Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เมื่อกาลเวลาพาสุดสาย! รถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสน ปิดฉากอาชีพ 5 รุ่นสู่รุ่น เหลือวิ่งเพียง 3 คันในปี 2569

ปิดตำนาน 50 ปี “รถเมล์หวานเย็น” เชียงราย-เชียงแสน เมื่อกฎหมายและกาลเวลาพามาถึง “สุดสาย” ของอาชีพ

เชียงราย, 31 ธันวาคม 2568 — เสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นเคยกำลังจะเงียบลงในบ่ายวันสุดท้ายของปี 2568 ท่ามกลางคราบน้ำตาและความผูกพันของผู้โดยสารที่ผ่านมามากกว่าครึ่งศตวรรษ เมื่อรถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสนวิ่งเที่ยวสุดท้ายเวลา 14.30 น. นับเป็นจุดจบของอาชีพที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำคนเชียงรายมาตั้งแต่ยุค “เมล์ขาว” จนกลายเป็น “เมล์เขียว” ในปัจจุบัน

กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้รถโดยสารต้องมีอายุไม่เกิน 40 ปี กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รถเมล์ในตำนานต้องปลดระวางถาวร โดยจาก 13 คันที่ยังให้บริการอยู่ มีถึง 10 คันที่ต้องหยุดวิ่ง เหลือเพียงรถสายสามเหลี่ยมทองคำอีก 3 คันที่จดทะเบียนใหม่กว่าเท่านั้นที่จะยังคงให้บริการต่อไปในปี 2569

จาก “พ่อเลี้ยง” สู่ความทรงจำสุดท้าย

คุณแต๋ม ทิพย์พิมล ชัยวงค์ เจ้าของรถเมล์เบอร์ 445 ย้อนเล่าถึงรากเหง้าของอาชีพที่สืบทอดมาจากพ่อ ว่า ในอดีตรถเมล์คือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและโอกาสทางเศรษฐกิจ “สมัยพ่อทำอาชีพนี้ ใครมีรถเมล์จะถูกเรียกว่า ‘พ่อเลี้ยง’ เพราะสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว ส่งลูกเรียน ซื้อบ้านซื้อที่ดินได้” คุณแต๋มเล่า ในช่วงที่พ่อของคุณแต๋มเริ่มประกอบอาชีพนี้ ยังเป็นยุคของ “เมล์ขาว” ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “เมล์เขียว” ในภายหลัง ขณะนั้นรถเมล์คือพาหนะหลักเพียงหนึ่งเดียวของชาวบ้าน ทำให้ผู้ประกอบการสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคง และสร้างฐานะได้จริง

คุณแต๋มเข้ามาช่วยงานครอบครัวตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 และรับช่วงต่อจากพ่อ อย่างเต็มตัวเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา “ตอนที่ผมเข้ามาสืบทอดประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว รถเมล์ยังขายกันในราคาสูงอยู่ เพราะยังถือว่าเป็นอาชีพที่พออยู่ได้” คุณแต๋มระบุ อย่างไรก็ตาม เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ภูมิทัศน์การเดินทางก็เปลี่ยนตามไปด้วย ผู้โดยสารหันไปใช้รถส่วนตัวและรถตู้มากขึ้น ทำให้รายได้จากการรับส่งผู้โดยสารลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนรถเมล์ที่เคยมีมากถึง 26 คันในอดีต ค่อยๆ ทยอยลดลงจนเหลือเพียง 13 คันก่อนการปิดตำนานในครั้งนี้

กฎหมาย 40 ปี จุดเปลี่ยนที่ยื้อต่อไม่ได้

แม้ผู้ประกอบการจะมีความตั้งใจที่จะวิ่งรถต่อไป แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อกระทรวงคมนาคมออกข้อบังคับใหม่ว่า รถโดยสารที่มีอายุมากกว่า 40 ปี จะไม่ได้รับการต่อทะเบียน

