Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

รัฐบาลเปิด 4 โซนให้ HEI ต่างชาติ เชียงรายชู MFU และ รพ.ขยายตัวสู่ฐานแพทย์แม่นยำ

เชียงราย–เชียงใหม่ชิงธง “Medical Hub เหนือ”  วิเคราะห์โอกาสตั้ง HEI ต่างชาติ–ขยายศักยภาพบริการสุขภาพ เชื่อม GMS

เชียงราย,23 พฤศจิกายน 2568 – จากความสำเร็จที่ไทยขึ้นแท่นผู้นำ Medical & Wellness Tourism ของอาเซียน รัฐบาลเดินเกมต่อด้วยการ “เปิดพื้นที่อีก 4 โซน” ให้สถาบันอุดมศึกษาศักยภาพสูงจากต่างประเทศ (High-Potential Foreign HEIs) เข้ามาตั้งหลักสูตร–วิจัยเชิงลึก ยุทธศาสตร์นี้จับตาพิเศษที่ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC)” ซึ่งเชียงใหม่ถูกมองเป็นตัวเต็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ “เชียงราย” มีน้ำหนักเชิงยุทธศาสตร์สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งการผลิตแพทย์ MFU–สธ., โครงการโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ผ่าน EIA ส่วนต่อขยาย และบทบาท “ประตูสู่อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS)” หากออกแบบแผนพัฒนาให้ถูกจุด เมืองชายแดนแห่งนี้อาจกลายเป็น “ฐานทดสอบนวัตกรรมสุขภาพและการแพทย์แม่นยำ” ของภาคเหนือในไม่ช้า

วิเคราะห์สถานการณ์  ทำไม “เวลานี้” จึงเป็นหน้าต่างโอกาสของภาคเหนือ

  1. แรงส่งจากตลาดจริง – ปี 2566 ไทยรองรับผู้ป่วย–นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ต่างชาติหลายล้านคน และตลาดดังกล่าวถูกประเมินว่ามีมูลค่า “หลักหมื่นล้านบาท” ต่อปี โดยนักวิเคราะห์ธุรกิจ–เศรษฐกิจไทยชี้ว่ากลุ่มลูกค้าหลักมาจากตะวันออกกลาง เพื่อนบ้าน และสหรัฐฯ ซึ่งล้วนเป็นฐานลูกค้าที่ต้องการบริการคุณภาพสูง (High-Acuity, High-Value) และสร้างเม็ดเงินต่อหัวสูงกว่าการท่องเที่ยวทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
  2. นโยบายเชิงรุกของรัฐ – คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “กำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษอื่น” เพิ่มอีก 4 พื้นที่ เพื่อรองรับการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาต่างชาติศักยภาพสูง ภายใต้แบบจำลองความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย/เอกชนไทย (Partnership Model) เป้าหมายชัด  ยกระดับคุณภาพคน–มาตรฐานหลักสูตร สร้าง Talent Pipeline เข้าสู่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกจับตา คือ ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC) ที่เน้นบริการ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแกน
  3. กรอบพัฒนา NEC ที่ “เอื้อสุขภาพ” มาแต่ต้น – เอกสารแผนพัฒนา NEC ระบุชัดว่าอุตสาหกรรมเป้าหมายของภาคเหนือรวม “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างสรรค์ และ “เทคโนโลยีการสกัด” ซึ่งเชื่อมโยงตรงกับ Bio-Wellness และ MedTech ที่ภาคเอกชนไทยกำลังก้าวรุก การวางบทบาทมหาวิทยาลัย (CMU, MFU) ให้เป็นหัวรถจักร R&D ภายใต้โมเดล Quadruple Helix ถูกกำหนดไว้แล้วในเชิงนโยบาย

ภาพใหญ่–หลักฐานเชิงประจักษ์–โอกาสที่ “จับต้องได้”

1) กำลังคนแพทย์  ดีล “MFU–สธ.–CPCE รพ.น่าน” เพิ่มกำลังผลิตแพทย์เขตสุขภาพที่ 1

  • กระทรวงสาธารณสุขลงนามกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อผลิตแพทย์เพิ่มเข้าระบบ โดยจัดการเรียนชั้นปี 1–3 ที่ MFU และชั้นปี 4–6 ที่ “ศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิก โรงพยาบาลน่าน” (นับเป็นศูนย์ที่ 7 ในเขตสุขภาพที่ 1 ต่อจาก รพ.นครพิงค์, เชียงรายประชานุเคราะห์, ลำปาง, แพร่, พะเยา, ลำพูน) นโยบายภาพรวมของ สธ. มุ่งให้อัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรไปถึง 1:650 ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี
  • ความร่วมมือดังกล่าว เริ่มรับนักศึกษาแพทย์ปีการศึกษา 2570 จำนวน 20 คน และ MFU เดินหน้าพัฒนา “โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” ให้เป็นสถานฝึกทางคลินิกหลัก สะท้อน “โครงคน” ด้านสุขภาพของเชียงรายที่กำลังขยายฐานอย่างมีทิศทาง

มุมผลกระทบเชิงพื้นที่ การมีฐานฝึกคลินิกกระจายรอบเชียงราย–น่าน ทำให้ clinical rotation เชื่อมโยงชุมชนภูเขา–ชายแดน เกิดกรณีศึกษาโรคเฉพาะถิ่น–เวชศาสตร์ชุมชนจำนวนมาก ซึ่งเป็น “ทุนความรู้” ที่มหาวิทยาลัยต่างชาติสายจีโนมิกส์/เวชศาสตร์เขตร้อนสนใจ หาก HEI ต่างชาติถูกเชิญมาตั้ง “โปรแกรมร่วม” ในเชียงราย งานวิจัยเชิงพื้นที่จะเกิดประโยชน์ร่วม (co-benefits) ทั้งด้านวิชาการ เศรษฐกิจ และสุขภาพประชาชน

2) ขยายโครงสร้างบริการ  “โรงพยาบาลกรุงเทพ-เชียงราย (ส่วนต่อขยาย)” ผ่าน EIA – ก้าวสู่ขนาดใหญ่และบริการซับซ้อน

  • เอกสารจากหน่วยงานกำกับชี้ว่า “รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)” ของ โครงการส่วนต่อขยายโรงพยาบาลกรุงเทพ-เชียงราย ได้รับ “มติให้ความเห็นชอบรายงาน” แล้ว (เลขอ้างอิงตามหนังสือแจ้งมติ) ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญก่อนเข้าสู่เฟสก่อสร้างเต็มรูปแบบ.

หนังสือแจ้งมติ (ฉบับเจ้าของโครง…

  • แผนพัฒนาโครงการระบุการเพิ่มจำนวนเตียงจากโรงพยาบาลขนาดกลาง ไปสู่ขนาดใหญ่ พร้อมอาคารบริการ 8 ชั้น + ชั้นใต้ดิน และอาคารสนับสนุน (ที่พักแพทย์, ห้องผ้า, ระบบจัดการมูลฝอย) เพื่อรองรับเคสความซับซ้อนสูงมากขึ้น สอดคล้องทิศทางตลาดที่เน้น “หัตถการรายได้สูง” และแพทย์เฉพาะทางในภาคเหนือ.

มุมยุทธศาสตร์เชียงราย

เมื่อโครงสร้างเตียง–ศูนย์เฉพาะทางเอกชนขยาย และ “โครงคน” จาก MFU เติบโต เมืองจะมี “ฐานรองรับ” สำหรับ HEI ต่างชาติ ที่ต้องการตั้ง teaching center/clinical research node นอกเมืองหลวง ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้และ “โจทย์โรค” ที่หลากหลายต่างจากศูนย์กลางอย่างเชียงใหม่

3) เชียงรายในฐานะ “ประตู GMS”  เชื่อมผู้ป่วยข้ามแดน–ทดสอบนวัตกรรมสาธารณสุขพื้นที่สูง

  • เชียงรายเป็นเมืองชายแดนที่เชื่อม เมียนมา–ลาว–จีนตอนใต้ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยข้ามแดนเพื่อเข้าถึงการรักษาคุณภาพสูงในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โครงสร้างบริการภาคเอกชนที่กำลังขยาย กับเครือข่าย รพ.รัฐ (รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์) ทำให้เชียงรายเป็น “ฐาน hub-and-spoke” ของบริการเฉพาะทางระดับตติยภูมิที่เหมาะกับ HEI ต่างชาติสาย Global/Border Health อย่างยิ่ง
  • ในเชิงนโยบาย NEC เอง ก็วาง “เทคโนโลยีการสกัด–ดิจิทัลสร้างสรรค์–ท่องเที่ยวสุขภาพ” เป็นแกนขับเคลื่อน หากดึง HEI ต่างชาติด้าน Digital Health & MedTech มาตั้งในเชียงราย จะเกิด sandbox งานบริการ–วิจัยกับชุมชนและประชากรข้ามแดนได้เร็ว เพราะโครงสร้างราชการ–มหาวิทยาลัย–เอกชนพร้อมต่อชิ้นส่วน

เปรียบเทียบกับเชียงใหม่  จุดแข็งและ “ความร่วมมือเชิงภูมิภาค”

เป็นจริงที่ เชียงใหม่ มี “น้ำหนักโครงสร้างพื้นฐานนานาชาติ” เหนือกว่า สนามบินนานาชาติ, ฐานผู้พำนักต่างชาติ, เครือโรงพยาบาลเอกชน, และสถานะ Wellness City ที่ถูกผลักดันในระดับจังหวัดอย่างต่อเนื่อง จึงมักถูกประเมินว่าเป็น “ตัวเต็ง” ของภาคเหนือสำหรับการตั้ง HEI ต่างชาติด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

อย่างไรก็ดี จุดแข็งของเชียงใหม่ ไม่จำเป็นต้องไปทับซ้อน กับบทบาท “เชียงราย” หากออกแบบเป็น เครือข่ายเหนือบน–เหนือล่าง ดังนี้

  • เชียงใหม่ เป็น “ฐานวิจัยกลาง–หลักสูตรนานาชาติ–การเรียนรู้ขั้นสูง” (เช่น หลักสูตรบัณฑิตศึกษาด้าน Digital Health/Integrated Wellness Management ร่วมกับเอกชนและโรงแรมสุขภาพระดับนานาชาติ)
  • เชียงราย เป็น “ฐานคลินิก–ภาคสนาม–นวัตกรรมรับใช้พื้นที่สูงและชายแดน” ของหลักสูตรร่วม (clinical electives, community medicine, cross-border health, field trials ด้าน AI/tele-health)

โมเดลนี้จะเปลี่ยนภาคเหนือจาก “แข่งขันอย่างโดดเดี่ยว” เป็น “ร่วมมือ–เสริมบทบาท” เชื่อมพรมแดน GMS และยกระดับประเทศไทยสู่ Regional Education & Health Hub ตามที่ ครม. ตั้งเป้า

สถิติ–เทรนด์ตลาด  โอกาสเชิงพาณิชย์ที่หนุนการศึกษา–วิจัย

  • ภาพรวมอุตสาหกรรมบริการแพทย์เอกชนและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพถูกประเมินว่าขยายตัวต่อเนื่อง โดยวงเสวนาเศรษฐกิจรายใหญ่ของไทยชี้ยอดมูลค่าตลาด ราว 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และแนวโน้มเติบโตต่อจากดีมานด์ผู้สูงอายุ–ต่างชาติ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและสหรัฐฯ ที่เน้นคุณภาพบริการระดับสากล
  • วงวิชาการไทยยังประเมินจำนวน “ผู้ป่วยต่างชาติ” ในระบบบริการสุขภาพไทยระดับ “หลายล้านคน/ปี” ต่อเนื่อง ซึ่งตอกย้ำว่า supply ด้านบุคลากร–ศูนย์เฉพาะทาง–นวัตกรรม จะเป็นคอขวด หากไม่เร่งเพิ่มกำลังผลิตและยกระดับสมรรถนะในภูมิภาค

ข้อเสนอเชิงนโยบาย “เพื่อเชียงราย” (และเหนือทั้งภูมิภาค)

  1. ดึง HEI ต่างชาติที่ตรง pain point ของพื้นที่Digital Health, AI in Healthcare, Tele-medicine, MedTech, เวชศาสตร์ชุมชน–ชายแดน, Bio-Wellness/Extraction Technology (สอดรับ NEC) เพื่อสร้างคน–งานวิจัย–ธุรกิจใหม่ในห่วงโซ่คุณค่าเดียวกัน
  2. ออกแบบ “Campus คู่แฝด” เชียงใหม่–เชียงราย – หลักสูตรเดียวกันแต่สองบทบาท  เชียงใหม่เป็น Global Classroom & Innovation Core, เชียงรายเป็น Clinical-Community Lab ที่ทำวิจัยภาคสนามกับเครือข่าย รพ.รัฐ–เอกชน–หมู่บ้านบนพื้นที่สูง/ชายแดน
  3. เชื่อมเอกชนเข้ามาตั้ง “ศูนย์เฉพาะทาง–Sandbox” – อาศัยการขยายตัวของกรุงเทพ-เชียงราย (หลังผ่าน EIA) สร้างคลัสเตอร์ Spine/Neuro-Intervention–Imaging–Pain Clinic และแพทย์แม่นยำ ร่วมกับศูนย์/สถาบันของ HEI ต่างชาติ เพื่อลดช่องว่างเคสส่งต่อไปกรุงเทพฯ และเพิ่ม case-mix index ในภูมิภาค.
  4. ทุนวิจัยข้ามแดน & ข้อมูลสุขภาพชายแดน – ตั้งกองทุนวิจัยร่วม “TH-GMS Border Health” รองรับโครงการเชิงพื้นที่ (วัณโรค, ไข้มาลาเรีย, non-communicable diseases ในแรงงานเคลื่อนย้าย) และดาต้าพลatformเพื่อการเรียนรู้ของ AI ด้านระบาดวิทยาแบบเรียลไทม์
  5. โครงสร้างจูงใจ HEI – จัดสรรพื้นที่/สิทธิประโยชน์ในโซนเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ พร้อมมาตรการภาษีอุปกรณ์วิจัย–วีซ่าระยะยาวนักวิจัย–อาจารย์ เพื่อเร่งดึง “พันธมิตรระดับโลก” เข้าเครือข่ายเหนือไทยทั้งแพ็กเกจเดียว (Chiang Mai–Chiang Rai package)

บทสรุปเชิงนโยบาย

“เชียงใหม่” อาจเป็น ตัวเต็งด้านโครงสร้างพื้นฐานนานาชาติ สำหรับการตั้ง HEI ต่างชาติในภาคเหนือ แต่ “เชียงราย” คือ ตัวจริงด้านสนามปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ที่พร้อมโอบรับงานวิจัย–บริการสุขภาพดิจิทัล–สุขภาพชายแดน–แพทย์แม่นยำ ด้วยแรงส่ง 3 แกน: (1) ความร่วมมือผลิตแพทย์ MFU–สธ. ที่ขยายกำลังคนตรงพื้นที่ (2) โครงการโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่ผ่าน EIA และจะยกระดับความสามารถรับเคสซับซ้อน (3) บทบาทเมืองชายแดนเชื่อม GMS ซึ่งเอื้อต่อการเป็น “Clinical-Community Lab” ระดับภูมิภาค

หากรัฐบาล “ล็อกแพ็กคู่เชียงใหม่–เชียงราย” ให้เป็น เครือข่าย HEI ต่างชาติ ที่บทบาทแตกต่างแต่เสริมกัน ไทยจะไม่เพียงรักษาตำแหน่ง Medical & Wellness Tourism ของอาเซียน แต่ยังยกระดับเป็น Regional Education & Health Innovation Hub ที่เชื่อมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับจีนตอนใต้ได้อย่างมีกลยุทธ์ และผลลัพธ์จะตกกับประชาชนเหนือบนอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ระเบียงเศรษฐกิจภาคเหนือ (NEC)
  • เชียงใหม่ Wellness City – ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ (ประกาศ/กิจกรรมผลักดัน).
  • กระทรวงสาธารณสุข–มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” ผลิตแพทย์เขตสุขภาพที่ 1 และศูนย์แพทยศาสตรศึกษาชั้นคลินิกโรงพยาบาลน่าน
  •  SCB EIC: Health & Wellness Mega Trend 2023–2024
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ข้าวหอมมะลิจ่อแตะ 1.5 หมื่น/ตัน! ธรรมนัส–นเรศ เร่งพลิกเข็มทิศข้าวไทยสู่คุณภาพ คาร์บอนต่ำ

ราคาข้าวขยับ–เชียงรายขยับตัว” ธรรมนัสดันหอมมะลิแตะ 1.5 หมื่นบาท/ตัน–นเรศจ่อเข้านบข. เสนอปรับพื้นที่ 1 ล้านไร่–เร่ง “ข้าวคาร์บอนต่ำ” ชูคุณภาพและรายได้ยั่งยืน

กรุงเทพฯ, 18 พฤศจิกายน 2568 — สายลมต้นฤดูหนาวที่พัดผ่านทุ่งนาทางตอนล่างของเชียงรายพาเอาความคาดหวังกลับคืนมาสู่ชาวนาอีกครั้ง เมื่อสัญญาณสำคัญจากส่วนกลางระบุชัดว่า “ราคาข้าวกำลังปรับตัวดีขึ้น” โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่ขยับแตะ 13,500 บาทต่อตัน และมีโอกาสไต่ระดับถึง 15,000 บาทต่อตัน จากอานิสงส์มาตรการ “ชะลอการขายข้าว” ซึ่งทำหน้าที่ “ตัดยอด” ปริมาณออกจากตลาดในห้วงเวลาสำคัญ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ราคาฟื้นตัวตามกลไกอุปสงค์–อุปทาน

เสียงยืนยันจาก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สะท้อนความเชื่อมั่นเชิงนโยบาย ขณะเดียวกัน นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็เตรียมนำ “ชุดข้อเสนอเชิงโครงสร้าง” เข้าสู่ที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน เพื่อ “พลิกเข็มทิศ” การผลิตข้าวไทยจาก “ปริมาณ” สู่ “คุณภาพ คาร์บอนต่ำ โภชนาการสูง” ไปพร้อมกับการปรับพื้นที่เพาะปลูกที่ไม่เหมาะสม นำร่อง 1 ล้านไร่ และยกระดับโครงสร้างรองรับ อาทิ การสนับสนุนเครื่องบรรจุ ผลิตเมล็ดพันธุ์ให้โรงสีขนาดเล็ก 200 แห่ง และการใช้ ศูนย์ข้าวชุมชน เป็นกลไกหลัก

ราคาดีเพราะ “ชะลอขาย” แต่ต้องชะลออย่าง “มีวินัย”

หัวใจของสัญญาณราคาครั้งนี้คือ “การชะลอขาย” ที่ช่วยผ่อนแรงกดอุปทานในตลาดช่วงสำคัญ หากมองจากมุมพื้นที่อย่างเชียงราย จังหวัดที่เกษตรกรส่วนใหญ่ “จับจังหวะตลาด” ผ่านพ่อค้าคนกลาง/โรงสีและสหกรณ์ มาตรการดังกล่าวจะได้ “ราคา” ก็ต่อเมื่อมีวินัยในสามจุดพร้อมกัน ได้แก่

  1. การเก็บรักษาหลังเก็บเกี่ยว ให้คุณภาพเมล็ดไม่เสื่อมจากความชื้น/เชื้อรา เพราะข้าวคุณภาพดีคือเงื่อนไขต่อรองราคา
  2. การเข้าถึงสินเชื่อ/สภาพคล่อง ระหว่างรอขาย เพื่อไม่ให้ต้อง “ขายขาดทุนเพราะเงินถึงมือช้า”
  3. ข้อมูลราคาและสัญญาณตลาด เพื่อกำหนด “จังหวะปล่อยของ” ให้สอดคล้องความต้องการ

ในบริบทนี้ เชียงรายถือว่ามี “ทุนสถาบัน” รองรับสำคัญ ทั้งเครือข่ายสหกรณ์การเกษตร ศูนย์ข้าวชุมชน และสาขา ธ.ก.ส. 29 สาขา ซึ่งติดอันดับ 8 ของประเทศ (เท่ากับสุราษฎร์ธานี) ช่วยให้เกษตรกรเข้าถึงเงินทุนระยะสั้นและบริการทางการเงินเฉพาะด้านได้รวดเร็วขึ้น เมื่อประกอบกับมาตรการระดับชาติ จึงเพิ่มโอกาส “รอให้ถึงราคา” โดยไม่เสียคุณภาพหรือสภาพคล่อง

จาก “ปริมาณ” สู่ “คุณภาพ–คาร์บอนต่ำ” เข็มทิศใหม่ที่ชี้ตรงเชียงราย

ข้อเสนอของ นายนเรศ ที่จะเสนอต่อนบข. วาง “คุณภาพ คาร์บอนต่ำ โภชนาการสูง” เป็นแกนกลาง และใช้เครื่องมือสองขาเดินคู่กัน ได้แก่

