Categories
ECONOMY

ททท. ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ พร้อมปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ททท.ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ–ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ำกรอบความปลอดภัย–กระจายรายได้สู่เมืองรอง รับดีมานด์จีนฟื้นช่วง Golden Week

กรุงเทพฯ, 10 ตุลาคม 2568 — ในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกยังแกว่งตัวและกำลังซื้อครัวเรือนบางกลุ่มในประเทศยังไม่ฟื้นเต็มที่ ภาครัฐเลือก “เกียร์สูง” กับเครื่องยนต์การท่องเที่ยว โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย นโยบายเร่งด่วน 4 เดือน ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก  (1) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 7 ตลาดศักยภาพ, (2) กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยแนวคิด ต่อยอด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง”, และ (3) ยกระดับคุณภาพ–ความปลอดภัย–การกระจายรายได้ไปสู่ เมืองรอง เพื่อให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนเวียนอย่างทั่วถึง

ภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ายนโยบายกำหนดเป้า 7 ตลาดหลักที่ “จับจ่ายสูง” ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และ กลุ่มตะวันออกกลาง อาทิ กาตาร์ คูเวต โอมาน พร้อมเดินหมากการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก—ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหมายกำหนดการ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เพื่อตอกย้ำความร่วมมือและดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวกลับไทย

ขณะที่ฝั่งสัญญาณหน้างาน ตลาดจีน โชว์แรงส่งช่วง Golden Week (1–8 ต.ค. 2568) โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า เป้า 2 แสนคน ในช่วงดังกล่าว “ตัวเลขปรับตัวดีขึ้นจากเป้าหมายที่วางไว้” และคาดว่าจะเห็นภาพชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน สะท้อนการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของดีมานด์เดินทางจากจีน—ฐานรายได้สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

“เรามั่นใจในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น” — นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เจาะ 7 ตลาดศักยภาพ–เร่งทวงแชร์

จีน–ญี่ปุ่น–เกาหลีใต้–อินเดีย คือ ตลาดแกน” ที่มีฐานเที่ยวบินและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ–สังคมยาวนาน ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย–UAE–ตะวันออกกลาง ถูกจัดวางเป็น ตลาดกำลังซื้อสูงที่มีช่องว่างใหม่” ทั้งในมิติการบินเชื่อมต่อ การตลาดเฉพาะกลุ่ม (ครอบครัว รายได้สูง กลุ่มสุขภาพ/Medical Wellness และ Halal-friendly) และฤดูกาลท่องเที่ยวที่ สวนทาง” กับไทยบางช่วง ทำให้สามารถบริหาร Load Factor ฝั่งสายการบินและ Seasonality ฝั่งผู้ประกอบการได้ดีขึ้น

หมากสำคัญคือ การเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของรองนายกฯ และ รมว.การท่องเที่ยวฯ เพื่อเจรจาความร่วมมือระดับรัฐ–เอกชน ทั้งด้าน โควตาเที่ยวบิน, แคมเปญร่วมการตลาด (co-promotion) กับแพลตฟอร์ม/เอเจนซีรายใหญ่, และ ความปลอดภัยปลายทาง ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น–กลาง

Golden Week ทำหน้าที่เสมือน สัญญาณนำ (leading indicator)” ของไตรมาสสุดท้าย เมื่อ ททท. ประเมินไว้ที่ 2 แสนคน และตัวเลขจริง เกินกว่าเป้า ย่อมสะท้อน Elasticity ของดีมานด์ ที่ยังตอบสนองต่อโปรโมชั่น–ความสะดวกด้านวีซ่า–ความมั่นใจด้านความปลอดภัย หากสามารถต่อยอดสู่ ตารางบินฤดูหนาว และ เทศกาลปลายปี ได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสดัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป ให้ขยับขึ้นตาม

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ในเงื่อนไขกำลังซื้ออ่อน

ฝั่งอุปสงค์ในประเทศ รัฐบาลกำลังกลับมาใช้ “กลไกความร่วมจ่าย (co-pay)” เพื่อขยับ กำลังซื้อที่ถูกกดทับ ให้เกิดการเดินทางจริง โดยแนวคิด เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ถูกออกแบบให้ สอดรับโครงการ “คนละครึ่ง” (เปิด 29 ต.ค. นี้) พร้อมพิจารณา สิทธิประโยชน์ทางภาษี ร่วมกับกระทรวงการคลัง เช่น ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวหมู่คณะ หรือ สิทธิคืนภาษีปลายปี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

ในเชิงกลไกเศรษฐกิจ แนวทางนี้สามารถเพิ่ม ตัวคูณ (multiplier) ของเม็ดเงินรัฐ หากออกแบบให้ “เงินรัฐ 1 บาท ดึง เงินเอกชนหลายบาท” ผ่านเพดานสิทธิ–ร่วมจ่าย–การกำหนดช่วงเวลา/ปลายทางที่ นอกพีก/เมืองรอง เพื่อแก้ปัญหา “แออัดในเมืองหลัก–โลว์โหลดเมืองรอง” ควบคู่กับการคัดกรองกิจกรรมที่มี Local Content สูง (โฮมสเตย์–ทัวร์ชุมชน–งานเทศกาลท้องถิ่น) เพื่อให้ รายได้กระจาย ไม่กระจุกในห่วงโซ่หลัก

คำถามเชิงนโยบายสำคัญคือ จะมีประสิทธิภาพเพียงพอไหม หากกำลังซื้อครัวเรือนยังอ่อน?” เงื่อนไขความสำเร็จจึงขึ้นกับ

  • การตั้งสัดส่วนร่วมจ่าย ที่จูงใจพอ (แต่ไม่บิดเบือนราคา)
  • การล็อกช่วงเวลา/พื้นที่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกระจายรายได้
  • การเชื่อมมาตรการภาษี กับองค์กร/สหกรณ์/ชุมชน เพื่อดึง ดีมานด์กลุ่มใหญ่
  • การสื่อสารความปลอดภัย และ มาตรฐานบริการ เพื่อสร้าง ความคุ้มค่าเชิงประสบการณ์ (Value for Experience) มากกว่าราคาอย่างเดียว

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คุณภาพ–ความปลอดภัย–เมืองรอง คือแกนถ่วงดุล

ททท. ระบุชัดว่า ความปลอดภัย เป็นวาระเร่งด่วน โดยบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, และ หน่วยงานความมั่นคง เพื่อดูแลพื้นที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีคนหนาแน่น การจัดการ จุดเสี่ยง–จุดอ่อนไหว, ระบบ แจ้งเหตุ/สายด่วนหลายภาษา, และ การลาดตระเวนเชิงป้องกัน เป็นคีย์เวิร์ดของความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้าน คุณภาพและการกระจายรายได้ ททท. จะทำงานกับภาคเอกชนและพันธมิตรในพื้นที่ จัดกิจกรรม/อีเวนต์ เมืองหลัก–เมืองรอง” โดยเน้นเมืองรองเป็นพิเศษ เพื่อขยายความหลากหลายสินค้า–ประสบการณ์ (จากแค่ทะเล–ภูเขา ไปสู่ อาหาร–เทศกาล–สุขภาพ–กีฬา–MICE ท้องถิ่น) ให้สอดรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิดที่นิยม ทริปสั้นถี่–คอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม–คุณค่าเชิงวัฒนธรรม

คำให้สัมภาษณ์และสัญญาณจากหน้างาน

  • ผู้ว่าการ ททท. ย้ำ “ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน” และ บทบาทเจ้าบ้านที่ดีของคนไทย เป็นแกนสร้างความเชื่อมั่น—องค์ประกอบสำคัญไม่แพ้ราคา/โปรโมชั่น
  • รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียฯ ให้ข้อมูล Golden Week จีน ว่าตัวเลขเข้าประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากเป้า 2 แสนคน สะท้อนว่าตลาดจีน ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ไทย กลับไปทวงแชร์ ในไตรมาสสุดท้าย

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ–ชุมชน–แรงงานท่องเที่ยว

  1. ผู้ประกอบการโรงแรม–ทัวร์–ร้านอาหาร ควรเตรียม แพ็กเกจร่วมจ่าย ให้สอดรับ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” (เงื่อนไข–ระยะเวลา–ปลายทางเมืองรอง) และ แคมเปญจีน/เอเชีย ที่มักผูกการจองผ่านแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการที่ลงทุนใน บริการหลายภาษา–ชำระเงินหลากสกุล–รีวิวคุณภาพ จะได้เปรียบ
  2. ชุมชน–เมืองรอง โอกาสในการจัด เทศกาลท้องถิ่น/เส้นทางวัฒนธรรม/โฮมสเตย์มาตรฐาน เพื่อรับเม็ดเงินตรงสู่พื้นที่ ควรร่วมมือกับ ททท.–อปท.–เอกชน สร้าง ปฏิทินกิจกรรม ที่สอดรับฤดูกาลและเส้นทางบิน/รถไฟ/รถโดยสาร
  3. แรงงานท่องเที่ยว เมื่อดีมานด์เร่งตัว บทบาท มัคคุเทศก์/พนักงานต้อนรับ/คนขับรถ/ไกด์ท้องถิ่น จะเพิ่มสูง ควรเร่ง อัปสกิลภาษา–ดิจิทัล–มาตรฐานบริการ–ความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งตลาดจีน–เอเชียและตะวันออกกลางที่มีความต้องการเฉพาะทาง (อาหาร/วัฒนธรรม/ศาสนา)

จะ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เอาอยู่ไหม? — เงื่อนไขความสำเร็จในสภาวะกำลังซื้ออ่อน

แม้มาตรการร่วมจ่ายช่วย ปลดล็อกการตัดสินใจ ได้ดีในกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ รายได้ตึงตัว/หนี้สูง การ “เพิ่มแรงจูงใจ” ต้องทำมากกว่าราคา เช่น

  • ผูกสิทธิภาษี สำหรับการเดินทางแบบ หมู่คณะ/องค์กร/สหกรณ์ เพื่อดึง ดีมานด์เป็นชุด
  • เล็งฤดูกาล–พื้นที่ ที่รัฐอยากกระจายรายได้ เช่น นอกพีก–เมืองรอง พร้อม คูปองกิจกรรมท้องถิ่น
  • คุมคุณภาพ/ความปลอดภัย ให้ “คุ้มค่าความรู้สึก” ถึงแม้กำลังซื้อจำกัด นักท่องเที่ยวจะยอมจ่ายหากมั่นใจว่าจะได้ ประสบการณ์คุ้มราคา
  • สื่อสารง่าย–จองสะดวก–โปร่งใส ลดต้นทุนเวลาและความสับสนของผู้ใช้สิทธิ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นโยบายร่วมจ่ายจะคุ้มค่า เมื่อทำหน้าที่เป็น “สะพาน” พาคนไทยจาก “อยากไป” สู่ “ตัดสินใจไปจริง” ในจุดที่ตลาดเอกชนเพียว ๆ ยังไปไม่ถึง โดยไม่บิดเบือนตลาดจนเกินไป

เชื่อม “ความปลอดภัย–คุณภาพ” กับ “การดึงต่างชาติ” ให้เดินพร้อมกัน

ในจังหวะเร่งเครื่องต่างชาติ ประเด็น ความปลอดภัย จะถูก จับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตลาดจีนที่อ่อนไหวต่อข่าว/กระแสโซเชียล การประกาศบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว–กองบัญชาการตำรวจนครบาล–หน่วยงานความมั่นคง จึงเป็น ประกันความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ควบคู่กับการยกระดับ มาตรฐานสถานบริการ–การคุ้มครองผู้บริโภค–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะกลายเป็น ทรัพย์สิน (asset) ระยะยาวของแบรนด์ “Thailand”

ระยะต่อไป ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ควรติดตาม

  • จำนวน–ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจาก 7 ตลาด และ สัดส่วนตลาดจีน ในไตรมาสสุดท้าย
  • สัดส่วนการเดินทางสู่นอกพีก/เมืองรอง ภายใต้โครงการร่วมจ่าย
  • ดัชนีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และ เวลาการตอบสนองเหตุ ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
  • การเติบโตของรายได้ผู้ประกอบการชุมชน และ การจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เทียบฐานก่อนมาตรการ

นโยบายท่องเที่ยวรอบนี้วางเกมเป็น “สามเหลี่ยมถ่วงดุลต่างชาติ–ในประเทศ–ความปลอดภัย/คุณภาพ/เมืองรอง โดยมีการทูตเศรษฐกิจ (เยือนจีน) เป็นคันเร่งฝั่งอินบาวนด์ และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เป็นตัวค้ำฝั่งดีมานด์ภายใน การจะ “เอาอยู่” หรือไม่ จึงขึ้นกับ การออกแบบกลไก ให้ เงินรัฐ 1 บาท ดึง เม็ดเงินเอกชนหลายบาท, กระตุ้น การเดินทางที่ต้องการ (นอกพีก–เมืองรอง–กิจกรรมท้องถิ่น), และสร้าง ความเชื่อมั่น ว่าไทยพร้อมทั้งด้าน ความปลอดภัย และ คุณภาพประสบการณ์

จากสัญญาณ Golden Week จีน ที่ดีกว่าเป้า และทิศทางเยือนจีนในเร็ว ๆ นี้ ภาพรวมบอกเราว่า ดีมานด์พร้อมตอบสนอง หากนโยบาย “จับจุดถูก” ส่วนฝั่งในประเทศ หาก เที่ยวไทยคนละครึ่ง ถูกแบบมาอย่างพอดี–โปร่งใส–ใช้ง่าย ก็มีศักยภาพ “แก้ปัญหาถูกที่–ถูกเวลา” ให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนไปในพื้นที่ที่ต้องการได้จริง

แก่นสำคัญของไตรมาสสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ “ดึงนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด” แต่คือ “ดึง ให้ถูกที่–ถูกช่วง–ถูกกลุ่ม และ ปลอดภัย” เพื่อให้การท่องเที่ยวทำหน้าที่เป็น หัวจักรเศรษฐกิจ ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนเชิงบวกไปถึงชุมชนฐานรากอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Golden Week โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ (รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา — นโยบายบูรณาการเพื่อฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว, หมายกำหนดการเยือนจีนของ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รัฐมนตรีว่าการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / ตำรวจท่องเที่ยว / กองบัญชาการตำรวจนครบาล
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” โอกาสทองเปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” เปิดหน้าต่างแห่งโอกาส เปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทางรอดของการเติบโตระยะยาว มุมมองเชิงลึกจากกรุงเทพฯถึงเชียงราย

ประเทศไทย, 7 ตุลาคม 2568 — นาฬิกาสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยกำลังเดินเร็วขึ้นกว่าที่คาด เมื่อ ธนาคารโลก (World Bank) เผยรายงาน Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับล่าสุด (เมษายน 2568) ชี้ชัดว่าไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากอุทกภัย ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน ซึ่งไม่เพียงบั่นทอนคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของประชาชน แต่ยังกดทับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรมและศูนย์กลางเศรษฐกิจจากลุ่มเจ้าพระยาถึงมหานครริมทะเลอย่างภูเก็ต

รายงานระบุว่า แม้ไทยตั้งธงใหญ่คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ภายในปี 2593 และ การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” ภายในปี 2608 แต่ “ระยะทาง” ระหว่างวันนี้กับวันนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ น้ำท่วมที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่คืบคลานสู่เมืองชายฝั่ง ภัยแล้งที่ยื้อยุดผลผลิตเกษตรภาคเหนือ–อีสาน รวมถึงความเสี่ยงใหม่อย่าง คลื่นความร้อน ที่กระทบแรงงานกลางแจ้งและผู้สูงอายุโดยตรง ขณะเดียวกัน โครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและอุตสาหกรรมดั้งเดิม ทำให้ไทยต้อง “เร่งจูนโครงสร้าง” ครั้งใหญ่ หากหวังเดินถึงเป้าหมายตามกรอบเวลา

จุดเงยหน้าในภาพซับซ้อนนี้คือข้อเท็จจริงที่ธนาคารโลกย้ำว่า เศรษฐกิจสีเขียวไม่ใช่ต้นทุนอย่างเดียว แต่คือโอกาสทอง” ทั้งการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโลก การยกระดับความสามารถแข่งขัน และการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นผ่านอุตสาหกรรมใหม่ ตั้งแต่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึง พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน หากขับเคลื่อนอย่างมีระบบ ไทยไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างสมดุลการเติบโตที่ทนทานต่อโลกภูมิอากาศใหม่ (new climate normal)

ภาพใหญ่ “ความเสี่ยง–ความหวัง” ที่มาเคาะประตูพร้อมกัน

1) ภัยพิบัติถี่ขึ้น–แรงขึ้น
น้ำท่วมยังเป็นความเสี่ยงอันดับต้นของไทย ทั้งในเมืองใหญ่และพื้นที่เกษตรกรรม ลำน้ำท้องถิ่นรับน้ำไม่ทันเขตเศรษฐกิจแอ่งกระทะรับแรงกระแทกเต็ม ๆ ขณะที่ ภัยแล้ง ในเหนือ–อีสานทำให้สต็อกน้ำเขื่อนตึงมือ เกษตรกรต้องหันมาปรับพืช ลดรอบปลูก หรือยอมรับผลผลิตตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนแรงงานและปัจจัยการผลิตที่ยื้อสูง

2) เป้าหมายสุทธิศูนย์–โจทย์โครงสร้าง
ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 0.88% ของโลก ตัวเลขอาจดูเล็ก แต่ “ความเปราะบาง” ส่งผลเกินสัดส่วน เมื่อเทียบโครงสร้างการตั้งถิ่นฐาน การใช้ที่ดิน และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เสี่ยง รายงานชี้ว่าการไปให้ถึง Carbon Neutrality 2593 และ Net Zero 2608 ต้องพึ่งการเปลี่ยนผ่านขนาดใหญ่ใน ภาคพลังงาน, อุตสาหกรรม, เกษตร และโครงสร้างพื้นฐานจัดการน้ำ ไม่ใช่เพียงการ “ติดตั้งแผงโซลาร์” เพิ่ม แต่คือการออกแบบระบบใหม่ทั้งห่วงโซ่อุปทานและแรงจูงใจตลาด

3) โอกาสเศรษฐกิจสีเขียว หน้าต่างไม่เปิดค้าง
โลกกำลัง “ลงคะแนนด้วยเงินลงทุน” ให้กับห่วงโซ่ผลิตที่ ปล่อยคาร์บอนต่ำ ประเทศที่เคลื่อนตัวไวจะได้ “ส่วนแบ่งตลาดอนาคต” ทั้งใน EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ, พลังงานแสงอาทิตย์–พลังงานชีวภาพ, ไปจนถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง และ การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ หากไทยปรับตัวทัน ตั้งมาตรฐาน, ใช้มาตรการการเงิน–ภาษีที่ถูกจุด, ทำตลาดคาร์บอนโอกาสจะถูกแปลงเป็น การเติบโตใหม่ ที่ยั่งยืน

เวิลด์แบงก์แนะ 3 เสาหลัก ทางด่วนสู่ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”

ปฏิรูปพลังงานผลิตให้สะอาด ใช้ให้คุ้ม

  • เร่งสัดส่วน พลังงานหมุนเวียน ในระบบผลิตไฟฟ้า ควบคู่ การจัดการความผันผวน (grid flexibility) เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) และพยากรณ์โหลดอัจฉริยะ
  • ด้าน “อุปสงค์” สนับสนุน ประสิทธิภาพพลังงาน ในอาคาร–อุตสาหกรรมมาตรฐานใหม่ของเครื่องใช้ไฟฟ้า, เข้มงวดฉลากประหยัด, เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อรีโทรฟิต

อุตสาหกรรม–เกษตรคาร์บอนต่ำ

  • ผลักดัน เทคโนโลยีปล่อยต่ำ (low-carbon) ในโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด, ไอน้ำประสิทธิภาพสูง, เชื้อเพลิงผสมชีวภาพ, วัสดุหมุนเวียน
  • ภาคเกษตรขยาย การจัดการน้ำอย่างแม่นยำ, พันธุ์พืชทนแล้ง–ทนร้อน, ลด “การเผา” และส่งเสริม ชีวมวล–ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อลดการปล่อยจากดิน–ปศุสัตว์ ควบคู่ การตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรคาร์บอนต่ำ สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ชุมชน