“เราไม่ได้ตัดสินใจเอง แต่เป็นเพราะกฎหมายที่ออกมาจากกระทรวงคมนาคม” คุณแต๋มอธิบาย “เราเป็นแค่ชาวบ้าน ไม่ได้ติดตามกฎหมายหรือทราบรายละเอียดที่ซับซ้อนเหล่านี้”

การรับรู้ถึงกฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงต้นปี 2568 เมื่อมีเจ้าของรถคันหนึ่งพยายามต่อทะเบียนในเดือนมีนาคม แต่เมื่อนำรถไปตรวจสภาพที่กรมการขนส่งทางบก ระบบคอมพิวเตอร์แจ้งว่าไม่สามารถต่อทะเบียนได้ เนื่องจากรถมีอายุเกินกว่า 40 ปี

“ตอนนั้นเพิ่งรู้เลยว่ามีกฎหมายแบบนี้” คุณแต๋มเล่า “แม้จะมีการยืดหยุ่นให้ถึง 50 ปีในบางกรณี แต่ทางกรมการขนส่งทางบกและบริษัทขนส่งก็ยึดถืออายุ 40 ปีเป็นหลัก”

รถเมล์ส่วนใหญ่ในสายเชียงราย-เชียงแสนจดทะเบียนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514-2515 บางคันรวมถึงรถของคุณแต๋มเองที่จดทะเบียนปี พ.ศ. 2521 ซึ่งตามการคำนวณถ้ายึดอายุ 50 ปี จะยังสามารถวิ่งได้อีก 2-3 ปี แต่เนื่องจากทางการยึดหลักอายุ 40 ปี จึงทำให้รถทั้ง 10 คันต้องหยุดให้บริการในเวลาเดียวกัน มีเพียงรถสายสามเหลี่ยมทองคำ 3 คันเท่านั้นที่รอดพ้น เนื่องจากเป็นรถที่จดทะเบียนใหม่กว่า คือในช่วงปี พ.ศ. 2533-2536 จึงยังสามารถให้บริการต่อไปได้

“คุณแต๋มระบุไม่สามารถวางแผนอนาคตได้ “มันเลยกลายเป็นว่าเราต้องออกจากอาชีพแบบจำใจ”

วิกฤตต้นทุนที่แบกรับ เมื่อรายได้หลักไม่ได้มาจากผู้โดยสาร

การดำเนินธุรกิจรถเมล์ในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ ค่าโดยสารที่เคยเป็นเพียง 7 บาทในอดีต ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 53 บาทต่อคน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก คุณแต๋มเปิดเผยตัวเลขต้นทุนต่อวันว่า ค่าน้ำมันเดินทางไป-กลับอยู่ที่ประมาณ 700 บาท ค่าคิววันละ 330 บาท และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่กรมการขนส่งทางบก 6 บาท รวมถึงค่าจอดรถที่เชียงแสนอีก 20 กว่าบาท รวมต้นทุนต่อวันสูงถึงประมาณ 1,050 บาท

“ถ้าพูดถึงว่ารายได้จากค่าหัว 53 บาทคุ้มไหม ตอบเลยว่าไม่คุ้ม” คุณแต๋มยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “เราอยู่ได้เพราะของฝากที่พอมาช่วยส่วนนี้เวลาที่ผู้โดยสารมีไม่มาก”

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ รายได้หลักของรถเมล์สายนี้มาจาก “การรับส่งของฝาก” มากกว่ารายได้จากผู้โดยสาร โดยมีค่าบริการรับส่งของฝากขั้นต่ำชิ้นละ 40 บาท ของหนักหรือของขนาดใหญ่อาจมีค่าบริการสูงขึ้นถึง 45-50 บาท ซึ่งเป็นรายได้ส่วนใหญ่ที่ประคองให้อาชีพนี้ยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้

“รายได้จากผู้โดยสารมีแค่บางเที่ยวเท่านั้น” คุณแต๋มอธิบาย “ถ้าไม่ได้ของฝาก เราก็อยู่ไม่ได้จริงๆ”