  • ขาแรก โซนนิ่งการผลิต + โซนนิ่งการตลาด
    ปรับพื้นที่ 1 ล้านไร่ ที่ “ไม่เหมาะสมต่อการทำนา” ไปสู่ พืชทางเลือก ที่ตลาดต้องการ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ พืชตระกูลถั่ว เพื่อลดต้นทุน เพิ่มรายได้ บริหารความเสี่ยงด้านน้ำ/ดิน พร้อมเดินโซนนิ่งการตลาดคู่ขนาน เพื่อไม่ให้เกิด “ปลูกแล้วตันที่หน้าประตูตลาด”
  • ขาที่สอง  ยกระดับโครงสร้างคุณภาพ
    สนับสนุน เครื่องบรรจุ–ผลิตเมล็ดพันธุ์ให้โรงสีขนาดเล็ก 200 แห่ง และใช้ ศูนย์ข้าวชุมชน เป็น “ฐานผลิต ฐานความรู้ ฐานตรวจรับรองเบื้องต้น” เชื่อมสู่ตลาดคุณภาพ รวมถึงการขับเคลื่อน ข้าวคาร์บอนต่ำ ที่ใส่ใจการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้投入ที่ไม่จำเป็น และเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ

สำหรับเชียงราย แนวทางนี้ “เข้าทาง” โครงสร้างพื้นที่ที่หลากหลาย มีทั้งที่ราบเหมาะทำนา และโซนที่อาจเหมาะกับพืชทางเลือก การเดินนโยบายบนฐานข้อมูลความเหมาะสมของดิน น้ำ ภูมิอากาศ จะช่วยให้เกษตรกร “วางพอร์ตพืช” ได้สมดุลกว่าเดิม ลดการเสี่ยงผันผวนด้านราคา และจูนให้เข้ากับตลาดจริง

คลายความสับสน “พันธุ์ข้าว”  หอมมะลิมาตรฐานไม่เท่ากับ “หอมสยาม”

นายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว อธิบายชัดในสองชั้นสำคัญ

  • ชั้นมาตรฐาน  ข้าวหอมมะลิมาตรฐาน คือ กข15 และ หอมดอกมะลิ 105 ซึ่ง “มีราคาอ้างอิงตามเกณฑ์ตลาด” และเป็นฐานการซื้อขายที่วงการยอมรับ
  • ชั้นพันธุ์เอกชน  “หอมสยาม” เป็นพันธุ์ที่ เอกชนจดทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรแล้ว จึงจำหน่ายเชิงพาณิชย์ได้ตามปกติ แต่ ยังอยู่ระหว่างการขอรับรองพันธุ์กับกรมการข้าว ทำให้ ราคาแตกต่างจากหอมมะลิมาตรฐานแน่นอน

สาระสำคัญสำหรับเกษตรกรเชียงราย คือ “แยกแยะให้ชัดเจน” ระหว่างพันธุ์มาตรฐานกับพันธุ์ที่ยังอยู่ระหว่างการรับรอง เพื่อไม่ให้เกิดความคาดหวังราคาที่คลาดเคลื่อน ระดับพื้นที่ควรใช้ ศูนย์ข้าวชุมชน สหกรณ์ โรงสี เป็น “จุดเช็คข้อมูลพันธุ์และราคา” ก่อนตัดสินใจซื้อเมล็ดพันธุ์หรือทำสัญญาขาย เพื่อป้องกันความเสียหายและรักษาคุณภาพเมล็ดพันธุ์ในระบบ

เชียงรายในฐานะ “สนามจริง”  ทำอย่างไรให้ได้ทั้ง “ราคา คุณภาพ ความยั่งยืน”

เมื่อข้อเท็จจริงจากส่วนกลางชัดเจน สิ่งที่จังหวัดต้องทำคือ “แปลงสัญญาณนโยบาย” ให้เป็น เวิร์กโฟลว์ระดับชุมชน เพื่อให้ชาวนาได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยเฉพาะหกประเด็นต่อไปนี้

  1. แผนชะลอขายระดับสหกรณ์
    สหกรณ์/กลุ่มชาวนาควรร่วมกำหนด แผนรับ เก็บ ปล่อยของ ตามสัญญาณตลาด สื่อสาร “จังหวะขาย” แบบรายสัปดาห์ พร้อม แนวปฏิบัติการเก็บรักษา (ความชื้น การรม การถ่ายเทอากาศ) เพื่อคงคุณภาพเมล็ด
  2. สินเชื่อหมุนเวียน คลังเก็บ การประกันคุณภาพ
    ใช้ความพร้อมของ ธ.ก.ส. 29 สาขา เชื่อมสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นกับ ระบบคลังกลาง/ไซโลชุมชน และจัดทำ มาตรฐานประกันคุณภาพ ก่อนปล่อยขาย ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองราคาอย่างเป็นรูปธรรม
  3. การคัดเลือกพื้นที่ปรับพืช (Pilot 1 ล้านไร่)
    บูรณาการข้อมูล กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว เพื่อคัด “จุดนำร่อง” ในเชียงราย ที่ควรเปลี่ยนไปปลูก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือ พืชตระกูลถั่ว พร้อมจับคู่ ผู้รับซื้อ โรงงานอาหารสัตว์ ตลาดถั่ว ให้แน่ชัด (โซนนิ่งการตลาด)
  4. สายพานข้าวคาร์บอนต่ำ
    สร้างคู่มือปฏิบัติการลดคาร์บอนในแปลงนา (จัดการฟาง น้ำ เคมี) และ ตั้งจุดรับรองเบื้องต้น ที่ศูนย์ข้าวชุมชน เชื่อมกับโรงสีขนาดเล็กที่ได้รับเครื่องจักรสนับสนุน เพื่อยกระดับความสม่ำเสมอและการติดฉลากคุณภาพ
  5. ลดความสับสนเรื่องพันธุ์ที่หน้าทุ่ง
    จัด คลินิกพันธุ์ข้าว ฤดูละหนึ่งครั้ง รวบรวมเจ้าหน้าที่กรมการข้าว นักปรับปรุงพันธุ์ โรงสี พ่อค้าพันธุ์ มาชี้แจง หอมมะลิมาตรฐาน vs พันธุ์การค้าอื่น พร้อมตารางราคาอ้างอิง ช่วยให้เกษตรกรตัดสินใจบนข้อมูลที่ถูกต้อง
  6. สื่อสารสาธารณะเชิงข้อมูล
    ทำ “แดชบอร์ดราคาข้าวรายสัปดาห์” ของจังหวัด (ผ่านสหกรณ์/ศูนย์ข้าวชุมชน) เพื่อให้ชาวนารับรู้ราคากลาง/แนวโน้ม/คำแนะนำจังหวะปล่อยของ ลดความเหลื่อมล้ำข้อมูลระหว่างเกษตรกรรายย่อยกับผู้ซื้อรายใหญ่

ข้อเท็จจริงที่ “เปิดโอกาส” ให้เชียงราย

  • ราคาข้าวหอมมะลิแตะ 13,500 บาท/ตัน มีโอกาสถึง 15,000 บาท/ตัน  เป็น “หน้าต่างเวลา” ที่เกษตรกรสามารถใช้กลยุทธ์ชะลอขาย (อย่างมีวินัย) เพื่อปิดจุดคุ้มทุนและทำกำไร
  • นโยบายปรับพื้นที่ 1 ล้านไร่  สำหรับโซนที่ทำนา “ไม่คุ้มต้นทุน” การเปลี่ยนพืชลดเสี่ยงราคาและน้ำ อาจให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อไร่ที่มั่นคงกว่า แต่ต้องมีตลาดรองรับคู่ขนาน
  • โรงสีขนาดเล็ก 200 แห่ง  เปิดโอกาสโรงสีชุมชนในเชียงรายที่พร้อมยกระดับอุปกรณ์ บรรจุ–ผลิตเมล็ดพันธุ์ ให้ขึ้นสู่ห่วงโซ่เมล็ดพันธุ์คุณภาพ เชื่อมตลาดพรีเมียม
  • ธ.ก.ส. 29 สาขาในเชียงราย  เป็น “โครงสร้างทางการเงิน” ที่เอื้อการหมุนสภาพคล่องระหว่างรอขาย และรองรับการลงทุนย่อยเพื่อเพิ่มคุณภาพหลังเก็บเกี่ยว (เครื่องวัดความชื้น โรงเรือนอบแห้งขนาดเล็ก ฯลฯ)

ข้อควรระวัง  ราคาที่ดีต้องไม่แลกด้วยคุณภาพที่ตก

มาตรการชะลอขายจะได้ผลสูงสุด เมื่อ “เมล็ดข้าวยังคงคุณภาพ” เกษตรกรจึงควรให้ความสำคัญกับ

  • การลดความชื้นตามมาตรฐาน ก่อนเข้าคลัง เพราะความชื้นสูงทำให้เกิดเชื้อราและสูญเสียบทต่อรอง
  • การคัดแยกสิ่งเจือปน และรักษาความสะอาด ช่วยลด “ค่าหัก” จากโรงสี/ผู้ซื้อ
  • เอกสารการซื้อขาย/มาตรฐานพันธุ์ ทำให้การรับซื้อโปร่งใส ตรงตามประเภทพันธุ์ และเคลียร์ราคาง่าย

คำถามใหญ่ที่ตอบด้วยนโยบาย

  1. จะไม่ให้เกษตรกรต้อง “ขายแบบจำยอม” ได้อย่างไร?
    คำตอบคือ “สภาพคล่องระยะสั้น + คลังเก็บคุณภาพ + ข้อมูลราคา” ต้องมาพร้อมกัน จังหวัดซึ่งมี ธ.ก.ส. ครอบคลุมสาขาใหญ่ ยิ่งควรเร่งการเข้าถึงสินเชื่อหมุนเวียนเฉพาะกิจสำหรับการชะลอขาย
  2. จะเปลี่ยน 1 ล้านไร่ให้เป็น “โอกาส” ไม่ใช่ “ภาระ”?
    คำตอบคือ “โซนนิ่งการตลาดคู่ขนานโซนนิ่งการผลิต” ต้องชัดตั้งแต่ต้นน้ำ พร้อมสัญญารับซื้อ/โมเดลเชื่อมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และผู้แปรรูปถั่ว
  3. จะทำให้ “ข้าวคาร์บอนต่ำ” เป็น “รายได้เพิ่ม” ไม่ใช่ภาระเอกสาร?
    คำตอบคือ ตั้งจุดรับรองเบื้องต้นที่ศูนย์ข้าวชุมชน โรงสีชุมชน ลดต้นทุนการตรวจ เอกสาร และเชื่อมฉลากคุณภาพกับราคารับซื้อที่ให้ “พรีเมียมจริง”

สรุปภาพใหญ่มุมเชียงราย  จาก “สัญญาณราคา” สู่ “เข็มทิศใหม่ของทุ่งนา”

สัญญาณว่าข้าวหอมมะลิแตะ 13,500 บาท/ตัน และมีโอกาสไต่ระดับถึง 15,000 บาท/ตัน ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวดีชั่วคราว” หากสะท้อนว่าการบริหารอุปทานด้วยมาตรการชะลอขาย เมื่อประกอบกับการปรับโครงสร้างไปสู่ คุณภาพ–คาร์บอนต่ำ–โภชนาการสูง และการปรับพื้นที่ 1 ล้านไร่ ที่ทำแบบบูรณาการ สามารถ “ยกทั้งระบบ” ให้ชาวนาอยู่ได้อย่างมั่นคงกว่าเดิม

สำหรับเชียงราย เมืองเกษตรกรรมที่มีทั้งโครงสร้างสหกรณ์เข้มแข็ง ศูนย์ข้าวชุมชน และ ธ.ก.ส. 29 สาขา เป็นทุนตั้งต้น ผลลัพธ์ของนโยบายขึ้นอยู่กับความสามารถในการ “ทำให้เป็นงาน” ระดับตำบล–หมู่บ้าน ตั้งแต่แผนชะลอขายที่มีวินัย คลังเก็บที่รักษาคุณภาพ การเลือกรูปแบบการผลิตตามโซนนิ่ง ไปจนถึงการสื่อสารเรื่องพันธุ์และราคาอย่างโปร่งใส หากทุกฟันเฟืองหมุนไปทางเดียวกัน “ราคาที่ดี” จะไม่ใช่แค่จังหวะได้เปรียบชั่วคราว แต่จะกลายเป็น “โครงรายได้ใหม่” ที่ยืนระยะ พร้อมพาชาวนาเชียงรายเดินหน้าในตลาดที่ยากขึ้นและพิถีพิถันขึ้น

ประโยคชวนคิด  เมื่อชาวนารู้ “จังหวะปล่อยของ” โรงสีชุมชนรู้ “มาตรฐานคุณภาพ” ศูนย์ข้าวชุมชนรู้ “เส้นทางพันธุ์–คาร์บอนต่ำ” และเงินทุนระยะสั้นเข้าถึงทันเวลา “ราคาดี” จะไม่ใช่โชค หากเป็น “ระบบงานที่ออกแบบได้”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมการข้าว
  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายพร้อม! รัฐอุดหนุน ไร่ละ 1,000 บาท แลกเปลี่ยนพฤติกรรม งดเผาในพื้นที่เกษตร

ครม.ไฟเขียว “ไร่ละ 1,000” ขับเคลื่อนสวนลำไยคุณภาพ 8 จังหวัดเหนือ เชื่อมเงื่อนไขงดเผา ลด PM2.5เชียงรายพร้อมเดินหน้า ยกระดับเกรดพรีเมียม A–AA

เชียงราย, 14 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางวัฏจักรราคาลำไยที่ผันผวนและปัญหามลพิษทางอากาศที่เกาะกินภาคเหนือมายาวนาน คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 อนุมัติ โครงการพัฒนาสวนลำไยคุณภาพ ตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ฟื้นฟูสวนลำไย เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนลำไย” ครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ พะเยา น่าน และตาก โดยกำหนดอัตราสนับสนุน ไร่ละ 1,000 บาท วงเงิน ไม่เกิน 10 ไร่ต่อครัวเรือน พร้อมออกแบบเงื่อนไข งดการเผาในพื้นที่เกษตร เป็น “ประตูสู่สิทธิ” เพื่อจูงใจให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรม ลดปัญหา PM2.5 ในพื้นที่จริง

การตัดสินใจเชิงนโยบายครั้งนี้ นำโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขับเคลื่อนผ่านกลไก คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) โดยมีสาระสำคัญคือ “การยกคุณภาพแทนการทุ่มปริมาณ” พร้อมวางโครงสร้างสนับสนุนด้านทุน ความรู้ และการตลาดแบบครบวงจร เพื่อให้ครัวเรือนเกษตรก้าวพ้นสมการ “ผลผลิตล้น–ราคาตก–หนี้เพิ่ม” ที่ยืดเยื้อมานาน

เงินอุดหนุนที่ผูกกับวินัยการผลิต จาก “ปลดล็อกต้นทุน” สู่ “วางวินัยคุณภาพ”

โครงการกำหนดให้เกษตรกรที่ ขึ้นทะเบียนหรือปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรปี 2568 กับกรมส่งเสริมการเกษตร สามารถยื่นรับสิทธิ ไร่ละ 1,000 บาท (สูงสุด 10 ไร่) โดยเงินจะ โอนผ่าน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้กับผู้ที่ผ่านการตรวจสอบ 3 ระดับ ตามกระบวนการที่หน่วยงานเกี่ยวข้องกำหนด

แต่ “เงินอุดหนุน” ไม่ใช่ประเด็นเดียวโครงการวาง เงื่อนไขคุณภาพ ที่คุมตั้งแต่ต้นน้ำ ได้แก่

  • พื้นที่ต้องเป็นต้นลำไยที่ให้ผลผลิตแล้ว อายุ 5–25 ปี
  • พันธุ์ที่เข้าร่วม ได้แก่ อีดอ สีชมพู พวงทอง เบี้ยวเขียว (สอดรับตลาดและศักยภาพให้ได้เกรดสูง)
  • ต้องตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ตามคู่มือที่กำหนด พร้อม แนบใบเสร็จปัจจัยการผลิต ในกรอบเวลาที่ระบุ
  • ต้องเข้ารับการถ่ายทอดความรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อปรับมาตรฐานการผลิตให้เท่าทันตลาด

ขณะเดียวกัน รัฐกำหนด เงื่อนไขสิ่งแวดล้อม” ชัดเจน ผู้รับสิทธิ ต้องไม่มีประวัติการเผาในพื้นที่เกษตร” และ ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน PM2.5 นับเป็นการผูก “เงินอุดหนุน” กับ “วินัยสิ่งแวดล้อม” โดยตรง ซึ่งในทางปฏิบัติจะทำให้แรงจูงใจงดเผามี ผลลัพธ์เชิงพฤติกรรม ที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าการขอความร่วมมือทั่วไป

ทำไม “ตัดแต่ง–ฟื้นฟู–คุมพันธุ์” จึงสำคัญต่อ A–AA

ในเชิงเกษตรกรรม การขยับจากผลผลิตปริมาณมาก ไปสู่คุณภาพระดับ A–AA จำเป็นต้องบริหาร แสง–อากาศ–ทรงพุ่ม–ช่อผล อย่างมีวินัย เพื่อควบคุม ขนาด/น้ำหนัก/ความสม่ำเสมอ/คุณภาพเนื้อ ให้ได้ตามสเปกตลาดพรีเมียม การระบุพันธุ์เป้าหมายและช่วงอายุของต้นที่พร้อมให้ผลผลิต ช่วยลดความเสี่ยงเชิงชีวภาพ (เช่น ต้นแก่–ทรงพุ่มแน่นเกินไป–คุณภาพผลไม่เสถียร) และทำให้เงินอุดหนุนถูกใช้ไปกับ “ต้นทุนที่จำเป็น” เพื่อผลลัพธ์คุณภาพจริง

เมื่อประกบกับ การถ่ายทอดความรู้ผ่านสื่อออนไลน์ และการตรวจติดตาม 3 ระดับ (จากแปลงจริง) โครงการนี้จึงไม่ใช่ “แจกเงิน” แต่คือ การซื้อวินัยคุณภาพ ที่มีมาตรฐานตรวจรับผลลัพธ์ได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ Fruit Board พยายามผลักให้เกิดจริงในภาคสนาม

เชียงรายในสมการ จากล้นตลาดสู่คุมคุณภาพ–เพิ่มมูลค่าที่ต้นทาง

สำหรับ เชียงราย ที่มีทั้งพื้นที่ราบและพื้นที่ลาดเชิงเขา ปัญหาภูมิอากาศที่ไม่แน่นอนและแรงงานที่เริ่มตึงตัว ทำให้การ “ตัดแต่งอย่างถูกวิธี” และ “คุมจำนวนผล/ทรงพุ่ม” กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการดันคุณภาพ เนื้อ–รส–ความหวาน ให้ไปสู่ เกรด A–AA โครงการนี้จึงตอบโจทย์ “ขีดจำกัดแรงงาน” ด้วยเงินสนับสนุนที่ช่วย แบ่งเบาต้นทุนช่วงสำคัญของรอบการผลิต และลดแรงจูงใจ “เร่งปริมาณ” ที่มักจบลงด้วย “คุณภาพเฉลี่ยต่ำ–ราคาถูก–ขายยาก”

ในเวลาเดียวกัน มาตรการงดเผา ผูกสิทธิประโยชน์ไว้กับ “พฤติกรรมไม่ปล่อยมลพิษ” นำไปสู่การลด PM2.5 ที่เชียงรายและจังหวัดเพื่อนบ้านเผชิญซ้ำซากทุกปี การเปลี่ยนผ่านจาก “การจัดการซากพืชด้วยไฟ” ไปสู่ “การจัดการเชิงกล–ปุ๋ยหมัก–ใช้แรงงาน/เครื่องจักร” แม้มีต้นทุนเพิ่มในระยะสั้น แต่เมื่อมีเงินสนับสนุนและช่องทางเข้าถึง สินเชื่อเพื่อการแปรรูป และ มาตรการด้านแรงงาน ผลประโยชน์ระยะยาวเชิงระบบ ทั้ง คุณภาพอากาศ และ มูลค่าผลผลิต ย่อมคุ้มต้นทุน

เงิน 1,000 ล้านบาท ไม่ได้ยุติที่ปลายนา เชื่อมสินเชื่อ–ตลาด–แรงงาน ให้ครบวงจร

โครงการวาง มาตรการเสริม ประกบการอุดหนุนไร่ละ 1,000 บาท ได้แก่

  1. สินเชื่อเพื่อการแปรรูป – เปิดช่องให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกร/ผู้ประกอบการรายย่อย ลงทุนใน การตัดแต่ง–คัดไซส์–แพ็กกิ้ง–อบแห้ง–ทำผลิตภัณฑ์ เพื่อยืดอายุสินค้าและเพิ่มทางเลือกตลาด
  2. มาตรการกระจายผลผลิต – ลด “การเทกระจาด” ในฤดูกาลพีก ผ่านการเชื่อมระบบตลาด และการวางแผน จังหวะขาย/เก็บ/แปรรูป
  3. มาตรการด้านแรงงาน – ผนึกภาครัฐ–เอกชน สนับสนุนฤดูกาลแรงงานเกษตร และ การฝึกช่างตัดแต่ง/ดูแลทรงพุ่ม/เก็บเกี่ยว ให้เป็นแรงงานทักษะ