โครงสร้างพื้นฐานรับมือภัยพิบัติ

  • ลงทุน ระบบจัดการน้ำแบบบูรณาการ เก็บ–ระบาย–กัก–ยืดหยุ่น (multi-use storage, retention, floodways) พร้อม สารสนเทศภูมิอากาศ ระดับพื้นที่
  • โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Nature-based solutions) ป่าต้นน้ำ–พื้นที่ชุ่มน้ำ–แนวกันคลื่นธรรมชาติในชายฝั่งลดความเสี่ยงระยะยาวด้วยต้นทุนคุ้มค่า

จากกรุงเทพฯถึงเชียงราย เมื่อ “ความเปราะบาง” กระทบชีวิตจริง

ภาพรวมประเทศที่เวิลด์แบงก์ฉายยังสะท้อนชัดในจังหวัดปลายแผ่นดินอย่าง เชียงราย—จุดบรรจบแม่น้ำสาย–โขง ที่มีทั้งภูเขา–แอ่งรับน้ำ–ชายแดนการค้าคึกคัก เมืองที่รุ่งด้วย กาแฟ–ชา–ศิลปะ–วัฒนธรรมชนเผ่า–โลจิสติกส์ชายแดน ก็หนีไม่พ้นโจทย์ภูมิอากาศใหม่

  • ภัยแล้งยืดเยื้อ–ฝนทิ้งช่วง ทำให้สวนกาแฟ–ชาเสี่ยงผลผลิตไม่นิ่ง เกษตรกรรับแรงกดดันสองทางน้ำขาด/ศัตรูพืชเพิ่ม
  • น้ำหลากฉับพลัน ในพื้นที่ลาดชัน–ลุ่มน้ำท้องถิ่น กระทบโครงสร้างพื้นฐานชุมชน–การท่องเที่ยว
  • หมอกควัน/PM2.5 ฤดูร้อนปลายหนาวภาพลักษณ์ท่องเที่ยว–สุขภาพประชาชน และแรงงานกลางแจ้ง

ถ้าถามว่า “เชียงรายต้องปรับอะไร” คำตอบอยู่ใน เสาหลักเดียวกันแต่ปรับใช้ให้ตรงบริบท”

  • น้ำ อ่างเก็บ–หนอง–แก้มลิงชุมชน บริหารร่วมกัน เชื่อมข้อมูลฝน–ดิน–พืชแบบเรียลไทม์ให้ “ปลูกพอดี–ใช้น้ำพอเพียง”
  • เกษตร ปลูกผสมผสาน–ร่มเงา–หยุดเผา, ส่งเสริม กาแฟ/ชายั่งยืน เข้าสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ “ค่าเพิ่มจากคาร์บอนต่ำ”
  • เมือง–ท่องเที่ยว จัดการ ทางเดิน–ร่มเงา–จุดพักชุ่มน้ำ–ระบบเตือนภัย สร้างประสบการณ์ ท่องเที่ยวใส่ใจภูมิอากาศ (low-carbon travel) ให้เป็น “แบรนด์เชียงราย”

เศรษฐกิจสีเขียว ไม่ใช่แค่ทางรอดแต่คือ “ทางเลือกที่ฉลาดกว่า”

EV และอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่
ไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์เดิม หากยกระดับสายการผลิตสู่ EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ ได้มากขึ้นและใช้ ไฟฟ้าสะอาด ในกระบวนการ จะรักษาฐานการจ้างงานและส่วนแบ่งตลาดโลก ขณะเดียวกัน จังหวัดปลายทางอย่างเชียงรายได้อานิสงส์จาก โครงสร้างชาร์จ–ท่องเที่ยว EV-friendly และ โลจิสติกส์ไฟฟ้า สำหรับขนส่งชายแดน

พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน
แสงอาทิตย์บนหลังคา (rooftop solar) สำหรับธุรกิจ–ครัวเรือน, ระบบปรับอากาศ–แสงสว่างประสิทธิภาพสูงในโรงแรม–คาเฟ่–แหล่งท่องเที่ยว สร้างผล “ต้นทุนลด–ภาพลักษณ์เพิ่ม” และถ้ารัฐเคาะ มาตรการทางการเงิน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ/ประกันราคาไฟ/ภาษีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจะเร็วขึ้น

ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำแม่น้ำเดียวกันต่างฝั่งได้ประโยชน์
เชียงรายมีทุนวัฒนธรรม–ศิลป์–เกษตร สร้างเส้นทาง Art–Tea/Coffee–Community แบบ Slow Travel ที่ลดการเดินทางซ้ำซ้อน, ใช้ ยานพาหนะปล่อยต่ำ, เสิร์ฟ อาหารท้องถิ่นจากเกษตรยั่งยืน, และเสนอ คอมเพนเสตคาร์บอน ให้ผู้มาเยือนทั้งสร้างประสบการณ์และรายได้กลับสู่ชุมชน

กลไกการเงิน–ภาษี สวิตช์ที่ทำให้ “ความตั้งใจ” กลายเป็น “การลงทุนจริง”

รายงานเวิลด์แบงก์ย้ำว่า ความสำเร็จอยู่ที่ การจัดลำดับนโยบาย” และ ระดมเงินทุน” ให้ถูกที่ถูกเวลา

  • ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) สร้างราคาสำหรับ “การลดปล่อย” ให้ธุรกิจเห็นผลตอบแทนชัด ทั้งในและข้ามพรมแดน (เช่น โครงการปลูกป่า–เกษตรยั่งยืน–รีโทรฟิตอาคาร)
  • ภาษีคาร์บอน/ปรับคาร์บอนข้ามแดน (CBAM) ของคู่ค้า ยิ่งกดดันให้ซัพพลายเชนไทย ใสสะอาด–ตรวจสอบได้ถ้าเตรียมตัวเร็ว เราจะเป็นซัพพลายเออร์ที่คู่ค้าอยากร่วมงาน
  • แรงจูงใจการลงทุนสีเขียว เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, เร่งลดขั้นตอนอนุญาตโครงการสะอาด, อุดหนุน R&D/สกิลแรงงานให้เอกชนเห็น ความเสี่ยงลด–ผลตอบแทนเพิ่ม”

แผน 12 เดือน” เพื่อเปลี่ยนรายงานให้เป็นผลลัพธ์ (จากส่วนกลางถึงจังหวัด)

ระดับชาติ

  1. อัปเดตแผนพลังงานและแผนภูมิอากาศให้ “เดินสอดรับ” กันระบุเป้า RE, กักเก็บพลังงาน, ประสิทธิภาพพลังงาน แบบมีไทม์ไลน์–งบ–หน่วยงานรับผิดชอบ
  2. เปิดทางตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจและเตรียมความพร้อมเครื่องมือกำกับ (MRV, registry, standard)
  3. ตั้ง “กองทุนเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ให้สินเชื่อ/ค้ำประกันโครงการสะอาดของ SME อาคาร/โรงแรม/เกษตร

ระดับจังหวัด (ต้นแบบเชียงราย)
4) จัดทำ Climate Risk Map ระดับตำบล ชี้จุดเสี่ยงน้ำท่วม/แล้ง/ดินถล่ม–PM2.5 และ แผนตอบสนอง รายพื้นที่
5) สร้าง คอมมูนิตี้วอเตอร์แบงก์ หนอง/แก้มลิง/สระเก็บน้ำ บริหารร่วมกับเกษตรกรและเทศบาล เชื่อมข้อมูลฝน–ชลประทาน
6) ทำ Green Hospitality Standard สำหรับโรงแรม–คาเฟ่–ที่พัก ตั้งเป้าลดใช้พลังงาน/น้ำ–จัดการของเสีย–เมนูท้องถิ่น–ทางเลือกวีแกน–ข้อมูลคาร์บอนเมนู
7) ออก เชียงรายคลัสเตอร์ชา/กาแฟยั่งยืน หยุดเผา, ร่มเงา, น้ำหยด, ตรวจย้อนกลับ, รับรองมาตรฐาน ขายสู่ตลาดพรีเมียมและเชื่อมท่องเที่ยว
8) สื่อสาร เตือนภัย–คุณภาพอากาศ–สภาพจราจร แบบเรียลไทม์หลายภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) ผ่านเว็บ/โซเชียล/QR ในจุดท่องเที่ยว
9) จัด เทศกาลฤดูหนาวคาร์บอนต่ำ ธีมเดียวทั้งเมือง ขนส่งสาธารณะ–ไฟประหยัดพลังงาน–ของที่ระลึกจากวัสดุหมุนเวียน
10) พัฒนา ทักษะแรงงานสีเขียว มัคคุเทศก์เล่าเรื่องภูมิอากาศ–บาริสต้า/เชฟใช้วัตถุดิบท้องถิ่นยั่งยืน–ช่างเทคนิคพลังงานแสงอาทิตย์/ปรับอากาศประหยัดพลังงาน

คำถามกลางเรื่อง “หรือวิกฤตจะเปลี่ยน” ไทยได้จริง?

หัวใจของรายงานเวิลด์แบงก์มิได้บอกเราว่า “ภัยพิบัติจะหนักขึ้น” เท่านั้น แต่ ท้าทายให้เลือก เราจะเป็นเพียงผู้รับผลกระทบ หรือจะเป็น ผู้กำหนดทิศทางใหม่ ด้วยการแปลงวิกฤตเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจที่ สะอาดกว่า แข็งแรงกว่า และเป็นธรรมกว่า สำหรับคนส่วนใหญ่

ตัวเลข 0.88% ของการปล่อยโลกอาจทำให้เรารู้สึกว่าไทย “ไม่ได้ปล่อยมาก” ทว่าในวันที่ห่วงโซ่อุปทานโลก วัด คาร์บอนในทุกกิโลวัตต์–ทุกชิ้นส่วน–ทุกกิโลเมตรขนส่ง ความได้เปรียบจะเป็นของผู้ที่ พิสูจน์ได้ ว่าผลิตภัณฑ์–บริการปล่อยต่ำจริง และ ปลอดภัยต่อสภาพภูมิอากาศ นั่นทำให้การปฏิรูปพลังงาน, การเงินสีเขียว, มาตรฐานสินค้า–บริการ และข้อมูลความเสี่ยงระดับพื้นที่ ไม่ใช่ “งานของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง” แต่คือ วาระแห่งชาติ ที่ต้องเดินพร้อมกัน

เชียงราย ด้วยทุนวัฒนธรรมและภูมิประเทศเฉพาะตัว มีโอกาส ก้าวนำ เป็น “เมืองต้นแบบเศรษฐกิจท้องถิ่นคาร์บอนต่ำ” ที่คนทั้งประเทศจับตา เมืองที่จัดการน้ำอย่างรู้ค่า, ทำเกษตร–ท่องเที่ยวเชื่อมชุมชน, ใช้พลังงานคุ้มและสะอาด, สร้างงานทักษะใหม่ให้คนรุ่นใหม่ และส่งออก “เรื่องเล่า” ของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพสู่โลก

รายงาน CCDR ของเวิลด์แบงก์ย้ำสองประเด็นพร้อมกัน ความเสี่ยงกำลังสูงขึ้น และ โอกาสกำลังเปิดกว้าง ประเทศไทยมีเวลา ไม่มาก ในการสลับเกียร์จาก “ซ่อมความเสียหายหลังภัยพิบัติ” ไปสู่ “ลงทุนป้องกัน–ปรับตัว–ลดปล่อยเชิงรุก” ยิ่งลงมือเร็ว ต้นทุนยิ่งต่ำ และผลตอบแทนยิ่งมาก ทั้งต่อเศรษฐกิจมหภาคและกระเป๋าสตางค์ของครัวเรือน

คำตอบว่าประเทศไทย และเชียงรายจะ “พร้อม” แค่ไหน อยู่ที่ ความกล้าตัดสินใจ ของภาครัฐ, ความริเริ่ม ของเอกชน, และ พลังร่วม ของชุมชนในพื้นที่ หากทั้งหมดขยับในทิศทางเดียวกัน “วิกฤต” ก็จะกลายเป็น รากฐาน ของเศรษฐกิจใหม่ที่มั่นคงกว่าและยั่งยืนกว่าไม่ใช่แค่คำสัญญาบนเวทีโลก แต่เป็นคุณภาพชีวิตที่คนไทยสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Bank – Thailand Country Climate and Development Report (CCDR)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ./ONEP)
  • กระทรวงพลังงาน
  • IPCC AR6
  • Global Facility for Disaster Reduction and Recovery (GFDRR) – Thailand Country Profile
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แรงงานศรีลังกา 10,000 -ผู้หนีภัยฯ เมียนมาเข้าไทย! แผนอัปสกิล-รีสกิล รับมือวิกฤตขาดแคลน

วิกฤตแรงงานไทย 2568 “เร่งอุดช่องว่าง 1 แสนตำแหน่ง” – แผนฟื้นตัวจากชายแดนสู่ดิจิทัล อัปสกิล–รีสกิล และยกระดับสวัสดิการ เพื่อแรงงานทุกกลุ่ม

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568เช้าวันจันทร์ต้นไตรมาส 4/2568 ประเทศไทยตื่นมาเจอ “โจทย์ใหญ่” ในตลาดงาน—ตำแหน่งงานว่างกว่าหนึ่งแสนตำแหน่งที่หาแรงงานไม่ได้ในเวลาเดียวกับที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังเร่งเครื่องรับ “ไฮซีซัน” และฟื้นตัวจากความผันผวนชายแดนไทย–กัมพูชา สถานการณ์นี้ผลักให้ กระทรวงแรงงาน ต้องยืนหน้าเวทีและส่ง “แพ็กเกจนโยบายเร่งด่วน” ออกมาทันที

นางสาว ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุชัดหลังมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ หน่วยงานในสังกัด และเครือข่ายภาคเอกชนว่า ภารกิจมีสองชั้นที่ต้องเดินคู่กัน—แก้ขาดแคลนแรงงานเฉพาะหน้า และ วางรากฐานทักษะ–สวัสดิการ รองรับเศรษฐกิจดิจิทัลระยะยาว โดยมีเป้าหมายหลักคือ “ให้ระบบแรงงานไทยมั่นคง แข่งขันได้ และยืดหยุ่นพอรับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน”

 

1) ชั้นเร่งด่วน อุดช่องว่างแรงงาน 100,000 คน พร้อมคุมแรงงานผิดกฎหมาย

แกนกลางมาตรการเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานในปีงบประมาณใหม่ แบ่งออกเป็น 3 แนวทางที่ลงมือได้ทันที

1.1 นำเข้าแรงงานภายใต้กรอบกฎหมาย (MOU ครบวงจร)

  • แรงงานศรีลังกา ครม.อนุมัติการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อจัดส่งแรงงานศรีลังกาเข้าสู่ระบบไทย ประมาณ 10,000 คน ช่วยทดแทนกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ขาดมือ
  • เพิ่มช่องทางแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบ MOU เดิม โดยเร่งกระบวนการอนุญาตทำงานและตรวจสุขภาพให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อลดแรงจูงใจเข้าสู่ระบบผิดกฎหมาย

1.2 ใช้แรงงาน “ชั่วคราว” อย่างมีมนุษยธรรมและปลอดภัย

  • ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมา ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐและมีความพร้อมทำงาน “ชั่วคราว” กระทรวงมหาดไทยแจ้งตัวเลข กว่า 42,000 คน ซึ่งจะเริ่มมีผลให้เข้าระบบแรงงานได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 โดยบูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคงและการคุ้มครองแรงงานเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์

1.3 เร่ง “ปรับสถานะ–ขึ้นทะเบียน” แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย

  • เดินหน้าตาม มติคณะรัฐมนตรี เปิดช่องทางขึ้นทะเบียนและตรวจสอบประวัติ เพื่อให้แรงงานนอกระบบสามารถเข้าสู่ ระบบประกันสังคม–สาธารณสุข–ภาษี ได้ถูกกฎหมาย ลดความเสี่ยงเชิงสังคม และเพิ่มการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงาน

2) ชั้นโครงสร้าง เร่งอัป/รีสกิล, เปิดเส้นทาง “มัลติสกิล”, ยกระดับสวัสดิการแรงงานทุกกลุ่ม

ปัญหาขาดแคลนแรงงานวันนี้ ไม่ใช่เพียง “จำนวนคน” แต่คือ “ช่องว่างทักษะ” ในเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล–อัตโนมัติ ดังนั้นแพ็กเกจระยะกลาง–ยาวจึงวางไว้ 4 มิติ

2.1 อัปสกิล–รีสกิล (Up/Reskill) แบบจับมือเอกชน
กระทรวงแรงงานจะทำงานร่วมกับ สมาคมอุตสาหกรรม–สภาหอการค้า–หอการค้าไทย–สถาบันการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ ออกหลักสูตรสั้นเข้มข้นตั้งแต่ ทักษะดิจิทัลพื้นฐาน ถึง เทคโนโลยี AI/ข้อมูล ให้แรงงานในและนอกระบบ รวมถึงนักศึกษาช่วงปิดภาคเรียน “เรียนแล้วต่อยอดได้จริง” ผ่าน มาตรฐานสมรรถนะอาชีพ และ พอร์ตโฟลิโอ (Thai National Resume) เป็นเอกสารกลางเชื่อมตลาดงาน

2.2 “1 ตำบล 1 ช่างอเนกประสงค์” – เสริมแรงงานมัลติสกิลทั่วประเทศ
โครงการนี้เน้นสร้างแรงงาน Multi-Skills สำหรับงานซ่อมบำรุง บริการชุมชน ธุรกิจท้องถิ่น พร้อม ชุดเครื่องมือทำกิน หลังจบหลักสูตร เพื่อให้แรงงานมีรายได้หลายช่องทาง ลดความเสี่ยงจากการว่างงานระยะสั้น

2.3 ยกระดับสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ (มาตรา 40)
รัฐบาลผลักดันแก้กฎกระทรวงเพื่อขยายผลประโยชน์ 3 รายการสำคัญ

  • เงินทดแทนทุพพลภาพ จาก 1,000 → 3,000 บาท/เดือน
  • เงินสงเคราะห์บุตร จาก 200 → 300 บาท/คน
  • ค่าทดแทนขาดรายได้ระหว่างรักษาพยาบาล จาก 50 → 200 บาท/ครั้ง
    ควบคู่กับการ คุ้มครองเหตุสุดวิสัย (เช่น พื้นที่ขัดแย้งชายแดน) ให้แรงงานเข้าสู่หลักประกันอย่างทั่วถึง

2.4 ขยายตลาดงานต่างประเทศและคุ้มครองแรงงานไทยนอกแดน
เดินเครื่อง ทูตแรงงาน ใน 12 ประเทศเป้าหมาย เพื่อเปิดตลาดใหม่ เพิ่มตำแหน่งงานรายได้สูง และปกป้องสิทธิแรงงานไทยในต่างประเทศ ตั้งแต่ขั้นตอนทำสัญญา ค่าจ้าง สภาพการทำงาน ช่องทางร้องเรียน

3) กลไกกำกับดูแล ค่าแรงขั้นต่ำ บอร์ดประกันสังคม ธรรมาภิบาลกองทุน

เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่น ต่อสาธารณะ นโยบายด้านกำกับดูแลถูกวางคู่ขนานไปกับแพ็กเกจแรงงาน

  • ค่าแรงขั้นต่ำ มอบ คณะกรรมการไตรภาคี เป็นกลไกพิจารณาตามข้อมูลเศรษฐกิจจริง เพื่อให้สมดุลต่อทั้งนายจ้าง–ลูกจ้าง และความสามารถแข่งขันของประเทศ (ปีนี้มีการปรับแล้ว 2 ครั้ง ส่วนกรอบ “400 บาท” ให้ไตรภาคีชี้ขาดตามหลักเกณฑ์)
  • บอร์ดประกันสังคม ยืนยันดำเนินการสรรหาตามกรอบกฎหมายตามกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศด้านนโยบาย
  • ตรวจสอบการลงทุนกองทุน (กรณีอาคาร Skyy9)  สั่ง คณะกรรมการตรวจข้อเท็จจริง เร่งรายงานผลเบื้องต้นภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังและความโปร่งใส

“นโยบายทั้งหมดนี้มุ่งแก้โจทย์เร่งด่วนไปพร้อมกับวางรากฐานระยะยาว ระบบแรงงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานทุกกลุ่ม” — นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