สถานการณ์ยิ่งทรุดหนักลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้โดยสารและปริมาณของฝากอย่างหนัก “หลังโควิดมา รายได้ได้แค่พออยู่ได้เท่านั้น” คุณแต๋มกล่าว

การเปรียบเทียบรายได้ระหว่างสมัยรุ่นพ่อกับรุ่นปัจจุบันสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน “สมัยพ่อสามารถสร้างฐานะได้ แต่พอมาถึงรุ่นเรา ก็แค่พออยู่ได้ พอกิน ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนสมัยก่อน” คุณแต๋มสรุป

ผลกระทบต่อชุมชน เมื่อ “เส้นเลือดฝอย” กำลังจะหายไป

การยุติการให้บริการของรถเมล์เชียงราย-เชียงแสนไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่ผู้ประกอบการเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อกลุ่มผู้ใช้บริการที่ยังพึ่งพารถเมล์เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง แม้จำนวนผู้โดยสารจะลดลงเนื่องจากผู้คนหันไปใช้รถส่วนตัวและรถตู้มากขึ้น แต่ยังมีกลุ่มผู้โดยสารประจำที่จำเป็นต้องใช้บริการ ได้แก่ ชาวบ้านทั่วไป ผู้สูงอายุ นักเรียน นักศึกษา และแรงงานชาวลาว ที่เดินทางระหว่างเชียงรายกับเชียงแสนเป็นประจำ

“ผู้โดยสารเขาก็ถามว่า ถ้าไม่มีรถแล้ว พวกเขาจะทำยังไง” คุณแต๋มเล่าถึงความกังวลของผู้โดยสาร “เพราะยังมีชาวบ้าน คนแก่ คนเฒ่า เด็ก นักเรียน นักศึกษาที่ต้องใช้บริการอยู่”

การหายไปของรถเมล์ 10 คันจากระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ ในขณะที่เหลือเพียง 3 คันที่ยังให้บริการต่อไป อาจทำให้เกิดปัญหาการเดินทางที่ลำบากขึ้นสำหรับกลุ่มเปราะบางที่ไม่มีทางเลือกอื่น โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือช่วงที่มีผู้โดยสารจำนวนมาก ความผูกพันระหว่างรถเมล์กับชุมชนสะสมมาตลอดหลายทศวรรษ ผู้โดยสารหลายคนเดินทางกับรถเมล์คันเดียวกันตั้งแต่สมัยเด็กเรียนจนโตเป็นผู้ใหญ่และเกษียณอายุ ทำให้รถเมล์ไม่ได้เป็นเพียงแค่พาหนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำและวิถีชีวิตของคนในพื้นที่

แนวทางการปรับตัว จากรถประจำทางสู่รถโดยสารไม่ประจำทาง

แม้จะต้องจบบทบาทในฐานะผู้ประกอบการรถเมล์ประจำทาง แต่คุณแต๋มและภริยาไม่ได้หมดหวังกับอนาคต พวกเขาวางแผนที่จะนำรถไปประกอบอาชีพในรูปแบบใหม่

“ต่อไปเราจะนำรถไปประกอบอาชีพในลักษณะ ‘รถโดยสารไม่ประจำทาง’ หรือรถรับเหมาแทน” คุณแต๋มระบุ “เรายังยินดีให้บริการทุกท่านในฐานะรถโดยสารไม่ประจำทางต่อไป”

การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า รถจะไม่วิ่งตามเส้นทางและตารางเวลาที่กำหนดแบบเดิม แต่จะรับงานเหมาเหมารถตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้ประกอบการหลายรายเลือกใช้เมื่อไม่สามารถดำเนินกิจการรถประจำทางต่อไปได้

“ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เดินทางมาจนสุดสายของอาชีพนี้แล้ว” คุณแต๋มกล่าวอย่างยอมรับความเป็นจริง “ต่อไปเราจะก้าวไปสู่อาชีพที่คล้ายกัน ขอแรงและส่งกำลังใจให้เราก้าวต่อไปในสายไหมของเรา”