ด้วยกลไกเหล่านี้ เงินอุดหนุนจึงเป็นเพียง “เชื้อเพลิงเริ่มต้น” ที่ทำให้เครื่องยนต์คุณภาพเดินหน้า จากนั้นเครื่องยนต์ แปรรูป–ตลาด–แรงงานทักษะ จะเข้ามายกระดับ รายได้/ไร่ และภูมิคุ้มกันความเสี่ยงราคาในระยะกลาง–ยาว

ขั้นตอนเข้าร่วม ชัดเจน ตรวจได้ และกระจายสิทธิอย่างยุติธรรม

กรมส่งเสริมการเกษตรจะ พิจารณาสิทธิจากผู้ปรับปรุงทะเบียนรายเดิมเป็นลำดับแรก หากยังไม่ครบเป้าหมาย จึงเปิดให้ รายเดิมที่ยังไม่ปรับปรุง และ รายใหม่ ตามลำดับ ทั้งหมดต้องผ่าน

  • การ ยื่นแบบแสดงความประสงค์
  • การ ตรวจสอบแปลงจริง และ บันทึกพิกัด (Geolocation) โดยเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอ
  • การ รายงานผลการตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ตามกรอบเวลา
  • การ แนบใบเสร็จปัจจัยการผลิต เพื่อยืนยันการดำเนินการจริง

เมื่อผ่านเกณฑ์ ธ.ก.ส. จะเป็นผู้โอนเงินสนับสนุนเข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรง ลดความล่าช้า และเพิ่มความโปร่งใสของกระบวนการ

เสียงจากทำเนียบฯ สะท้อนแนวนโยบาย “คุณภาพ–ยั่งยืน–ลดมลพิษ”

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระการตัดสินใจของที่ประชุม ครม. (11 พ.ย. 68) ว่า โครงการนี้มุ่ง ช่วยเหลือเกษตรกร 8 จังหวัดเหนือ ให้ ฟื้นฟูสวน–ยกคุณภาพ–เพิ่มรายได้ พร้อมย้ำเงื่อนไข งดเผา และมาตรการกำกับติดตามเพื่อให้ “เงินอุดหนุน” แปรเป็น “ผลลัพธ์คุณภาพ” ในระดับแปลงจริง ขณะที่ฝ่ายนโยบาย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เน้นว่าการผลักดันครั้งนี้เป็น มาตรการเชิงโครงสร้าง เพื่อลดการพึ่งพา “มาตรการเฉพาะหน้า” ที่ได้ผลเพียงชั่วคราว

ทำไมต้อง “คุณภาพ” ตอนนี้ บทเรียนจากวัฏจักรราคาและตลาดโลก

ตลาดลำไยในและนอกประเทศมี ความต้องการเกรดพรีเมียมสูงขึ้น ทั้งในแง่ ความสม่ำเสมอของขนาด/น้ำหนัก/เนื้อ และ มาตรฐานความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม การยกระดับสู่ A–AA จึงเป็น ใบเบิกทาง ไปสู่ตลาดที่ราคาและความยืดหยุ่นดีกว่า ลดความเสี่ยงถูกกดราคาในช่วงออกสู่ตลาดพร้อมกันจำนวนมาก

ในบริบทภาคเหนือที่แรงงานเริ่มหายาก การสร้าง แรงงานทักษะตัดแต่ง–คัดคุณภาพ–แปรรูป ในพื้นที่ ช่วยให้ชุมชนมี งานที่มีมูลค่าเพิ่ม และทำให้เกษตรกร ไม่จำเป็นต้องเร่งตัด–เร่งขาย ในสภาวะเสียเปรียบ การบูรณาการ สินเชื่อ และ โครงสร้างตลาดรับซื้อ จึงเป็นคันโยกให้เงินอุดหนุนไร่ละ 1,000 บาท “ขยายพลัง” เกินกว่าต้นทุนสวน

PM2.5 เมื่อเงินอุดหนุนกลายเป็นแรงจูงใจทางอากาศสะอาด

เงื่อนไข ไม่มีประวัติการเผา” คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะทำให้การ งดเผา มี “มูลค่าทางเศรษฐกิจ” ที่ครัวเรือนเห็นจริง หากเผา เสียสิทธิ หากไม่เผา ได้สิทธิและยังได้คุณภาพผลผลิตที่สูงขึ้นจากดินและจุลินทรีย์ที่ไม่ถูกทำลาย ซ้ำยังลดความเสี่ยง ควันไฟข้ามพรมแดน ที่แตะคุณภาพชีวิตคนทั้งภูมิภาค การผูกเงินกับวินัยสิ่งแวดล้อมจึงเป็นการ แปลงนโยบายอากาศสะอาดให้ลงถึงระดับแปลง อย่างเป็นรูปธรรม

เส้นทางข้างหน้า จากมติ ครม. สู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในครัวเรือน

ในช่วงเปิดรับสมัคร สำนักงานเกษตรอำเภอ/จังหวัด จะเป็นด่านหน้าสำคัญ ช่วยคัดกรอง–ให้คำปรึกษา–ตรวจพิกัด–ติดตามงานตัดแต่ง และอบรมออนไลน์ เพื่อให้ครัวเรือนทำถูกขั้นตอน เกษตรกร เชียงราย ที่พร้อมปรับสู่ วินัยคุณภาพ และร่วม งดเผา จะได้ประโยชน์ทั้งค่าสนับสนุนต้นทุน และ ราคาขายที่ดีขึ้น จากผลผลิตระดับ A–AA ที่ตลาดต้องการ

ในมุมโครงสร้าง หาก อัตราการเข้าร่วมสูง และ การตัดแต่ง/ฟื้นฟู เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งอำเภอ ผลรวมเชิงระบบจะเห็นได้จาก

  • สัดส่วนเกรด A–AA เพิ่มขึ้น ต่อเนื่อง
  • ความผันผวนราคาหน้าสวนลดลง
  • ความต้องการแรงงานทักษะในชุมชนเพิ่มขึ้น (เกิดการจ้างงานที่มีมูลค่า)
  • การเผาลดลง สะท้อนจากข้อมูลร้องเรียน/ตรวจการเผา
  • ภาพลักษณ์ลำไยไทย ในตลาดต่างประเทศดีขึ้นด้วยมาตรฐานคุณภาพ–สิ่งแวดล้อม

ทั้งหมดนี้คือ “ผลคูณ” จากการผูก เงิน–ความรู้–ตลาด–สิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกันในนโยบายเดียว

สำหรับเกษตรกรเชียงราย

คุณสมบัติผู้เข้าร่วม

  1. เป็นเกษตรกรผู้ปลูกลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ พะเยา น่าน และตาก
  2. ขึ้นทะเบียนเกษตรกร ปี 2568 กับกรมส่งเสริมการเกษตร
  3. ไม่มีประวัติการเผา ในพื้นที่เกษตร ตามมาตรการป้องกัน PM2.5

เงื่อนไขแปลง

  • ต้นลำไย อายุ 5–25 ปี (ให้ผลผลิตแล้ว)
  • พันธุ์ที่เข้าร่วม อีดอ / สีชมพู / พวงทอง / เบี้ยวเขียว
  • ต้อง เข้ารับการถ่ายทอดความรู้ออนไลน์
  • ต้อง ตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ตามข้อกำหนด, รายงานผล ให้เจ้าหน้าที่ทราบ
  • ต้อง แนบใบเสร็จ การซื้อปัจจัยการผลิตในช่วงเวลาที่กำหนด

อัตราสนับสนุน

  • ไร่ละ 1,000 บาท, สูงสุด 10 ไร่/ครัวเรือน
  • โอนเงินโดย ธ.ก.ส. หลังผ่านการตรวจ 3 ระดับ

มาตรการเสริม

  • สินเชื่อเพื่อการแปรรูป
  • มาตรการกระจายผลผลิต
  • มาตรการด้านแรงงาน

ช่องทางติดต่อ

  • สำนักงานเกษตรอำเภอ/จังหวัด ใกล้บ้าน เพื่อยื่นความประสงค์และนัดตรวจแปลง

 

มติ ครม. ครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “เงินช่วยเหลือ” ช่วงสั้น แต่คือการ ขยับฐานคิด ของนโยบายผลไม้ไทย จากการจูงใจเชิงปริมาณ ไปสู่ วินัยเชิงคุณภาพ ที่ตรวจรับได้จริงในแปลง โดยผูกกับ เงื่อนไขสิ่งแวดล้อม เพื่อลด PM2.5 และพ่วง สินเชื่อ–ตลาด–แรงงาน ให้ครบวงจร หาก เชียงราย และจังหวัดเครือข่ายเดินเกมนี้พร้อมกัน “คุณภาพ A–AA” จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของผลผลิตลำไยภาคเหนือ ส่งผ่าน รายได้ที่มั่นคงกว่า สู่ครัวเรือน และ อากาศที่ดีขึ้น สู่ทั้งชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เห็นชอบ โครงการพัฒนาสวนลำไยคุณภาพ ตัดแต่งทรงพุ่ม/ช่อผล ฟื้นฟูสวนลำไย ครอบคลุม 8 จังหวัดภาคเหนือ อัตราสนับสนุน ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่/ครัวเรือน (ข้อมูลตามที่ผู้ใช้ระบุ)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • อาบูซูลู สาวอาข่า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ททท. ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ พร้อมปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ททท.ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ–ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ำกรอบความปลอดภัย–กระจายรายได้สู่เมืองรอง รับดีมานด์จีนฟื้นช่วง Golden Week

กรุงเทพฯ, 10 ตุลาคม 2568 — ในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกยังแกว่งตัวและกำลังซื้อครัวเรือนบางกลุ่มในประเทศยังไม่ฟื้นเต็มที่ ภาครัฐเลือก “เกียร์สูง” กับเครื่องยนต์การท่องเที่ยว โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย นโยบายเร่งด่วน 4 เดือน ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก  (1) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 7 ตลาดศักยภาพ, (2) กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยแนวคิด ต่อยอด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง”, และ (3) ยกระดับคุณภาพ–ความปลอดภัย–การกระจายรายได้ไปสู่ เมืองรอง เพื่อให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนเวียนอย่างทั่วถึง

ภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ายนโยบายกำหนดเป้า 7 ตลาดหลักที่ “จับจ่ายสูง” ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และ กลุ่มตะวันออกกลาง อาทิ กาตาร์ คูเวต โอมาน พร้อมเดินหมากการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก—ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหมายกำหนดการ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เพื่อตอกย้ำความร่วมมือและดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวกลับไทย

ขณะที่ฝั่งสัญญาณหน้างาน ตลาดจีน โชว์แรงส่งช่วง Golden Week (1–8 ต.ค. 2568) โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า เป้า 2 แสนคน ในช่วงดังกล่าว “ตัวเลขปรับตัวดีขึ้นจากเป้าหมายที่วางไว้” และคาดว่าจะเห็นภาพชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน สะท้อนการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของดีมานด์เดินทางจากจีน—ฐานรายได้สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

“เรามั่นใจในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น” — นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เจาะ 7 ตลาดศักยภาพ–เร่งทวงแชร์

จีน–ญี่ปุ่น–เกาหลีใต้–อินเดีย คือ ตลาดแกน” ที่มีฐานเที่ยวบินและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ–สังคมยาวนาน ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย–UAE–ตะวันออกกลาง ถูกจัดวางเป็น ตลาดกำลังซื้อสูงที่มีช่องว่างใหม่” ทั้งในมิติการบินเชื่อมต่อ การตลาดเฉพาะกลุ่ม (ครอบครัว รายได้สูง กลุ่มสุขภาพ/Medical Wellness และ Halal-friendly) และฤดูกาลท่องเที่ยวที่ สวนทาง” กับไทยบางช่วง ทำให้สามารถบริหาร Load Factor ฝั่งสายการบินและ Seasonality ฝั่งผู้ประกอบการได้ดีขึ้น

หมากสำคัญคือ การเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของรองนายกฯ และ รมว.การท่องเที่ยวฯ เพื่อเจรจาความร่วมมือระดับรัฐ–เอกชน ทั้งด้าน โควตาเที่ยวบิน, แคมเปญร่วมการตลาด (co-promotion) กับแพลตฟอร์ม/เอเจนซีรายใหญ่, และ ความปลอดภัยปลายทาง ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น–กลาง

Golden Week ทำหน้าที่เสมือน สัญญาณนำ (leading indicator)” ของไตรมาสสุดท้าย เมื่อ ททท. ประเมินไว้ที่ 2 แสนคน และตัวเลขจริง เกินกว่าเป้า ย่อมสะท้อน Elasticity ของดีมานด์ ที่ยังตอบสนองต่อโปรโมชั่น–ความสะดวกด้านวีซ่า–ความมั่นใจด้านความปลอดภัย หากสามารถต่อยอดสู่ ตารางบินฤดูหนาว และ เทศกาลปลายปี ได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสดัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป ให้ขยับขึ้นตาม

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ในเงื่อนไขกำลังซื้ออ่อน

ฝั่งอุปสงค์ในประเทศ รัฐบาลกำลังกลับมาใช้ “กลไกความร่วมจ่าย (co-pay)” เพื่อขยับ กำลังซื้อที่ถูกกดทับ ให้เกิดการเดินทางจริง โดยแนวคิด เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ถูกออกแบบให้ สอดรับโครงการ “คนละครึ่ง” (เปิด 29 ต.ค. นี้) พร้อมพิจารณา สิทธิประโยชน์ทางภาษี ร่วมกับกระทรวงการคลัง เช่น ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวหมู่คณะ หรือ สิทธิคืนภาษีปลายปี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

ในเชิงกลไกเศรษฐกิจ แนวทางนี้สามารถเพิ่ม ตัวคูณ (multiplier) ของเม็ดเงินรัฐ หากออกแบบให้ “เงินรัฐ 1 บาท ดึง เงินเอกชนหลายบาท” ผ่านเพดานสิทธิ–ร่วมจ่าย–การกำหนดช่วงเวลา/ปลายทางที่ นอกพีก/เมืองรอง เพื่อแก้ปัญหา “แออัดในเมืองหลัก–โลว์โหลดเมืองรอง” ควบคู่กับการคัดกรองกิจกรรมที่มี Local Content สูง (โฮมสเตย์–ทัวร์ชุมชน–งานเทศกาลท้องถิ่น) เพื่อให้ รายได้กระจาย ไม่กระจุกในห่วงโซ่หลัก

คำถามเชิงนโยบายสำคัญคือ จะมีประสิทธิภาพเพียงพอไหม หากกำลังซื้อครัวเรือนยังอ่อน?” เงื่อนไขความสำเร็จจึงขึ้นกับ

  • การตั้งสัดส่วนร่วมจ่าย ที่จูงใจพอ (แต่ไม่บิดเบือนราคา)
  • การล็อกช่วงเวลา/พื้นที่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกระจายรายได้
  • การเชื่อมมาตรการภาษี กับองค์กร/สหกรณ์/ชุมชน เพื่อดึง ดีมานด์กลุ่มใหญ่
  • การสื่อสารความปลอดภัย และ มาตรฐานบริการ เพื่อสร้าง ความคุ้มค่าเชิงประสบการณ์ (Value for Experience) มากกว่าราคาอย่างเดียว

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คุณภาพ–ความปลอดภัย–เมืองรอง คือแกนถ่วงดุล

ททท. ระบุชัดว่า ความปลอดภัย เป็นวาระเร่งด่วน โดยบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, และ หน่วยงานความมั่นคง เพื่อดูแลพื้นที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีคนหนาแน่น การจัดการ จุดเสี่ยง–จุดอ่อนไหว, ระบบ แจ้งเหตุ/สายด่วนหลายภาษา, และ การลาดตระเวนเชิงป้องกัน เป็นคีย์เวิร์ดของความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้าน คุณภาพและการกระจายรายได้ ททท. จะทำงานกับภาคเอกชนและพันธมิตรในพื้นที่ จัดกิจกรรม/อีเวนต์ เมืองหลัก–เมืองรอง” โดยเน้นเมืองรองเป็นพิเศษ เพื่อขยายความหลากหลายสินค้า–ประสบการณ์ (จากแค่ทะเล–ภูเขา ไปสู่ อาหาร–เทศกาล–สุขภาพ–กีฬา–MICE ท้องถิ่น) ให้สอดรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิดที่นิยม ทริปสั้นถี่–คอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม–คุณค่าเชิงวัฒนธรรม

คำให้สัมภาษณ์และสัญญาณจากหน้างาน

  • ผู้ว่าการ ททท. ย้ำ “ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน” และ บทบาทเจ้าบ้านที่ดีของคนไทย เป็นแกนสร้างความเชื่อมั่น—องค์ประกอบสำคัญไม่แพ้ราคา/โปรโมชั่น
  • รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียฯ ให้ข้อมูล Golden Week จีน ว่าตัวเลขเข้าประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากเป้า 2 แสนคน สะท้อนว่าตลาดจีน ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ไทย กลับไปทวงแชร์ ในไตรมาสสุดท้าย

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ–ชุมชน–แรงงานท่องเที่ยว

  1. ผู้ประกอบการโรงแรม–ทัวร์–ร้านอาหาร ควรเตรียม แพ็กเกจร่วมจ่าย ให้สอดรับ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” (เงื่อนไข–ระยะเวลา–ปลายทางเมืองรอง) และ แคมเปญจีน/เอเชีย ที่มักผูกการจองผ่านแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการที่ลงทุนใน บริการหลายภาษา–ชำระเงินหลากสกุล–รีวิวคุณภาพ จะได้เปรียบ
  2. ชุมชน–เมืองรอง โอกาสในการจัด เทศกาลท้องถิ่น/เส้นทางวัฒนธรรม/โฮมสเตย์มาตรฐาน เพื่อรับเม็ดเงินตรงสู่พื้นที่ ควรร่วมมือกับ ททท.–อปท.–เอกชน สร้าง ปฏิทินกิจกรรม ที่สอดรับฤดูกาลและเส้นทางบิน/รถไฟ/รถโดยสาร
  3. แรงงานท่องเที่ยว เมื่อดีมานด์เร่งตัว บทบาท มัคคุเทศก์/พนักงานต้อนรับ/คนขับรถ/ไกด์ท้องถิ่น จะเพิ่มสูง ควรเร่ง อัปสกิลภาษา–ดิจิทัล–มาตรฐานบริการ–ความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งตลาดจีน–เอเชียและตะวันออกกลางที่มีความต้องการเฉพาะทาง (อาหาร/วัฒนธรรม/ศาสนา)

จะ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เอาอยู่ไหม? — เงื่อนไขความสำเร็จในสภาวะกำลังซื้ออ่อน

แม้มาตรการร่วมจ่ายช่วย ปลดล็อกการตัดสินใจ ได้ดีในกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ รายได้ตึงตัว/หนี้สูง การ “เพิ่มแรงจูงใจ” ต้องทำมากกว่าราคา เช่น

  • ผูกสิทธิภาษี สำหรับการเดินทางแบบ หมู่คณะ/องค์กร/สหกรณ์ เพื่อดึง ดีมานด์เป็นชุด
  • เล็งฤดูกาล–พื้นที่ ที่รัฐอยากกระจายรายได้ เช่น นอกพีก–เมืองรอง พร้อม คูปองกิจกรรมท้องถิ่น
  • คุมคุณภาพ/ความปลอดภัย ให้ “คุ้มค่าความรู้สึก” ถึงแม้กำลังซื้อจำกัด นักท่องเที่ยวจะยอมจ่ายหากมั่นใจว่าจะได้ ประสบการณ์คุ้มราคา
  • สื่อสารง่าย–จองสะดวก–โปร่งใส ลดต้นทุนเวลาและความสับสนของผู้ใช้สิทธิ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นโยบายร่วมจ่ายจะคุ้มค่า เมื่อทำหน้าที่เป็น “สะพาน” พาคนไทยจาก “อยากไป” สู่ “ตัดสินใจไปจริง” ในจุดที่ตลาดเอกชนเพียว ๆ ยังไปไม่ถึง โดยไม่บิดเบือนตลาดจนเกินไป