4) มองจาก “พื้นที่จริง” เชียงรายต้องการอะไรในสถานการณ์นี้

แม้ปัญหาแรงงานดูเหมือนเป็น “ภาพรวมประเทศ” แต่ในพื้นที่ชายแดนเหนืออย่าง เชียงราย ความหมายของคำว่า “แรงงานขาดแคลน” มีรายละเอียดเฉพาะตัวและเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง

4.1 โครงสร้างเศรษฐกิจของเชียงราย เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ชายแดน
เชียงรายยืนอยู่บนฐาน เกษตรและเกษตรแปรรูป (ชา กาแฟ พืชเมืองหนาว), บริการท่องเที่ยว (โฮมสเตย์–ชุมชน), และ โลจิสติกส์การค้าชายแดน (ด่านแม่สาย–เชียงของ– R3A เชื่อม สปป.ลาว–จีนตอนใต้) กิจกรรมเหล่านี้ต้องพึ่งแรงงานจำนวนมากในฤดูกาลที่ต่างกัน และต้องใช้ ทักษะผสมผสาน ตั้งแต่ช่างเครื่องจักรแปรรูปเบื้องต้น, งานคลังสินค้า–ศุลกากร, จนถึงบริการท่องเที่ยวที่ใช้ภาษา–ดิจิทัล

4.2 แพ็กเกจเร่งด่วนของส่วนกลาง จะ “ลงดอย” อย่างไร

  • การเปิดทาง ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่พร้อมทำงานชั่วคราว มีความหมายกับจังหวัดชายแดนโดยตรง เพราะช่วย “คงการผลิต” ในช่วงฤดูกาลและลดแรงกดดันค่าจ้างระยะสั้น ขณะเดียวกันต้องตามด้วย การคุ้มครองแรงงาน–สาธารณสุข–ความปลอดภัย อย่างเคร่งครัด
  • MOU ศรีลังกา และการเร่งขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวจะช่วยภาคโลจิสติกส์–ก่อสร้าง–บริการ ที่กำลังขยายตัวตามการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวฟื้นตัว
  • อัป/รีสกิล ในเชียงรายควรเน้น “ทักษะตรงงาน” เช่น ดิจิทัลซัพพลายเชน–อีคอมเมิร์ซข้ามแดน–ภาษาพม่า/จีนระดับทำงาน–ช่างซ่อมบำรุงเครื่องมือเกษตร–ไกด์ท้องถิ่นดิจิทัล เชื่อมกับแผนจังหวัด (เช่น แนวทาง Wellness/Astro Tourism และเกษตรคุณภาพสูง) เพื่อให้คนท้องถิ่นได้ “งานดี–รายได้มั่นคง” ที่บ้านเกิด

4.3 ประเด็นที่จังหวัดควรทำทันที (เชื่อมกระทรวงแรงงาน)

  1. ตั้ง Job Matchpoint รายอำเภอ – ศูนย์จับคู่งาน–แรงงานแบบ One Stop (สมัครงาน–ขึ้นทะเบียน–ทดสอบทักษะ–นัดสัมภาษณ์) ให้เสร็จในวันเดียว
  2. เปิด “คลินิกทักษะ” รายสัปดาห์ – หลักสูตรสั้น 12–30 ชั่วโมงสำหรับงานจริง (เวิร์กช็อปอีคอมเมิร์ซ, ซอฟต์สกิลบริการ, ภาษาจำเป็น, ช่างเบื้องต้น) รับใบรับรองเข้า Thai National Resume อัตโนมัติ
  3. พัฒนานายจ้างรายย่อย – ชวน SMEs เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ ใช้ มาตรฐานค่าแรง–สวัสดิการ เป็นจุดขายดึงคนกลับบ้าน พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมายแรงงาน–ประกันสังคม

ในบริบทเชียงราย เป้าหมายไม่ใช่แค่ “พอมีแรงงาน” แต่คือ “แรงงานที่เหมาะกับโครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัด” และ “คนท้องถิ่นมีทักษะพอจะได้งานคุณภาพในบ้านเกิด”—สิ่งนี้ต้องอาศัยแพ็กเกจกลาง + กลไกจังหวัดที่ทำงานร่วมกันจริงจัง

5) มุมมองความยั่งยืน นำผู้หนีภัยเข้าทำงานช่วยระยะสั้น แต่คำตอบระยะยาวคือ “ทักษะ–ผลิตภาพ–สวัสดิการ”

คำถามปลายเปิดที่สังคมตั้งไว้—การนำผู้หนีภัยฯ เข้ามาเป็นแรงงานทดแทนชั่วคราว จะแก้ปัญหาขาดแคลนได้ยั่งยืนหรือไม่?”—คำตอบตามหลักเศรษฐศาสตร์แรงงานคือ ช่วยได้ในมิติ “ปริมาณ” ระยะสั้น โดยเฉพาะฤดูกาลและอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานกายภาพจำนวนมาก แต่ ความยั่งยืน ขึ้นกับ 3 เงื่อนไข

  1. ผลิตภาพแรงงานไทยสูงขึ้นจริง จากการอัป/รีสกิลและการยกเครื่องกระบวนการผลิตด้วยดิจิทัล–อัตโนมัติ
  2. ตลาดงานสะท้อนทักษะ – ค่าแรง–สวัสดิการ–เส้นทางความก้าวหน้าต้องจูงใจพอให้คนเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ขาดแคลน
  3. การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง – ทุกคนที่เข้าทำงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ปิดช่องการค้ามนุษย์/แรงงานบังคับ และสร้างสนามแข่งขันที่เป็นธรรมต่อนายจ้างไทย

หาก 3 เงื่อนไขนี้เดินคู่กัน นโยบายชั่วคราวจะกลายเป็น “สะพาน” สู่โครงสร้างแรงงานที่แข็งแรงกว่าเดิม

6) กล่องข้อมูล สัญญาณ “ชวนคิด” จากแพ็กเกจกระทรวงแรงงาน

  • 100,000 – ประมาณการตำแหน่งงานว่างจากผลกระทบชายแดนไทย–กัมพูชา
  • 42,000 – ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่ “พร้อมทำงานชั่วคราว” ภายใต้กรอบรัฐ เริ่มใช้ได้ 1 ต.ค. 2568
  • 10,000 – โควตาแรงงานศรีลังกาจาก MOU ที่ ครม.อนุมัติ
  • 3,000/200/300 บาท – ชุดตัวเลขใหม่สิทธิประโยชน์มาตรา 40 (ทุพพลภาพ/ค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง/สงเคราะห์บุตร) ตามแนวทางที่กระทรวงเสนอปรับปรุง
  • 12 ประเทศ – เครือข่าย ทูตแรงงาน เป้าหมายเปิดตลาดงานรายได้สูงให้แรงงานไทย

 “แรงงาน” คือเศรษฐกิจ และ “ศักดิ์ศรีแรงงาน” คือความมั่นคงของประเทศ

การอุดช่องว่างแรงงานหนึ่งแสนตำแหน่งด้วยมาตรการนำเข้า–ชั่วคราว–ขึ้นทะเบียน เป็น ยาด่วนที่จำเป็น ในห้วงเวลาเร่งด่วน แต่การทำให้ระบบแรงงานไทย “แข็งแรง” ต้องการ วัคซีนโครงสร้าง—อัปทักษะ, ปรับค่าจ้างตามผลิตภาพ, สวัสดิการทั่วถึง, ตลาดงานโปร่งใส, กองทุนมั่นคง และธรรมาภิบาลที่ตรวจสอบได้

เชียงราย—ฐานเศรษฐกิจชายแดนและชนบทบนดอย—คือตัวอย่างพื้นที่ที่เห็นภาพชัด เมื่อแรงงานมีทักษะที่ตรงกับเศรษฐกิจท้องถิ่น, ธุรกิจมีคนทำงานพอและพร้อม, และรัฐกำกับดูแลอย่างยุติธรรม—รายได้จะเกิดในบ้านเกิด และความเหลื่อมล้ำจะค่อย ๆ ลดลง

“วิกฤตแรงงาน” ครั้งนี้จึงอาจเป็น โอกาสของประเทศ หากเราทำให้ทุกตำแหน่งว่างในวันนี้ กลายเป็น ตำแหน่งงานที่ดีกว่าเดิม สำหรับคนไทยในวันพรุ่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงแรงงาน
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  • สำนักงานประกันสังคม (สปส.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เดินเครื่องลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี ด้วย 7 นโยบาย Quick Big Win

ศุภจี” คลายปมเศรษฐกิจด้วย 7 นโยบายพาณิชย์ เดินเครื่อง “Quick Big Win” ลดภาระประชาชน–หนุนส่งออก–อุดช่องโหว่การค้า ดึงเอกชนสุขภาพร่วมลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568 — ใเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการจากส่วนกลาง พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์จากกว่า 50 แห่งทั่วโลก “เสียงสัญญาณ” ของการเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจดังชัด เมื่อ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศ 7 นโยบายสำคัญ ที่จะเดินหน้าแบบ “Quick Big Win”—ทำสั้น ให้ได้ผล และกระจายประโยชน์เร็ว—โดยไม่ละทิ้งเป้าหมายการวาง “รากฐานยั่งยืน” สำหรับเศรษฐกิจไทยระยะยาว

สารตั้งต้นของนโยบายชุดนี้มีสองชั้นความหมายที่ขนานกันเดิน ชั้นแรกคือ การคลี่คลายปมเร่งด่วน—ภาษี การค้าชายแดน ค่าครองชีพ เกษตร—เพื่อบรรเทาความเปราะบางของครัวเรือนและผู้ประกอบการ หลังเผชิญความผันผวนต่อเนื่องหลายปี ชั้นที่สองคือ การวางรางวิ่งใหม่ ผ่าน FTA ดิจิทัลเทรด และการใช้ AI กับกฎระเบียบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทย ก้าวจากการตามให้ทัน ไปสู่การนำบางสมรภูมิ

1) ภาษีสหรัฐฯ–ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (ART) และ “ดิจิทัล C/O” ปิดช่องทุจริต–เร่ง AD ด้วย AI

กระทรวงพาณิชย์วางหมุดวันที่ ธันวาคม 2568 สำหรับการสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ เดินคู่กับการยกระดับ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) สู่ ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งผลลัพธ์เริ่มชัด—จาก “หลักร้อยกรณี/ปี” ของเอกสารปลอม เหลือ 5 กรณีในปี 2567 และ ไม่พบในปี 2568

อีกด้านหนึ่ง กระบวนการ ตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping AD) ที่เคยกินเวลายาว 12–18 เดือน จะถูก บีบเหลือ 9 เดือน ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล และพิสูจน์หลักฐาน เพื่อ คุ้มครองผู้ประกอบการไทยเร็วขึ้น ลดความเสียหายจากการแข่งขันไม่เป็นธรรมในตลาดโลก

สัญญาณต่อผู้ส่งออก ชัดเจนว่าไทยกำลัง “ปัดฝุ่นเครื่องมือ” ให้เข้ายุค—โปร่งใส คล่องตัว และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานได้จริง ซึ่งจะสะท้อนเป็นความเชื่อมั่นจากคู่ค้า และลดความเสี่ยงจากปัญหาสินค้าสวมสิทธิที่บั่นทอนเครดิตประเทศ

2) การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยคน–ช่วยร้านเล็ก–เร่งหาตลาดทดแทน

ภายใต้สถานการณ์ชายแดนที่ผู้ค้าหลายพื้นที่ รายได้สะดุด กระทรวงพาณิชย์จัดชุดมาตรการตรงจุด—ตั้งแต่ มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ, สนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาท/ชิ้น ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพื่อพยุง ผู้ประกอบการรายย่อย, จัดช่องทางตลาดใหม่ทดแทน พร้อมสั่งการ พาณิชย์จังหวัด ใน 7 จังหวัดชายแดน ให้ อยู่หน้างาน ประสานงานใกล้ชิดประชาชนและผู้ค้า

มาตรการชุดนี้มี จุดเน้นเชิงคุณภาพ คือรักษา “ชีพจรกิจกรรมเศรษฐกิจ” ไม่ให้สะดุด—เมื่อชายแดนฝั่งหนึ่งชะลอ ก็ เลี้ยวหาตลาดใหม่ ให้ร้านเล็กอยู่รอดได้ระหว่างรอการฟื้นตัว

3) FTA และบุกตลาดใหม่ จับชีพจรโลก–ต่อท่อโอกาส

บนเข็มนาฬิกาการค้าโลก ไทยพุ่งเป้าหลายแนวรบพร้อมกัน

  • FTA ไทย–เอฟตา (EFTA) ตั้งใจให้ มีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 2569
  • FTA ไทย–อียู พยายาม ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาส 1/2569
  • FTA ไทย–เกาหลีใต้ ตั้งใจ ปิดดีลภายในปี 2568

ควบคู่กันคือการใช้เครือข่าย ทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่ง “บุกตลาดใหม่” ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย–ยูเออี), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และ อาเซียน (เวียดนาม) โดยใช้รูปแบบ จับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย (B2B Matching) และกิจกรรมเจรจา เชิงรุก–เฉพาะสินค้า เพื่อดึงดีมานด์ที่สอดคล้องกับ โครงสร้างการผลิตไทย มากกว่าเกมปริมาณ

ตัวเลขคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์ตั้งความหวังต่อภาพรวมการส่งออก ปีนี้โต 6–7% สูงกว่าเป้าเดิม—ตัวเลขที่สะท้อนความเชื่อว่าการเปิดตลาดใหม่และเครื่องมือ FTA จะกลบแรงต้านจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เต็มแรง

4) ดูแลค่าครองชีพ ธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี + จับมือโรงพยาบาลเอกชน เปิดราคายาเปิดทางเลือกซื้อยานอก รพ.

ด้าน ค่าครองชีพ—หัวใจของเศรษฐกิจครัวเรือน—กระทรวงพาณิชย์ประกาศเดินหน้า มหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี เป้าหมาย ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อม “ดีลใหญ่” ในภาคสุขภาพ MOU กับ โรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง ให้ เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน และ เปิดทางเลือกให้ซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล ซึ่ง คาดลดรายจ่ายประชาชนได้ราว 32,400 ล้านบาท/ปี ทั้งยังช่วย ลดความแออัดโรงพยาบาลรัฐ และเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วยความเชื่อมั่นใน ความโปร่งใสของราคา

เสียงสะท้อนจากเอกชนสุขภาพ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุสมาคมฯ ยินดีร่วมมือ ชี้หลายโรงพยาบาลประกาศราคาและส่งข้อมูลดิจิทัลให้กระทรวงอยู่แล้ว และพร้อมยกระดับให้ “เห็นชัด ประกอบการตัดสินใจได้จริง” โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมหารือรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์

ภาพใหญ่ของมาตรการนี้สอดคล้องกับบริบทตลาด ttb analytics ที่ประเมินว่า รายได้รวมภาคโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 แตะ 3.22 แสนล้านบาท โตต่อเนื่องจากโครงสร้างประชากรและความต้องการบริการสุขภาพ—จังหวะนโยบายจึงมุ่ง เพิ่มทางเลือกและความโปร่งใส เพื่อลดภาระประชาชน โดยไม่บั่นทอนมาตรฐานการให้บริการของเอกชน

5) รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โฟกัส “ข้าว” และการเชื่อมส่งออก

สำหรับภาคเกษตร—กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจฐานราก—กระทรวงวาง แพ็กเกจเสถียรภาพราคา โดยเฉพาะ ข้าว ที่คาดผลผลิตปีนี้ 21.8 ล้านตัน และมี สต๊อก 3.5 ล้านตัน มาตรการประกอบด้วย สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อชะลอการขาย, บทบาทสหกรณ์รับสต๊อก, ช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ส่งออก จะเร่งการขายทั้ง จีทูจีกับจีน (ขึ้นจาก 280,000 ตัน 500,000 ตัน) และการทำ MOU กับญี่ปุ่น–สิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตา

เหนือมาตรการเชิงปริมาณ กระทรวงยังผลักดัน การปรับตัวสู่พืชคุณภาพสูง—เช่นสินค้าที่มี GI หรือพืชที่ตลาดเฉพาะต้องการ—เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันราคาต่ำและความผันผวนสภาพอากาศ ซึ่งจะยกระดับ รายได้ต่อไร่ มากกว่าการยึดติดแต่ปริมาณผลผลิต

6) เสริมแกร่ง SMEs เปิดตลาดยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีการค้า

SMEs ไทยเป็นทั้ง ผู้จ้างงานหลัก และ ต้นทางนวัตกรรมท้องถิ่น นโยบายจึงมุ่งสามแนว

  1. เข้าถึงตลาดใหม่—เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา—ผ่านเครื่องมือทูตพาณิชย์และโครงการเจรจาเฉพาะภูมิภาค
  2. ยกระดับคุณภาพความน่าเชื่อถือ ด้วยตรารับรองอย่าง Thailand Trust Mark และ Thai SELECT เพื่อให้ “แบรนด์ไทย” ข้ามพรมแดนได้ง่าย
  3. เครื่องมือดิจิทัลของรัฐ ผ่านแพลตฟอร์ม “MOC+” เป็น One-Stop ให้ SMEs เข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์คำปรึกษาสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนเวลาในการทำธุรกรรมกับรัฐ

7) ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์อุปสงค์อุปทาน และดัน e-Commerce ท้องถิ่นสู่สากล

บนสนามกฎระเบียบ กระทรวงตั้งเป้า ไล่เคลียร์อุปสรรค ที่ขัดการทำธุรกิจ และนำ AI มาช่วย เก็บวิเคราะห์ข้อมูลอุปสงค์–อุปทาน เพื่อออกมาตรการเท่าทันสถานการณ์อย่าง แม่นเร็วตรงจุด ควบคู่กับการขยาย ช่องทาง e-Commerce ให้ สินค้าท้องถิ่น เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ—จาก OTOP สู่ “Global Niche Brand” ที่ขายเรื่องราวและมาตรฐานมากกว่าราคาต่อชิ้น

“Quick Big Win” ที่ไม่ใช่แค่คำ จากตัวชี้วัดสู่ผลลัพธ์ครัวเรือน

คำว่า Quick Big Win จะเป็นแค่วาทกรรมไม่ได้—กระทรวงจึงชูตัวชี้วัดที่ เห็นผลในชีวิตจริง

  • ยาและเวชภัณฑ์  หาก MOU กับเอกชนเดินเต็มรูปแบบ การเปิดเผยราคาและทางเลือกซื้อยานอก จะ ลดรายจ่ายได้กว่า 3.2–3.4 หมื่นล้านบาท/ปี ตามกรอบที่ประกาศ พร้อมช่วย ลดแออัด รพ.รัฐ
  • ทุจริตเอกสารการค้า  ดิจิทัล C/O ทำให้คดียุบจาก หลักร้อย 5 → 0 ในสองปี—คือการฟื้น เครดิตการค้าไทย ด้วยข้อมูลจริง
  • AD เร็วขึ้น  จาก 12–18 เดือน เหลือ 9 เดือน—คือการลด ความเสียหาย ผู้ประกอบการในโลกการแข่งขันกดดันสูง
  • ธงฟ้า 1,300 ครั้ง ลด ภาระค่าครองชีพ 5,000 ล้านบาท/ปี—ตัวเลขที่สะท้อนการส่งแรงช่วยตรงถึงกระเป๋าประชาชน

หากย้อนมองจาก “เชียงราย” เมืองชายแดนเกษตรท่องเที่ยว

สำหรับ เชียงราย และกลุ่มจังหวัด ล้านนาตะวันออก นโยบายชุดนี้มีผลที่จับต้องได้หลายมิติ

  1. การค้าชายแดน การรักษาช่องทางค้าข้ามแดน—ทั้งทดแทนและเพิ่มเติม—สำคัญต่อเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงของ–แม่สาย การบุกตลาดตะวันออกกลางเอเชียใต้ เชื่อมกับ โลจิสติกส์ระบบราง ที่กำลังเปิดหน้าใหม่ จะต่อท่อโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น
  2. เกษตร เชียงรายเป็น “ฐานข้าว–พืชคุณภาพ–กาแฟ–ชา” มาตรการชะลอขาย–สหกรณ์–ผลักดัน GI/พรีเมียม จะช่วยให้ ราคาหน้าฟาร์มมีเสถียรภาพ และยก มูลค่าเพิ่ม ในสินค้าที่มีเรื่องเล่าและแหล่งกำเนิดชัด
  3. SMEs–ท่องเที่ยว ตรารับรองแพลตฟอร์ม MOC+ และ e-Commerce จะช่วยให้แบรนด์ท้องถิ่นเข้าถึงลูกค้าไกลกว่าตลาดเดิม ขณะที่แพ็กเกจ FTA/ตลาดใหม่ สามารถกลายเป็น “รันเวย์สู่ต่างประเทศ” ของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย
  4. ค่าครองชีพ–สุขภาพ ทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลเอกชน—เมื่อขยายครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดน—จะช่วย ลดค่าใช้จ่ายฉับพลัน ให้ครัวเรือน โดยไม่ต้องรอคิวในระบบรัฐในกรณีโรคทั่วไป

