึกษา เพื่อจัดทำแผนและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ภายใน 3 เดือน เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว โดยตั้งเป้าฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สายที่ได้รับความเสียหายจำนวน 753 หลังคาเรือน ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ซึ่งขณะนี้สามารถฟื้นฟูได้แล้ว 418 หลัง หรือคิดเป็น 56%

ยืนยัน “น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ” เหตุการณ์แบบปี 54 จะไม่เกิดขึ้น

นายภูมิธรรมยืนยันว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนปี 2554 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เนื่องจากปริมาณน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนภูมิพลยังคงสามารถรองรับได้ และมีการบริหารจัดการระบายน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และไม่แชร์ข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหรือสร้างความตื่นตระหนกในสังคม

เร่งฟื้นฟูอาชีพและเกษตรกรรมในพื้นที่ประสบภัย

นอกจากนี้ในที่ประชุมยังมีการเสนอแผนการฟื้นฟูอาชีพและเกษตรกรรมในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยประสานงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณางบประมาณในการซ่อมแซมฟื้นฟูพื้นที่การเกษตร รวมถึงการจัดการผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหาย โดยมีการแบ่งแผนเป็นระยะยาวและเฉพาะหน้าเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม

บทสรุป: วางแผนระยะยาว รับมือภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

จากการประชุมในครั้งนี้ นายภูมิธรรมได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการวางแผนการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติอย่างมีระบบและยั่งยืน โดยต้องประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการจัดการลำน้ำปิง การสร้างเขื่อนป้องกันเมือง และการฟื้นฟูป่าต้นน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ภาคเหนือ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าภัยพิบัติครั้งนี้จะถูกแก้ไขและฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

นักวิชาการเตือน! ฝนหนัก-เกษตรเชิงเดี่ยว ต้นเหตุอุทกภัยเชียงใหม่

 

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 “อาจารย์สนธิ คชวัฒน์” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Sonthi Kotchawat” อธิบายถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมหนักในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยเน้นไปที่ปัญหาฝนตกหนักหลายวันและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูเขาเป็นพื้นที่เกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว ส่งผลให้เกิดมวลน้ำมหาศาลไหลท่วมลงมาสู่พื้นที่ราบ ทำให้เชียงใหม่เผชิญอุทกภัยในครั้งนี้

สาเหตุหลักของอุทกภัยจากฝนตกหนัก

จากข้อมูลที่อาจารย์สนธิได้เผยแพร่ ระบุว่า ช่วงต้นเดือนตุลาคม 2567 เชียงใหม่มีฝนตกหนักต่อเนื่องนานถึง 3 วัน แม้จะไม่มีพายุเข้า แต่เกิดจากมวลอากาศเย็นจากแผ่นดินใหญ่เคลื่อนลงมาปะทะกับร่องมรสุมความกดอากาศต่ำในพื้นที่ภาคเหนือ ส่งผลให้ฝนตกหนักเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะในพื้นที่ อำเภอเชียงดาว อำเภอแม่แตง อำเภอแม่ริม และอำเภอพร้าว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ราบเชิงเขาและเขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยมีข้อมูลการวัดปริมาณน้ำฝนสูงถึง 200-300 มิลลิเมตรภายในระยะเวลา 3 วัน

 ต้นน้ำแม่ปิง – สาเหตุการท่วมตัวเมืองเชียงใหม่

แม่น้ำปิงซึ่งมีต้นกำเนิดจาก เทือกเขาผีปันน้ำ ในอำเภอเชียงดาว เป็นเส้นทางหลักที่น้ำจากพื้นที่ต้นน้ำไหลลงสู่เขตตัวเมืองเชียงใหม่ โดยแม่น้ำปิงจะไหลผ่านหุบเขาลงมาเข้าสู่พื้นที่ อำเภอแม่แตง ซึ่งรับน้ำจากแม่น้ำแม่งัดทางฝั่งซ้าย และแม่น้ำแม่แตงทางฝั่งขวา ก่อนจะไหลลงมาบรรจบในตัวเมืองเชียงใหม่และไหลต่อไปยังจังหวัดลำพูนและจังหวัดตาก ระหว่างทางยังมีแม่น้ำแม่กวง แม่น้ำลี้ และแม่น้ำแม่แจ่ม ไหลมาสมทบ ทำให้เกิดการสะสมของปริมาณน้ำจนเกินความจุของลำน้ำ ส่งผลให้น้ำปิงล้นตลิ่งในหลายจุด