เชื่อม “ความปลอดภัย–คุณภาพ” กับ “การดึงต่างชาติ” ให้เดินพร้อมกัน

ในจังหวะเร่งเครื่องต่างชาติ ประเด็น ความปลอดภัย จะถูก จับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตลาดจีนที่อ่อนไหวต่อข่าว/กระแสโซเชียล การประกาศบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว–กองบัญชาการตำรวจนครบาล–หน่วยงานความมั่นคง จึงเป็น ประกันความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ควบคู่กับการยกระดับ มาตรฐานสถานบริการ–การคุ้มครองผู้บริโภค–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะกลายเป็น ทรัพย์สิน (asset) ระยะยาวของแบรนด์ “Thailand”

ระยะต่อไป ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ควรติดตาม

  • จำนวน–ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจาก 7 ตลาด และ สัดส่วนตลาดจีน ในไตรมาสสุดท้าย
  • สัดส่วนการเดินทางสู่นอกพีก/เมืองรอง ภายใต้โครงการร่วมจ่าย
  • ดัชนีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และ เวลาการตอบสนองเหตุ ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
  • การเติบโตของรายได้ผู้ประกอบการชุมชน และ การจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เทียบฐานก่อนมาตรการ

นโยบายท่องเที่ยวรอบนี้วางเกมเป็น “สามเหลี่ยมถ่วงดุลต่างชาติ–ในประเทศ–ความปลอดภัย/คุณภาพ/เมืองรอง โดยมีการทูตเศรษฐกิจ (เยือนจีน) เป็นคันเร่งฝั่งอินบาวนด์ และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เป็นตัวค้ำฝั่งดีมานด์ภายใน การจะ “เอาอยู่” หรือไม่ จึงขึ้นกับ การออกแบบกลไก ให้ เงินรัฐ 1 บาท ดึง เม็ดเงินเอกชนหลายบาท, กระตุ้น การเดินทางที่ต้องการ (นอกพีก–เมืองรอง–กิจกรรมท้องถิ่น), และสร้าง ความเชื่อมั่น ว่าไทยพร้อมทั้งด้าน ความปลอดภัย และ คุณภาพประสบการณ์

จากสัญญาณ Golden Week จีน ที่ดีกว่าเป้า และทิศทางเยือนจีนในเร็ว ๆ นี้ ภาพรวมบอกเราว่า ดีมานด์พร้อมตอบสนอง หากนโยบาย “จับจุดถูก” ส่วนฝั่งในประเทศ หาก เที่ยวไทยคนละครึ่ง ถูกแบบมาอย่างพอดี–โปร่งใส–ใช้ง่าย ก็มีศักยภาพ “แก้ปัญหาถูกที่–ถูกเวลา” ให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนไปในพื้นที่ที่ต้องการได้จริง

แก่นสำคัญของไตรมาสสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ “ดึงนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด” แต่คือ “ดึง ให้ถูกที่–ถูกช่วง–ถูกกลุ่ม และ ปลอดภัย” เพื่อให้การท่องเที่ยวทำหน้าที่เป็น หัวจักรเศรษฐกิจ ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนเชิงบวกไปถึงชุมชนฐานรากอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Golden Week โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ (รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา — นโยบายบูรณาการเพื่อฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว, หมายกำหนดการเยือนจีนของ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รัฐมนตรีว่าการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / ตำรวจท่องเที่ยว / กองบัญชาการตำรวจนครบาล
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ENVIRONMENT

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” โอกาสทองเปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

เวิลด์แบงก์ชี้ “ไทยเสี่ยงภัยพิบัติสูง” เปิดหน้าต่างแห่งโอกาส เปลี่ยนวิกฤตสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทางรอดของการเติบโตระยะยาว มุมมองเชิงลึกจากกรุงเทพฯถึงเชียงราย

ประเทศไทย, 7 ตุลาคม 2568 — นาฬิกาสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยกำลังเดินเร็วขึ้นกว่าที่คาด เมื่อ ธนาคารโลก (World Bank) เผยรายงาน Thailand Country Climate and Development Report (CCDR) ฉบับล่าสุด (เมษายน 2568) ชี้ชัดว่าไทยเผชิญความเสี่ยงสูงจากอุทกภัย ภัยแล้ง และคลื่นความร้อน ซึ่งไม่เพียงบั่นทอนคุณภาพชีวิตและความมั่นคงของประชาชน แต่ยังกดทับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่เกษตรกรรมและศูนย์กลางเศรษฐกิจจากลุ่มเจ้าพระยาถึงมหานครริมทะเลอย่างภูเก็ต

รายงานระบุว่า แม้ไทยตั้งธงใหญ่คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน” ภายในปี 2593 และ การปล่อยสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)” ภายในปี 2608 แต่ “ระยะทาง” ระหว่างวันนี้กับวันนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ น้ำท่วมที่เกิดถี่และรุนแรงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่คืบคลานสู่เมืองชายฝั่ง ภัยแล้งที่ยื้อยุดผลผลิตเกษตรภาคเหนือ–อีสาน รวมถึงความเสี่ยงใหม่อย่าง คลื่นความร้อน ที่กระทบแรงงานกลางแจ้งและผู้สูงอายุโดยตรง ขณะเดียวกัน โครงสร้างเศรษฐกิจที่ยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและอุตสาหกรรมดั้งเดิม ทำให้ไทยต้อง “เร่งจูนโครงสร้าง” ครั้งใหญ่ หากหวังเดินถึงเป้าหมายตามกรอบเวลา

จุดเงยหน้าในภาพซับซ้อนนี้คือข้อเท็จจริงที่ธนาคารโลกย้ำว่า เศรษฐกิจสีเขียวไม่ใช่ต้นทุนอย่างเดียว แต่คือโอกาสทอง” ทั้งการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโลก การยกระดับความสามารถแข่งขัน และการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นผ่านอุตสาหกรรมใหม่ ตั้งแต่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึง พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน หากขับเคลื่อนอย่างมีระบบ ไทยไม่เพียงลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างสมดุลการเติบโตที่ทนทานต่อโลกภูมิอากาศใหม่ (new climate normal)

ภาพใหญ่ “ความเสี่ยง–ความหวัง” ที่มาเคาะประตูพร้อมกัน

1) ภัยพิบัติถี่ขึ้น–แรงขึ้น
น้ำท่วมยังเป็นความเสี่ยงอันดับต้นของไทย ทั้งในเมืองใหญ่และพื้นที่เกษตรกรรม ลำน้ำท้องถิ่นรับน้ำไม่ทันเขตเศรษฐกิจแอ่งกระทะรับแรงกระแทกเต็ม ๆ ขณะที่ ภัยแล้ง ในเหนือ–อีสานทำให้สต็อกน้ำเขื่อนตึงมือ เกษตรกรต้องหันมาปรับพืช ลดรอบปลูก หรือยอมรับผลผลิตตกต่ำ สวนทางกับต้นทุนแรงงานและปัจจัยการผลิตที่ยื้อสูง

2) เป้าหมายสุทธิศูนย์–โจทย์โครงสร้าง
ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 0.88% ของโลก ตัวเลขอาจดูเล็ก แต่ “ความเปราะบาง” ส่งผลเกินสัดส่วน เมื่อเทียบโครงสร้างการตั้งถิ่นฐาน การใช้ที่ดิน และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่เสี่ยง รายงานชี้ว่าการไปให้ถึง Carbon Neutrality 2593 และ Net Zero 2608 ต้องพึ่งการเปลี่ยนผ่านขนาดใหญ่ใน ภาคพลังงาน, อุตสาหกรรม, เกษตร และโครงสร้างพื้นฐานจัดการน้ำ ไม่ใช่เพียงการ “ติดตั้งแผงโซลาร์” เพิ่ม แต่คือการออกแบบระบบใหม่ทั้งห่วงโซ่อุปทานและแรงจูงใจตลาด

3) โอกาสเศรษฐกิจสีเขียว หน้าต่างไม่เปิดค้าง
โลกกำลัง “ลงคะแนนด้วยเงินลงทุน” ให้กับห่วงโซ่ผลิตที่ ปล่อยคาร์บอนต่ำ ประเทศที่เคลื่อนตัวไวจะได้ “ส่วนแบ่งตลาดอนาคต” ทั้งใน EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ, พลังงานแสงอาทิตย์–พลังงานชีวภาพ, ไปจนถึง เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง และ การท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ หากไทยปรับตัวทัน ตั้งมาตรฐาน, ใช้มาตรการการเงิน–ภาษีที่ถูกจุด, ทำตลาดคาร์บอนโอกาสจะถูกแปลงเป็น การเติบโตใหม่ ที่ยั่งยืน

เวิลด์แบงก์แนะ 3 เสาหลัก ทางด่วนสู่ “เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”

ปฏิรูปพลังงานผลิตให้สะอาด ใช้ให้คุ้ม

  • เร่งสัดส่วน พลังงานหมุนเวียน ในระบบผลิตไฟฟ้า ควบคู่ การจัดการความผันผวน (grid flexibility) เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) และพยากรณ์โหลดอัจฉริยะ
  • ด้าน “อุปสงค์” สนับสนุน ประสิทธิภาพพลังงาน ในอาคาร–อุตสาหกรรมมาตรฐานใหม่ของเครื่องใช้ไฟฟ้า, เข้มงวดฉลากประหยัด, เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อรีโทรฟิต

อุตสาหกรรม–เกษตรคาร์บอนต่ำ

  • ผลักดัน เทคโนโลยีปล่อยต่ำ (low-carbon) ในโรงงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด, ไอน้ำประสิทธิภาพสูง, เชื้อเพลิงผสมชีวภาพ, วัสดุหมุนเวียน
  • ภาคเกษตรขยาย การจัดการน้ำอย่างแม่นยำ, พันธุ์พืชทนแล้ง–ทนร้อน, ลด “การเผา” และส่งเสริม ชีวมวล–ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อลดการปล่อยจากดิน–ปศุสัตว์ ควบคู่ การตลาดผลิตภัณฑ์เกษตรคาร์บอนต่ำ สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ชุมชน

โครงสร้างพื้นฐานรับมือภัยพิบัติ

  • ลงทุน ระบบจัดการน้ำแบบบูรณาการ เก็บ–ระบาย–กัก–ยืดหยุ่น (multi-use storage, retention, floodways) พร้อม สารสนเทศภูมิอากาศ ระดับพื้นที่
  • โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว (Nature-based solutions) ป่าต้นน้ำ–พื้นที่ชุ่มน้ำ–แนวกันคลื่นธรรมชาติในชายฝั่งลดความเสี่ยงระยะยาวด้วยต้นทุนคุ้มค่า

จากกรุงเทพฯถึงเชียงราย เมื่อ “ความเปราะบาง” กระทบชีวิตจริง

ภาพรวมประเทศที่เวิลด์แบงก์ฉายยังสะท้อนชัดในจังหวัดปลายแผ่นดินอย่าง เชียงราย—จุดบรรจบแม่น้ำสาย–โขง ที่มีทั้งภูเขา–แอ่งรับน้ำ–ชายแดนการค้าคึกคัก เมืองที่รุ่งด้วย กาแฟ–ชา–ศิลปะ–วัฒนธรรมชนเผ่า–โลจิสติกส์ชายแดน ก็หนีไม่พ้นโจทย์ภูมิอากาศใหม่

  • ภัยแล้งยืดเยื้อ–ฝนทิ้งช่วง ทำให้สวนกาแฟ–ชาเสี่ยงผลผลิตไม่นิ่ง เกษตรกรรับแรงกดดันสองทางน้ำขาด/ศัตรูพืชเพิ่ม
  • น้ำหลากฉับพลัน ในพื้นที่ลาดชัน–ลุ่มน้ำท้องถิ่น กระทบโครงสร้างพื้นฐานชุมชน–การท่องเที่ยว
  • หมอกควัน/PM2.5 ฤดูร้อนปลายหนาวภาพลักษณ์ท่องเที่ยว–สุขภาพประชาชน และแรงงานกลางแจ้ง

ถ้าถามว่า “เชียงรายต้องปรับอะไร” คำตอบอยู่ใน เสาหลักเดียวกันแต่ปรับใช้ให้ตรงบริบท”

  • น้ำ อ่างเก็บ–หนอง–แก้มลิงชุมชน บริหารร่วมกัน เชื่อมข้อมูลฝน–ดิน–พืชแบบเรียลไทม์ให้ “ปลูกพอดี–ใช้น้ำพอเพียง”
  • เกษตร ปลูกผสมผสาน–ร่มเงา–หยุดเผา, ส่งเสริม กาแฟ/ชายั่งยืน เข้าสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ “ค่าเพิ่มจากคาร์บอนต่ำ”
  • เมือง–ท่องเที่ยว จัดการ ทางเดิน–ร่มเงา–จุดพักชุ่มน้ำ–ระบบเตือนภัย สร้างประสบการณ์ ท่องเที่ยวใส่ใจภูมิอากาศ (low-carbon travel) ให้เป็น “แบรนด์เชียงราย”

เศรษฐกิจสีเขียว ไม่ใช่แค่ทางรอดแต่คือ “ทางเลือกที่ฉลาดกว่า”

EV และอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่
ไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์เดิม หากยกระดับสายการผลิตสู่ EV/แบตเตอรี่/ส่วนประกอบ ได้มากขึ้นและใช้ ไฟฟ้าสะอาด ในกระบวนการ จะรักษาฐานการจ้างงานและส่วนแบ่งตลาดโลก ขณะเดียวกัน จังหวัดปลายทางอย่างเชียงรายได้อานิสงส์จาก โครงสร้างชาร์จ–ท่องเที่ยว EV-friendly และ โลจิสติกส์ไฟฟ้า สำหรับขนส่งชายแดน

พลังงานสะอาดและประสิทธิภาพพลังงาน
แสงอาทิตย์บนหลังคา (rooftop solar) สำหรับธุรกิจ–ครัวเรือน, ระบบปรับอากาศ–แสงสว่างประสิทธิภาพสูงในโรงแรม–คาเฟ่–แหล่งท่องเที่ยว สร้างผล “ต้นทุนลด–ภาพลักษณ์เพิ่ม” และถ้ารัฐเคาะ มาตรการทางการเงิน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ/ประกันราคาไฟ/ภาษีเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจะเร็วขึ้น

ท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำแม่น้ำเดียวกันต่างฝั่งได้ประโยชน์
เชียงรายมีทุนวัฒนธรรม–ศิลป์–เกษตร สร้างเส้นทาง Art–Tea/Coffee–Community แบบ Slow Travel ที่ลดการเดินทางซ้ำซ้อน, ใช้ ยานพาหนะปล่อยต่ำ, เสิร์ฟ อาหารท้องถิ่นจากเกษตรยั่งยืน, และเสนอ คอมเพนเสตคาร์บอน ให้ผู้มาเยือนทั้งสร้างประสบการณ์และรายได้กลับสู่ชุมชน

กลไกการเงิน–ภาษี สวิตช์ที่ทำให้ “ความตั้งใจ” กลายเป็น “การลงทุนจริง”

รายงานเวิลด์แบงก์ย้ำว่า ความสำเร็จอยู่ที่ การจัดลำดับนโยบาย” และ ระดมเงินทุน” ให้ถูกที่ถูกเวลา

  • ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) สร้างราคาสำหรับ “การลดปล่อย” ให้ธุรกิจเห็นผลตอบแทนชัด ทั้งในและข้ามพรมแดน (เช่น โครงการปลูกป่า–เกษตรยั่งยืน–รีโทรฟิตอาคาร)
  • ภาษีคาร์บอน/ปรับคาร์บอนข้ามแดน (CBAM) ของคู่ค้า ยิ่งกดดันให้ซัพพลายเชนไทย ใสสะอาด–ตรวจสอบได้ถ้าเตรียมตัวเร็ว เราจะเป็นซัพพลายเออร์ที่คู่ค้าอยากร่วมงาน
  • แรงจูงใจการลงทุนสีเขียว เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ, เร่งลดขั้นตอนอนุญาตโครงการสะอาด, อุดหนุน R&D/สกิลแรงงานให้เอกชนเห็น ความเสี่ยงลด–ผลตอบแทนเพิ่ม”

แผน 12 เดือน” เพื่อเปลี่ยนรายงานให้เป็นผลลัพธ์ (จากส่วนกลางถึงจังหวัด)

ระดับชาติ

  1. อัปเดตแผนพลังงานและแผนภูมิอากาศให้ “เดินสอดรับ” กันระบุเป้า RE, กักเก็บพลังงาน, ประสิทธิภาพพลังงาน แบบมีไทม์ไลน์–งบ–หน่วยงานรับผิดชอบ
  2. เปิดทางตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจและเตรียมความพร้อมเครื่องมือกำกับ (MRV, registry, standard)
  3. ตั้ง “กองทุนเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ให้สินเชื่อ/ค้ำประกันโครงการสะอาดของ SME อาคาร/โรงแรม/เกษตร

ระดับจังหวัด (ต้นแบบเชียงราย)
4) จัดทำ Climate Risk Map ระดับตำบล ชี้จุดเสี่ยงน้ำท่วม/แล้ง/ดินถล่ม–PM2.5 และ แผนตอบสนอง รายพื้นที่
5) สร้าง คอมมูนิตี้วอเตอร์แบงก์ หนอง/แก้มลิง/สระเก็บน้ำ บริหารร่วมกับเกษตรกรและเทศบาล เชื่อมข้อมูลฝน–ชลประทาน
6) ทำ Green Hospitality Standard สำหรับโรงแรม–คาเฟ่–ที่พัก ตั้งเป้าลดใช้พลังงาน/น้ำ–จัดการของเสีย–เมนูท้องถิ่น–ทางเลือกวีแกน–ข้อมูลคาร์บอนเมนู
7) ออก เชียงรายคลัสเตอร์ชา/กาแฟยั่งยืน หยุดเผา, ร่มเงา, น้ำหยด, ตรวจย้อนกลับ, รับรองมาตรฐาน ขายสู่ตลาดพรีเมียมและเชื่อมท่องเที่ยว
8) สื่อสาร เตือนภัย–คุณภาพอากาศ–สภาพจราจร แบบเรียลไทม์หลายภาษา (ไทย–อังกฤษ–จีน) ผ่านเว็บ/โซเชียล/QR ในจุดท่องเที่ยว
9) จัด เทศกาลฤดูหนาวคาร์บอนต่ำ ธีมเดียวทั้งเมือง ขนส่งสาธารณะ–ไฟประหยัดพลังงาน–ของที่ระลึกจากวัสดุหมุนเวียน
10) พัฒนา ทักษะแรงงานสีเขียว มัคคุเทศก์เล่าเรื่องภูมิอากาศ–บาริสต้า/เชฟใช้วัตถุดิบท้องถิ่นยั่งยืน–ช่างเทคนิคพลังงานแสงอาทิตย์/ปรับอากาศประหยัดพลังงาน

คำถามกลางเรื่อง “หรือวิกฤตจะเปลี่ยน” ไทยได้จริง?