เสียงสะท้อนและโจทย์ต่อไป

แม้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนจะ ยินดีร่วมมือ แต่ก็สะท้อนความจริงว่า ต้นทุนโรงพยาบาลเอกชนต่างจากร้านยาภายนอก (เภสัชกร มาตรฐานเก็บรักษา ระบบควบคุมคุณภาพ) จึงต้องออกแบบมาตรการให้ สมดุล—โปร่งใส—แข่งขันเป็นธรรม เพื่อให้คุณภาพการรักษาไม่ถดถอย ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐจำเป็นต้อง สื่อสารข้อมูลราคา ให้ประชาชนเข้าใจบริบทต้นทุน เพื่อการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ด้าน FTA แม้เป็น รันเวย์ระยะยาว แต่ความสำเร็จขึ้นกับ ศักยภาพแข่งขัน ภายในประเทศ—ตั้งแต่ กฎระเบียบอำนวยความสะดวก, โลจิสติกส์–ดิจิทัล, ไปจนถึง ทักษะแรงงาน ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ถ้าการเปิดตลาดเร็วกว่า ยกระดับขีดความสามารถ ไทยอาจเจอ “การบ้านในบ้าน” ที่หนักหน่วงพอกัน

เมื่อ Quick Win ต้องวางคู่กับ “ฐานยั่งยืน”

ท้ายที่สุด ศุภจี สรุปทิศทางว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนวันนี้ ไม่ใช่แค่ Quick Win แต่คือการ วางรากฐาน ที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน”—คำกล่าวที่วางกรอบการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในบทบาท ตัวเชื่อม” ระหว่างครัวเรือนไทย–ผู้ประกอบการ–ตลาดโลก

ในห้วงเวลาที่ครัวเรือนเผชิญค่าครองชีพสูง—ตั้งแต่ตะกร้าสินค้าจนถึงค่ายา—นโยบายที่ ลดรายจ่ายทันที ควบคู่กับการ ต่อท่อรายได้ใหม่ จาก FTA และตลาดเกิดใหม่ คือสูตรที่ รักษาลมหายใจระยะสั้น และ บ่มเพาะความแข็งแรงระยะยาว ไปพร้อมกัน

หาก ตัวเลขคดี C/O ปลอมเหลือศูนย์, AD เร็วขึ้นเป็น 9 เดือน, ธงฟ้าลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้า, และ MOU ด้านยาสุขภาพ ขยายครอบคลุมจนประชาชนรู้สึกได้จริง—“Quick Big Win” จะกลายเป็นมากกว่าวลีในสไลด์ แต่เป็น การเปลี่ยนสมการชีวิตของผู้คน ที่ปลายทางของนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ (Ministry of Commerce, Thailand)
  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  • กรมการค้าภายใน
  • กรมการค้าต่างประเทศ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์/พาณิชย์จังหวัด
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) / กรมการค้าต่างประเทศ
  • สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics)
  • Hfocus/สื่อสาธารณสุขเชิงนโยบาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

แผน 20 ปี เชียงราย สู่เมืองสร้างสรรค์-สุขภาพ-โลจิสติกส์ โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงรายเร่งทบทวนแผน 20 ปี สู่ “มหานครชายแดน” เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองสุขภาพ–โลจิสติกส์เชื่อม GMS ถ้าทำครบเกมรุก โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงราย, 30 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เมืองเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยตัวแทนกว่า 250 คน จากภาครัฐ ภาควิชาการ เอกชน และท้องถิ่น ภายใต้โจทย์เดียวกันว่า “แผน 20 ปี ของเชียงราย” ต้องถูก “ปรับจูน–ประกบ–เร่งเครื่อง” ให้เท่าทันโลกและบริบทใหม่ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ เชียงราย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เมืองแห่งสุขภาพ เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง พัฒนาอย่างยั่งยืน” ไปให้ถึงเส้นชัยตามกรอบ พ.ศ. 2566–2585

การประชุมเชิงปฏิบัติการฉบับทบทวนครั้งนี้มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และมี น.ส.ปัทมาภรณ์ จันทรคณา ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดฯ ชี้แจงกรอบดำเนินการ ว่าการทบทวนนี้สอดคล้องแนวทางของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.) ที่กำหนดให้ทุกจังหวัดปรับเป้าหมายพัฒนา “ทุก 5 ปี” เพื่อไม่ให้แผนระยะยาวล้าสมัย และเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่อัปเดตแล้วจริง

เส้นเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน จากจังหวัดปลายทางท่องเที่ยว สู่มหานครชายแดนที่ยั่งยืน

คำถามที่ทุกคนเฝ้าฟังคำตอบคือ—ถ้าทำตามแผนได้ครบ เชียงรายจะยืนอยู่จุดไหน?”
คำตอบถูกวางไว้ชัดในเอกสารประชุม เชียงรายจะก้าวเป็น “Sustainable Border Metropolis” เมืองชายแดนที่เติบโตด้วยความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพ เชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับจีน–ลาวผ่านระเบียงเศรษฐกิจ R3A/NSEC และยืนหยัดด้วย “โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง–ซอฟต์เพาเวอร์ทรงพลัง–ฐานรากเข้มแข็ง–สิ่งแวดล้อมสมดุล”

4 ช่วงเวลา 20 ปี จังหวะก้าวที่ถูกกำหนด

  • ช่วงที่ 1 (2566–2570): ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เชิงสุขภาพ เกษตรปลอดภัย—สร้างแบรนด์และจุดจำหน่าย/กิจกรรมที่หนุนเศรษฐกิจฐานราก
  • ช่วงที่ 2 (2571–2575): เร่งผลักดัน UNESCO Creative City และ Geopark, เปิดใช้โครงสร้างพื้นฐานหลัก, เดินเครื่อง Smart City และ “นวัตกรรมการแพทย์”
  • ช่วงที่ 3 (2576–2580): ขยายบทบาทสู่ ศูนย์กลางสุขภาพในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ดัน “เกษตรมูลค่าสูง” และจัดการทรัพยากรแบบสมดุล
  • ช่วงที่ 4 (2581–2585): ปิดเกมด้วย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง, เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง, เมืองคาร์บอนต่ำ, และ สังคมร่วมสมัยที่เท่าเทียม

จุดเด่นที่ “เริ่มทำแล้ว” ฐานรากกับฟันเฟืองที่หมุนอยู่จริง

ตลอดสองปีแรกของแผน จังหวัดรายงาน “ความคืบหน้าเชิงรูปธรรม” หลายมิติ ซึ่งเป็น “หมุดหมายตั้งต้น” ของการเปลี่ยนผ่าน

1.เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ / Soft Power เมือง

  • เชียงรายเดินเกมแบรนด์เมืองต่อเนื่อง ภายใต้กรอบเมืองสร้างสรรค์ และกิจกรรมระดับนานาชาติ (เช่น เทศกาลบอลลูนนานาชาติที่คว้ารางวัล) เพื่อยกระดับการรับรู้ พร้อมโยงสู่การยกระดับมูลค่าสินค้าเกษตร–หัตถกรรม ด้วยดีไซน์/เรื่องเล่าที่จับใจ
  • เมืองหันจากการขาย “สถานที่” ไปสู่การขาย “ประสบการณ์” และ “อารมณ์ร่วม”—ตั้งแต่งานออกแบบเชิงวัฒนธรรมล้านนา จนถึงผลิตภัณฑ์กาแฟ/ชา/สิ่งทอที่เล่าเรื่องชุมชนได้
  1. เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) รับบท “สมองและหัวใจ” ของนวัตกรรมสุขภาพจังหวัด ผลักดันองค์ความรู้/งานวิจัย/หลักสูตร/บริการ เพื่อยกระดับบริการสุขภาพ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ผลิตภัณฑ์สมุนไพร/อาหารสุขภาพ ที่มีรากจากภูมิปัญญาล้านนา
  • สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลเครือข่าย เดินเกม “สุขภาพไปหาเมือง” เช่น โมเดลคลินิก/จุดตรวจ/ฉีดวัคซีนในพื้นที่ใช้ชีวิตจริง (ศูนย์การค้า/ชุมชน) ลดความแออัดโรงพยาบาลใหญ่ สร้างวัฒนธรรม “ดูแลตัวเองเป็นกิจวัตร”

2.ศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน

  • รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงของ รายงานความก้าวหน้าประมาณ 41% (คาดเปิดใช้งาน พ.ศ. 2571) ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมเหนือ-ลุ่มน้ำโขง-จีน บทบาท “ด่านเชียงของ/สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4” จะยิ่งโดดเด่น
  • โครงข่ายถนน/อุโมงค์/ทางลอดสำคัญในเมืองเดินหน้า (เช่น ทางลอดแยกศูนย์ราชการ), ระบบเชื่อม R3A ได้รับการเร่งรัด เพื่อรองรับคน–ของ–บริการสุขภาพข้ามแดน
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง (CEI) อยู่ในแผนยกระดับความจุและบริการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะเป็น “หมุดธุรกิจ” เสริมบทบาทการบิน/ท่องเที่ยว/ขนส่งในอนาคต

ถ้าดึง 3 ฟันเฟืองนี้ประสานกัน—การเดินทางสะดวก (Rail/Road/Air), เมืองมีซอฟต์เพาเวอร์จริงจัง, และบริการสุขภาพ–นวัตกรรมเข้าที่—เชียงรายจะเปลี่ยน “สถานะ” ทางเศรษฐกิจของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าทำครบ…เชียงรายจะยืนตรงไหนในแผนที่เศรษฐกิจ–สังคมของภาคเหนือและ GMS?

  1. เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง
    สถานะ UNESCO Creative City (และแผน Geopark) จะเป็น “ตราประทับคุณภาพ” ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เชื่อมกิจกรรมศิลปะ–วัฒนธรรม–การออกแบบ–เทศกาล สู่ผลิตภัณฑ์/บริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น ชุมชนมีรายได้กระจาย ไม่ใช่กระจุกในแลนด์มาร์กไม่กี่แห่ง
  2. ศูนย์กลางสุขภาพ GMS
    ด้วย “บันได 3 ขั้น”—(ก) โครงสร้างพื้นฐานเข้าถึงง่าย, (ข) นวัตกรรมการแพทย์/ผลิตภัณฑ์สุขภาพจาก มฟล.–สาธารณสุข, (ค) แพ็กเกจ Wellness & Medical Tourism—เชียงรายสามารถเป็น ศูนย์กลางส่งเสริมสุขภาพ สำหรับผู้คนจากลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้–นักเดินทางระหว่างประเทศ ที่ต้องการบริการคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้
  3. ศูนย์กลางโลจิสติกส์–การค้าชายแดน
    รถไฟทางคู่ไปถึงเชียงของ = ลดต้นทุน–เวลา ขยายคลัง/ศูนย์กระจายสินค้า/แปรรูป–บรรจุภัณฑ์ เกิดงานบริการต่อเนื่อง (ขนส่งเย็น, e-commerce cross-border, QC/มาตรฐานอาหารปลอดภัย) เมืองกลายเป็น “เครือข่ายศูนย์” ไม่ใช่ “ปลายเส้นทาง”
  4. เมืองคาร์บอนต่ำและสังคมเท่าเทียม
    โลจิสติกส์ระบบราง + ผังเมืองที่ดี + พลังงานสะอาด + การจัดการของเสีย–มลพิษ หมายถึงเส้นทางสู่ Net-Reduction ที่จับต้องได้ ขณะที่การกระจายรายได้ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์/สุขภาพ/โลจิสติกส์ จะค่อย ๆ อุดช่องว่าง SDG 1 (ความยากจน) ให้แคบลง

แต่ “จุดเสี่ยง–คอขวด” ก็ใหญ่พอ ๆ กับความฝัน

  • SDG 9 (นวัตกรรม–โครงสร้างพื้นฐาน) หากงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, ศูนย์ทดสอบ–มาตรฐาน, Sandbox นวัตกรรมเมือง ไม่ขยับเร็ว แพลน Smart City/HealthTech ในระยะที่ 2 จะช้า
  • SDG 7 (พลังงานสะอาด) เมืองคาร์บอนต่ำในระยะที่ 4 ต้องเริ่มลงทุน “วันนี้”—โซลาร์บนหลังคาสาธารณะ/เอกชน, EV logistics, โรงไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล–เศษวัสดุเกษตร, ศูนย์รีไซเคิล–แยกขยะต้นทาง
  • SDG 1 (ความยากจน) ถ้า “มูลค่าเพิ่ม” ไม่ซึมถึงฐานราก—เกษตรกร/แรงงานนอกระบบ/ผู้สูงอายุ การเติบโตจะกระจุก ไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องออกแบบ “Product–Skill–Market” สำหรับฐานรากอย่างเป็นระบบ

Roadmap เร่งด่วน 3 ข้อ (เพื่อไม่ให้พลาดโค้งสำคัญใน 5 ปีแรก)

  1. ทำ SDG 9 และ 7 ให้เป็น “KPI ข้ามหน่วยงาน”
    ตั้งงบกลางจังหวัดสำหรับ ดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐานเมือง/ห้องทดลองมาตรฐาน และ โครงการพลังงานสะอาดในสถานที่สาธารณะ ที่วัดผลได้—เชื่อมตรงกับเป้าหมาย Smart City–คาร์บอนต่ำ
  2. ใช้ “จังหวะรถไฟ–R3A–สนามบิน” เป็นเครื่องเร่ง
    ก่อนรถไฟเปิดเต็มระบบ ควรทำ แพ็กเกจโลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–สุขภาพ ทดลองตลาดจีนตอนใต้/CLMV ผ่านถนน R3A พร้อมเชื่อมปฏิบัติการสนามบิน/ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) ที่กำลังยกระดับ
  3. ยก “ดีไซน์” เป็นวาระจังหวัด–บ่มเพาะผู้ประกอบการฐานราก
    ต่อท่อความรู้จากมหาวิทยาลัย/ดีไซเนอร์ ไปยังเกษตรกร–วิสาหกิจชุมชน—ให้มีงบ “ออกแบบ–ต้นแบบ–แบรนด์–คอนเทนต์–ตลาดออนไลน์” แบบมืออาชีพต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อแปลง Soft Power เป็นรายได้จริง

เสียงจากเวทีและหมายเหตุเชิงนโยบาย

แม้เวทีวันนี้จะเป็นเชิงเทคนิค แต่สารตั้งต้นจากฝ่ายยุทธศาสตร์จังหวัดชัดเจน “ไม่ใช่แค่ทำแผนให้ครบ เรายิ่งต้อง ‘ทำงานแบบเครือข่าย’” — ภาครัฐ (จังหวัด/อำเภอ/อปท.), มหาวิทยาลัย (มฟล./มหาวิทยาลัยในพื้นที่), สาธารณสุข, เอกชน (ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การแพทย์–การบิน), ชุมชน ต้อง “ล็อกเป้าร่วม” และ “รายงานผลร่วม” ทุก 6–12 เดือน เพื่อให้ทุกโครงการ “คืบหน้าเท่ากัน” ไม่ใช่ไปเร็วเฉพาะบางเสาแล้วเหลื่อมล้ำในภาพรวม

ภาพที่เห็นได้ชัดหลังปิดการประชุมคือ “เชียงรายเริ่มมีร่างของมหานครชายแดน”—เส้นเลือดใหญ่กำลังก่อรูป, กล้ามเนื้อเศรษฐกิจสร้างสรรค์เริ่มขึ้นรูป, ปอดสีเขียว–สุขภาพเมืองกำลังถูกออกแบบ… “งานยาก” คือการทำให้ทุกอวัยวะ เต้นจังหวะเดียวกัน ตลอด 20 ปี

สรุปสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/หน่วยงาน

  • ธีมเมือง “ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ + สุขภาพ + โลจิสติกส์ชายแดน + คาร์บอนต่ำ” คือสูตรผสมที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ–วัฒนธรรม–พรมแดนของเชียงราย
  • ตัวเร่ง ทำ SDG 9 และ 7 ให้ “ขึ้นจริง” ใน 3 ปี—เพราะเป็นฐานของ Smart City, HealthTech, และคาร์บอนต่ำ
  • ตัวชี้ขาด โครงสร้างพื้นฐาน “เดินตามแผน” + กลไกกำกับแบบ KPIs ข้ามหน่วยงาน + เงินทุน/มาตรการจูงใจเอกชน
  • ภาพเส้นชัย เชียงรายเป็นเมืองปลายทางที่ผู้คน “อยากไป–อยู่ได้–ทำงานได้–รักษาพยาบาลได้–ค้าขายเชื่อมโลกได้” และฐานราก “อยู่ดี–มีกิน–สะอาด–เท่าเทียม”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย — กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) / ก.น.บ.
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) / สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมทางหลวง
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT
  • เครือข่ายการท่องเที่ยว/อุตสาหกรรมสร้างสรรค์จังหวัดเชียงราย
  • กรอบ SDGs ระดับจังหวัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ยอดผลิตยานยนต์หดตัว 6.11% จากกฎเข้มต่างประเทศ แต่ EV ไทยยังขยายตัวแรง

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือน ส.ค. 68 ชะลอจากกฎต่างประเทศ แต่ EV ในประเทศยังพุ่ง—ภาคเหนือ–เชียงรายถือฐานรถจดทะเบียนใหญ่ รัฐถูกจี้ออก “กองทุนค้ำประกันกระบะ” อัดกำลังซื้อปลายปี

กรุงเทพฯ, 25 กันยายน 2568 — ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนสิงหาคม 2568 สะท้อนความท้าทายสองแรงพร้อมกัน: ด้านหนึ่ง ยอดผลิตรวม 112,366 คัน ลดลง 6.11% เมื่อเทียบปีก่อนจากแรงกดดันกฎสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า ทำให้การผลิตเพื่อส่งออกหดตัว 10.67% ขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศยังขยายตัวโดดเด่น โดย BEV จดทะเบียนใหม่ 11,486 คัน (+30.46% YoY) และ PHEV 1,049 คัน (+22.83% YoY) สวนทาง HEV ที่ลดลงเล็กน้อย 3.86%

ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งย้ำว่าแม้เดือนสิงหาคมจะเผชิญแรงต้านจากตลาดต่างประเทศ แต่ทั้งปี 2568 ยังคงเป้าผลิต 1.45 ล้านคัน โดยเชื่อแรงส่งไตรมาสสุดท้ายจะช่วยประคองโมเมนตัมการผลิต

มาตรฐานโลกเข้ม—เมื่อความปลอดภัยและคาร์บอนเป็นตัวแปรใหม่

ด้าน โครงสร้างการผลิต เดือนสิงหาคม ผลิตเพื่อส่งออก 73,956 คัน คิดเป็น 65.82% ของยอดผลิตทั้งหมด แต่ลดลงจากปีก่อนจากสองแรงกดดันหลัก

  1. รถยนต์นั่ง ลดลง 21.27% หลังหลายรุ่นยุติสายการผลิตเพื่อทำตามข้อกำหนด อุปกรณ์ช่วยขับและความปลอดภัย (Advanced Driver Assistance Systems: ADAS) ของประเทศปลายทาง
  2. รถกระบะเพื่อส่งออก ลดลง 6.36% เพราะข้อกำหนด การปล่อยคาร์บอน เข้มงวดขึ้น

ฝั่งการค้า ระบุว่า ส่งออกรถสำเร็จรูป 71,179 คัน ลดลงทั้ง MoM (-1.74%) และ YoY (-17.30%) โดยเฉพาะรถกระบะและรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันได้รับผลกระทบตรงจากเกณฑ์สิ่งแวดล้อมใหม่ ขณะที่ มูลค่าส่งออกรถสำเร็จรูป อยู่ที่ 45,553.26 ล้านบาท และเมื่อนับรวมเครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ ยอดเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 67,917.28 ล้านบาท (สะสม 8 เดือนมูลค่ารวม 581,307.35 ล้านบาท)