เก็บรถไว้เป็นมรดก เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รำลึก

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนความผูกพันและคุณค่าทางอารมณ์ต่ออาชีพนี้คือ การตัดสินใจของเจ้าของรถหลายคันที่จะไม่ขายรถเพื่อแยกชิ้นส่วน แต่เลือกที่จะเก็บรักษาไว้เป็นมรดกและความทรงจำ

“เราจะเก็บรถเมล์ไว้เป็นความทรงจำ ไม่ขาย” คุณแต๋มระบุอย่างชัดเจน “เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงตำนานรถเมล์หวานเย็นที่เคยโลดแล่นบนถนนเชียงราย”

เจ้าของรถเมล์เบอร์ 462 และ 445 ต่างก็มีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้ พวกเขาต้องการให้รถเหล่านี้เป็นสักขีพยานทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของยุคสมัยหนึ่ง ที่รถเมล์มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่

“เก็บไว้ในความทรงจำ ย้ำเตือนทุกๆ ปีว่าเราเคยอยู่ตรงนี้มากกว่า 50 กว่าปี” คุณแต๋มกล่าว

การตัดสินใจนี้สะท้อนให้เห็นว่า อาชีพนี้ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งรายได้ แต่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ ความภาคภูมิใจ และมรดกที่ต้องการสืบทอดให้กับคนรุ่นหลัง แม้ว่าลูกหลานจะไม่ได้สานต่ออาชีพนี้ในอนาคต

ข้อสังเกตและบทเรียน เมื่อนโยบายสาธารณะพบกับความเป็นจริงของภาคประชาชน

กรณีของรถเมล์เชียงราย-เชียงแสนให้บทเรียนที่สำคัญหลายประการเกี่ยวกับการบริหารจัดการนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะในภาคขนส่งมวลชน ประการแรก คือความจำเป็นในการสื่อสารที่ชัดเจนและทันเวลาระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับผู้ประกอบการรายย่อย การที่กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยที่ผู้ประกอบการไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสวางแผนการปรับตัวหรือเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง ประการที่สอง คือความสมดุลระหว่างนโยบายความปลอดภัยกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม แม้กฎหมายเรื่องอายุรถจะมีวัตถุประสงค์ที่ดีเพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร แต่การขาดมาตรการรองรับหรือทางเลือกอื่นทำให้เกิดช่องว่างในการให้บริการขนส่งมวลชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีทางเลือกจำกัด ประการที่สาม คือการพิจารณาถึงความยั่งยืนของอาชีพในภาคขนส่งมวลชนรายย่อย ตัวเลขที่ว่ารายได้หลักมาจาก “ของฝาก” มากกว่าผู้โดยสาร สะท้อนให้เห็นว่า โมเดลธุรกิจรถเมล์แบบดั้งเดิมอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยค่าโดยสารเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นประเด็นที่ภาครัฐควรพิจารณาในการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุน

“การพัฒนาเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่างน้อยหากมองมาดูพวกเราบ้าง” คุณแต๋มกล่าวถึงความรู้สึกของผู้ประกอบการ “ต้นทุนที่สูงกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น มันคุ้มไหม”

คำถามนี้สะท้อนถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจขนส่งมวลชนขนาดเล็ก ที่ต้องแบกรับต้นทุนสูงแต่มีรายได้จำกัด ท่ามกลางการแข่งขันจากรูปแบบการเดินทางที่หลากหลายมากขึ้น

ภารกิจสุดท้ายและคำอำลาจากใจ

ในบ่ายวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เวลา 14.30 น. รถเมล์เบอร์ 462 และ 445 พร้อมด้วยรถอีก 8 คันจะออกเดินทางเที่ยวสุดท้าย เป็นการปิดฉากของภารกิจที่ยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ข้อความจากเจ้าของรถที่โพสต์ในกลุ่มผู้โดยสารสะท้อนถึงความรู้สึกผสมผสานระหว่างความซาบซึ้ง ความอาลัย และความหวัง