ระดับความจุของแม่น้ำปิงในเขตตัวเมืองเชียงใหม่อยู่ที่ 440 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และระดับวิกฤติที่ทำให้น้ำเริ่มล้นฝั่งคือ 3.70 เมตร ซึ่งในครั้งนี้ระดับน้ำได้พุ่งเกินค่าดังกล่าว ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองและพื้นที่ใกล้เคียง

ผลกระทบจากการเปลี่ยนภูเขาเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว

นอกจากฝนตกหนักต่อเนื่องแล้ว อาจารย์สนธิยังได้ระบุถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าบนดอยสูงเป็นเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะ การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งในปี 2566/2567 มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดในจังหวัดเชียงใหม่มากถึง 285,004 ไร่ โดยเฉพาะในอำเภอเชียงดาวมีการปลูกข้าวโพดจำนวน 19,878 ไร่ และในอำเภอแม่แตงอีก 1,636.75 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ดอยสูงที่เคยมีป่าธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นภูเขาหัวโล้น ทำให้เกิดปัญหาการชะล้างหน้าดินและน้ำป่าไหลลงสู่พื้นที่ราบได้อย่างรวดเร็ว

ภูเขาหัวโล้นกับการเพิ่มความเสี่ยงอุทกภัย

การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลลงมาอย่างรวดเร็ว เมื่อฝนตกบนภูเขาที่มีป่าใหญ่ น้ำฝนส่วนใหญ่จะถูกดูดซับและกักเก็บไว้ในดิน ปล่อยไหลลงสู่พื้นที่ด้านล่างเพียง 10% ทำให้การไหลของน้ำช้าและเกิดอุทกภัยได้น้อย แต่หากพื้นที่ภูเขาถูกเปลี่ยนเป็นเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวหรือภูเขาหัวโล้น ปริมาณน้ำฝนที่ถูกดูดซับจะมีเพียง 10% ในขณะที่อีก 90% จะไหลลงสู่พื้นที่ราบด้านล่างอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและความเสียหายอย่างหนัก

แนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เชียงใหม่จำเป็นต้องมีการจัดการทั้งในระดับพื้นที่ต้นน้ำและการวางระบบระบายน้ำในเขตเมือง โดยต้องมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำในพื้นที่ดอยสูง และลดการทำเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวลง เพื่อให้พื้นที่ดอยสามารถดูดซับน้ำได้มากขึ้น รวมถึงการวางแผนระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพในเขตเมืองเชียงใหม่เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมซ้ำในอนาคต

บทสรุป: การฟื้นฟูพื้นที่ป่าและจัดการน้ำคือทางออก

ปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาธรรมชาติ แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ดอยสูงจากป่าเป็นพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยว การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาวจึงต้องมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำ และลดการใช้พื้นที่บนดอยเป็นเกษตรกรรม เพื่อช่วยให้ดอยสูงกลับมาเป็นพื้นที่กักเก็บน้ำตามธรรมชาติอีกครั้ง รวมถึงต้องมีการวางแผนระบบจัดการน้ำในตัวเมืองที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดน้ำท่วมในอนาคตอย่างยั่งยืน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

น้ำท่วมเชียงใหม่ปี 67 หนักสุดในรอบ 200 ปี แม่น้ำปิงรับน้ำไม่ไหว

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐ มาแจ้ง อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งระบุว่า น้ำท่วมปีนี้ถือว่าเป็นน้ำท่วมระดับ “รอบ 200 ปี” แม้ว่าอัตราการไหลของน้ำจะน้อยกว่าปี 2554 แต่ระดับน้ำกลับสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