ดีมานด์ในประเทศ EV คือ “กันชน” ของอุตสาหกรรม

ในทางกลับกัน การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 38,410 คัน (34.18% ของการผลิตรวม) เพิ่มขึ้น 4.11% โดยมีสาเหตุสำคัญจาก การผลิต EV ในประเทศเพื่อชดเชยการนำเข้าปีก่อน (2565–2566) สอดคล้องกับภาพ การจดทะเบียนใหม่ของ EV ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

  • BEV: 11,486 คัน (+30.46% YoY)
  • PHEV: 1,049 คัน (+22.83% YoY)
  • HEV: 10,575 คัน (-3.86% YoY)

การขยายตัวของ EV ทำให้ห่วงโซ่การผลิตในประเทศเริ่มขยับ ทั้งการประกอบรถ การผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้าบางรายการ และบริการหลังการขายที่ต้องอัปสกิลแรงงานด้านไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเป็น “กันชน” ที่ช่วยซับแรงกระแทกจากฝั่งส่งออก

สะสม 8 เดือน ภาพรวมยัง “ทรงตัวเชิงลบ” แต่มีสัญญาณหนุนปลายปี

ยอดผลิตสะสม ม.ค.–ส.ค. 2568 จำนวน 947,697 คัน ลดลง 5.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อน—สะท้อนแรงกดดันด้านนอกประเทศต่อเนื่อง ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยโลก (เฟดส่งสัญญาณลด) และแนวโน้มนโยบายการเงินในประเทศที่มุ่ง เพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อและลดดอกเบี้ย อาจช่วยบรรเทาภาระผ่อนรถของครัวเรือนและกระตุ้นยอดขายปลายปีตามที่ ส.อ.ท. ประเมิน

นายสุรพงษ์ให้ความเห็นว่า “หากผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ผลักดันให้คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น พร้อมปรับลดดอกเบี้ยตามจังหวะที่เหมาะสม ปัญหา หนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะทยอยปรับดีขึ้น และส่งผลบวกต่อ ดีมานด์รถใหม่ ในประเทศ”

ภาคเหนือ–เชียงราย “ฐานรถจริง” ใหญ่ โอกาสธุรกิจบริการ–ชาร์จ–ซัพพลายเชน

มองในระดับพื้นที่ ภาคเหนือ มีรถจดทะเบียนสะสม 7,718,847 คัน ขณะที่ จังหวัดเชียงราย มี 843,615 คัน (ณ สิ้น ส.ค. 2568) ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่าแม้เชียงรายจะเป็นจังหวัดชายแดน แต่ “ขนาดตลาดยานยนต์จริง” ใหญ่และหลากหลาย ยิ่งเมื่อ EV เติบโต โอกาสธุรกิจในพื้นที่—ตั้งแต่สถานีชาร์จ ร้านซ่อมที่อัปทักษะ EV ชิ้นส่วน/อุปกรณ์เสริม ไปจนถึงบริการประกัน–ไฟแนนซ์เฉพาะทาง—จะชัดเจนขึ้น

สำหรับหน่วยงานท้องถิ่นและภาคธุรกิจในเชียงราย “ลูกศร” ชี้ไปที่สามวงจรสำคัญ

  1. โครงสร้างพื้นฐานชาร์จ ครอบคลุมเมือง–ชานเมือง–เส้นทางท่องเที่ยว เชื่อมพิษณุโลก–แพร่–พะเยา–เชียงใหม่–เชียงราย
  2. Upskill/Reskill ช่าง–ครูอาชีวะ–ชุมชน ให้คุ้นเคยงานไฟฟ้าแรงสูง มาตรฐานความปลอดภัย และอุปกรณ์วิเคราะห์สมัยใหม่
  3. ส่งเสริม e-Mobility ภาครัฐท้องถิ่น (รถโดยสารไฟฟ้า–รถขยะไฟฟ้า–ฟลีทสาธารณะ) เพื่อเป็นดีมานด์ตั้งต้นและโมเดลธุรกิจนำร่อง

กองทุนค้ำประกันกระบะ” กับโจทย์คาร์บอน: เร่งดีมานด์–เร่งเปลี่ยนผ่านไปพร้อมกัน

ฝั่งมาตรการรัฐ ส.อ.ท. เสนอให้รัฐบาล ตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท ค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุน (ไม่เกิน 50,000 บาท/คัน) เพื่อจูงใจสถาบันการเงิน ปล่อยกู้เพิ่มยอดขายรถกระบะอย่างน้อย 30% เทียบปีก่อน พร้อมเห็นชอบมาตรการ คนละครึ่ง” เพื่อพยุงกำลังซื้อฐานราก

ในเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศต้อง “เดินสองขา”

  • ขาแรก รักษาฐานการผลิต–ส่งออกรถกระบะ (ที่ยังเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ) ด้วยเครื่องมือการเงินที่ลดความเสี่ยงระบบ
  • ขาสอง ขยับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอนให้ ทันประเทศคู่ค้า ควบคู่การเร่ง EV Transition เพื่อไม่ให้ไทยเสียความสามารถแข่งขันจาก Carbon Border/Green Procurement ในอนาคต

จากกรอบกฎสากล สู่การเปลี่ยนผ่านของไทย

เมื่อกฎสิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัยของโลกขยับ ไทยที่พึ่งพาการส่งออกย่อม “สัมผัสแรงสั่น” ก่อนใคร เดือนสิงหาคมจึงเป็นภาพจำลองว่า กฎ–มาตรฐาน กำลังกลายเป็น ตัวกำหนดเศรษฐกิจดิจิทัล–สีเขียว มากพอ ๆ กับอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน

  • จุดเปิดเรื่อง: ยอดผลิตลดลงจากแรงกดดันกฎใหม่
  • จุดกลางเรื่อง: ดีมานด์ในประเทศ—โดยเฉพาะ EV—รับไม้ต่อ ช่วยประคองโรงงาน–ซัพพลายเชน
  • จุดคลี่คลาย: นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น + มาตรการรัฐเชิงเป้าหมาย (กองทุนค้ำประกัน–คนละครึ่ง) + ยุทธศาสตร์ยกระดับมาตรฐานคาร์บอน–ความปลอดภัยในประเทศ = เส้นทาง “รักษาฐานส่งออก พร้อมเร่งไฟฟ้า”

ตัวเลขที่ต้องคิดต่อ (Key Stats & Watchlist)

  • ผลิต ส.ค. 68: 112,366 คัน (-6.11% YoY)
  • ผลิตเพื่อส่งออก: 73,956 คัน (65.82% ของผลิตรวม) / ส่งออกรถสำเร็จรูป 71,179 คัน (-17.30% YoY)
  • มูลค่าการส่งออก (ส.ค.): รถสำเร็จรูป 45,553.26 ลบ. / รวมเครื่องยนต์–ชิ้นส่วน–อะไหล่ 67,917.28 ลบ.
  • สะสมผลิต ม.ค.–ส.ค.: 947,697 คัน (-5.77% YoY) / มูลค่าส่งออกสะสม (รวมเครื่องยนต์–ชิ้นส่วน–อะไหล่) 581,307.35 ลบ.
  • EV จดทะเบียนใหม่ (ส.ค.): BEV 11,486 (+30.46%), PHEV 1,049 (+22.83%), HEV 10,575 (-3.86%)
  • ภาคเหนือ: รถจดทะเบียนสะสม 7,718,847 คัน / เชียงราย 843,615 คัน

เสียงจากอุตสาหกรรม

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ กล่าวโดยสรุปว่า “แม้การผลิตเดือนสิงหาคมจะลดลงตามแรงกดดันภายนอก แต่ทั้งปีเรายังเชื่อว่า แตะเป้า 1.45 ล้านคัน ได้ หากรัฐส่งสัญญาณหนุนเศรษฐกิจและเข้าถึงเครดิตมากขึ้น ขณะที่ฝั่งตลาดภายในประเทศ EV ยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ และควรเร่งสร้างความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรไปพร้อมกัน”

นัยต่อเชียงราย เมืองชายแดน—ฐานยานยนต์—โหนคลื่น EV

เชียงรายในฐานะ เมืองด่านหน้าการค้า และมีฐานรถจดทะเบียนสะสมกว่า 8 แสนคัน กำลังยืนอยู่หน้าคมมีดแห่งการเปลี่ยนผ่านยานยนต์ไฟฟ้า

  • ธุรกิจบริการ ต้องเร่งอัปสกิลและมาตรฐานความปลอดภัยงานไฟฟ้าแรงสูง
  • อปท./จังหวัด สามารถจุดประกายด้วยโครงการฟลีทรถสาธารณะไฟฟ้าและสถานีชาร์จสาธารณะในจุดท่องเที่ยว–จุดพักรถ
  • สถาบันการศึกษา จับมือผู้ผลิต–ดีลเลอร์ สร้างหลักสูตร EV Technician เชื่อมงานจริง
  • ผู้บริโภค ได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง–บำรุงรักษาที่ลดลง หากมีโครงข่ายชาร์จครอบคลุมและเงื่อนไขไฟแนนซ์เหมาะสม

ในระยะสั้น “กองทุนค้ำประกันรถกระบะ” หากเดินหน้าตามข้อเสนอ จะช่วยพยุงตลาดเชิงโครงสร้าง ในพื้นที่ที่ยังพึ่งพารถกระบะเพื่อการพาณิชย์และเกษตร ขณะเดียวกัน EV เชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก–กลาง (เช่น รถส่งของในเมือง รถเชื่อมท่องเที่ยว) มีโอกาสแจ้งเกิดในเชียงราย หากรัฐ–เอกชนพัฒนาโมเดลความเป็นเจ้าของและต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน (TCO) ให้แข่งขันได้

เส้นทางข้างหน้า นโยบายที่ “เกาให้ถูกที่คัน”

  1. เข้าถึงสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ: จูงใจไฟแนนซ์ปล่อยกู้กลุ่มอาชีพอิสระ/SMEs ด้วยกรอบค้ำประกันที่วัดผลชัดเจน (ดีลเลอร์–ไฟแนนซ์–ผู้ใช้)
  2. มาตรฐานความปลอดภัย–คาร์บอนในประเทศ: ขยับตามมาตรฐานคู่ค้า เพื่อลดช่องว่างการยกเลิกสายการผลิต–สั่งระงับนำเข้าในอนาคต
  3. เร่ง EV Ecosystem ระดับจังหวัด: ตั้ง “แผนที่ชาร์จ” (Charging Map) เชื่อมเมือง–แหล่งท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ พร้อมแรงจูงใจติดตั้งหัวชาร์จเอกชน
  4. Upskill บุคลากร: ทุนฝึกอบรมช่าง EV แกนกลางจังหวัดชายแดน—เริ่มจากเชียงรายเป็น Pilot
  5. ข้อมูลโปร่งใส–รายงานรายเดือนระดับพื้นที่: เปิด Dashboard จดทะเบียน EV–เครือข่ายชาร์จ–อัตราใช้ไฟ เพื่อดึงดูดเอกชนลงทุน

สาระสำคัญคือ ไทยต้องทำให้ การเปลี่ยนผ่าน” (Transition) เป็น การอัปเกรด” (Upgrade) ไม่ใช่แค่การทนแรงกดดันจากภายนอก หากทำได้ ฐานการผลิต–ส่งออก และตลาดภายในจะเกื้อหนุนกันอย่างยั่งยืน

เดือนสิงหาคม 2568 บอกเราว่าเกมยานยนต์โลกกำลัง ขยับกติกา ประเทศผู้ส่งออกอย่างไทยจึงต้อง ขยับวิธีเล่น การผลิตรวมชะลอเพราะกฎสิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัยต่างประเทศเข้มขึ้น แต่ในประเทศ EV ยังก้าวแรง เป็นกันชนของอุตสาหกรรม ภาคเหนือและเชียงรายมี “ฐานรถจริง” ใหญ่—พร้อมรองรับโอกาสใหม่ หากโครงสร้างพื้นฐาน–ทักษะ–การเงิน ได้รับการเติมเต็มตรงจุด ควบคู่การยกระดับมาตรฐานคาร์บอนในประเทศให้ทันโลก

เป้าหมาย 1.45 ล้านคันทั้งปีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของยอดผลิต แต่คือ บทพิสูจน์ความยืดหยุ่นเชิงนโยบาย ที่จะพาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเข้าสู่ยุคไฟฟ้าอย่างมีศักดิ์ศรีและแข่งขันได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) – กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
  • กรมการขนส่งทางบก (DLT): สถิติการจดทะเบียนรถใหม่และยอดจดทะเบียนสะสม ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 (ภาคเหนือ 7,718,847 คัน / จังหวัดเชียงราย 843,615 คัน)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กระทรวงการคลัง / มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สมาคมธนาคารไทย ชี้เงินบาทแข็งสวนทาง ต่างชาติขายสุทธิ หวั่นเงินนอกระบบไหลเข้า

หัวขบวนส่งสัญญาณ สมาคมธนาคารไทยชี้ “ต้อง Connect the dots” ก่อนสาย

กรุงเทพฯ, 22 กันยายน 2568 — นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเข้าหารือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ว่าภาคธนาคารได้สะท้อน “ความผิดปกติ” ของเงินทุนไหลเข้า ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะ ต่างชาติขายสุทธิทั้งหุ้นและพันธบัตร ซึ่ง “สวนทางกลไกตลาด” จึงจำเป็นต้องเร่งทำ Connect the dots—เชื่อมโยงข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้เห็นเส้นทางเงินอย่างครบถ้วน

สาระของข้อเสนอ คือ รวมศูนย์ภาพใหญ่ ที่วันนี้แยกส่วนอยู่ใน “ไซโลข้อมูล” หลายใบ: ธปท.เห็นกระแสเงินข้ามพรมแดน, ปปง.เห็นธุรกรรมผิดปกติในระบบสถาบันการเงินและนอกระบบ, ก.ล.ต.เห็นโครงสร้างผู้ถือหุ้นและธุรกรรมในตลาดทุน—เมื่อดึง “ทุกจุด” มาต่อกัน จึงจะเห็น “เครือข่าย” และ “แพตเทิร์น” ที่แยกกันแล้วมองไม่ออก

“สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ Connect the dots… เงินไหลเข้าปริมาณมาก แต่ไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ เราต้องรู้ว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด” — ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย

เงินบาทแข็งสวนกระแส สัญญาณชวนสงสัยว่ามี “เงินนอกตลาด” ไหลเข้า

เชียงราย/กทม., 23 กันยายน 2568 — ในวันที่เงินบาทเปิดแถว 31.78–31.82 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้นไทยปรับลงกว่า 10 จุด ขณะที่ต่างชาติ ขายสุทธิหุ้น ~3,190 ล้านบาท และ ขายสุทธิพันธบัตร ~302 ล้านบาท หากวัดตามตำรามาตรฐาน ค่าเงินควร “อ่อน” จากฟันด์โฟลว์ไหลออก แต่ในความจริงกลับ “แข็ง” ขึ้น นี่คือ สัญญาณบิดเบี้ยว ที่ยากอธิบายด้วยพฤติกรรมการลงทุนปกติ

แน่นอน ปัจจัยภายนอกอย่าง ดอลลาร์อ่อน จากความคาดหวังนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ย่อมหนุนให้สกุลเงินตลาดเกิดใหม่แข็งขึ้น แต่เมื่อ ภาพในประเทศยังอ่อนแรง—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยหดตัว—จึงยิ่งตั้งคำถามว่า แรงซื้อเงินบาท มาจากไหน หากไม่ใช่จากตลาดทุน/พันธบัตรตามปกติ คำตอบที่เป็นไปได้ คือ เงินเข้าช่องอื่น (เช่น ทางการค้า–บริการ–เงินโอนผ่านนิติบุคคล–ธุรกรรมดิจิทัล–โครงสร้างถือหุ้นซับซ้อน) ซึ่งบางส่วนอาจอยู่ในโซน เงินร้อน–เงินเทา” ที่หลบสายตากลไกตลาด

นายกฯ–ทีมเศรษฐกิจ “ยกทีมคุย” ภาคธนาคาร ตั้งโจทย์ใหญ่–เดินเกมไว

การพบปะครั้งนี้ถูกมองว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี ที่ นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม.เศรษฐกิจ มานั่งโต๊ะเดียวกับ สมาคมธนาคารไทย เพื่อแลกเปลี่ยนตรงถึง “ทิศทาง” และ “โจทย์เร่งด่วน”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ย้ำว่า ภายใต้แนวนโยบาย “สั่งวันนี้ ทำเมื่อวาน” ได้สั่งตั้ง ทีมเชื่อมจุด ที่กระทรวงการคลัง ประสาน ธปท.–ปปง.–ก.ล.ต. เดินหน้าหาคำตอบว่า เงินมาจากไหน” พร้อมขีดเส้นเวลาลงมือ ทันทีหลังแถลงนโยบาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ Quick Big Win ควบคู่กับโจทย์แกนกลางของรัฐบาลคือ ภาคประชาชน–การจ้างงาน–หนี้ครัวเรือน–สภาพคล่อง SMEs

“เรา Connect the dots ไว้แล้ว เป้าหมายคือให้เห็นว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ให้ตรงจุด… ปลดไซโล ให้หน่วยงานทำงานร่วมกันจริง” — เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง

ปม “เศรษฐกิจนอกระบบ 48%” และ “ข้อมูลกระจัดกระจาย” ที่ทำให้แก้ช้า

หัวใจของความยากไม่ได้อยู่แค่ “ตัวเลข” แต่อยู่ที่ “สภาพแวดล้อมข้อมูล” ของเศรษฐกิจไทย—เมื่อ เศรษฐกิจนอกระบบคิดเป็นถึง ~48% ของกิจกรรมทั้งระบบ ความเสี่ยงจึงสูงที่เงินจำนวนมากจะไหลในช่องทางที่ กฎหมายเข้าถึงยาก–ข้อมูลไม่ครบ–ผู้รับผลประโยชน์ซ่อนอยู่ ผลที่ตามมา คือ คุณภาพหนี้เปราะบาง และ สภาพคล่องไม่ซึมถึงจุดที่ต้องการ (ครัวเรือน–SMEs)

Net Errors & Omissions (NEO)” ในงบดุลการชำระเงินที่แกว่งแรงยิ่งสะท้อน ช่องว่างข้อมูล—ตัวเลขที่ “ตั้งหลักไม่ติด” เพราะส่วนหนึ่งอาจอยู่ในธุรกรรมที่ยังไม่ถูกบันทึก–ระบุที่มาไม่ชัด หรือไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ ช่องว่างนี้เองทำให้ฝ่ายกำกับ (ที่มองด้วยเลนส์สถิติ) กับฝ่ายนโยบาย (ที่กังวลความมั่นคง) อาจตีความ ความเสี่ยง” ต่างกัน และหากไม่ “เชื่อมจุด” ให้เห็นภาพเดียวกัน การสื่อสารสาธารณะย่อม สั่นคลอนความเชื่อมั่น ได้ง่าย

แผนปฏิบัติ เชื่อมข้อมูล–แบ่งบท–ลงมือ “ลุย” ตามแนวราบ

เพื่อแปลงแนวคิด Connect the dots ให้เป็นผลลัพธ์จับต้องได้ จำเป็นต้องมี “แพลตฟอร์มและกระบวนการ” ที่หน่วยงานนำไปใช้ร่วมกันได้จริง

1) กระทรวงการคลัง – ห้องยุทธการเชื่อมจุด
ทำหน้าที่ แม่งาน–ประสาน ตั้ง คณะทำงานถาวร ที่ประชุมสม่ำเสมอ มีแดชบอร์ดภาพรวม: ค่าเงิน, ฟันด์โฟลว์, NEO, ธุรกรรมต้องสงสัย, โครงสร้างถือหุ้น และสัญญาณเตือนเชิงระบบ

2) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) – เรดาร์มหภาค
ติดตาม กระแสเงินตราต่างประเทศ–อัตราแลกเปลี่ยน–สำรองเงินตรา–ธุรกรรม FX แยกประเภทช่องทาง (ตลาดทุน–การค้า–บริการ–โอนเงินนิติบุคคล–โครงสร้างพิเศษ) เพื่อชี้เป้า “ผิดปกติ” ส่งต่อ ปปง. ตรวจเชิงธุรกรรม