หัวใจของรายงานเวิลด์แบงก์มิได้บอกเราว่า “ภัยพิบัติจะหนักขึ้น” เท่านั้น แต่ ท้าทายให้เลือก เราจะเป็นเพียงผู้รับผลกระทบ หรือจะเป็น ผู้กำหนดทิศทางใหม่ ด้วยการแปลงวิกฤตเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจที่ สะอาดกว่า แข็งแรงกว่า และเป็นธรรมกว่า สำหรับคนส่วนใหญ่

ตัวเลข 0.88% ของการปล่อยโลกอาจทำให้เรารู้สึกว่าไทย “ไม่ได้ปล่อยมาก” ทว่าในวันที่ห่วงโซ่อุปทานโลก วัด คาร์บอนในทุกกิโลวัตต์–ทุกชิ้นส่วน–ทุกกิโลเมตรขนส่ง ความได้เปรียบจะเป็นของผู้ที่ พิสูจน์ได้ ว่าผลิตภัณฑ์–บริการปล่อยต่ำจริง และ ปลอดภัยต่อสภาพภูมิอากาศ นั่นทำให้การปฏิรูปพลังงาน, การเงินสีเขียว, มาตรฐานสินค้า–บริการ และข้อมูลความเสี่ยงระดับพื้นที่ ไม่ใช่ “งานของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง” แต่คือ วาระแห่งชาติ ที่ต้องเดินพร้อมกัน

เชียงราย ด้วยทุนวัฒนธรรมและภูมิประเทศเฉพาะตัว มีโอกาส ก้าวนำ เป็น “เมืองต้นแบบเศรษฐกิจท้องถิ่นคาร์บอนต่ำ” ที่คนทั้งประเทศจับตา เมืองที่จัดการน้ำอย่างรู้ค่า, ทำเกษตร–ท่องเที่ยวเชื่อมชุมชน, ใช้พลังงานคุ้มและสะอาด, สร้างงานทักษะใหม่ให้คนรุ่นใหม่ และส่งออก “เรื่องเล่า” ของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเคารพสู่โลก

รายงาน CCDR ของเวิลด์แบงก์ย้ำสองประเด็นพร้อมกัน ความเสี่ยงกำลังสูงขึ้น และ โอกาสกำลังเปิดกว้าง ประเทศไทยมีเวลา ไม่มาก ในการสลับเกียร์จาก “ซ่อมความเสียหายหลังภัยพิบัติ” ไปสู่ “ลงทุนป้องกัน–ปรับตัว–ลดปล่อยเชิงรุก” ยิ่งลงมือเร็ว ต้นทุนยิ่งต่ำ และผลตอบแทนยิ่งมาก ทั้งต่อเศรษฐกิจมหภาคและกระเป๋าสตางค์ของครัวเรือน

คำตอบว่าประเทศไทย และเชียงรายจะ “พร้อม” แค่ไหน อยู่ที่ ความกล้าตัดสินใจ ของภาครัฐ, ความริเริ่ม ของเอกชน, และ พลังร่วม ของชุมชนในพื้นที่ หากทั้งหมดขยับในทิศทางเดียวกัน “วิกฤต” ก็จะกลายเป็น รากฐาน ของเศรษฐกิจใหม่ที่มั่นคงกว่าและยั่งยืนกว่าไม่ใช่แค่คำสัญญาบนเวทีโลก แต่เป็นคุณภาพชีวิตที่คนไทยสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Bank – Thailand Country Climate and Development Report (CCDR)
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ./ONEP)
  • กระทรวงพลังงาน
  • IPCC AR6
  • Global Facility for Disaster Reduction and Recovery (GFDRR) – Thailand Country Profile
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช./NESDC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

แรงงานศรีลังกา 10,000 -ผู้หนีภัยฯ เมียนมาเข้าไทย! แผนอัปสกิล-รีสกิล รับมือวิกฤตขาดแคลน

วิกฤตแรงงานไทย 2568 “เร่งอุดช่องว่าง 1 แสนตำแหน่ง” – แผนฟื้นตัวจากชายแดนสู่ดิจิทัล อัปสกิล–รีสกิล และยกระดับสวัสดิการ เพื่อแรงงานทุกกลุ่ม

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568เช้าวันจันทร์ต้นไตรมาส 4/2568 ประเทศไทยตื่นมาเจอ “โจทย์ใหญ่” ในตลาดงาน—ตำแหน่งงานว่างกว่าหนึ่งแสนตำแหน่งที่หาแรงงานไม่ได้ในเวลาเดียวกับที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังเร่งเครื่องรับ “ไฮซีซัน” และฟื้นตัวจากความผันผวนชายแดนไทย–กัมพูชา สถานการณ์นี้ผลักให้ กระทรวงแรงงาน ต้องยืนหน้าเวทีและส่ง “แพ็กเกจนโยบายเร่งด่วน” ออกมาทันที

นางสาว ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุชัดหลังมอบนโยบายแก่ผู้บริหาร ข้าราชการ หน่วยงานในสังกัด และเครือข่ายภาคเอกชนว่า ภารกิจมีสองชั้นที่ต้องเดินคู่กัน—แก้ขาดแคลนแรงงานเฉพาะหน้า และ วางรากฐานทักษะ–สวัสดิการ รองรับเศรษฐกิจดิจิทัลระยะยาว โดยมีเป้าหมายหลักคือ “ให้ระบบแรงงานไทยมั่นคง แข่งขันได้ และยืดหยุ่นพอรับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน”

 

1) ชั้นเร่งด่วน อุดช่องว่างแรงงาน 100,000 คน พร้อมคุมแรงงานผิดกฎหมาย

แกนกลางมาตรการเร่งด่วนของกระทรวงแรงงานในปีงบประมาณใหม่ แบ่งออกเป็น 3 แนวทางที่ลงมือได้ทันที

1.1 นำเข้าแรงงานภายใต้กรอบกฎหมาย (MOU ครบวงจร)

  • แรงงานศรีลังกา ครม.อนุมัติการทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อจัดส่งแรงงานศรีลังกาเข้าสู่ระบบไทย ประมาณ 10,000 คน ช่วยทดแทนกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ขาดมือ
  • เพิ่มช่องทางแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน ภายใต้กรอบ MOU เดิม โดยเร่งกระบวนการอนุญาตทำงานและตรวจสุขภาพให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อลดแรงจูงใจเข้าสู่ระบบผิดกฎหมาย

1.2 ใช้แรงงาน “ชั่วคราว” อย่างมีมนุษยธรรมและปลอดภัย

  • ผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมา ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐและมีความพร้อมทำงาน “ชั่วคราว” กระทรวงมหาดไทยแจ้งตัวเลข กว่า 42,000 คน ซึ่งจะเริ่มมีผลให้เข้าระบบแรงงานได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 โดยบูรณาการกับหน่วยงานความมั่นคงและการคุ้มครองแรงงานเพื่อป้องกันการค้ามนุษย์

1.3 เร่ง “ปรับสถานะ–ขึ้นทะเบียน” แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย

  • เดินหน้าตาม มติคณะรัฐมนตรี เปิดช่องทางขึ้นทะเบียนและตรวจสอบประวัติ เพื่อให้แรงงานนอกระบบสามารถเข้าสู่ ระบบประกันสังคม–สาธารณสุข–ภาษี ได้ถูกกฎหมาย ลดความเสี่ยงเชิงสังคม และเพิ่มการคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงาน

2) ชั้นโครงสร้าง เร่งอัป/รีสกิล, เปิดเส้นทาง “มัลติสกิล”, ยกระดับสวัสดิการแรงงานทุกกลุ่ม

ปัญหาขาดแคลนแรงงานวันนี้ ไม่ใช่เพียง “จำนวนคน” แต่คือ “ช่องว่างทักษะ” ในเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล–อัตโนมัติ ดังนั้นแพ็กเกจระยะกลาง–ยาวจึงวางไว้ 4 มิติ

2.1 อัปสกิล–รีสกิล (Up/Reskill) แบบจับมือเอกชน
กระทรวงแรงงานจะทำงานร่วมกับ สมาคมอุตสาหกรรม–สภาหอการค้า–หอการค้าไทย–สถาบันการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ ออกหลักสูตรสั้นเข้มข้นตั้งแต่ ทักษะดิจิทัลพื้นฐาน ถึง เทคโนโลยี AI/ข้อมูล ให้แรงงานในและนอกระบบ รวมถึงนักศึกษาช่วงปิดภาคเรียน “เรียนแล้วต่อยอดได้จริง” ผ่าน มาตรฐานสมรรถนะอาชีพ และ พอร์ตโฟลิโอ (Thai National Resume) เป็นเอกสารกลางเชื่อมตลาดงาน

2.2 “1 ตำบล 1 ช่างอเนกประสงค์” – เสริมแรงงานมัลติสกิลทั่วประเทศ
โครงการนี้เน้นสร้างแรงงาน Multi-Skills สำหรับงานซ่อมบำรุง บริการชุมชน ธุรกิจท้องถิ่น พร้อม ชุดเครื่องมือทำกิน หลังจบหลักสูตร เพื่อให้แรงงานมีรายได้หลายช่องทาง ลดความเสี่ยงจากการว่างงานระยะสั้น

2.3 ยกระดับสิทธิประโยชน์ประกันสังคม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ (มาตรา 40)
รัฐบาลผลักดันแก้กฎกระทรวงเพื่อขยายผลประโยชน์ 3 รายการสำคัญ

  • เงินทดแทนทุพพลภาพ จาก 1,000 → 3,000 บาท/เดือน
  • เงินสงเคราะห์บุตร จาก 200 → 300 บาท/คน
  • ค่าทดแทนขาดรายได้ระหว่างรักษาพยาบาล จาก 50 → 200 บาท/ครั้ง
    ควบคู่กับการ คุ้มครองเหตุสุดวิสัย (เช่น พื้นที่ขัดแย้งชายแดน) ให้แรงงานเข้าสู่หลักประกันอย่างทั่วถึง

2.4 ขยายตลาดงานต่างประเทศและคุ้มครองแรงงานไทยนอกแดน
เดินเครื่อง ทูตแรงงาน ใน 12 ประเทศเป้าหมาย เพื่อเปิดตลาดใหม่ เพิ่มตำแหน่งงานรายได้สูง และปกป้องสิทธิแรงงานไทยในต่างประเทศ ตั้งแต่ขั้นตอนทำสัญญา ค่าจ้าง สภาพการทำงาน ช่องทางร้องเรียน

3) กลไกกำกับดูแล ค่าแรงขั้นต่ำ บอร์ดประกันสังคม ธรรมาภิบาลกองทุน

เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่น ต่อสาธารณะ นโยบายด้านกำกับดูแลถูกวางคู่ขนานไปกับแพ็กเกจแรงงาน

  • ค่าแรงขั้นต่ำ มอบ คณะกรรมการไตรภาคี เป็นกลไกพิจารณาตามข้อมูลเศรษฐกิจจริง เพื่อให้สมดุลต่อทั้งนายจ้าง–ลูกจ้าง และความสามารถแข่งขันของประเทศ (ปีนี้มีการปรับแล้ว 2 ครั้ง ส่วนกรอบ “400 บาท” ให้ไตรภาคีชี้ขาดตามหลักเกณฑ์)
  • บอร์ดประกันสังคม ยืนยันดำเนินการสรรหาตามกรอบกฎหมายตามกำหนด เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศด้านนโยบาย
  • ตรวจสอบการลงทุนกองทุน (กรณีอาคาร Skyy9)  สั่ง คณะกรรมการตรวจข้อเท็จจริง เร่งรายงานผลเบื้องต้นภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังและความโปร่งใส

“นโยบายทั้งหมดนี้มุ่งแก้โจทย์เร่งด่วนไปพร้อมกับวางรากฐานระยะยาว ระบบแรงงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานทุกกลุ่ม” — นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

4) มองจาก “พื้นที่จริง” เชียงรายต้องการอะไรในสถานการณ์นี้

แม้ปัญหาแรงงานดูเหมือนเป็น “ภาพรวมประเทศ” แต่ในพื้นที่ชายแดนเหนืออย่าง เชียงราย ความหมายของคำว่า “แรงงานขาดแคลน” มีรายละเอียดเฉพาะตัวและเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจฐานรากโดยตรง

4.1 โครงสร้างเศรษฐกิจของเชียงราย เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ชายแดน
เชียงรายยืนอยู่บนฐาน เกษตรและเกษตรแปรรูป (ชา กาแฟ พืชเมืองหนาว), บริการท่องเที่ยว (โฮมสเตย์–ชุมชน), และ โลจิสติกส์การค้าชายแดน (ด่านแม่สาย–เชียงของ– R3A เชื่อม สปป.ลาว–จีนตอนใต้) กิจกรรมเหล่านี้ต้องพึ่งแรงงานจำนวนมากในฤดูกาลที่ต่างกัน และต้องใช้ ทักษะผสมผสาน ตั้งแต่ช่างเครื่องจักรแปรรูปเบื้องต้น, งานคลังสินค้า–ศุลกากร, จนถึงบริการท่องเที่ยวที่ใช้ภาษา–ดิจิทัล

4.2 แพ็กเกจเร่งด่วนของส่วนกลาง จะ “ลงดอย” อย่างไร

  • การเปิดทาง ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่พร้อมทำงานชั่วคราว มีความหมายกับจังหวัดชายแดนโดยตรง เพราะช่วย “คงการผลิต” ในช่วงฤดูกาลและลดแรงกดดันค่าจ้างระยะสั้น ขณะเดียวกันต้องตามด้วย การคุ้มครองแรงงาน–สาธารณสุข–ความปลอดภัย อย่างเคร่งครัด
  • MOU ศรีลังกา และการเร่งขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวจะช่วยภาคโลจิสติกส์–ก่อสร้าง–บริการ ที่กำลังขยายตัวตามการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวฟื้นตัว
  • อัป/รีสกิล ในเชียงรายควรเน้น “ทักษะตรงงาน” เช่น ดิจิทัลซัพพลายเชน–อีคอมเมิร์ซข้ามแดน–ภาษาพม่า/จีนระดับทำงาน–ช่างซ่อมบำรุงเครื่องมือเกษตร–ไกด์ท้องถิ่นดิจิทัล เชื่อมกับแผนจังหวัด (เช่น แนวทาง Wellness/Astro Tourism และเกษตรคุณภาพสูง) เพื่อให้คนท้องถิ่นได้ “งานดี–รายได้มั่นคง” ที่บ้านเกิด

4.3 ประเด็นที่จังหวัดควรทำทันที (เชื่อมกระทรวงแรงงาน)

  1. ตั้ง Job Matchpoint รายอำเภอ – ศูนย์จับคู่งาน–แรงงานแบบ One Stop (สมัครงาน–ขึ้นทะเบียน–ทดสอบทักษะ–นัดสัมภาษณ์) ให้เสร็จในวันเดียว
  2. เปิด “คลินิกทักษะ” รายสัปดาห์ – หลักสูตรสั้น 12–30 ชั่วโมงสำหรับงานจริง (เวิร์กช็อปอีคอมเมิร์ซ, ซอฟต์สกิลบริการ, ภาษาจำเป็น, ช่างเบื้องต้น) รับใบรับรองเข้า Thai National Resume อัตโนมัติ
  3. พัฒนานายจ้างรายย่อย – ชวน SMEs เกษตร–ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ ใช้ มาตรฐานค่าแรง–สวัสดิการ เป็นจุดขายดึงคนกลับบ้าน พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องกฎหมายแรงงาน–ประกันสังคม

ในบริบทเชียงราย เป้าหมายไม่ใช่แค่ “พอมีแรงงาน” แต่คือ “แรงงานที่เหมาะกับโครงสร้างเศรษฐกิจจังหวัด” และ “คนท้องถิ่นมีทักษะพอจะได้งานคุณภาพในบ้านเกิด”—สิ่งนี้ต้องอาศัยแพ็กเกจกลาง + กลไกจังหวัดที่ทำงานร่วมกันจริงจัง

5) มุมมองความยั่งยืน นำผู้หนีภัยเข้าทำงานช่วยระยะสั้น แต่คำตอบระยะยาวคือ “ทักษะ–ผลิตภาพ–สวัสดิการ”

คำถามปลายเปิดที่สังคมตั้งไว้—การนำผู้หนีภัยฯ เข้ามาเป็นแรงงานทดแทนชั่วคราว จะแก้ปัญหาขาดแคลนได้ยั่งยืนหรือไม่?”—คำตอบตามหลักเศรษฐศาสตร์แรงงานคือ ช่วยได้ในมิติ “ปริมาณ” ระยะสั้น โดยเฉพาะฤดูกาลและอุตสาหกรรมที่ต้องการแรงงานกายภาพจำนวนมาก แต่ ความยั่งยืน ขึ้นกับ 3 เงื่อนไข

  1. ผลิตภาพแรงงานไทยสูงขึ้นจริง จากการอัป/รีสกิลและการยกเครื่องกระบวนการผลิตด้วยดิจิทัล–อัตโนมัติ
  2. ตลาดงานสะท้อนทักษะ – ค่าแรง–สวัสดิการ–เส้นทางความก้าวหน้าต้องจูงใจพอให้คนเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ขาดแคลน
  3. การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง – ทุกคนที่เข้าทำงานได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ปิดช่องการค้ามนุษย์/แรงงานบังคับ และสร้างสนามแข่งขันที่เป็นธรรมต่อนายจ้างไทย

หาก 3 เงื่อนไขนี้เดินคู่กัน นโยบายชั่วคราวจะกลายเป็น “สะพาน” สู่โครงสร้างแรงงานที่แข็งแรงกว่าเดิม

6) กล่องข้อมูล สัญญาณ “ชวนคิด” จากแพ็กเกจกระทรวงแรงงาน

  • 100,000 – ประมาณการตำแหน่งงานว่างจากผลกระทบชายแดนไทย–กัมพูชา
  • 42,000 – ผู้หนีภัยจากเมียนมาที่ “พร้อมทำงานชั่วคราว” ภายใต้กรอบรัฐ เริ่มใช้ได้ 1 ต.ค. 2568
  • 10,000 – โควตาแรงงานศรีลังกาจาก MOU ที่ ครม.อนุมัติ
  • 3,000/200/300 บาท – ชุดตัวเลขใหม่สิทธิประโยชน์มาตรา 40 (ทุพพลภาพ/ค่ารักษาพยาบาลต่อครั้ง/สงเคราะห์บุตร) ตามแนวทางที่กระทรวงเสนอปรับปรุง
  • 12 ประเทศ – เครือข่าย ทูตแรงงาน เป้าหมายเปิดตลาดงานรายได้สูงให้แรงงานไทย

 “แรงงาน” คือเศรษฐกิจ และ “ศักดิ์ศรีแรงงาน” คือความมั่นคงของประเทศ

การอุดช่องว่างแรงงานหนึ่งแสนตำแหน่งด้วยมาตรการนำเข้า–ชั่วคราว–ขึ้นทะเบียน เป็น ยาด่วนที่จำเป็น ในห้วงเวลาเร่งด่วน แต่การทำให้ระบบแรงงานไทย “แข็งแรง” ต้องการ วัคซีนโครงสร้าง—อัปทักษะ, ปรับค่าจ้างตามผลิตภาพ, สวัสดิการทั่วถึง, ตลาดงานโปร่งใส, กองทุนมั่นคง และธรรมาภิบาลที่ตรวจสอบได้

เชียงราย—ฐานเศรษฐกิจชายแดนและชนบทบนดอย—คือตัวอย่างพื้นที่ที่เห็นภาพชัด เมื่อแรงงานมีทักษะที่ตรงกับเศรษฐกิจท้องถิ่น, ธุรกิจมีคนทำงานพอและพร้อม, และรัฐกำกับดูแลอย่างยุติธรรม—รายได้จะเกิดในบ้านเกิด และความเหลื่อมล้ำจะค่อย ๆ ลดลง

“วิกฤตแรงงาน” ครั้งนี้จึงอาจเป็น โอกาสของประเทศ หากเราทำให้ทุกตำแหน่งว่างในวันนี้ กลายเป็น ตำแหน่งงานที่ดีกว่าเดิม สำหรับคนไทยในวันพรุ่งนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงแรงงาน
  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
  • สำนักงานประกันสังคม (สปส.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พาณิชย์เดินเครื่องลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี ด้วย 7 นโยบาย Quick Big Win

ศุภจี” คลายปมเศรษฐกิจด้วย 7 นโยบายพาณิชย์ เดินเครื่อง “Quick Big Win” ลดภาระประชาชน–หนุนส่งออก–อุดช่องโหว่การค้า ดึงเอกชนสุขภาพร่วมลดค่ายากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท/ปี

กรุงเทพฯ, 2 ตุลาคม 2568 — ใเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการจากส่วนกลาง พาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์จากกว่า 50 แห่งทั่วโลก “เสียงสัญญาณ” ของการเปลี่ยนเกียร์เศรษฐกิจดังชัด เมื่อ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศ 7 นโยบายสำคัญ ที่จะเดินหน้าแบบ “Quick Big Win”—ทำสั้น ให้ได้ผล และกระจายประโยชน์เร็ว—โดยไม่ละทิ้งเป้าหมายการวาง “รากฐานยั่งยืน” สำหรับเศรษฐกิจไทยระยะยาว

สารตั้งต้นของนโยบายชุดนี้มีสองชั้นความหมายที่ขนานกันเดิน ชั้นแรกคือ การคลี่คลายปมเร่งด่วน—ภาษี การค้าชายแดน ค่าครองชีพ เกษตร—เพื่อบรรเทาความเปราะบางของครัวเรือนและผู้ประกอบการ หลังเผชิญความผันผวนต่อเนื่องหลายปี ชั้นที่สองคือ การวางรางวิ่งใหม่ ผ่าน FTA ดิจิทัลเทรด และการใช้ AI กับกฎระเบียบ เพื่อให้เศรษฐกิจไทย ก้าวจากการตามให้ทัน ไปสู่การนำบางสมรภูมิ

1) ภาษีสหรัฐฯ–ข้อตกลงภาษีต่างตอบแทน (ART) และ “ดิจิทัล C/O” ปิดช่องทุจริต–เร่ง AD ด้วย AI

กระทรวงพาณิชย์วางหมุดวันที่ ธันวาคม 2568 สำหรับการสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ เดินคู่กับการยกระดับ กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิด (C/O) สู่ ดิจิทัลเต็มรูปแบบ ซึ่งผลลัพธ์เริ่มชัด—จาก “หลักร้อยกรณี/ปี” ของเอกสารปลอม เหลือ 5 กรณีในปี 2567 และ ไม่พบในปี 2568

อีกด้านหนึ่ง กระบวนการ ตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping AD) ที่เคยกินเวลายาว 12–18 เดือน จะถูก บีบเหลือ 9 เดือน ด้วยการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล และพิสูจน์หลักฐาน เพื่อ คุ้มครองผู้ประกอบการไทยเร็วขึ้น ลดความเสียหายจากการแข่งขันไม่เป็นธรรมในตลาดโลก