“จบภารกิจสำหรับรถเมล์ของเราวันนี้วันสุดท้ายแล้ว ขอบคุณทุกท่าน” คุณแต๋มเขียน “ขอบคุณทุกท่านที่ใช้บริการเรามาตลอด ไม่มีสิ่งใดตอบแทนนอกจากคำว่าขอบคุณจากใจจริง”

ารอำลาในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการปิดธุรกิจ แต่เป็นการจากลาอาชีพที่ผูกพันกับครอบครัวมาตั้งแต่รุ่นพ่อ “ทำมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อมาถึงรุ่นเรา จบที่รุ่นเรา ลูกหลานไม่ได้สานต่อ” คุณแต๋มระบุ

ในข้อความยังมีการขอบคุณเพื่อนร่วมงานและหน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันมา “ขอบคุณคุณเพื่อนร่วมงานทุกๆ ท่าน ขอบคุณทีมงานนางฟ้าทางหลวงภูธร เราจะไปอยู่ในจุดใหม่ที่ดีกว่าเดิม”

สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการติดต่อใช้บริการรถเมล์ในอนาคต เจ้าของรถแนะนำให้ติดต่อกับรถที่เหลืออยู่ 3 คัน และระบุว่า “หลังจากวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป อาจจะตอบคำถามอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่วิ่งคิวอยู่ ขออภัยในความไม่สะดวก”

การเลือกวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสุดท้ายของการให้บริการนั้นมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ “วันสุดท้ายของปี วันสุดท้ายของเดือน และวันสุดท้ายของรถเมล์ 445” คุณแต๋มกล่าว “ต่อไปปีหน้าเราจะก้าวข้ามผ่านมันไปอย่างไร ตอนนี้ขอแค่ตั้งหลักแล้วจะก้าวไปสู่หนทางที่ดีกว่านี้”

มุมมองจากผู้โดยสาร ความผูกพันที่สะสมมา

ผู้โดยสารหลายคนที่ใช้บริการรถเมล์สายนี้มาเป็นเวลายาวนาน แสดงความรู้สึกอาลัยและความกังวลต่อการสูญเสียทางเลือกในการเดินทางหลายคนเล่าว่าพวกเขาเดินทางบนรถเมล์คันเดียวกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ทำงาน และบางคนก็ใกล้เกษียณอายุแล้ว รถเมล์จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่พาหนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำในช่วงชีวิตที่สำคัญ

พวกเราชาวเมล์เขียวทั้งแม่สายและเชียงแสน บางคันที่หมดสัญญา ขอกราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่อุดหนุนเรามาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน” ข้อความจากกลุ่มเจ้าของรถระบุ “พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเราแล้วที่เราจะได้รับใช้และบริการท่านผู้โดยสาร”

การเรียกร้องให้ผู้โดยสารมาใช้บริการในวันสุดท้ายนั้นสะท้อนถึงความตั้งใจที่จะปิดฉากอย่างสมเกียรติ “วันนี้และพรุ่งนี้ทุกคันทุกเที่ยวยินดีให้บริการ”

มรดกที่ตกทอด จาก “เมล์ขาว” สู่ “เมล์เขียว”

เมื่อย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์ของรถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสน จะเห็นว่ามันสะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเศรษฐกิจในภาคเหนือตลอดหลายทศวรรษ ในยุคแรกเริ่ม ซึ่งเป็นช่วงประมาณปี พ.ศ. 2500-2510 รถเมล์ยังเป็น “เมล์ขาว” ขณะนั้นรถเมล์มีบทบาทสำคัญเป็นพาหนะหลักในการเชื่อมโยงชุมชนต่างๆ เข้าด้วยกัน เนื่องจากทางเลือกในการเดินทางยังมีจำกัด การมีรถเมล์ถือเป็นความมั่งคั่งและโอกาสทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