3) สำนักงาน ปปง. – เครื่องมือสืบสวนธุรกรรม
ขยาย Red Flag Rules ให้ครอบคลุมรูปแบบใหม่ เช่น โอนข้ามนิติบุคคลหลายชั้น, ใช้นอมินี, บัญชีพักเงิน, เงินโอนมูลค่าสูงผ่านกิจการทุนต่ำ, และธุรกรรมดิจิทัลข้ามแดน ผสานข้อมูลสถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร (ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ฟอกเงิน)

4) สำนักงาน ก.ล.ต. – เปิดหน้ากาก Beneficial Owner
ไล่โซ่การถือหุ้นซับซ้อน จนถึง ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (BO) ของกิจการใน–นอกตลาดทุน กรอง “โครงสร้างผิดสังเกต” และ เชื่อมข้อมูลข้ามหน่วย เพื่อสะกัดใช้บริษัทบังหน้าในการเคลื่อนย้ายเงิน

5) สมาคมธนาคารไทย – ยกระดับมาตรฐาน CDD/EDD
ออก มาตรฐานร่วม ด้านการรู้จักลูกค้า (KYC), การตรวจสอบสถานะทางธุรกิจ (CDD), และ Enhanced Due Diligence (EDD) สำหรับบัญชี/ธุรกรรมเสี่ยงสูง พร้อม ซ้อมสถานการณ์ (tabletop exercise) รายไตรมาสให้สอดรับเรดแฟลกของภาครัฐ

เงินทุนสีเทาคืออะไร–กระทบอะไร

ในหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยคุ้นกับคำว่า “เงินทุนสีเทา”—ทุนที่ กึ่งถูก–กึ่งผิด” หรือ ผิดกฎหมายเต็มรูปแบบ ซึ่งเข้ามาอาศัยช่องว่างกฎหมาย เช่น ใช้ นอมินี ถือหุ้นกิจการสงวน, ตั้ง โครงสร้างบริษัทหลายชั้น บังที่มาของเงิน, ดำเนินกิจการออนไลน์ผิดกฎหมาย, หรือสร้าง “อาณาจักรเศรษฐกิจคู่ขนาน” ที่หมุนเวียนเงินและรายได้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน

เงินกลุ่มนี้ บิดเบือนการแข่งขัน (ตัดราคา–กินรวบ), บั่นทอนเสถียรภาพการเงิน (ธุรกรรมผิดปกติ–เสี่ยงฟอกเงิน), และ ทำลายฐานภาษี (รายได้ไม่เข้าสู่ระบบ) ที่สำคัญ หากปล่อยให้ไหลเข้าระบบการเงินจำนวนมากโดยไม่ถูกตรวจสอบ อาจนำไปสู่ ความเสี่ยงระบบ (systemic risk) จากภาวะ สภาพคล่องลวงตา ค่าเงิน–สินทรัพย์ ผันผวนผิดธรรมชาติ และทำให้ผู้กำหนดนโยบาย ตัดสินใจผิดทาง ได้

เร่งด่วน–วัดผลได้–ทำให้เห็น

สารที่นายกฯ ส่งผ่านทีมเศรษฐกิจชัดเจน: ลำดับความสำคัญ อยู่ที่ “ผลกระทบจริงต่อประชาชน”—งาน–รายได้–หนี้ ขณะที่ ภาพค่าเงิน ต้องคุมให้ สงบ–สะท้อนพื้นฐาน ไม่ใช่ถูกรบกวนจากเงินปริศนา ฝั่งสมาคมธนาคารไทยตอบรับ—พร้อมปรับมาตรฐานตรวจสอบธุรกรรมและความร่วมมือข่าวกรองการเงิน โดย ยังไม่ร้องขอมาตรการพิเศษ เพิ่มเติม ขอเพียง กรอบร่วม–ช่องทางเชื่อมต่อ–เป้าหมายวัดผล ที่ชัด และ “เดินให้ทันเวลา” เพราะนายกรัฐมนตรีมีกรอบเวลาทำงาน 4 เดือนแรก ที่ต้องส่ง “Quick Big Win” สร้างความเชื่อมั่น

เชื่อมโยงสู่โครงสร้าง ทำไมการแก้หนี้–สภาพคล่อง ต้องเดินคู่ “เชื่อมจุด”

แม้ประเด็น “เงินไหลเข้า–ค่าเงิน” ดึงดูดสายตา แต่ ปัจจัยในประเทศ คือเบื้องหลังสำคัญของเสถียรภาพในระยะยาว—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยหด, อสังหาฯชะลอ จึงต้องมี มาตรการสภาพคล่องแบบตรงจุด (เช่น ค้ำประกันสินเชื่อ SMEs, ปรับเกณฑ์เครดิตประวัติใหม่ที่ไม่ “ปิดประตู” คนเปราะบาง) เพื่อให้เงิน ไหลไป “จุดที่ปวด” จริง และ ยึดโยงกับผลิตภาพ ไม่ใช่ไหลไป “เก็งกำไรค่าเงิน–สินทรัพย์”

นี่คือเหตุผลที่โต๊ะนโยบายต้องทำสองอย่าง พร้อมกัน:

  1. เชื่อมจุด เพื่อ กันเงินสีเทา ออกจากระบบ—ลดความผันผวนผิดธรรมชาติ; และ
  2. ปลดคอขวดเครดิต ให้ครัวเรือน–SMEs—อัดฉีดสภาพคล่องอย่าง “รับผิดชอบ” ไปสู่กิจกรรมที่สร้างรายได้จริง

Roadmap 90 วัน จากประกาศสู่ผลลัพธ์

เพื่อให้เห็น ผลจริง ภายในกรอบ “4 เดือนแรก” ของรัฐบาล ชุดมาตรการควรมี หมุดหมายชัด ใน 90 วันแรก ดังนี้

30 วันแรก

  • เปิด แดชบอร์ดเชื่อมจุด (ข้อมูลองค์รวม) ให้ทีมปฏิบัติทุกหน่วยเข้าถึง
  • ออก แนวปฏิบัติเรดแฟลก กลางให้สถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร
  • นัด ซ้อมแผน TTX ระดับชาติ ครั้งที่ 1 (กรณีเงินไหลเข้าผิดปกติ–ค่าเงินผันผวน)

60 วัน

  • ทดลอง เคสไล่โซ่ธุรกรรม 3–5 กรณี นำร่อง (การค้า–บริการ–โอนนิติบุคคล–ดิจิทัล)
  • รายงาน ผลคืบหน้า NEO และ “สัญญาณผิดปกติ” ต่อสาธารณะเชิงนโยบาย (ไม่เปิดชื่อบุคคล/กิจการ)
  • เสนอ มาตรการค้ำประกันสภาพคล่อง เป้าหมายเฉพาะ—SMEs กลุ่มที่แข็งแรงแต่ถูกบีบเครดิต

90 วัน

  • แถลง Quick Big Win: เคสยึด–อายัด–ดำเนินคดีสำเร็จ, ปรับปรุงเกณฑ์ EDD ภาคธนาคาร, แนวโน้มค่าเงินกลับสะท้อนพื้นฐานมากขึ้น
  • เปิด ช่องทางร้องเรียน–รับเบาะแส สาธารณะ ที่เชื่อมตรงเข้าทีมเชื่อมจุด

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

  • การสื่อสารไม่สอดคล้อง ระหว่างหน่วยงาน อาจทำให้ตลาดตีความผิด—จำเป็นต้องมี ศูนย์สื่อสารกลาง
  • ต้นทุนการปฏิบัติตาม ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs—รัฐควรจัดทำ คู่มือ–เครื่องมือดิจิทัล ช่วยตรวจเช็กเบื้องต้น
  • โยกย้ายช่องทาง ของทุนสีเทาไปจุดอ่อนใหม่—ต้องอัปเดต เรดแฟลก ต่อเนื่องและร่วมมือข้ามประเทศ

ค่าเงินที่ “สะท้อนพื้นฐานจริง” คือฐานของความเชื่อมั่น

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนรอยต่อสำคัญ ระหว่าง “สัญญาณตลาดการเงิน” ที่ผิดธรรมชาติ กับ “เศรษฐกิจจริง” ที่ต้องการสภาพคล่องอย่างมีคุณภาพ การตัดสินใจเชิงนโยบายในห้วงเวลานี้ จึงไม่ใช่การ “ขัน–คลาย” ค่าเงินแบบเชิงกลเท่านั้น แต่คือการ สร้างระบบเชื่อมข้อมูล ที่ทำให้เรามองเห็น เส้นทางเงินทั้งใน–นอกตลาด แล้วจัดการกับ เงินที่ไม่พึงประสงค์ ให้ออกจากสมการ ก่อนจะบิดเบือนราคา–บั่นทอนความเชื่อมั่น

เสียงจากทั้งโต๊ะนโยบายและภาคธนาคาร “ตรงกัน”: ต้อง Connect the dots เดินเกม เร็ว–แม่น–โปร่งใส และวัดผลได้จริง หากทำได้ ค่าเงินบาท จะกลับไปสะท้อน ปัจจัยพื้นฐาน มากกว่าความผิดปกติระยะสั้น ขณะเดียวกัน สภาพคล่อง ก็จะไหลไป ครัวเรือน–SMEs ที่ต้องการอย่างยั่งยืน

สุดท้าย การเจอ “เงินมาจากไหน” ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น จุดเริ่มต้นของระเบียบใหม่ ที่ทำให้ตลาดไทย แข่งขันได้ด้วยความโปร่งใส และทำให้เศรษฐกิจจริง เติบโตบนฐานคุณภาพ—นี่คือ Quick Big Win ที่สัมผัสได้ ทั้งในสมุดบัญชีของผู้คน และบนกราฟค่าเงินของชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมธนาคารไทย
  • กระทรวงการคลัง
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)
  • สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • หน่วยงานกำกับดูแลสินเชื่อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา-คุมส่งออก DUI

กระทรวงพาณิชย์คุมเข้ม 1 ม.ค. 2569 ห้ามนำเข้าข้าวโพดจากแหล่งเผา–คุมส่งออก DUI นิวเคลียร์

เชียงราย, 22 กันยายน 2568 — เพื่อแก้ปัญหามลพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมการค้าต่างประเทศ เตรียมบังคับใช้ 2 มาตรการสำคัญตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 ได้แก่

  1. มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา: ผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานว่าแหล่งผลิต “ไม่เผา” โดยระยะเปลี่ยนผ่านก่อนที่ พ.ร.บ.อากาศสะอาด และกฎหมายลูกจะมีผลบังคับใช้ ให้ใช้ การรับรองตนเอง (self-declaration) หรือ เอกสารรับรองจากหน่วยงานรัฐของประเทศผู้ส่งออก/องค์กรสากลที่น่าเชื่อถือ พร้อม ข้อมูลการเพาะปลูกและพิกัดแปลง เพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (traceability)
  • บทลงโทษ: หากพบมีการนำเข้าจากแหล่งที่มีการเผา ครั้งที่ 1–2 ตักเตือน; ครั้งที่ 3 พักการขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้า ไม่สามารถนำเข้าได้อีก
  • หลัง พ.ร.บ.อากาศสะอาดมีผล: เข้มงวดขึ้น ต้องใช้ ใบรับรองจากหน่วยงานที่ยอมรับของประเทศผู้ส่งออก และ แผนที่แปลงเพาะปลูก แนบประกอบ
  1. มาตรการควบคุมการส่งออกสินค้าที่ใช้ได้สองทาง (DUI): ไทยมี DUI 10 หมวด รวมกว่า 1,775 รายการ จะเริ่มคุม หมวด 0 (นิวเคลียร์) 204 รายการก่อน ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 โดยปี 2567 ไทยส่งออกหมวดนี้ มูลค่าประมาณ 437,000 ล้านบาท จากนั้น ไตรมาส 2/2569 ขยายคุมหมวด 7–9 (อิเล็กทรอนิกส์การบิน/ระบบนำร่อง, ยานพาหนะ–อุปกรณ์ทางทะเล, การบิน–อวกาศ–ขับดัน เช่น โดรนและชิ้นส่วนเครื่องบิน) ทั้งนี้ ไทยส่งออก DUI ทั้ง 10 หมวด รวม ราว 3.15 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 30% ของมูลค่าการส่งออกไทย ในปี 2567

ขั้นตอน: ผู้ส่งออกต้องตรวจสอบด้วยระบบ e-Classification หากเป็น DUI ให้ยื่นขอใบอนุญาตผ่าน e-DUI Licensing พร้อม End-Use/End-User Statement และเอกสารซื้อขาย โดยผู้ประกอบการจะเริ่มยื่นขอได้ตั้งแต่ ธันวาคม 2568

สินค้าเฝ้าระวังพิเศษ 50 รายการ: ไทยยังขอความร่วมมือผู้ส่งออกเฝ้าระวังสินค้าที่ “นอก/ทับซ้อน” รายการ DUI 10 หมวด แต่อาจถูก นำไปผลิตอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ชิ้นส่วนเฮลิคอปเตอร์ ใบพัด เครื่องบิน และโดรน ซึ่งพบการใช้มากขึ้นในสนามรบยุคใหม่ (เช่น ยูเครน) เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงและชื่อเสียงประเทศ

เหตุผลเชิงนโยบาย ชัดเจนจากคำอธิบายของ นายดวงอาทิตย์ นิธิอุทัย รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ: ไทยต้อง “ปกป้องสุขภาพคนไทย–ลด PM2.5 ข้ามแดน” และ “ยืนยันจุดยืนไม่สนับสนุนสงครามหรือ WMD” ควบคู่การสร้างความเชื่อมั่นให้ สินค้าไทย–นักลงทุนต่างชาติ

ทำไม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” จึงเป็นหัวใจของฤดูฝุ่นควัน

ข้อมูลเชิงโครงสร้างสะท้อนแรงกดดันในห่วงโซ่: ไทย ผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ 4–5 ล้านตัน/ปี แต่ ต้องใช้ราว 9 ล้านตัน/ปี ส่วนขาดต้อง นำเข้า ~2 ล้านตัน โดย >90% มาจากเมียนมา ที่เหลือจากลาว–กัมพูชา ภาคเกษตรฝั่งต้นทางจำนวนมากยังพึ่งพา การเผาตอซัง–เตรียมพื้นที่ เพื่อเก็บเกี่ยวทันรอบ ราคาดี และลดต้นทุนแรงงาน สิ่งที่ตามมาในฤดูแล้งคือ Hotspots หนาแน่น พัด “ฝุ่นละเอียด–สารพิษ” ข้ามแดนสู่ภาคเหนือของไทย

มาตรการ “ข้าวโพดปลอดการเผา” จึงเป็น แรงกดดันทางเศรษฐกิจเชิงบวก ต่อพฤติกรรมต้นทาง—หากทำจริงจัง ตลาดนำเข้าไทย จะให้ ราคารับซื้อ–สัญญาซื้อขาย ที่ยึดโยงกับ การผลิตที่ไม่เผา และ ข้อมูลแปลงเพาะปลูกที่ตรวจสอบได้ เป็นการ “ใช้กลไกตลาด สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อม” ควบคู่กับการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อมีกฎหมายรองรับถาวร

อย่างไรก็ดี “กุญแจ” อยู่ที่ ระบบพิสูจน์และติดตามย้อนกลับ (MRV & Traceability) ที่ต้องทันสมัยและตรวจสอบได้จริง: ตั้งแต่ ทะเบียนเกษตรกร–แปลงปลูก–พิกัด–ร่องรอยโลจิสติกส์–ใบรับรองจากหน่วยงานรัฐ/องค์กรสากล รวมถึง การสุ่มตรวจภาคสนาม–เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อให้การตักเตือน/พักใบอนุญาต มีน้ำหนักพอ และป้องกัน การสวมสิทธิ์ หรือ เอกสารเท็จ

เชียงราย ด่านหน้าของนโยบาย—และของหมอกควัน

ในห้วงเวลาเดียวกันกับการประกาศมาตรการระดับชาติ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และภาคีในพื้นที่ได้จัดประชุม “กรอบความร่วมมือ 4 อำเภอ กลไกชายแดนการบริหารจัดการไฟป่าและหมอกควันข้ามแดน (ครั้งที่ 1)” วันที่ 22 กันยายน 2568 ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ เป็นประธาน และหน่วยงานป่าไม้–อุทยานฯ–ท้องที่–ท้องถิ่น 4 อำเภอ (เชียงของ เวียงแก่น เทิง ขุนตาล) ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล จุดเสี่ยง–จุดความร้อน–แนวลาดตระเวน พร้อมวางโรดแม็ปประชุมสัญจร 4 ครั้ง 4 อำเภอ (ก.ย.–ธ.ค. 2568) เพื่อยกระดับความร่วมมือ เมืองคู่ขนานชายแดน และ แนวเขตต่อเนื่อง กับฝั่งเพื่อนบ้าน

นี่คือ “มือทำงาน” ในพื้นที่ ที่ต้องจับคู่กับ “นโยบายการค้า” ให้ติด—หากเอกสารแปลงเพาะปลูกจากต้นทางเมียนมาระบุพิกัดที่ชนแนวชายแดนเชียงราย–พะเยา–น่าน ฝ่ายไทยในพื้นที่ต้อง ตรวจทาน–ซ้อนข้อมูล Hotspots–เดินสายตรวจ ได้ทันท่วงที

DUI นิวเคลียร์ทำไมไทยต้องเริ่มจากหมวด 0

โลกการค้าปี 2568 ไม่เหมือนเดิม “ของสองทาง” ไม่ได้มีแค่อุปกรณ์ชิ้นใหญ่ในโรงงานนิวเคลียร์ แต่ องค์ประกอบ–วัสดุ–ซอฟต์แวร์–ระบบควบคุม จำนวนมากสามารถ ปรับใช้ สู่การผลิตอาวุธหรือระบบนำร่องได้ (แม้จะเป็น ชิ้นส่วนพลเรือน ก็ตาม) ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มนี้ จำนวนมากและมีมูลค่าสูง ปลายทางหลักเช่น สหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยต้องยกระดับมาตรฐานคุมส่งออกให้ เท่าทันพันธมิตรการค้า และมาตรฐานนานาชาติ

หมวด 0 (Nuclear) ถูกเลือกเป็นหมวดนำร่อง เพราะเป็นหมวดที่ อ่อนไหวสูงสุด ต่อระบบคว่ำบาตร–ข้อจำกัด WMD ทั่วโลก เมื่อระบบ e-Classification / e-DUI Licensing ใช้งานได้จริง ไตรมาส 2/2569 จะต่อยอดไปยัง หมวด 7–9 ที่กระทบผู้ส่งออก ชิ้นส่วนอากาศยาน–อิเล็กทรอนิกส์การบิน–ระบบขับดัน–โดรน และ ทางทะเล ซึ่งเป็น “หัวใจของเศรษฐกิจฐานอุตสาหกรรมใหม่” ของไทย

การคุม DUI ไม่ใช่ การ “สกัดกั้นการค้า” ตรงกันข้าม หากผู้ประกอบการ ทำการบ้านครบ (รู้ว่าเป็น DUI หรือไม่, จัดเตรียมเอกสาร end-use/end-user, ตรวจสินค้าปลายทางต้องห้าม) จะทำให้ พัสดุผ่านด่านได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงถูก “หยุดตรวจ” หรือ “ถูกปฏิเสธ” จากประเทศคู่ค้า และ ลดความเสี่ยงทางชื่อเสียง ของทั้งบริษัทและประเทศ

ผลกระทบ–ความเสี่ยง–โอกาส ใครควรทำอะไร

1) ผู้ประกอบการอาหารสัตว์–ฟีดมิลล์–เกษตรชายแดน

  • กระทบ: ความเข้มงวดเอกสารนำเข้า–ต้นทุนการทำเอกสาร–ความเสี่ยงความล่าช้าในช่วงเริ่มบังคับใช้
  • ทางรอด: เร่งทำ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ กับคู่ค้าในเมียนมา–ลาว ตั้ง เงื่อนไขสัญญา “ปลอดการเผา” ชัดเจน พร้อมแผน ตรวจสุ่มภาคสนาม และเกณฑ์ ยกเลิก/ลงโทษ เมื่อพบผิดเงื่อนไข เพื่อไม่ให้โดน “พักทะเบียนนำเข้า” ในไทย

2) ผู้นำเข้า–ส่งออกทั่วไป (โดยเฉพาะชิ้นส่วนเทคโนโลยี)