สัญญาณต่อผู้ส่งออก ชัดเจนว่าไทยกำลัง “ปัดฝุ่นเครื่องมือ” ให้เข้ายุค—โปร่งใส คล่องตัว และเชื่อมโยงข้อมูลข้ามหน่วยงานได้จริง ซึ่งจะสะท้อนเป็นความเชื่อมั่นจากคู่ค้า และลดความเสี่ยงจากปัญหาสินค้าสวมสิทธิที่บั่นทอนเครดิตประเทศ

2) การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา ช่วยคน–ช่วยร้านเล็ก–เร่งหาตลาดทดแทน

ภายใต้สถานการณ์ชายแดนที่ผู้ค้าหลายพื้นที่ รายได้สะดุด กระทรวงพาณิชย์จัดชุดมาตรการตรงจุด—ตั้งแต่ มหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ, สนับสนุนค่าขนส่งฟรี 100 บาท/ชิ้น ร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย เพื่อพยุง ผู้ประกอบการรายย่อย, จัดช่องทางตลาดใหม่ทดแทน พร้อมสั่งการ พาณิชย์จังหวัด ใน 7 จังหวัดชายแดน ให้ อยู่หน้างาน ประสานงานใกล้ชิดประชาชนและผู้ค้า

มาตรการชุดนี้มี จุดเน้นเชิงคุณภาพ คือรักษา “ชีพจรกิจกรรมเศรษฐกิจ” ไม่ให้สะดุด—เมื่อชายแดนฝั่งหนึ่งชะลอ ก็ เลี้ยวหาตลาดใหม่ ให้ร้านเล็กอยู่รอดได้ระหว่างรอการฟื้นตัว

3) FTA และบุกตลาดใหม่ จับชีพจรโลก–ต่อท่อโอกาส

บนเข็มนาฬิกาการค้าโลก ไทยพุ่งเป้าหลายแนวรบพร้อมกัน

  • FTA ไทย–เอฟตา (EFTA) ตั้งใจให้ มีผลบังคับใช้ในครึ่งแรกปี 2569
  • FTA ไทย–อียู พยายาม ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาส 1/2569
  • FTA ไทย–เกาหลีใต้ ตั้งใจ ปิดดีลภายในปี 2568

ควบคู่กันคือการใช้เครือข่าย ทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่ง “บุกตลาดใหม่” ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย–ยูเออี), แอฟริกาใต้, เอเชียใต้ (อินเดีย) และ อาเซียน (เวียดนาม) โดยใช้รูปแบบ จับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย (B2B Matching) และกิจกรรมเจรจา เชิงรุก–เฉพาะสินค้า เพื่อดึงดีมานด์ที่สอดคล้องกับ โครงสร้างการผลิตไทย มากกว่าเกมปริมาณ

ตัวเลขคาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์ตั้งความหวังต่อภาพรวมการส่งออก ปีนี้โต 6–7% สูงกว่าเป้าเดิม—ตัวเลขที่สะท้อนความเชื่อว่าการเปิดตลาดใหม่และเครื่องมือ FTA จะกลบแรงต้านจากเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เต็มแรง

4) ดูแลค่าครองชีพ ธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี + จับมือโรงพยาบาลเอกชน เปิดราคายาเปิดทางเลือกซื้อยานอก รพ.

ด้าน ค่าครองชีพ—หัวใจของเศรษฐกิจครัวเรือน—กระทรวงพาณิชย์ประกาศเดินหน้า มหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้ง/ปี เป้าหมาย ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อม “ดีลใหญ่” ในภาคสุขภาพ MOU กับ โรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่ง ให้ เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน และ เปิดทางเลือกให้ซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล ซึ่ง คาดลดรายจ่ายประชาชนได้ราว 32,400 ล้านบาท/ปี ทั้งยังช่วย ลดความแออัดโรงพยาบาลรัฐ และเสริมให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นด้วยความเชื่อมั่นใน ความโปร่งใสของราคา

เสียงสะท้อนจากเอกชนสุขภาพ นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ระบุสมาคมฯ ยินดีร่วมมือ ชี้หลายโรงพยาบาลประกาศราคาและส่งข้อมูลดิจิทัลให้กระทรวงอยู่แล้ว และพร้อมยกระดับให้ “เห็นชัด ประกอบการตัดสินใจได้จริง” โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมหารือรายละเอียดร่วมกับกระทรวงพาณิชย์

ภาพใหญ่ของมาตรการนี้สอดคล้องกับบริบทตลาด ttb analytics ที่ประเมินว่า รายได้รวมภาคโรงพยาบาลเอกชนปี 2567 แตะ 3.22 แสนล้านบาท โตต่อเนื่องจากโครงสร้างประชากรและความต้องการบริการสุขภาพ—จังหวะนโยบายจึงมุ่ง เพิ่มทางเลือกและความโปร่งใส เพื่อลดภาระประชาชน โดยไม่บั่นทอนมาตรฐานการให้บริการของเอกชน

5) รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โฟกัส “ข้าว” และการเชื่อมส่งออก

สำหรับภาคเกษตร—กระดูกสันหลังของเศรษฐกิจฐานราก—กระทรวงวาง แพ็กเกจเสถียรภาพราคา โดยเฉพาะ ข้าว ที่คาดผลผลิตปีนี้ 21.8 ล้านตัน และมี สต๊อก 3.5 ล้านตัน มาตรการประกอบด้วย สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อชะลอการขาย, บทบาทสหกรณ์รับสต๊อก, ช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ส่งออก จะเร่งการขายทั้ง จีทูจีกับจีน (ขึ้นจาก 280,000 ตัน 500,000 ตัน) และการทำ MOU กับญี่ปุ่น–สิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตา

เหนือมาตรการเชิงปริมาณ กระทรวงยังผลักดัน การปรับตัวสู่พืชคุณภาพสูง—เช่นสินค้าที่มี GI หรือพืชที่ตลาดเฉพาะต้องการ—เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันราคาต่ำและความผันผวนสภาพอากาศ ซึ่งจะยกระดับ รายได้ต่อไร่ มากกว่าการยึดติดแต่ปริมาณผลผลิต

6) เสริมแกร่ง SMEs เปิดตลาดยกระดับมาตรฐานเทคโนโลยีการค้า

SMEs ไทยเป็นทั้ง ผู้จ้างงานหลัก และ ต้นทางนวัตกรรมท้องถิ่น นโยบายจึงมุ่งสามแนว

  1. เข้าถึงตลาดใหม่—เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา—ผ่านเครื่องมือทูตพาณิชย์และโครงการเจรจาเฉพาะภูมิภาค
  2. ยกระดับคุณภาพความน่าเชื่อถือ ด้วยตรารับรองอย่าง Thailand Trust Mark และ Thai SELECT เพื่อให้ “แบรนด์ไทย” ข้ามพรมแดนได้ง่าย
  3. เครื่องมือดิจิทัลของรัฐ ผ่านแพลตฟอร์ม “MOC+” เป็น One-Stop ให้ SMEs เข้าถึงข้อมูลสิทธิประโยชน์คำปรึกษาสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ลดต้นทุนเวลาในการทำธุรกรรมกับรัฐ

7) ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์อุปสงค์อุปทาน และดัน e-Commerce ท้องถิ่นสู่สากล

บนสนามกฎระเบียบ กระทรวงตั้งเป้า ไล่เคลียร์อุปสรรค ที่ขัดการทำธุรกิจ และนำ AI มาช่วย เก็บวิเคราะห์ข้อมูลอุปสงค์–อุปทาน เพื่อออกมาตรการเท่าทันสถานการณ์อย่าง แม่นเร็วตรงจุด ควบคู่กับการขยาย ช่องทาง e-Commerce ให้ สินค้าท้องถิ่น เข้าถึงลูกค้าต่างประเทศ—จาก OTOP สู่ “Global Niche Brand” ที่ขายเรื่องราวและมาตรฐานมากกว่าราคาต่อชิ้น

“Quick Big Win” ที่ไม่ใช่แค่คำ จากตัวชี้วัดสู่ผลลัพธ์ครัวเรือน

คำว่า Quick Big Win จะเป็นแค่วาทกรรมไม่ได้—กระทรวงจึงชูตัวชี้วัดที่ เห็นผลในชีวิตจริง

  • ยาและเวชภัณฑ์  หาก MOU กับเอกชนเดินเต็มรูปแบบ การเปิดเผยราคาและทางเลือกซื้อยานอก จะ ลดรายจ่ายได้กว่า 3.2–3.4 หมื่นล้านบาท/ปี ตามกรอบที่ประกาศ พร้อมช่วย ลดแออัด รพ.รัฐ
  • ทุจริตเอกสารการค้า  ดิจิทัล C/O ทำให้คดียุบจาก หลักร้อย 5 → 0 ในสองปี—คือการฟื้น เครดิตการค้าไทย ด้วยข้อมูลจริง
  • AD เร็วขึ้น  จาก 12–18 เดือน เหลือ 9 เดือน—คือการลด ความเสียหาย ผู้ประกอบการในโลกการแข่งขันกดดันสูง
  • ธงฟ้า 1,300 ครั้ง ลด ภาระค่าครองชีพ 5,000 ล้านบาท/ปี—ตัวเลขที่สะท้อนการส่งแรงช่วยตรงถึงกระเป๋าประชาชน

หากย้อนมองจาก “เชียงราย” เมืองชายแดนเกษตรท่องเที่ยว

สำหรับ เชียงราย และกลุ่มจังหวัด ล้านนาตะวันออก นโยบายชุดนี้มีผลที่จับต้องได้หลายมิติ

  1. การค้าชายแดน การรักษาช่องทางค้าข้ามแดน—ทั้งทดแทนและเพิ่มเติม—สำคัญต่อเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงของ–แม่สาย การบุกตลาดตะวันออกกลางเอเชียใต้ เชื่อมกับ โลจิสติกส์ระบบราง ที่กำลังเปิดหน้าใหม่ จะต่อท่อโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมากขึ้น
  2. เกษตร เชียงรายเป็น “ฐานข้าว–พืชคุณภาพ–กาแฟ–ชา” มาตรการชะลอขาย–สหกรณ์–ผลักดัน GI/พรีเมียม จะช่วยให้ ราคาหน้าฟาร์มมีเสถียรภาพ และยก มูลค่าเพิ่ม ในสินค้าที่มีเรื่องเล่าและแหล่งกำเนิดชัด
  3. SMEs–ท่องเที่ยว ตรารับรองแพลตฟอร์ม MOC+ และ e-Commerce จะช่วยให้แบรนด์ท้องถิ่นเข้าถึงลูกค้าไกลกว่าตลาดเดิม ขณะที่แพ็กเกจ FTA/ตลาดใหม่ สามารถกลายเป็น “รันเวย์สู่ต่างประเทศ” ของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงราย
  4. ค่าครองชีพ–สุขภาพ ทางเลือกซื้อยานอกโรงพยาบาลเอกชน—เมื่อขยายครอบคลุมจังหวัดท่องเที่ยว–ชายแดน—จะช่วย ลดค่าใช้จ่ายฉับพลัน ให้ครัวเรือน โดยไม่ต้องรอคิวในระบบรัฐในกรณีโรคทั่วไป

เสียงสะท้อนและโจทย์ต่อไป

แม้สมาคมโรงพยาบาลเอกชนจะ ยินดีร่วมมือ แต่ก็สะท้อนความจริงว่า ต้นทุนโรงพยาบาลเอกชนต่างจากร้านยาภายนอก (เภสัชกร มาตรฐานเก็บรักษา ระบบควบคุมคุณภาพ) จึงต้องออกแบบมาตรการให้ สมดุล—โปร่งใส—แข่งขันเป็นธรรม เพื่อให้คุณภาพการรักษาไม่ถดถอย ขณะเดียวกัน ฝ่ายรัฐจำเป็นต้อง สื่อสารข้อมูลราคา ให้ประชาชนเข้าใจบริบทต้นทุน เพื่อการตัดสินใจที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ด้าน FTA แม้เป็น รันเวย์ระยะยาว แต่ความสำเร็จขึ้นกับ ศักยภาพแข่งขัน ภายในประเทศ—ตั้งแต่ กฎระเบียบอำนวยความสะดวก, โลจิสติกส์–ดิจิทัล, ไปจนถึง ทักษะแรงงาน ที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ถ้าการเปิดตลาดเร็วกว่า ยกระดับขีดความสามารถ ไทยอาจเจอ “การบ้านในบ้าน” ที่หนักหน่วงพอกัน

เมื่อ Quick Win ต้องวางคู่กับ “ฐานยั่งยืน”

ท้ายที่สุด ศุภจี สรุปทิศทางว่า “สิ่งที่ขับเคลื่อนวันนี้ ไม่ใช่แค่ Quick Win แต่คือการ วางรากฐาน ที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชน”—คำกล่าวที่วางกรอบการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ในบทบาท ตัวเชื่อม” ระหว่างครัวเรือนไทย–ผู้ประกอบการ–ตลาดโลก

ในห้วงเวลาที่ครัวเรือนเผชิญค่าครองชีพสูง—ตั้งแต่ตะกร้าสินค้าจนถึงค่ายา—นโยบายที่ ลดรายจ่ายทันที ควบคู่กับการ ต่อท่อรายได้ใหม่ จาก FTA และตลาดเกิดใหม่ คือสูตรที่ รักษาลมหายใจระยะสั้น และ บ่มเพาะความแข็งแรงระยะยาว ไปพร้อมกัน

หาก ตัวเลขคดี C/O ปลอมเหลือศูนย์, AD เร็วขึ้นเป็น 9 เดือน, ธงฟ้าลดค่าใช้จ่ายได้ตามเป้า, และ MOU ด้านยาสุขภาพ ขยายครอบคลุมจนประชาชนรู้สึกได้จริง—“Quick Big Win” จะกลายเป็นมากกว่าวลีในสไลด์ แต่เป็น การเปลี่ยนสมการชีวิตของผู้คน ที่ปลายทางของนโยบาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงพาณิชย์ (Ministry of Commerce, Thailand)
  • กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
  • กรมการค้าภายใน
  • กรมการค้าต่างประเทศ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์/พาณิชย์จังหวัด
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) / กรมการค้าต่างประเทศ
  • สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics)
  • Hfocus/สื่อสาธารณสุขเชิงนโยบาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

แผน 20 ปี เชียงราย สู่เมืองสร้างสรรค์-สุขภาพ-โลจิสติกส์ โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงรายเร่งทบทวนแผน 20 ปี สู่ “มหานครชายแดน” เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์–เมืองสุขภาพ–โลจิสติกส์เชื่อม GMS ถ้าทำครบเกมรุก โอกาสยืนแถวหน้าภาคเหนือ

เชียงราย, 30 กันยายน 2568 — ห้องประชุมของโรงแรมเอ็มบูทีค รีสอร์ท เมืองเชียงราย แน่นขนัดไปด้วยตัวแทนกว่า 250 คน จากภาครัฐ ภาควิชาการ เอกชน และท้องถิ่น ภายใต้โจทย์เดียวกันว่า “แผน 20 ปี ของเชียงราย” ต้องถูก “ปรับจูน–ประกบ–เร่งเครื่อง” ให้เท่าทันโลกและบริบทใหม่ เพื่อขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ เชียงราย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เมืองแห่งสุขภาพ เศรษฐกิจชายแดนเข้มแข็ง พัฒนาอย่างยั่งยืน” ไปให้ถึงเส้นชัยตามกรอบ พ.ศ. 2566–2585

การประชุมเชิงปฏิบัติการฉบับทบทวนครั้งนี้มี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน และมี น.ส.ปัทมาภรณ์ จันทรคณา ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดฯ ชี้แจงกรอบดำเนินการ ว่าการทบทวนนี้สอดคล้องแนวทางของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ (ก.น.บ.) ที่กำหนดให้ทุกจังหวัดปรับเป้าหมายพัฒนา “ทุก 5 ปี” เพื่อไม่ให้แผนระยะยาวล้าสมัย และเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเชื่อมโยงกับเป้าหมายที่อัปเดตแล้วจริง

เส้นเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน จากจังหวัดปลายทางท่องเที่ยว สู่มหานครชายแดนที่ยั่งยืน

คำถามที่ทุกคนเฝ้าฟังคำตอบคือ—ถ้าทำตามแผนได้ครบ เชียงรายจะยืนอยู่จุดไหน?”
คำตอบถูกวางไว้ชัดในเอกสารประชุม เชียงรายจะก้าวเป็น “Sustainable Border Metropolis” เมืองชายแดนที่เติบโตด้วยความคิดสร้างสรรค์และสุขภาพ เชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับจีน–ลาวผ่านระเบียงเศรษฐกิจ R3A/NSEC และยืนหยัดด้วย “โครงสร้างพื้นฐานแข็งแรง–ซอฟต์เพาเวอร์ทรงพลัง–ฐานรากเข้มแข็ง–สิ่งแวดล้อมสมดุล”

4 ช่วงเวลา 20 ปี จังหวะก้าวที่ถูกกำหนด

  • ช่วงที่ 1 (2566–2570): ยกระดับสู่เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ เชิงสุขภาพ เกษตรปลอดภัย—สร้างแบรนด์และจุดจำหน่าย/กิจกรรมที่หนุนเศรษฐกิจฐานราก
  • ช่วงที่ 2 (2571–2575): เร่งผลักดัน UNESCO Creative City และ Geopark, เปิดใช้โครงสร้างพื้นฐานหลัก, เดินเครื่อง Smart City และ “นวัตกรรมการแพทย์”
  • ช่วงที่ 3 (2576–2580): ขยายบทบาทสู่ ศูนย์กลางสุขภาพในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ดัน “เกษตรมูลค่าสูง” และจัดการทรัพยากรแบบสมดุล
  • ช่วงที่ 4 (2581–2585): ปิดเกมด้วย เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง, เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง, เมืองคาร์บอนต่ำ, และ สังคมร่วมสมัยที่เท่าเทียม

จุดเด่นที่ “เริ่มทำแล้ว” ฐานรากกับฟันเฟืองที่หมุนอยู่จริง

ตลอดสองปีแรกของแผน จังหวัดรายงาน “ความคืบหน้าเชิงรูปธรรม” หลายมิติ ซึ่งเป็น “หมุดหมายตั้งต้น” ของการเปลี่ยนผ่าน

1.เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ / Soft Power เมือง

  • เชียงรายเดินเกมแบรนด์เมืองต่อเนื่อง ภายใต้กรอบเมืองสร้างสรรค์ และกิจกรรมระดับนานาชาติ (เช่น เทศกาลบอลลูนนานาชาติที่คว้ารางวัล) เพื่อยกระดับการรับรู้ พร้อมโยงสู่การยกระดับมูลค่าสินค้าเกษตร–หัตถกรรม ด้วยดีไซน์/เรื่องเล่าที่จับใจ
  • เมืองหันจากการขาย “สถานที่” ไปสู่การขาย “ประสบการณ์” และ “อารมณ์ร่วม”—ตั้งแต่งานออกแบบเชิงวัฒนธรรมล้านนา จนถึงผลิตภัณฑ์กาแฟ/ชา/สิ่งทอที่เล่าเรื่องชุมชนได้
  1. เมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) รับบท “สมองและหัวใจ” ของนวัตกรรมสุขภาพจังหวัด ผลักดันองค์ความรู้/งานวิจัย/หลักสูตร/บริการ เพื่อยกระดับบริการสุขภาพ–ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ผลิตภัณฑ์สมุนไพร/อาหารสุขภาพ ที่มีรากจากภูมิปัญญาล้านนา
  • สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลเครือข่าย เดินเกม “สุขภาพไปหาเมือง” เช่น โมเดลคลินิก/จุดตรวจ/ฉีดวัคซีนในพื้นที่ใช้ชีวิตจริง (ศูนย์การค้า/ชุมชน) ลดความแออัดโรงพยาบาลใหญ่ สร้างวัฒนธรรม “ดูแลตัวเองเป็นกิจวัตร”

2.ศูนย์กลางโลจิสติกส์และการค้าชายแดน

  • รถไฟทางคู่ เด่นชัย–เชียงของ รายงานความก้าวหน้าประมาณ 41% (คาดเปิดใช้งาน พ.ศ. 2571) ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่เชื่อมเหนือ-ลุ่มน้ำโขง-จีน บทบาท “ด่านเชียงของ/สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4” จะยิ่งโดดเด่น
  • โครงข่ายถนน/อุโมงค์/ทางลอดสำคัญในเมืองเดินหน้า (เช่น ทางลอดแยกศูนย์ราชการ), ระบบเชื่อม R3A ได้รับการเร่งรัด เพื่อรองรับคน–ของ–บริการสุขภาพข้ามแดน
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง (CEI) อยู่ในแผนยกระดับความจุและบริการ ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะเป็น “หมุดธุรกิจ” เสริมบทบาทการบิน/ท่องเที่ยว/ขนส่งในอนาคต

ถ้าดึง 3 ฟันเฟืองนี้ประสานกัน—การเดินทางสะดวก (Rail/Road/Air), เมืองมีซอฟต์เพาเวอร์จริงจัง, และบริการสุขภาพ–นวัตกรรมเข้าที่—เชียงรายจะเปลี่ยน “สถานะ” ทางเศรษฐกิจของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ

ถ้าทำครบ…เชียงรายจะยืนตรงไหนในแผนที่เศรษฐกิจ–สังคมของภาคเหนือและ GMS?