จากการเปรียบเทียบข้อมูลระดับน้ำและอัตราการไหลของแม่น้ำปิง พบว่า ปี 2567 นี้ มีอัตราการไหลสูงสุดที่ 656 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งน้อยกว่าปี 2554 ที่มีอัตราการไหลสูงสุดถึง 816.8 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่ในทางกลับกัน ระดับน้ำสูงสุดในปีนี้กลับอยู่ที่ 305.8 เมตรรทก. ซึ่งสูงกว่าปี 2554 ที่ระดับ 305.44 เมตรรทก. แสดงให้เห็นว่าแม่น้ำปิงในปัจจุบันมีความสามารถในการระบายน้ำได้น้อยลงมากเมื่อเทียบกับอดีต

ผศ.ดร.ณัฐ ได้วิเคราะห์ว่า การที่แม่น้ำปิงมีความสามารถในการระบายน้ำลดลง อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การรุกล้ำแนวทางน้ำ การทับถมของตะกอนในลำน้ำ หรือมีสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำ ซึ่งทำให้แม้ปริมาณน้ำไหลจะน้อยกว่า แต่ระดับน้ำกลับสูงขึ้นมาก เป็นสัญญาณว่าลำน้ำมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอย่างชัดเจน

เมื่อนำข้อมูลอัตราการไหลและระดับน้ำมาคำนวณเป็นรอบปีการเกิดซ้ำ พบว่า ระดับน้ำสูงสุดในปี 2567 อยู่ในระดับที่เกิดซ้ำได้ทุก ๆ 200 ปี ขณะที่ระดับน้ำสูงสุดในปี 2554 อยู่ที่รอบการเกิดซ้ำ 46 ปี แต่อัตราการไหลกลับตรงกันข้าม โดยปี 2567 อัตราการไหลสูงสุดอยู่ในรอบการเกิดซ้ำเพียง 17 ปี ขณะที่ปี 2554 อัตราการไหลสูงสุดอยู่ในระดับ 62 ปี แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบระบายน้ำและลักษณะทางกายภาพของแม่น้ำปิงที่มีแนวโน้มแย่ลง

ดร.ณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม่น้ำปิงที่ไหลผ่านตัวเมืองเชียงใหม่มีความสามารถในการระบายน้ำลดลงอย่างมากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีการเตรียมรับมือและระบบระบายน้ำที่ดี แต่หากยังมีการรุกล้ำลำน้ำหรือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของแม่น้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำท่วมในอนาคตอาจจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่โดยตรง

นอกจากนี้ เขายังเน้นว่าการปรับปรุงลำน้ำ คูคลอง และเส้นทางน้ำในพื้นที่เชียงใหม่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ระบบระบายน้ำสามารถรองรับน้ำท่วมได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเมืองซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างและการพัฒนาเมืองที่รุกล้ำพื้นที่ทางน้ำมากกว่าที่ควรจะเป็น หากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง สถานการณ์น้ำท่วมในเชียงใหม่อาจเกิดซ้ำบ่อยครั้ง และความรุนแรงของน้ำท่วมจะสูงขึ้นตามลำดับ

จากการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ข้อมูลระดับน้ำและอัตราการไหลของแม่น้ำปิง ผศ.ดร.ณัฐ มาแจ้ง จึงสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของลำน้ำปิงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น แม้จะมีอัตราการไหลของน้ำที่ลดลงก็ตาม สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป และการปรับตัวของมนุษย์ที่มีผลต่อระบบนิเวศน้ำในพื้นที่

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำและการฟื้นฟูลำน้ำ เพื่อให้ลำน้ำสามารถรองรับปริมาณน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต” นอกจากนี้ การป้องกันและเตรียมการล่วงหน้าจำเป็นต้องวางแผนระยะยาว โดยคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งจากธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์เป็นหลัก เพื่อป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Nat MJ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