  • กระทบ: ต้องทำ e-Classification ให้เร็วเพื่อรู้สถานะสินค้า หากเข้าเกณฑ์ DUI ต้องทำ e-DUI Licensing และจัดทำ End-Use/End-User Statement
  • ทางรอด: สร้าง มาตรฐานเอกสาร กลางของบริษัท, จัดอบรมทีม Trade Compliance, ทำ Whitelist ลูกค้า/ปลายทาง, และติดตาม รายการ 50 สินค้าเฝ้าระวัง อย่างใกล้ชิด

3) เกษตรกรต้นทาง–ชุมชนชายแดน

  • กระทบ: ตลาดไทยจะ “แยก” ผู้ผลิตที่เผา–ไม่เผา ชัดขึ้น
  • ทางรอด: ผลักดัน กลไกรับรองชุมชน (community certification) เชื่อมกับ สหกรณ์–ผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อสร้าง ราคารับซื้อส่วนเพิ่ม (premium) สำหรับผลผลิต ปลอดการเผา

4) ภาครัฐ–ท้องถิ่น–ชายแดน

  • ภารกิจ: ทำ ศูนย์ข้อมูล traceability เชื่อม ด่าน–กรมศุลกากร–กรมการค้าต่างประเทศ–กรมควบคุมมลพิษ–อุทยาน/ป่าไม้–เทศบาล–อบจ. และ TEI เพื่อซ้อนข้อมูล ใบรับรอง—พิกัดแปลง—Hotspots แบบรายสัปดาห์ ให้การ ตักเตือน–พักทะเบียน อิงข้อมูลเชิงประจักษ์

 “การค้า” และ “อากาศสะอาด” ต้องเดินคู่

ผู้ปฏิบัติการในพื้นที่เชียงรายสะท้อน เสียงเดียวกัน ว่า มาตรการของกระทรวงพาณิชย์ถือเป็น จิ๊กซอว์สำคัญ ที่ขาดไม่ได้ เพราะ “แรงจูงใจราคา” มักเปลี่ยนพฤติกรรมได้เร็วกว่า “คำขอความร่วมมือ” เพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน โครงการของ TEI ที่เปิดวงคุย นายอำเภอ–ท้องที่–ป่าไม้–อุทยาน–ท้องถิ่น ใน 4 อำเภอชายแดน ก็ทำให้ แผนลาดตระเวน–ดับไฟ–สื่อสารชุมชน มีเจ้าภาพชัดเจนขึ้น

แต่ทุกฝ่ายย้ำ เงื่อนไขความสำเร็จ ตรงกัน:

  1. ข้อมูล (แปลง–พิกัด–ใบรับรอง–ภาพถ่ายดาวเทียม) ต้อง เปิด–เชื่อม–ใช้ร่วม;
  2. บังคับใช้ ต้อง ต่อเนื่อง–เป็นธรรม–คาดการณ์ได้;
  3. เครื่องมือชดเชย (เช่น premium ไม่เผา, งบสร้างเครื่องจักรเก็บเกี่ยว, สนับสนุนเชื้อเพลิงชีวมวล) ต้อง ลงถูกจุด ไม่เช่นนั้น ฤดูกาลเผา ก็จะวนกลับมาในรูปแบบใหม่

คำถามที่สังคมต้องจับตา

  • Self-declaration ช่วงเปลี่ยนผ่านจะ “เอาอยู่” แค่ไหน ก่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด บังคับใช้เต็มรูปแบบ? ไทยพร้อม หน่วยตรวจ–สุ่ม–ยืนยัน มากพอหรือยัง
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing จะรองรับ ดีมานด์ยื่นขอ ของผู้ส่งออกได้ รวดเร็ว–โปร่งใส–ตรวจสอบได้ แค่ไหน โดยเฉพาะ SMEs ที่ยังไม่คุ้นกับเอกสาร end-use/end-user
  • 50 รายการเฝ้าระวัง นอก/ทับซ้อน DUI 10 หมวด จะสื่อสารกับภาคธุรกิจอย่างไรให้ เข้าใจ–ทำตามได้ โดยไม่สร้าง ต้นทุนเชิงเอกสาร ที่เกินจำเป็น

คำตอบของคำถามเหล่านี้ จะกำหนดว่า นโยบายใหม่นี้จะเป็นแค่ “ประกาศสวยบนกระดาษ” หรือเป็น “กติกาใหม่” ที่พลิกฤดูกาลฝุ่นควันภาคเหนือ และยกระดับความน่าเชื่อถือการค้าของไทยในยุคภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน

เคสศึกษาจำลอง หาก “ใบรับรองปลอดการเผา” ขัดกับ “ภาพดาวเทียม”

สมมติ ผู้นำเข้ารายหนึ่งแสดงใบรับรองจากหน่วยงานรัฐประเทศผู้ส่งออกว่า “ปลอดการเผา” แต่ข้อมูล Hotspots บนภาพถ่ายดาวเทียมในช่วงเวลาเดียวกันชี้ว่ามี จุดความร้อนหนาแน่น ในพิกัดที่ตรงกับแปลงเพาะปลูกที่ยื่นมา สิ่งที่ควรเกิดขึ้น คือ:

  1. ระบบ เตือนอัตโนมัติ (red flag) ภายใน e-Import;
  2. คณะทำงาน สหหน่วย (ด่าน–การค้าต่างประเทศ–ศุลกากร–ป่าไม้–อุทยาน–TEI) ลงพื้นที่ สอบสวน–ตรวจพยานแวดล้อม–สัมภาษณ์ชุมชน;
  3. หากพบหลักฐานเชื่อมโยง แจ้งตักเตือน ครั้งที่ 1/2 และ เงื่อนไขแก้ไข;
  4. หากทำซ้ำ พักทะเบียน ครั้งที่ 3 และ ขึ้นบัญชีดำ แปลง/ผู้ค้า;
  5. เผยแพร่ผล (เวอร์ชันไม่เปิดเผยชื่อ) เพื่อสร้าง บรรทัดฐาน ให้ตลาดเรียนรู้

นี่คือภาพของ “กติกาที่บังคับใช้ได้จริง”—เพราะทุกอย่างลิงก์กันด้วย ข้อมูล–พื้นที่–บทลงโทษ ที่สอดคล้อง

การค้าไทยยุคใหม่—ขายได้ ต้อง “รับผิดชอบได้”

มาตรการ ข้าวโพดปลอดการเผา และ ควบคุมส่งออก DUI คือ สัญลักษณ์ ของการเลื่อนเกียร์นโยบายการค้าไทยจากยุค “เปิดทาง–เร็ว–ถูก” ไปสู่ยุค “ยั่งยืน–ปลอดภัย–น่าเชื่อถือ” โดยมี สุขภาพประชาชน และ ความมั่นคงเชิงเทคโนโลยี เป็นหลักยึด

สำหรับ เชียงราย เมืองด่านหน้าของทั้งฝุ่นควันและการค้า—สิ่งที่จะตัดสินความสำเร็จไม่ใช่แค่ “ประกาศจากส่วนกลาง” แต่คือ ความร่วมมือชายแดน ที่เริ่มลงมือแล้วโดย TEI และภาคี 4 อำเภอ, คือ การเชื่อมข้อมูล ที่ “เห็นภาพเดียวกัน” ระหว่างใบรับรอง–พิกัด–จุดความร้อน, และคือ การบังคับใช้ที่คาดการณ์ได้ เพื่อให้ตลาด “เรียนรู้” ว่าการไม่เผา คุ้มกว่า–ปลอดภัยกว่า–ขายได้ดีกว่า

ในโลกที่ห่วงโซ่อุปทานสะเทือนจากสงคราม–คว่ำบาตร–มาตรฐานสีเขียว—ประเทศที่ “ขายได้” ต่อไป คือประเทศที่ พิสูจน์ได้ ว่า “รับผิดชอบได้” ด้วยเช่นกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ – กรมการค้าต่างประเทศ
  • ระบบ e-Classification / e-DUI Licensing
  • กรอบกฎหมายอากาศสะอาด
  • สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมศุลกากร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

เสียดายโอกาสประเทศไทย! ACT จี้รัฐบาลแพรทองธาร ไร้ทิศทางปราบโกงจริงจัง

ACT ชำแหละ “หนึ่งปีรัฐบาลแพรทองธาร” สังคมเสียดายโอกาสชี้ไร้ทิศทางปราบโกง เสนอ “รัฐโปร่งใส” เป็นวาระแห่งชาติฟื้นศรัทธา

ประเทศไทย, 13 สิงหาคม 2568 — ในบ่ายวันที่อากาศอบอ้าว กระแส “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ขององค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT แผ่กว้างบนหน้าฟีดและโต๊ะเสวนาทั่วเมือง ข้อเขียนชิ้นนี้โดย มานะ นิมิตรมงคล ประธาน ACT ตั้งคำถามตรง ๆ ต่อรัฐบาลที่เพิ่งครบรอบหนึ่งปีภายใต้การนำของ “แพรทองธาร” ว่า เอาจริงกับการปราบโกงหรือไม่” พร้อมเรียงเหตุผลเจ็ดข้อที่สะท้อนภาพ “ไร้ทิศทางไร้กลไกไม่ตั้งใจปราบโกง” และลงท้ายด้วยข้อเสนอเชิงระบบเพื่อฟื้นศรัทธาผ่านการสร้าง “รัฐโปร่งใส” แบบเปิดเผยข้อมูลและเอื้อต่อการตรวจสอบของสาธารณะ

ท่ามกลางเสียงถกเถียงทางการเมือง ตัวเลขสากลอย่างดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ก็ทิ่มตาไทยได้ 34 คะแนน อยู่อันดับที่ 107 ของโลกในปี 2024 ซึ่งไม่เพียงต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยโลกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกเกินกว่าแค่มาตรการ “ตามเหตุการณ์” จะเยียวยาได้ทันใจ (อ้างอิงรายงานข่าวเศรษฐกิจและหน้าการเมืองไทยหลายสำนักที่ถ่ายทอดตัวเลขจาก Transparency International)

โครงเรื่องจากความหวังสู่ “เสียดายโอกาส”

หนึ่งปีก่อน สังคมตั้งคำถามต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะเดินหน้า “ปฏิรูปเชิงระบบ” สลายป่ามรดกกฎระเบียบซับซ้อน และยกระดับธรรมาภิบาลรัฐ ทว่าตลอดปีที่ผ่านมา ข่าวเศรษฐกิจหลักชิ้นหนึ่งกลับเป็นการโยกวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ไปขับเคลื่อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานชุมชน ท่องเที่ยว ไปจนถึงดิจิทัลพร้อมกรอบการประเมินผลต่อจีดีพีและการจ้างงานอย่างเป็นทางการ แต่ในอีกมุม สังคมก็ย้อนถามว่า “เมื่อการใช้จ่ายของรัฐขยายตัว เราได้เห็นระบบป้องกันการรั่วไหลเข้มแข็งขึ้นแค่ไหน” คำถามนี้เองที่บ่มเพาะความกังขาในวงกว้าง

ACT จึงหยิบ “วิกฤตความไว้วางใจ” ขึ้นมาเล่าแบบตรงไปตรงมา: เมื่อประเทศเผชิญคอร์รัปชันเรื้อรัง แต่การเมืองยังไม่พิสูจน์ความตั้งใจปราบโกงให้สังคมเห็นความศรัทธาย่อมถดถอย ข้อเขียนของ ACT ไม่ใช่เพียงเสียงวิจารณ์ หากเป็น “ขอร้อง” ให้รัฐสานต่อมาตรการเชิงระบบ นำข้อเสนอที่ถูกศึกษาไว้นานแล้วมาลงมือจริง และเปิดข้อมูลให้ประชาชนตรวจสอบร่วมกันได้

7 เหตุผลที่ทำให้สังคมรู้สึก “รัฐไม่ตั้งใจปราบโกง”

ข้อหนึ่ง ไม่มี “แถลงนโยบายต้านโกงที่จับต้องได้” ต่อสายตาสาธารณะ แม้กรอบเป้าหมาย CPI ที่พูดถึงบนเวทีสภาจะดูท้าทาย แต่ตราบใดที่สังคมยังไม่เห็น “แผนตัวชี้วัดความคืบหน้าเป็นรอบปี” ความเชื่อมั่นก็ยากเกิดจริง

ข้อสอง กลไกเดิมอ่อนแรงกลไกใหม่ไม่ชัด ACT ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐเลิกใช้ “ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.)” ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือบูรณาการหน่วยงาน แม้ศูนย์ฯ ก่อตั้งมาจากคำสั่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2557 เพื่อเร่งคดีสำคัญและอุดช่องโหว่ระบบราชการ แต่ปัจจุบันไม่เห็นบทบาทที่ชัดเจนเท่าเดิม ขณะที่กลไกใหม่ก็ไม่ปรากฏภาพรวมการทำงานต่อสาธารณะอย่างเป็นระบบ

ข้อสาม บริหารแบบ “แก้เฉพาะหน้า” กับเหตุสะเทือนสังคมจากอุบัติภัยสาธารณะ ไปจนถึงข้อกังขาเรื่องงานรัฐ รัฐมักสั่งสอบเยียวยา แต่สังคมยังไม่เห็นรายงานสรุปที่ชี้ “สาเหตุผู้รับผิดชอบมาตรการป้องกันซ้ำ” อย่างเป็นระบบ และสื่อสารอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากหลายกรณีที่ ACT ออกมาตั้งคำถามต่อความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐและหน่วยตรวจสอบอิสระเองด้วยซ้ำ

ข้อสี่ คำมั่น “ปฏิรูประบบราชการปฏิรูปกฎหมาย” ยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร ทั้งที่แนวทางอย่าง Regulatory Guillotine การทบทวนยุบปรับเกณฑ์ที่ซ้ำซ้อนเพื่อปิดช่องทุจริตถูกพูดถึงในยุทธศาสตร์ชาติมาหลายปี และถูกแนะนำโดยนักวิชาการ–หน่วยงานกำกับการเงินมาโดยตลอด หากไม่ขยับจริง ความซับซ้อนของใบอนุญาตและกฎเกณฑ์จะยังเป็น “ค่าผ่านด่าน” โดยพฤตินัยต่อไป

ข้อห้า ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ถูกวางไว้บนหิ้ง ACT ชี้ว่าปัญหา “แปะเจี๊ยะนมโรงเรียน ส่วยสินบนใบอนุญาต คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” ถูกศึกษาและเสนอทางแก้ต่อครม.ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สังคมยังไม่เห็น “แดชบอร์ดความคืบหน้า” ที่รายงานผลสัมฤทธิ์อย่างสม่ำเสมอ จึงยากจะวัดว่ารัฐบาล “ลงมือจริง” ในระดับนโยบายแค่ไหน

ข้อหก สับสนบทบาทหน่วยงานต้านโกงการให้ ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) เป็น “แม่งานหลัก” ผลัก CPI แทน ป.ป.ช. (ซึ่งมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญและทรัพยากรมากกว่า) อาจสะท้อนความเข้าใจต่อโครงสร้างที่ยัง “ไม่เข้าที่” ยิ่งกว่านั้น หากไม่มีกรอบบูรณาการกับสตง.–สำนักงานอัยการ–ตำรวจ คดีสำคัญก็เสี่ยง “ติดคอขวด” ตามมา

ข้อเจ็ด “เกียร์ว่าง” ระดับพื้นที่เมื่อผู้นำไม่ส่งสัญญาณชัด ข้าราชการต้นน้ำ–ปลายน้ำก็ทำงานแบบ “พิธีกรรม” มากกว่ากัดติดเป้าหมาย วงจรนี้ทำให้คณะกรรมการต่อต้านคอร์รัปชันระดับจังหวัดซึ่งควรถกเคสเร่งปิดช่องโหว่ กลายเป็นเพียงการประชุมเพื่อ “เช็กชื่อ” มากกว่า “เช็กความคืบ”

ประเด็นทั้งเจ็ดสรุปง่าย ๆ ว่า นโยบายต้านโกงยังไม่ถูกทำให้ ‘จับต้องได้’ ด้วยเป้าหมาย–แผน–ระบบรายงานผล” นี่คือหัวใจที่ ACT มองว่า “เสียโอกาส” ต่อการฟื้นศรัทธา

ตัวเลขไม่โกหก CPI 34 คะแนน กับความจำเป็นของ “รัฐเปิดเผย”

ปี 2024, Transparency International รายงานว่าไทยได้ 34 คะแนน (จาก 100) รั้งอันดับ 107 จาก 180 ประเทศ เทียบย่านอาเซียน ภูมิภาคมีทั้งประเทศคะแนนสูงกว่าเราอย่างต่อเนื่อง และประเทศที่ไต่อันดับขึ้นด้วยแพ็กเกจ “รัฐเปิดเผยคุมข้อตกลงผลประโยชน์ทับซ้อนปกป้องผู้เป่านกหวีด” ตัวเลขนี้ถูกยกเป็น “ไฟแดง” ว่าถ้ารัฐจะตั้งเป้าผลักคะแนนขึ้น สังคมจำเป็นต้องเห็น แผน Open Government ที่ลงรายละเอียดว่าข้อมูลอะไรจะเปิด เมื่อไรในรูปแบบใดโดยใครรับผิดชอบ และวางระบบร้องเรียน–ติดตามผลที่ประชาชนใช้งานง่ายจริง ไม่ใช่เพียงสโลแกน

ประเทศไทยมีฐาน Open Government Data ผ่านพอร์ทัล data.go.th ที่ดูแลโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ซึ่งประกาศชัดเจนว่ามุ่งยกระดับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐสู่นวัตกรรมและความโปร่งใส คำถามคือ “จะยกระดับจาก เปิดข้อมูล ไปสู่ เปิดสัญญา–เปิดงบ–เปิดผลลัพธ์ ได้เร็วแค่ไหน” โดยเฉพาะเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทที่กำลังไหลลงพื้นที่จำนวนมาก

โยกงบ 1.57 แสนล้าน” บททดสอบรัฐโปร่งใส

กระทรวงการคลัง–สำนักงบประมาณ และคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจระบุว่า งบ 1.57 แสนล้านจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นราว 0.4%, กระจายการลงทุนไปยังโครงสร้างพื้นฐานน้ำคมนาคมท่องเที่ยวดิจิทัลชุมชน พร้อมเป้าหมายการจ้างงาน และการยกเครื่องคุณภาพชีวิตระดับจังหวัด รายละเอียดเชิงโครงการพื้นที่ผู้รับจ้างกรอบเวลาตรวจรับงาน ถูกประกาศบางส่วนแล้ว แต่การสะสม “ความเชื่อมั่น” อยู่ที่การเปิดสัญญาผลการเบิกจ่ายตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลต้องสื่อสารเชิงรุกเมื่อถูกตั้งคำถาม เช่น ประเด็น “โยกงบเพื่อวาระอื่น” เพื่อไม่ให้ข่าวลือบดบังข้อเท็จจริงทางการคลัง

บทเรียนจากกลไกเดิม ศอ.ตช. และบทบาทหน่วยบังคับใช้

ย้อนดู ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ซึ่งจัดตั้งด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี 226/2557 บทบาทของศูนย์ฯ คือรวบรวมเร่งรัดบูรณาการข้อมูลคดีทุจริตสำคัญกับตำรวจ–ป.ป.ช.–ป.ป.ท.–สตง.–อัยการ เพื่อให้ “ลงมือแก้ปัญหาแบบทีม” ช่วงที่ศูนย์ฯ ทำงานเข้ม สังคมเห็นความพยายามผลักเคสข้าม “คอขวด” แต่เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทนี้จางลงตามโครงสร้างการเมือง นี่ย้ำว่าหากรัฐบาลปัจจุบันอยาก “ส่งสัญญาณจริง” ก็สามารถ “รีบูตกลไกบูรณาการ” ด้วยกรอบอำนาจ–เส้นตาย–ระบบรายงานต่อสาธารณะที่ชัดเจนอีกครั้ง

ด้าน ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) มีภารกิจสอบสวนความผิดวินัยและอาญาเจ้าหน้าที่รัฐ ควบคู่กับการเสนอแนวทางป้องกันทุจริตเชิงระบบ หากรัฐบาลวางให้ ป.ป.ท. เป็นแกนกลางขับเคลื่อน ต้องจัด ทรัพยากรอำนาจแดชบอร์ดข้อมูล ให้เหมาะสม และเชื่อมโยงกับ ป.ป.ช. (องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ) และ สตง. อย่างไม่มีรอยต่อ ซึ่งสังคมคาดหวัง “รูปธรรมความร่วมมือ” มากกว่า “คำประกาศ”