  1. เมืองท่องเที่ยวสร้างสรรค์ปลายทาง
    สถานะ UNESCO Creative City (และแผน Geopark) จะเป็น “ตราประทับคุณภาพ” ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เชื่อมกิจกรรมศิลปะ–วัฒนธรรม–การออกแบบ–เทศกาล สู่ผลิตภัณฑ์/บริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น ชุมชนมีรายได้กระจาย ไม่ใช่กระจุกในแลนด์มาร์กไม่กี่แห่ง
  2. ศูนย์กลางสุขภาพ GMS
    ด้วย “บันได 3 ขั้น”—(ก) โครงสร้างพื้นฐานเข้าถึงง่าย, (ข) นวัตกรรมการแพทย์/ผลิตภัณฑ์สุขภาพจาก มฟล.–สาธารณสุข, (ค) แพ็กเกจ Wellness & Medical Tourism—เชียงรายสามารถเป็น ศูนย์กลางส่งเสริมสุขภาพ สำหรับผู้คนจากลาว–เมียนมา–จีนตอนใต้–นักเดินทางระหว่างประเทศ ที่ต้องการบริการคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้
  3. ศูนย์กลางโลจิสติกส์–การค้าชายแดน
    รถไฟทางคู่ไปถึงเชียงของ = ลดต้นทุน–เวลา ขยายคลัง/ศูนย์กระจายสินค้า/แปรรูป–บรรจุภัณฑ์ เกิดงานบริการต่อเนื่อง (ขนส่งเย็น, e-commerce cross-border, QC/มาตรฐานอาหารปลอดภัย) เมืองกลายเป็น “เครือข่ายศูนย์” ไม่ใช่ “ปลายเส้นทาง”
  4. เมืองคาร์บอนต่ำและสังคมเท่าเทียม
    โลจิสติกส์ระบบราง + ผังเมืองที่ดี + พลังงานสะอาด + การจัดการของเสีย–มลพิษ หมายถึงเส้นทางสู่ Net-Reduction ที่จับต้องได้ ขณะที่การกระจายรายได้ด้วยเศรษฐกิจสร้างสรรค์/สุขภาพ/โลจิสติกส์ จะค่อย ๆ อุดช่องว่าง SDG 1 (ความยากจน) ให้แคบลง

แต่ “จุดเสี่ยง–คอขวด” ก็ใหญ่พอ ๆ กับความฝัน

  • SDG 9 (นวัตกรรม–โครงสร้างพื้นฐาน) หากงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล, ศูนย์ทดสอบ–มาตรฐาน, Sandbox นวัตกรรมเมือง ไม่ขยับเร็ว แพลน Smart City/HealthTech ในระยะที่ 2 จะช้า
  • SDG 7 (พลังงานสะอาด) เมืองคาร์บอนต่ำในระยะที่ 4 ต้องเริ่มลงทุน “วันนี้”—โซลาร์บนหลังคาสาธารณะ/เอกชน, EV logistics, โรงไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล–เศษวัสดุเกษตร, ศูนย์รีไซเคิล–แยกขยะต้นทาง
  • SDG 1 (ความยากจน) ถ้า “มูลค่าเพิ่ม” ไม่ซึมถึงฐานราก—เกษตรกร/แรงงานนอกระบบ/ผู้สูงอายุ การเติบโตจะกระจุก ไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องออกแบบ “Product–Skill–Market” สำหรับฐานรากอย่างเป็นระบบ

Roadmap เร่งด่วน 3 ข้อ (เพื่อไม่ให้พลาดโค้งสำคัญใน 5 ปีแรก)

  1. ทำ SDG 9 และ 7 ให้เป็น “KPI ข้ามหน่วยงาน”
    ตั้งงบกลางจังหวัดสำหรับ ดิจิทัลโครงสร้างพื้นฐานเมือง/ห้องทดลองมาตรฐาน และ โครงการพลังงานสะอาดในสถานที่สาธารณะ ที่วัดผลได้—เชื่อมตรงกับเป้าหมาย Smart City–คาร์บอนต่ำ
  2. ใช้ “จังหวะรถไฟ–R3A–สนามบิน” เป็นเครื่องเร่ง
    ก่อนรถไฟเปิดเต็มระบบ ควรทำ แพ็กเกจโลจิสติกส์–ท่องเที่ยว–สุขภาพ ทดลองตลาดจีนตอนใต้/CLMV ผ่านถนน R3A พร้อมเชื่อมปฏิบัติการสนามบิน/ศูนย์ซ่อมบำรุง (MRO) ที่กำลังยกระดับ
  3. ยก “ดีไซน์” เป็นวาระจังหวัด–บ่มเพาะผู้ประกอบการฐานราก
    ต่อท่อความรู้จากมหาวิทยาลัย/ดีไซเนอร์ ไปยังเกษตรกร–วิสาหกิจชุมชน—ให้มีงบ “ออกแบบ–ต้นแบบ–แบรนด์–คอนเทนต์–ตลาดออนไลน์” แบบมืออาชีพต่อเนื่อง 3 ปี เพื่อแปลง Soft Power เป็นรายได้จริง

เสียงจากเวทีและหมายเหตุเชิงนโยบาย

แม้เวทีวันนี้จะเป็นเชิงเทคนิค แต่สารตั้งต้นจากฝ่ายยุทธศาสตร์จังหวัดชัดเจน “ไม่ใช่แค่ทำแผนให้ครบ เรายิ่งต้อง ‘ทำงานแบบเครือข่าย’” — ภาครัฐ (จังหวัด/อำเภอ/อปท.), มหาวิทยาลัย (มฟล./มหาวิทยาลัยในพื้นที่), สาธารณสุข, เอกชน (ท่องเที่ยว–โลจิสติกส์–การแพทย์–การบิน), ชุมชน ต้อง “ล็อกเป้าร่วม” และ “รายงานผลร่วม” ทุก 6–12 เดือน เพื่อให้ทุกโครงการ “คืบหน้าเท่ากัน” ไม่ใช่ไปเร็วเฉพาะบางเสาแล้วเหลื่อมล้ำในภาพรวม

ภาพที่เห็นได้ชัดหลังปิดการประชุมคือ “เชียงรายเริ่มมีร่างของมหานครชายแดน”—เส้นเลือดใหญ่กำลังก่อรูป, กล้ามเนื้อเศรษฐกิจสร้างสรรค์เริ่มขึ้นรูป, ปอดสีเขียว–สุขภาพเมืองกำลังถูกออกแบบ… “งานยาก” คือการทำให้ทุกอวัยวะ เต้นจังหวะเดียวกัน ตลอด 20 ปี

สรุปสำหรับผู้บริหาร/นักลงทุน/หน่วยงาน

  • ธีมเมือง “ท่องเที่ยวสร้างสรรค์ + สุขภาพ + โลจิสติกส์ชายแดน + คาร์บอนต่ำ” คือสูตรผสมที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ–วัฒนธรรม–พรมแดนของเชียงราย
  • ตัวเร่ง ทำ SDG 9 และ 7 ให้ “ขึ้นจริง” ใน 3 ปี—เพราะเป็นฐานของ Smart City, HealthTech, และคาร์บอนต่ำ
  • ตัวชี้ขาด โครงสร้างพื้นฐาน “เดินตามแผน” + กลไกกำกับแบบ KPIs ข้ามหน่วยงาน + เงินทุน/มาตรการจูงใจเอกชน
  • ภาพเส้นชัย เชียงรายเป็นเมืองปลายทางที่ผู้คน “อยากไป–อยู่ได้–ทำงานได้–รักษาพยาบาลได้–ค้าขายเชื่อมโลกได้” และฐานราก “อยู่ดี–มีกิน–สะอาด–เท่าเทียม”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย — กลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) / ก.น.บ.
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) / สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมทางหลวง
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย / บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT
  • เครือข่ายการท่องเที่ยว/อุตสาหกรรมสร้างสรรค์จังหวัดเชียงราย
  • กรอบ SDGs ระดับจังหวัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ยอดผลิตยานยนต์หดตัว 6.11% จากกฎเข้มต่างประเทศ แต่ EV ไทยยังขยายตัวแรง

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือน ส.ค. 68 ชะลอจากกฎต่างประเทศ แต่ EV ในประเทศยังพุ่ง—ภาคเหนือ–เชียงรายถือฐานรถจดทะเบียนใหญ่ รัฐถูกจี้ออก “กองทุนค้ำประกันกระบะ” อัดกำลังซื้อปลายปี

กรุงเทพฯ, 25 กันยายน 2568 — ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนสิงหาคม 2568 สะท้อนความท้าทายสองแรงพร้อมกัน: ด้านหนึ่ง ยอดผลิตรวม 112,366 คัน ลดลง 6.11% เมื่อเทียบปีก่อนจากแรงกดดันกฎสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า ทำให้การผลิตเพื่อส่งออกหดตัว 10.67% ขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศยังขยายตัวโดดเด่น โดย BEV จดทะเบียนใหม่ 11,486 คัน (+30.46% YoY) และ PHEV 1,049 คัน (+22.83% YoY) สวนทาง HEV ที่ลดลงเล็กน้อย 3.86%

ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งย้ำว่าแม้เดือนสิงหาคมจะเผชิญแรงต้านจากตลาดต่างประเทศ แต่ทั้งปี 2568 ยังคงเป้าผลิต 1.45 ล้านคัน โดยเชื่อแรงส่งไตรมาสสุดท้ายจะช่วยประคองโมเมนตัมการผลิต

มาตรฐานโลกเข้ม—เมื่อความปลอดภัยและคาร์บอนเป็นตัวแปรใหม่

ด้าน โครงสร้างการผลิต เดือนสิงหาคม ผลิตเพื่อส่งออก 73,956 คัน คิดเป็น 65.82% ของยอดผลิตทั้งหมด แต่ลดลงจากปีก่อนจากสองแรงกดดันหลัก

  1. รถยนต์นั่ง ลดลง 21.27% หลังหลายรุ่นยุติสายการผลิตเพื่อทำตามข้อกำหนด อุปกรณ์ช่วยขับและความปลอดภัย (Advanced Driver Assistance Systems: ADAS) ของประเทศปลายทาง
  2. รถกระบะเพื่อส่งออก ลดลง 6.36% เพราะข้อกำหนด การปล่อยคาร์บอน เข้มงวดขึ้น

ฝั่งการค้า ระบุว่า ส่งออกรถสำเร็จรูป 71,179 คัน ลดลงทั้ง MoM (-1.74%) และ YoY (-17.30%) โดยเฉพาะรถกระบะและรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันได้รับผลกระทบตรงจากเกณฑ์สิ่งแวดล้อมใหม่ ขณะที่ มูลค่าส่งออกรถสำเร็จรูป อยู่ที่ 45,553.26 ล้านบาท และเมื่อนับรวมเครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ ยอดเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 67,917.28 ล้านบาท (สะสม 8 เดือนมูลค่ารวม 581,307.35 ล้านบาท)

ดีมานด์ในประเทศ EV คือ “กันชน” ของอุตสาหกรรม

ในทางกลับกัน การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 38,410 คัน (34.18% ของการผลิตรวม) เพิ่มขึ้น 4.11% โดยมีสาเหตุสำคัญจาก การผลิต EV ในประเทศเพื่อชดเชยการนำเข้าปีก่อน (2565–2566) สอดคล้องกับภาพ การจดทะเบียนใหม่ของ EV ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

  • BEV: 11,486 คัน (+30.46% YoY)
  • PHEV: 1,049 คัน (+22.83% YoY)
  • HEV: 10,575 คัน (-3.86% YoY)

การขยายตัวของ EV ทำให้ห่วงโซ่การผลิตในประเทศเริ่มขยับ ทั้งการประกอบรถ การผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้าบางรายการ และบริการหลังการขายที่ต้องอัปสกิลแรงงานด้านไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเป็น “กันชน” ที่ช่วยซับแรงกระแทกจากฝั่งส่งออก

สะสม 8 เดือน ภาพรวมยัง “ทรงตัวเชิงลบ” แต่มีสัญญาณหนุนปลายปี

ยอดผลิตสะสม ม.ค.–ส.ค. 2568 จำนวน 947,697 คัน ลดลง 5.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อน—สะท้อนแรงกดดันด้านนอกประเทศต่อเนื่อง ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยโลก (เฟดส่งสัญญาณลด) และแนวโน้มนโยบายการเงินในประเทศที่มุ่ง เพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อและลดดอกเบี้ย อาจช่วยบรรเทาภาระผ่อนรถของครัวเรือนและกระตุ้นยอดขายปลายปีตามที่ ส.อ.ท. ประเมิน

นายสุรพงษ์ให้ความเห็นว่า “หากผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ผลักดันให้คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น พร้อมปรับลดดอกเบี้ยตามจังหวะที่เหมาะสม ปัญหา หนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะทยอยปรับดีขึ้น และส่งผลบวกต่อ ดีมานด์รถใหม่ ในประเทศ”

ภาคเหนือ–เชียงราย “ฐานรถจริง” ใหญ่ โอกาสธุรกิจบริการ–ชาร์จ–ซัพพลายเชน

มองในระดับพื้นที่ ภาคเหนือ มีรถจดทะเบียนสะสม 7,718,847 คัน ขณะที่ จังหวัดเชียงราย มี 843,615 คัน (ณ สิ้น ส.ค. 2568) ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่าแม้เชียงรายจะเป็นจังหวัดชายแดน แต่ “ขนาดตลาดยานยนต์จริง” ใหญ่และหลากหลาย ยิ่งเมื่อ EV เติบโต โอกาสธุรกิจในพื้นที่—ตั้งแต่สถานีชาร์จ ร้านซ่อมที่อัปทักษะ EV ชิ้นส่วน/อุปกรณ์เสริม ไปจนถึงบริการประกัน–ไฟแนนซ์เฉพาะทาง—จะชัดเจนขึ้น

สำหรับหน่วยงานท้องถิ่นและภาคธุรกิจในเชียงราย “ลูกศร” ชี้ไปที่สามวงจรสำคัญ

  1. โครงสร้างพื้นฐานชาร์จ ครอบคลุมเมือง–ชานเมือง–เส้นทางท่องเที่ยว เชื่อมพิษณุโลก–แพร่–พะเยา–เชียงใหม่–เชียงราย
  2. Upskill/Reskill ช่าง–ครูอาชีวะ–ชุมชน ให้คุ้นเคยงานไฟฟ้าแรงสูง มาตรฐานความปลอดภัย และอุปกรณ์วิเคราะห์สมัยใหม่
  3. ส่งเสริม e-Mobility ภาครัฐท้องถิ่น (รถโดยสารไฟฟ้า–รถขยะไฟฟ้า–ฟลีทสาธารณะ) เพื่อเป็นดีมานด์ตั้งต้นและโมเดลธุรกิจนำร่อง

กองทุนค้ำประกันกระบะ” กับโจทย์คาร์บอน: เร่งดีมานด์–เร่งเปลี่ยนผ่านไปพร้อมกัน

ฝั่งมาตรการรัฐ ส.อ.ท. เสนอให้รัฐบาล ตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท ค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุน (ไม่เกิน 50,000 บาท/คัน) เพื่อจูงใจสถาบันการเงิน ปล่อยกู้เพิ่มยอดขายรถกระบะอย่างน้อย 30% เทียบปีก่อน พร้อมเห็นชอบมาตรการ คนละครึ่ง” เพื่อพยุงกำลังซื้อฐานราก

ในเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศต้อง “เดินสองขา”

  • ขาแรก รักษาฐานการผลิต–ส่งออกรถกระบะ (ที่ยังเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ) ด้วยเครื่องมือการเงินที่ลดความเสี่ยงระบบ
  • ขาสอง ขยับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอนให้ ทันประเทศคู่ค้า ควบคู่การเร่ง EV Transition เพื่อไม่ให้ไทยเสียความสามารถแข่งขันจาก Carbon Border/Green Procurement ในอนาคต

จากกรอบกฎสากล สู่การเปลี่ยนผ่านของไทย

เมื่อกฎสิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัยของโลกขยับ ไทยที่พึ่งพาการส่งออกย่อม “สัมผัสแรงสั่น” ก่อนใคร เดือนสิงหาคมจึงเป็นภาพจำลองว่า กฎ–มาตรฐาน กำลังกลายเป็น ตัวกำหนดเศรษฐกิจดิจิทัล–สีเขียว มากพอ ๆ กับอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน

  • จุดเปิดเรื่อง: ยอดผลิตลดลงจากแรงกดดันกฎใหม่
  • จุดกลางเรื่อง: ดีมานด์ในประเทศ—โดยเฉพาะ EV—รับไม้ต่อ ช่วยประคองโรงงาน–ซัพพลายเชน
  • จุดคลี่คลาย: นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น + มาตรการรัฐเชิงเป้าหมาย (กองทุนค้ำประกัน–คนละครึ่ง) + ยุทธศาสตร์ยกระดับมาตรฐานคาร์บอน–ความปลอดภัยในประเทศ = เส้นทาง “รักษาฐานส่งออก พร้อมเร่งไฟฟ้า”

ตัวเลขที่ต้องคิดต่อ (Key Stats & Watchlist)

  • ผลิต ส.ค. 68: 112,366 คัน (-6.11% YoY)
  • ผลิตเพื่อส่งออก: 73,956 คัน (65.82% ของผลิตรวม) / ส่งออกรถสำเร็จรูป 71,179 คัน (-17.30% YoY)
  • มูลค่าการส่งออก (ส.ค.): รถสำเร็จรูป 45,553.26 ลบ. / รวมเครื่องยนต์–ชิ้นส่วน–อะไหล่ 67,917.28 ลบ.
  • สะสมผลิต ม.ค.–ส.ค.: 947,697 คัน (-5.77% YoY) / มูลค่าส่งออกสะสม (รวมเครื่องยนต์–ชิ้นส่วน–อะไหล่) 581,307.35 ลบ.
  • EV จดทะเบียนใหม่ (ส.ค.): BEV 11,486 (+30.46%), PHEV 1,049 (+22.83%), HEV 10,575 (-3.86%)
  • ภาคเหนือ: รถจดทะเบียนสะสม 7,718,847 คัน / เชียงราย 843,615 คัน

เสียงจากอุตสาหกรรม

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ กล่าวโดยสรุปว่า “แม้การผลิตเดือนสิงหาคมจะลดลงตามแรงกดดันภายนอก แต่ทั้งปีเรายังเชื่อว่า แตะเป้า 1.45 ล้านคัน ได้ หากรัฐส่งสัญญาณหนุนเศรษฐกิจและเข้าถึงเครดิตมากขึ้น ขณะที่ฝั่งตลาดภายในประเทศ EV ยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ และควรเร่งสร้างความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรไปพร้อมกัน”

นัยต่อเชียงราย เมืองชายแดน—ฐานยานยนต์—โหนคลื่น EV

เชียงรายในฐานะ เมืองด่านหน้าการค้า และมีฐานรถจดทะเบียนสะสมกว่า 8 แสนคัน กำลังยืนอยู่หน้าคมมีดแห่งการเปลี่ยนผ่านยานยนต์ไฟฟ้า

  • ธุรกิจบริการ ต้องเร่งอัปสกิลและมาตรฐานความปลอดภัยงานไฟฟ้าแรงสูง
  • อปท./จังหวัด สามารถจุดประกายด้วยโครงการฟลีทรถสาธารณะไฟฟ้าและสถานีชาร์จสาธารณะในจุดท่องเที่ยว–จุดพักรถ
  • สถาบันการศึกษา จับมือผู้ผลิต–ดีลเลอร์ สร้างหลักสูตร EV Technician เชื่อมงานจริง
  • ผู้บริโภค ได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง–บำรุงรักษาที่ลดลง หากมีโครงข่ายชาร์จครอบคลุมและเงื่อนไขไฟแนนซ์เหมาะสม

ในระยะสั้น “กองทุนค้ำประกันรถกระบะ” หากเดินหน้าตามข้อเสนอ จะช่วยพยุงตลาดเชิงโครงสร้าง ในพื้นที่ที่ยังพึ่งพารถกระบะเพื่อการพาณิชย์และเกษตร ขณะเดียวกัน EV เชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก–กลาง (เช่น รถส่งของในเมือง รถเชื่อมท่องเที่ยว) มีโอกาสแจ้งเกิดในเชียงราย หากรัฐ–เอกชนพัฒนาโมเดลความเป็นเจ้าของและต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน (TCO) ให้แข่งขันได้