หอการค้าฯ ชี้น้ำท่วม เสียหายกว่า 3 หมื่นล้านบาท “เชียงราย” หนักสุด

 

เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขยายวงกว้างไปยัง 33 จังหวัดทั้งทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่ว่าจะเป็น เชียงราย พะเยา สุโขทัย หนองคาย นครพนม พิจิตร สกลนคร พิษณุโลก และอุดรธานี เป็นต้น จากมวลน้ำที่ไหลผ่านเข้าสู่ภาคกลางประกอบกับแนวโน้มที่ฝนจะตกเพิ่มต่อเนื่องอีกระลอก ทำให้หลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วม

โดยเฉพาะปริมาณฝนที่คาดว่าจะมีการตกหลังเขื่อนในช่วงเดือนต.ค.ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมเพิ่มเติมได้ ดังนั้น ทุกภาคส่วนยังจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์น้ำต่อไปอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรเร่งจัดทำแผนเชิงป้องกันไว้ล่วงหน้าที่ชัดเจนก็จะช่วยลดผลกระทบและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและเศรษฐกิจได้มาก

โดยหอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินมูลค่าความเสียหายแล้ว ประมาณ 29,845 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 0.17% ของ GDP (ข้อมูล ณ 28 ก.ย. 67) ซึ่งภาพรวมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมรวมทั้งสิ้นประมาณ 3 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่การเกษตร 1,166,992 ไร่ และพื้นที่อื่นๆ 1,826,812 ไร่

ทั้งนี้ จากการประเมิน พบว่า ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมถึง 24,553 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82.3% ของความเสียหายทั้งหมด รองลงมาเป็นภาคบริการ เสียหาย 5,121 ล้านบาท

ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเสียหายราว 171 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เนื่องจากมีการเตรียมการรับมือกับสถานการณ์น้ำได้ดี สำหรับจังหวัดที่ได้รับผลกระทบและมูลค่าความเสียหายมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ เชียงราย มีมูลค่าความเสียหายรวม 6,412 ล้านบาท รองลงมาคือ พะเยา 3,292 ล้านบาท สุโขทัย 3,042 ล้านบาท

นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้งที่เกิดขึ้นถี่และขยายวงกว้างมากขึ้น อีกทั้งยังสร้างผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตของภาคการเกษตรที่เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ขณะที่รัฐบาลต้องใช้งบประมาณในการบรรเทาความเสียหายและเยียวยาประชาชนในส่วนนี้กว่าปีละแสนล้านบาท

ดังนั้น หอการค้าฯ จึงเห็นว่าประเทศไทยควรมีการทบทวนและวางแผนการบริหารจัดการน้ำเป็นระบบ โดยได้จัดทำข้อเสนอทั้งเชิงนโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางการบริหารจัดการน้ำ (Infrastructure and Water Management) รวมถึงข้อเสนอเชิงสนับสนุน เช่น ศึกษา ปัญหาอุปสรรคด้านการบริหารจัดการน้ำในส่วนภูมิภาค เพื่อสะท้อนแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่อย่างครอบคลุม

การจัดตั้ง War Room ของรัฐบาลเพื่อสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงการเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนกับรัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ แนวทางการเติมน้ำใต้ดิน เพื่อเป็นการบริหารจัดการน้ำในช่วงขาดแคลน รวมทั้งแนวทางอนุรักษ์น้ำรองรับการอุปโภค บริโภค และการใช้เชิงพาณิชย์ อย่างยั่งยืน

นายอธิป พีชานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเครือข่ายสมาคมการค้า กล่าวว่า  ได้ระดมความช่วยเหลือ ทั้งเงินสนับสนุน สิ่งของอุปโภค-บริโภค ยา-เวชภัณฑ์ อาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงอุปกรณ์ในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับความเสียหาย มูลค่ารวมกว่า 5.7 ล้านบาท เพื่อนำความช่วยเหลือไปยังจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นการเร่งด่วน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News