จาก “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” สู่ “ปีแห่งรัฐเปิดเผย”

ในทุกวันที่ 6 กันยายน ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม จะร่วมกิจกรรม “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” ซึ่ง ACT ทำหน้าที่เสาค้ำเวทีมาอย่างต่อเนื่อง ปีนี้ ACT ประกาศเชิญชวนประชาชน องค์กร สื่อมวลชน ร่วมออกแบบ “ระบบใหม่ที่เปิดทางให้คนดีเติบโต” ผ่านกิจกรรมออนไลน์ออฟไลน์ หัวใจคือ เปลี่ยนพลังรายวันของประชาชนให้เป็นแรงกดดันเชิงบวก ต่อรัฐและองค์กรทุกระดับ ให้ “เปิดอธิบายรับผิดชอบ” เป็นกิจวัตร ไม่ใช่เฉพาะเวลาเกิดเรื่อง

“เราต้องทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็น วาระแห่งชาติ ที่ทุกภาคส่วนมีบทนักการเมืองต้องสร้างพรรคที่มีธรรมาภิบาล นักธุรกิจหยุดจ่ายใต้โต๊ะ ข้าราชการทำงานตามหลักคุณธรรม และประชาชนไม่ยอมรับการโกงทุกรูปแบบ” แนวทางแกนกลางที่ ACT เน้นย้ำตลอดทศวรรษที่ผ่านมา (ถอดแก่นจากคำประกาศสาธารณะและภารกิจของ ACT)

ประชาชน “ได้อะไร” หากรัฐเดินหน้าตามโจทย์ ACT

  1. ความโปร่งใสเชิงรุก — หากรัฐเปิดข้อมูลโครงการสัญญาผู้รับจ้างผลเบิกจ่าย แบบติดตามได้ทุก 30 วัน ผู้เสียภาษีจะ “เห็น” การเคลื่อนเม็ดเงินและผลลัพธ์จริง ลดพื้นที่การคาดเดา–ข่าวลือ และทำให้สื่อกับสังคมเข้ามาช่วยสอดส่องเชิงข้อมูลได้ทันเวลา
  2. ต้นทุนธุรกิจลดลง — การทบทวนกฎ (Regulatory Guillotine) ตัดขั้นตอนใบอนุญาตซ้ำซ้อน จะลด “รอยรั่ว” และ “ค่าลูบคม” เปิดทางการแข่งขันที่เป็นธรรมเอื้อ SMEs และสตาร์ตอัปที่เดิมเสียเปรียบเพราะ “ต้นทุนมืด” สูงเกินมาตรฐาน
  3. บริการรัฐดีขึ้น — เมื่อหน่วยงานรู้ว่าข้อมูลผลการประเมินจะถูกเปิดเผยและเทียบเคียง ทุกคนจะจริงจังกับการวัดผล–ส่งมอบบริการ เกิดวัฒนธรรม “ทำจริงอธิบายได้” แทน “ทำตามพิธี”
  4. CPI มีโอกาสขยับด้วยพิมพ์เขียวง่าย ๆ — ประเทศที่คะแนนดีขึ้นในรอบ 5–10 ปีมักทำ 3 เรื่องพร้อมกัน: เปิดข้อมูลเชิงรุก, คุมผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองข้าราชการระดับสูง, และ คุ้มครองผู้เปิดโปงทุจริต หากไทยทำครบพร้อมระบบติดตามผลไม่ใช่แค่แถลงการณ์คะแนนความเชื่อมั่นจากภาคธุรกิจ–นักลงทุน–องค์กรสากลย่อมตอบสนองเป็นรูปธรรม

เสียง–สถิติ–คำถามชวนคิด

  • 34 คะแนน บอกอะไรเรา? วัด “การรับรู้” จากผู้เชี่ยวชาญและภาคธุรกิจต่อความเสี่ยงคอร์รัปชัน หากคะแนนต่ำต่อเนื่อง ต้นทุนกู้เงินการลงทุนการทำธุรกิจก็มักสูงกว่าประเทศคู่แข่ง
  • 1.57 แสนล้านบาท จะกลายเป็น เครื่องฟอกศรัทธา หรือ เชื้อเพลิงความกังขา? คำตอบอยู่ที่ “ระดับความเปิดเผย” ของสัญญาผลสัมฤทธิ์การตรวจรับงาน และการรับมือข้อร้องเรียนอย่างมืออาชีพ
  • เราจะออกจากวังวน “ตั้งคณะกรรมการแถลงข่าวเงียบหาย” ได้อย่างไร?  กลไกบูรณาการแบบ ศอ.ตช. ที่ปรับให้ทันสมัย อาจเป็นคำตอบ หากวางกรอบอำนาจเส้นตายดัชนีวัดผล และเผยแพร่ต่อสาธารณะทุกไตรมาส

ทางออกเชิงนโยบาย จากคำประกาศสู่ “ระบบ”

  1. ประกาศโรดแมปต้านโกง 12–24 เดือน กำหนด 5 เป้าเร่งด่วน เช่น เปิดสัญญารัฐทั้งหมดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท, ฐานข้อมูลทรัพย์สินนักการเมือง–บอร์ดรัฐวิสาหกิจรูปแบบ machine-readable, ดัชนีผลประโยชน์ทับซ้อนประจำกระทรวง, ระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส, และแดชบอร์ดความคืบหน้าคำแนะนำ ป.ป.ช.
  2. เปิดงบกระตุ้น–เปิดผล เผยแพร่รายงาน “เงินถึงใครจ้างงานไหนเสร็จเมื่อไรผลลัพธ์คืออะไร” สำหรับ 1.57 แสนล้านแบบรายจังหวัด/รายโครงการ พร้อมช่องทางร้องเรียนและ SLA ตอบกลับ 15 วัน
  3. รีบูตกลไกบูรณาการคดีทุจริต ยกระดับความร่วมมือ ป.ป.ช.–ป.ป.ท.–สตง.–ตำรวจ–อัยการ ใต้กรอบเส้นตาย–เจ้าภาพชัดเจน ให้ประชาชนติดตามสถานะคดีสำคัญได้เสมือน “ระบบติดตามพัสดุ”
  4. เร่ง Regulatory Guillotine ตั้งคณะทำงานร่วมรัฐเอกชนวิชาการ คัด 100 กฎใบอนุญาตต้นน้ำที่ซ้ำซ้อนสูงสุด ล้มลดรวมย้ายขั้นตอน พร้อมรายงานประหยัดเวลาต้นทุนทุกไตรมาส
  5. ยกระดับ Open Government Data → Open Contracting ผ่านพอร์ทัลเดียว (เชื่อมกับ data.go.th) ครอบคลุม TOR, ราคากลาง, ผู้ยื่นผู้ชนะ, สัญญา, งวดงานงวดเงิน, และรายงานตรวจรับ แก้ไขได้ด้วยมาตรฐานสากล OCDS

“พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข

ข้อเขียน “เสียดายโอกาสประเทศไทย” ของ ACT ไม่ได้เพียงวิจารณ์ หาก “ปักหมุดทางออก” ว่ารัฐบาลต้องเป็น ผู้นำการต่อต้านคอร์รัปชัน อย่างแท้จริงด้วยการเปิดเผยข้อมูลเชิงรุก, ทำให้การต่อต้านคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติที่ทุกภาคส่วนมีบทบาท, และทำงานบน “พยานหลักฐาน–ข้อมูลเปิด” มากกว่า “คำประกาศ” ตัวเลข CPI 34 คะแนนและอันดับ 107 ของไทยในปีล่าสุด เป็นสัญญาณเตือนว่า การสื่อสารการเปิดข้อมูลการลงมือ ต้องเกิด “พร้อมกัน” จึงจะดันความเชื่อมั่นขึ้นได้อย่างยั่งยืน

คำถามสำคัญถึงผู้อ่าน–ผู้เสียภาษี–ผู้ประกอบการ–ข้าราชการ คือ: เราพร้อมหรือยังที่จะไม่ยอมรับ “การโกงเล็ก ๆ” ในชีวิตประจำวัน, พร้อมติดตามข้อมูลโครงการรัฐด้วยสายตาของพลเมือง และพร้อมเป็นพลังใน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” 6 กันยายนนี้ เพื่อผลักดันปีต่อไปให้เป็น “ปีแห่งรัฐเปิดเผย” จริง ๆ?

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Transparency International – Corruption Perceptions Index 2024: สะท้อนคะแนนและอันดับของประเทศไทยปีล่าสุด (ไทย 34 คะแนน อันดับ 107) และบริบทเปรียบเทียบกับภูมิภาค/โลก. Transparency.orgnationthailand
  • Bangkok Biz News / Post Today / Thai PBS: ข่าวนโยบาย “โยกงบ/จัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท” ตัวเลขกรอบวงเงิน–จำนวนโครงการ–ผลต่อจีดีพี–การสื่อสารเชิงนโยบาย. bangkokbiznewsposttodayThai PBS
  • ACT – Anti-Corruption Organization of Thailand: ภารกิจและบทบาทการขับเคลื่อน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน” และข้อเรียกร้องต่อรัฐเรื่องความโปร่งใส–ตรวจสอบได้. Facebook
  • Hfocus และ เพจ ACT: ตัวอย่างการออกมาเรียกร้องความโปร่งใสกรณีสาธารณะสำคัญและการตั้งคำถามต่อกระบวนการตรวจสอบของหน่วยงานรัฐ. oja.go.thYouTube
  • คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 226/2557 จัดตั้ง ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ฐานอำนาจ–โครงสร้างความร่วมมือ. YouTube
  • สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) – data.go.th: โครงสร้างพื้นฐานข้อมูลเปิดภาครัฐ และทิศทางการยกระดับสู่ธรรมาภิบาลข้อมูล. nacc.go.th
  • สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร (หอสมุดรัฐสภา): บทความอธิบายบทบาท ป.ป.ท. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ) และกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง. dga.or.th
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย – Regulatory Guillotine: แนวคิด–ความจำเป็น–ผลต่อการแข่งขันและธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ หากนำมาปรับใช้จริงจังในไทย. pacc.go.th
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

รถไฟฟ้า 20 บาท ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบของผู้บริโภคต่างจังหวัด

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบผู้บริโภค

เชียงราย, 8 สิงหาคม 2568กรณีศึกษา EV Bus เชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการแม้ประชาชนต้องการ นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่รัฐบาลนำเสนอเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนระหว่างกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ อย่างชัดเจนขึ้น เมื่อกรณีของรถ EV Bus ในจังหวัดเชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการในปี 2567 แม้จะมีผู้โดยสารใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการตอบรับจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างดี

จุดเริ่มต้นของความหวัง EV Bus เชียงราย เปิดตัว

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้บริการรถประจำทางปรับอากาศ EV Bus เชียงรายเป็นครั้งแรก โดยให้บริการเส้นทางที่ครอบคลุมในสถานที่สำคัญของจังหวัด เริ่มต้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปตามถนนเวียงบูรพา ผ่านองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สนามกีฬากลางจังหวัด อนุสาวรีย์พญามังราย สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ไนท์บาซาร์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และสิ้นสุดที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงรายแห่งที่ 2

รถ EV Bus นี้ให้บริการวันละ 4 เที่ยว คิดค่าโดยสาร 28 บาทต่อคน และได้รับความนิยมจากผู้โดยสารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสนามบิน ด้วยความสะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความจริงเบื้องหลังการขาดทุน

แม้จะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 78 คนต่อวัน และรายได้ประมาณ 65,520 บาทต่อเดือน แต่ต้นทุนการดำเนินกิจการกลับสูงถึง 320,000 บาทต่อเดือน ทำให้เกิดการขาดทุนสุทธิ 254,480 บาทต่อเดือน รายละเอียดค่าใช้จ่ายประกอบไปด้วย เงินเดือนค่าจ้างพนักงาน 10 คน รวม 150,000 บาท ค่าชาร์จไฟฟ้า 90,000 บาท ค่าเช่าสถานที่ 30,000 บาท และค่าบริหารอื่น ๆ อีก 50,000 บาท

จากการวิเคราะห์พบว่า หากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ โครงการนี้จะขาดทุนสะสมกว่า 11 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเอกชนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

อุปสรรคที่เกินกว่าจะแก้ไขได้

ปัญหาหลักที่ทำให้โครงการ EV Bus เชียงรายล้มเหลว มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก

ด้านปัจจัยภายใน ได้แก่ ต้นทุนและข้อจำกัดด้านสัมปทาน เนื่องจากรูปแบบสัมปทานรถโดยสารจากกรมขนส่งฯ ให้ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนการจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหารถยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการ รวมถึงการที่ทางขนส่งไม่มีสถานีประจำ หรือที่พักรถให้ ส่งผลให้เกิดภาระหนักทั้งด้านการลงทุนและการซ่อมบำรุง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ แม้จะมีการเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แต่การเข้าถึงสถานีชาร์จที่เพียงพอและมีมาตรฐานสูงยังไม่ครอบคลุมระบบเดินรถ EV ในเมืองอย่างเหมาะสม

ส่วนปัจจัยภายนอก พบว่า ระบบภาครัฐของไทยมีการยื่นขอเอกสารกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องค่อนข้างล่าช้า และไม่ยืดหยุ่น ประกอบกับการต่อต้านจากระบบขนส่งเดิม ๆ ที่เห็นว่า EV Bus เป็นคู่แข่งที่มาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด จึงมีการยื่นเรื่องขัดขวางกับทางขนส่ง

เสียงจากผู้ประกอบการที่ทำเพื่อสังคมแม้ขาดทุน

ตัวแทนจากทีมงาน EV Bus เชียงรายเปิดเผยว่า “การประมาณงบคร่าว ๆ ทำให้รู้ว่าจะขาดทุน แต่เราก็ทำ เพราะอยากให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและคนจากสนามบินเข้าเมืองได้สะดวก แต่ปัจจัยภายนอกกระทบมาก และแบกรับต้นทุนไม่ไหว จึงต้องหยุด”

จากการสัมภาษณ์พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องการระบบขนส่งที่สะดวกและราคาไม่แพง หากมีการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจช่วยให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน

ความเหลื่อมล้ำในนโยบายขนส่งมวลชน

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่ถูกชูว่าเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน ในความเป็นจริงกลับถูกจำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ประชาชนและผู้บริโภคในต่างจังหวัดยังต้องเสียค่าเดินทางสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งค่ารถเหมา ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือค่ารถสองแถว ที่ยังไม่มีโครงข่ายขนส่งมวลชนทันสมัยมารองรับ

การที่นโยบายนี้ใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่ประโยชน์กลับตกแค่เฉพาะคนในพื้นที่บางพื้นที่เท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือนโยบาย “เพื่อคนไทยทุกคน” หรือ “เพื่อคนบางพื้นที่” กันแน่

แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้

จากการวิเคราะห์กรณี EV Bus เชียงราย พบว่า หากภาครัฐต้องการให้ระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมอย่างแท้จริง ควรมีการสนับสนุนในหลายรูปแบบ อย่างเช่น

  • การอุดหนุนการลงทุนเริ่มต้น โดยสนับสนุน 30-50% ของราคารถยนต์ไฟฟ้า หรือให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำผ่านกองทุนรัฐ เพื่อลดภาระต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า
  • การอุดหนุนค่าพลังงานไฟฟ้า โดยรัฐช่วยอุดหนุนค่าชาร์จไฟฟ้า เช่น 50% ของค่าไฟใน 3 ปีแรก และส่งเสริมสถานีชาร์จของรัฐร่วมกับเทศบาล
  • การอุดหนุนการเดินรถตามจำนวนเที่ยวหรือคนโดยสาร โดยจ่ายอุดหนุนแบบ “per passenger” เช่น รัฐช่วย 10 บาทต่อคนที่ขึ้นรถ หรือ “per trip” เช่น ช่วย 500-1,000 บาทต่อเที่ยววิ่งที่กำหนด
  • การให้ใช้ทรัพย์สินรัฐฟรี โดยใช้สถานที่ราชการที่ว่าง เช่น สถานีขนส่งเก่า โรงเรียนไม่ใช้ช่วงวันหยุด มาทำจุดจอดหรือสถานีชาร์จ รวมถึงยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ 3 ปีแรก
  • การประชาสัมพันธ์และสวัสดิการให้ประชาชนใช้งาน โดยให้เครดิตเดินทางฟรีแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำแคมเปญ “ขึ้นฟรี 1 เดือนแรก” หรือลดค่าโดยสารสำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุ

จากการประมาณการ หากมีการสนับสนุนตามแนวทางดังกล่าว รัฐจะต้องใช้งบประมาณประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ EV Bus ขนาด 3 คัน ซึ่งจะลดลงเมื่อจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้

บทเรียนสำคัญจากจังหวัดเชียงราย

ความล้มเหลวของ EV Bus เชียงรายพิสูจน์แล้วว่า แม้จะมีความตั้งใจดี หากไม่มีโครงสร้างสนับสนุนจากภาครัฐ ระบบก็ไม่สามารถไปต่อได้ แม้จะมีประชาชนพร้อมใช้บริการก็ตาม ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้ประกอบการหรือประชาชน แต่อาจจะเป็นความผิดพลาดในการออกแบบนโยบาย โดยที่ไม่ได้เล็งเห็นความจริง และความจำเป็นในพื้นที่

ผลกระทบต่อประชาชน

ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอย่างชัดเจน คือ ผู้โดยสารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ ส่วนผู้เสียประโยชน์ คือ คนในต่างจังหวัดที่ต้องจ่ายภาษีเท่ากัน แต่กลับไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาสได้ใช้บริการใด ๆ จากนโยบายนี้เลย

การขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดส่งผลให้ประชาชนต้องพึ่งพายานพาหนะส่วนตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการครองชีพ เพิ่มมลพิษทางอากาศ และสร้างปัญหาการจราจร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานศึกษาขนาดใหญ่

ข้อเสนอแนะจากประชาชน

ประชาชนในต่างจังหวัดต้องการเห็นนโยบายที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เฉพาะในเมืองใหญ่ รัฐบาลควรเปิดพื้นที่ให้เอกชนและท้องถิ่นได้พัฒนาโดยมีภาครัฐหนุนหลัง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเส้นทางจากสนามบิน โรงพยาบาล สถานศึกษา และแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัด

กรณีของจังหวัดเชียงรายอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หากภาครัฐปรับเปลี่ยนวิธีคิดจากการให้สิทธิพิเศษแก่คนในพื้นที่บางพื้นที่ มาเป็นการสร้างโอกาสให้ในทุก ๆ พื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองรองที่ภาครัฐต้องการจะสนับสนุนให้คนมาท่องเที่ยวเพื่อกระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้มีระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ผลกระทบระยะยาว

หากรัฐบาลยังคงดำเนินการในการจัดทำนโยบายแบบเดิม อาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางสังคมมากขึ้น เมื่อคนในกรุงเทพฯ มีสิทธิประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนในต่างจังหวัดไม่มี ทั้งที่ทุกคนเป็นผู้เสียภาษีเท่ากัน

ในระยะยาว การขาดระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัด อาจจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก อาจลดการเคลื่อนย้ายของแรงงานและนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การกระจายรายได้นั้นไม่ทั่วถึง

ขนส่งมวลชนคือความยุติธรรมเชิงพื้นที่

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เป็นเรื่องของความยุติธรรมทางพื้นที่ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหรืองบประมาณ หากรัฐบาลยังเลือกสนับสนุนเพียงพื้นที่ที่เสียงดัง และปล่อยให้ภูมิภาคหรือพื้นที่อื่นเงียบหาย เท่ากับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของระบบขนส่งสาธารณะของผู้บริโภคคนไทย

กรณีศึกษาของ EV Bus เชียงรายแสดงให้เห็นว่า ความตั้งใจดีและความต้องการของประชาชนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่มีนโยบายจากภาครัฐมาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดจะยังคงเป็นเพียงความฝัน

คนไทยทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงระบบขนส่งที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจัง หากต้องการให้นโยบายขนส่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์ทีมงาน EV Bus เชียงราย (2568)
  • กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสำนักงบประมาณ ปี 2568
  • บทวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย)
  • คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News