เส้นทางข้างหน้า นโยบายที่ “เกาให้ถูกที่คัน”

  1. เข้าถึงสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ: จูงใจไฟแนนซ์ปล่อยกู้กลุ่มอาชีพอิสระ/SMEs ด้วยกรอบค้ำประกันที่วัดผลชัดเจน (ดีลเลอร์–ไฟแนนซ์–ผู้ใช้)
  2. มาตรฐานความปลอดภัย–คาร์บอนในประเทศ: ขยับตามมาตรฐานคู่ค้า เพื่อลดช่องว่างการยกเลิกสายการผลิต–สั่งระงับนำเข้าในอนาคต
  3. เร่ง EV Ecosystem ระดับจังหวัด: ตั้ง “แผนที่ชาร์จ” (Charging Map) เชื่อมเมือง–แหล่งท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ พร้อมแรงจูงใจติดตั้งหัวชาร์จเอกชน
  4. Upskill บุคลากร: ทุนฝึกอบรมช่าง EV แกนกลางจังหวัดชายแดน—เริ่มจากเชียงรายเป็น Pilot
  5. ข้อมูลโปร่งใส–รายงานรายเดือนระดับพื้นที่: เปิด Dashboard จดทะเบียน EV–เครือข่ายชาร์จ–อัตราใช้ไฟ เพื่อดึงดูดเอกชนลงทุน

สาระสำคัญคือ ไทยต้องทำให้ การเปลี่ยนผ่าน” (Transition) เป็น การอัปเกรด” (Upgrade) ไม่ใช่แค่การทนแรงกดดันจากภายนอก หากทำได้ ฐานการผลิต–ส่งออก และตลาดภายในจะเกื้อหนุนกันอย่างยั่งยืน

เดือนสิงหาคม 2568 บอกเราว่าเกมยานยนต์โลกกำลัง ขยับกติกา ประเทศผู้ส่งออกอย่างไทยจึงต้อง ขยับวิธีเล่น การผลิตรวมชะลอเพราะกฎสิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัยต่างประเทศเข้มขึ้น แต่ในประเทศ EV ยังก้าวแรง เป็นกันชนของอุตสาหกรรม ภาคเหนือและเชียงรายมี “ฐานรถจริง” ใหญ่—พร้อมรองรับโอกาสใหม่ หากโครงสร้างพื้นฐาน–ทักษะ–การเงิน ได้รับการเติมเต็มตรงจุด ควบคู่การยกระดับมาตรฐานคาร์บอนในประเทศให้ทันโลก

เป้าหมาย 1.45 ล้านคันทั้งปีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของยอดผลิต แต่คือ บทพิสูจน์ความยืดหยุ่นเชิงนโยบาย ที่จะพาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเข้าสู่ยุคไฟฟ้าอย่างมีศักดิ์ศรีและแข่งขันได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) – กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
  • กรมการขนส่งทางบก (DLT): สถิติการจดทะเบียนรถใหม่และยอดจดทะเบียนสะสม ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 (ภาคเหนือ 7,718,847 คัน / จังหวัดเชียงราย 843,615 คัน)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กระทรวงการคลัง / มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สมาคมธนาคารไทย ชี้เงินบาทแข็งสวนทาง ต่างชาติขายสุทธิ หวั่นเงินนอกระบบไหลเข้า

หัวขบวนส่งสัญญาณ สมาคมธนาคารไทยชี้ “ต้อง Connect the dots” ก่อนสาย

กรุงเทพฯ, 22 กันยายน 2568 — นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเข้าหารือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ว่าภาคธนาคารได้สะท้อน “ความผิดปกติ” ของเงินทุนไหลเข้า ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะ ต่างชาติขายสุทธิทั้งหุ้นและพันธบัตร ซึ่ง “สวนทางกลไกตลาด” จึงจำเป็นต้องเร่งทำ Connect the dots—เชื่อมโยงข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.), และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้เห็นเส้นทางเงินอย่างครบถ้วน

สาระของข้อเสนอ คือ รวมศูนย์ภาพใหญ่ ที่วันนี้แยกส่วนอยู่ใน “ไซโลข้อมูล” หลายใบ: ธปท.เห็นกระแสเงินข้ามพรมแดน, ปปง.เห็นธุรกรรมผิดปกติในระบบสถาบันการเงินและนอกระบบ, ก.ล.ต.เห็นโครงสร้างผู้ถือหุ้นและธุรกรรมในตลาดทุน—เมื่อดึง “ทุกจุด” มาต่อกัน จึงจะเห็น “เครือข่าย” และ “แพตเทิร์น” ที่แยกกันแล้วมองไม่ออก

“สิ่งที่ต้องเร่งทำคือ Connect the dots… เงินไหลเข้าปริมาณมาก แต่ไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ เราต้องรู้ว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด” — ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย

เงินบาทแข็งสวนกระแส สัญญาณชวนสงสัยว่ามี “เงินนอกตลาด” ไหลเข้า

เชียงราย/กทม., 23 กันยายน 2568 — ในวันที่เงินบาทเปิดแถว 31.78–31.82 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้นไทยปรับลงกว่า 10 จุด ขณะที่ต่างชาติ ขายสุทธิหุ้น ~3,190 ล้านบาท และ ขายสุทธิพันธบัตร ~302 ล้านบาท หากวัดตามตำรามาตรฐาน ค่าเงินควร “อ่อน” จากฟันด์โฟลว์ไหลออก แต่ในความจริงกลับ “แข็ง” ขึ้น นี่คือ สัญญาณบิดเบี้ยว ที่ยากอธิบายด้วยพฤติกรรมการลงทุนปกติ

แน่นอน ปัจจัยภายนอกอย่าง ดอลลาร์อ่อน จากความคาดหวังนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ย่อมหนุนให้สกุลเงินตลาดเกิดใหม่แข็งขึ้น แต่เมื่อ ภาพในประเทศยังอ่อนแรง—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยและยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยหดตัว—จึงยิ่งตั้งคำถามว่า แรงซื้อเงินบาท มาจากไหน หากไม่ใช่จากตลาดทุน/พันธบัตรตามปกติ คำตอบที่เป็นไปได้ คือ เงินเข้าช่องอื่น (เช่น ทางการค้า–บริการ–เงินโอนผ่านนิติบุคคล–ธุรกรรมดิจิทัล–โครงสร้างถือหุ้นซับซ้อน) ซึ่งบางส่วนอาจอยู่ในโซน เงินร้อน–เงินเทา” ที่หลบสายตากลไกตลาด

นายกฯ–ทีมเศรษฐกิจ “ยกทีมคุย” ภาคธนาคาร ตั้งโจทย์ใหญ่–เดินเกมไว

การพบปะครั้งนี้ถูกมองว่า “ไม่ธรรมดา” เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 58 ปี ที่ นายกรัฐมนตรี พร้อม ครม.เศรษฐกิจ มานั่งโต๊ะเดียวกับ สมาคมธนาคารไทย เพื่อแลกเปลี่ยนตรงถึง “ทิศทาง” และ “โจทย์เร่งด่วน”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง ย้ำว่า ภายใต้แนวนโยบาย “สั่งวันนี้ ทำเมื่อวาน” ได้สั่งตั้ง ทีมเชื่อมจุด ที่กระทรวงการคลัง ประสาน ธปท.–ปปง.–ก.ล.ต. เดินหน้าหาคำตอบว่า เงินมาจากไหน” พร้อมขีดเส้นเวลาลงมือ ทันทีหลังแถลงนโยบาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ Quick Big Win ควบคู่กับโจทย์แกนกลางของรัฐบาลคือ ภาคประชาชน–การจ้างงาน–หนี้ครัวเรือน–สภาพคล่อง SMEs

“เรา Connect the dots ไว้แล้ว เป้าหมายคือให้เห็นว่าเงินมาจากไหน จะได้แก้ให้ตรงจุด… ปลดไซโล ให้หน่วยงานทำงานร่วมกันจริง” — เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.คลัง

ปม “เศรษฐกิจนอกระบบ 48%” และ “ข้อมูลกระจัดกระจาย” ที่ทำให้แก้ช้า

หัวใจของความยากไม่ได้อยู่แค่ “ตัวเลข” แต่อยู่ที่ “สภาพแวดล้อมข้อมูล” ของเศรษฐกิจไทย—เมื่อ เศรษฐกิจนอกระบบคิดเป็นถึง ~48% ของกิจกรรมทั้งระบบ ความเสี่ยงจึงสูงที่เงินจำนวนมากจะไหลในช่องทางที่ กฎหมายเข้าถึงยาก–ข้อมูลไม่ครบ–ผู้รับผลประโยชน์ซ่อนอยู่ ผลที่ตามมา คือ คุณภาพหนี้เปราะบาง และ สภาพคล่องไม่ซึมถึงจุดที่ต้องการ (ครัวเรือน–SMEs)

Net Errors & Omissions (NEO)” ในงบดุลการชำระเงินที่แกว่งแรงยิ่งสะท้อน ช่องว่างข้อมูล—ตัวเลขที่ “ตั้งหลักไม่ติด” เพราะส่วนหนึ่งอาจอยู่ในธุรกรรมที่ยังไม่ถูกบันทึก–ระบุที่มาไม่ชัด หรือไม่ผ่านช่องทางตลาดปกติ ช่องว่างนี้เองทำให้ฝ่ายกำกับ (ที่มองด้วยเลนส์สถิติ) กับฝ่ายนโยบาย (ที่กังวลความมั่นคง) อาจตีความ ความเสี่ยง” ต่างกัน และหากไม่ “เชื่อมจุด” ให้เห็นภาพเดียวกัน การสื่อสารสาธารณะย่อม สั่นคลอนความเชื่อมั่น ได้ง่าย

แผนปฏิบัติ เชื่อมข้อมูล–แบ่งบท–ลงมือ “ลุย” ตามแนวราบ

เพื่อแปลงแนวคิด Connect the dots ให้เป็นผลลัพธ์จับต้องได้ จำเป็นต้องมี “แพลตฟอร์มและกระบวนการ” ที่หน่วยงานนำไปใช้ร่วมกันได้จริง

1) กระทรวงการคลัง – ห้องยุทธการเชื่อมจุด
ทำหน้าที่ แม่งาน–ประสาน ตั้ง คณะทำงานถาวร ที่ประชุมสม่ำเสมอ มีแดชบอร์ดภาพรวม: ค่าเงิน, ฟันด์โฟลว์, NEO, ธุรกรรมต้องสงสัย, โครงสร้างถือหุ้น และสัญญาณเตือนเชิงระบบ

2) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) – เรดาร์มหภาค
ติดตาม กระแสเงินตราต่างประเทศ–อัตราแลกเปลี่ยน–สำรองเงินตรา–ธุรกรรม FX แยกประเภทช่องทาง (ตลาดทุน–การค้า–บริการ–โอนเงินนิติบุคคล–โครงสร้างพิเศษ) เพื่อชี้เป้า “ผิดปกติ” ส่งต่อ ปปง. ตรวจเชิงธุรกรรม

3) สำนักงาน ปปง. – เครื่องมือสืบสวนธุรกรรม
ขยาย Red Flag Rules ให้ครอบคลุมรูปแบบใหม่ เช่น โอนข้ามนิติบุคคลหลายชั้น, ใช้นอมินี, บัญชีพักเงิน, เงินโอนมูลค่าสูงผ่านกิจการทุนต่ำ, และธุรกรรมดิจิทัลข้ามแดน ผสานข้อมูลสถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร (ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ฟอกเงิน)

4) สำนักงาน ก.ล.ต. – เปิดหน้ากาก Beneficial Owner
ไล่โซ่การถือหุ้นซับซ้อน จนถึง ผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (BO) ของกิจการใน–นอกตลาดทุน กรอง “โครงสร้างผิดสังเกต” และ เชื่อมข้อมูลข้ามหน่วย เพื่อสะกัดใช้บริษัทบังหน้าในการเคลื่อนย้ายเงิน

5) สมาคมธนาคารไทย – ยกระดับมาตรฐาน CDD/EDD
ออก มาตรฐานร่วม ด้านการรู้จักลูกค้า (KYC), การตรวจสอบสถานะทางธุรกิจ (CDD), และ Enhanced Due Diligence (EDD) สำหรับบัญชี/ธุรกรรมเสี่ยงสูง พร้อม ซ้อมสถานการณ์ (tabletop exercise) รายไตรมาสให้สอดรับเรดแฟลกของภาครัฐ

เงินทุนสีเทาคืออะไร–กระทบอะไร

ในหลายปีที่ผ่านมา สังคมไทยคุ้นกับคำว่า “เงินทุนสีเทา”—ทุนที่ กึ่งถูก–กึ่งผิด” หรือ ผิดกฎหมายเต็มรูปแบบ ซึ่งเข้ามาอาศัยช่องว่างกฎหมาย เช่น ใช้ นอมินี ถือหุ้นกิจการสงวน, ตั้ง โครงสร้างบริษัทหลายชั้น บังที่มาของเงิน, ดำเนินกิจการออนไลน์ผิดกฎหมาย, หรือสร้าง “อาณาจักรเศรษฐกิจคู่ขนาน” ที่หมุนเวียนเงินและรายได้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน

เงินกลุ่มนี้ บิดเบือนการแข่งขัน (ตัดราคา–กินรวบ), บั่นทอนเสถียรภาพการเงิน (ธุรกรรมผิดปกติ–เสี่ยงฟอกเงิน), และ ทำลายฐานภาษี (รายได้ไม่เข้าสู่ระบบ) ที่สำคัญ หากปล่อยให้ไหลเข้าระบบการเงินจำนวนมากโดยไม่ถูกตรวจสอบ อาจนำไปสู่ ความเสี่ยงระบบ (systemic risk) จากภาวะ สภาพคล่องลวงตา ค่าเงิน–สินทรัพย์ ผันผวนผิดธรรมชาติ และทำให้ผู้กำหนดนโยบาย ตัดสินใจผิดทาง ได้

เร่งด่วน–วัดผลได้–ทำให้เห็น

สารที่นายกฯ ส่งผ่านทีมเศรษฐกิจชัดเจน: ลำดับความสำคัญ อยู่ที่ “ผลกระทบจริงต่อประชาชน”—งาน–รายได้–หนี้ ขณะที่ ภาพค่าเงิน ต้องคุมให้ สงบ–สะท้อนพื้นฐาน ไม่ใช่ถูกรบกวนจากเงินปริศนา ฝั่งสมาคมธนาคารไทยตอบรับ—พร้อมปรับมาตรฐานตรวจสอบธุรกรรมและความร่วมมือข่าวกรองการเงิน โดย ยังไม่ร้องขอมาตรการพิเศษ เพิ่มเติม ขอเพียง กรอบร่วม–ช่องทางเชื่อมต่อ–เป้าหมายวัดผล ที่ชัด และ “เดินให้ทันเวลา” เพราะนายกรัฐมนตรีมีกรอบเวลาทำงาน 4 เดือนแรก ที่ต้องส่ง “Quick Big Win” สร้างความเชื่อมั่น

เชื่อมโยงสู่โครงสร้าง ทำไมการแก้หนี้–สภาพคล่อง ต้องเดินคู่ “เชื่อมจุด”

แม้ประเด็น “เงินไหลเข้า–ค่าเงิน” ดึงดูดสายตา แต่ ปัจจัยในประเทศ คือเบื้องหลังสำคัญของเสถียรภาพในระยะยาว—หนี้ครัวเรือนสูง, สินเชื่อรายย่อยหด, อสังหาฯชะลอ จึงต้องมี มาตรการสภาพคล่องแบบตรงจุด (เช่น ค้ำประกันสินเชื่อ SMEs, ปรับเกณฑ์เครดิตประวัติใหม่ที่ไม่ “ปิดประตู” คนเปราะบาง) เพื่อให้เงิน ไหลไป “จุดที่ปวด” จริง และ ยึดโยงกับผลิตภาพ ไม่ใช่ไหลไป “เก็งกำไรค่าเงิน–สินทรัพย์”

นี่คือเหตุผลที่โต๊ะนโยบายต้องทำสองอย่าง พร้อมกัน:

  1. เชื่อมจุด เพื่อ กันเงินสีเทา ออกจากระบบ—ลดความผันผวนผิดธรรมชาติ; และ
  2. ปลดคอขวดเครดิต ให้ครัวเรือน–SMEs—อัดฉีดสภาพคล่องอย่าง “รับผิดชอบ” ไปสู่กิจกรรมที่สร้างรายได้จริง

Roadmap 90 วัน จากประกาศสู่ผลลัพธ์

เพื่อให้เห็น ผลจริง ภายในกรอบ “4 เดือนแรก” ของรัฐบาล ชุดมาตรการควรมี หมุดหมายชัด ใน 90 วันแรก ดังนี้

30 วันแรก

  • เปิด แดชบอร์ดเชื่อมจุด (ข้อมูลองค์รวม) ให้ทีมปฏิบัติทุกหน่วยเข้าถึง
  • ออก แนวปฏิบัติเรดแฟลก กลางให้สถาบันการเงิน–ผู้ให้บริการนอกระบบธนาคาร
  • นัด ซ้อมแผน TTX ระดับชาติ ครั้งที่ 1 (กรณีเงินไหลเข้าผิดปกติ–ค่าเงินผันผวน)

60 วัน

  • ทดลอง เคสไล่โซ่ธุรกรรม 3–5 กรณี นำร่อง (การค้า–บริการ–โอนนิติบุคคล–ดิจิทัล)
  • รายงาน ผลคืบหน้า NEO และ “สัญญาณผิดปกติ” ต่อสาธารณะเชิงนโยบาย (ไม่เปิดชื่อบุคคล/กิจการ)
  • เสนอ มาตรการค้ำประกันสภาพคล่อง เป้าหมายเฉพาะ—SMEs กลุ่มที่แข็งแรงแต่ถูกบีบเครดิต

90 วัน

  • แถลง Quick Big Win: เคสยึด–อายัด–ดำเนินคดีสำเร็จ, ปรับปรุงเกณฑ์ EDD ภาคธนาคาร, แนวโน้มค่าเงินกลับสะท้อนพื้นฐานมากขึ้น
  • เปิด ช่องทางร้องเรียน–รับเบาะแส สาธารณะ ที่เชื่อมตรงเข้าทีมเชื่อมจุด

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร

  • การสื่อสารไม่สอดคล้อง ระหว่างหน่วยงาน อาจทำให้ตลาดตีความผิด—จำเป็นต้องมี ศูนย์สื่อสารกลาง
  • ต้นทุนการปฏิบัติตาม ของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs—รัฐควรจัดทำ คู่มือ–เครื่องมือดิจิทัล ช่วยตรวจเช็กเบื้องต้น
  • โยกย้ายช่องทาง ของทุนสีเทาไปจุดอ่อนใหม่—ต้องอัปเดต เรดแฟลก ต่อเนื่องและร่วมมือข้ามประเทศ

ค่าเงินที่ “สะท้อนพื้นฐานจริง” คือฐานของความเชื่อมั่น

ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนรอยต่อสำคัญ ระหว่าง “สัญญาณตลาดการเงิน” ที่ผิดธรรมชาติ กับ “เศรษฐกิจจริง” ที่ต้องการสภาพคล่องอย่างมีคุณภาพ การตัดสินใจเชิงนโยบายในห้วงเวลานี้ จึงไม่ใช่การ “ขัน–คลาย” ค่าเงินแบบเชิงกลเท่านั้น แต่คือการ สร้างระบบเชื่อมข้อมูล ที่ทำให้เรามองเห็น เส้นทางเงินทั้งใน–นอกตลาด แล้วจัดการกับ เงินที่ไม่พึงประสงค์ ให้ออกจากสมการ ก่อนจะบิดเบือนราคา–บั่นทอนความเชื่อมั่น

เสียงจากทั้งโต๊ะนโยบายและภาคธนาคาร “ตรงกัน”: ต้อง Connect the dots เดินเกม เร็ว–แม่น–โปร่งใส และวัดผลได้จริง หากทำได้ ค่าเงินบาท จะกลับไปสะท้อน ปัจจัยพื้นฐาน มากกว่าความผิดปกติระยะสั้น ขณะเดียวกัน สภาพคล่อง ก็จะไหลไป ครัวเรือน–SMEs ที่ต้องการอย่างยั่งยืน

สุดท้าย การเจอ “เงินมาจากไหน” ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น จุดเริ่มต้นของระเบียบใหม่ ที่ทำให้ตลาดไทย แข่งขันได้ด้วยความโปร่งใส และทำให้เศรษฐกิจจริง เติบโตบนฐานคุณภาพ—นี่คือ Quick Big Win ที่สัมผัสได้ ทั้งในสมุดบัญชีของผู้คน และบนกราฟค่าเงินของชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สมาคมธนาคารไทย
  • กระทรวงการคลัง
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA)
  • สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • หน่วยงานกำกับดูแลสินเชื่อ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News