ต่อมาเมื่อรถเมล์เปลี่ยนมาเป็น “เมล์เขียว” อุตสาหกรรมขนส่งก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย จำนวนรถเพิ่มขึ้นถึง 26 คัน สะท้อนถึงความต้องการใช้บริการที่สูงในช่วงนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อสังคมพัฒนาและทางเลือกในการเดินทางมีมากขึ้น รถส่วนตัว รถตู้ และรูปแบบการขนส่งอื่นๆ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนรถเมล์จึงค่อยๆ ลดลง จากจุดสูงสุดที่ 26 คัน ลดลงเหลือ 13 คัน และในที่สุดก็เหลือเพียง 3 คันที่จะให้บริการต่อไปในปี 2569 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเชียงรายเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่รถเมล์ท้องถิ่นต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับรูปแบบการเดินทางสมัยใหม่

ตัวเลขที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลง

การวิเคราะห์ตัวเลขช่วยให้เห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ด้านจำนวนรถ

  • ปี 2500-2520: มีรถเมล์สูงสุดถึง 26 คัน
  • ก่อนโควิด-19: ลดลงเหลือประมาณ 15-16 คัน
  • หลังโควิด-19: เหลือ 13 คัน
  • ปี 2569: จะเหลือเพียง 3 คัน

ด้านค่าโดยสาร

  • อดีต: 7 บาท
  • ปัจจุบัน: 53 บาท (เพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่าตัว)

ด้านต้นทุนการดำเนินงานต่อวัน

  • ค่าน้ำมันไป-กลับ: 700 บาท
  • ค่าคิว: 330 บาท
  • ค่าธรรมเนียมและค่าจอด: ประมาณ 20-26 บาท
  • รวมต้นทุนต่อวัน: ประมาณ 1,050 บาท

ด้านอายุรถ

  • รถส่วนใหญ่จดทะเบียนปี พ.ศ. 2514-2521 (อายุ 47-54 ปี)
  • รถที่เหลือ 3 คันจดทะเบียนปี พ.ศ. 2533-2536 (อายุ 32-35 ปี)

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความยั่งยืนของรถเมล์ที่ลดลง โดยเฉพาะเมื่อต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่จำนวนผู้โดยสารลดลง ทำให้รายได้หลักต้องพึ่งพาการรับส่งของฝากมากกว่าค่าโดยสาร

คำถามที่ยังค้างคาใจ อนาคตของขนส่งมวลชนในพื้นที่

การปิดตำนานของรถเมล์เชียงราย-เชียงแสนทิ้งคำถามสำคัญหลายประการเกี่ยวกับอนาคตของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่

ประการแรก จะมีการดำเนินการอย่างไรเพื่อให้แน่ใจว่ากลุ่มเปราะบางที่ยังต้องพึ่งพารถเมล์ยังสามารถเข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้? รถ 3 คันที่เหลืออยู่จะเพียงพอต่อความต้องการหรือไม่?

ประการที่สอง ภาครัฐและบริษัทขนส่งจะมีแผนอย่างไรในการรองรับช่องว่างของการให้บริการที่เกิดขึ้น? จะมีการนำรถใหม่เข้ามาทดแทนหรือจะปล่อยให้ตลาดปรับตัวเอง?

ประการที่สาม บทเรียนจากกรณีนี้จะนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการสื่อสารและการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นที่อาจเผชิญสถานการณ์คล้ายกันในอนาคตหรือไม่?

คำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดว่า อนาคตของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่จะมีทิศทางอย่างไร และจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างความปลอดภัย ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และการตอบสนองความต้องการของชุมชนได้อย่างไร

สิ้นสุดยุคสมัย เริ่มต้นบทใหม่

การปิดฉากของรถเมล์สายเชียงราย-เชียงแสนในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงการหยุดวิ่งของรถโดยสารจำนวนหนึ่ง แต่คือการสิ้นสุดของยุคสมัยหนึ่งที่รถเมล์มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตผู้คนในพื้นที่

จากจำนวน 26 คันในยุคทองของอาชีพ ลดลงเหลือเพียง 3 คันที่จะให้บริการต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการปรับตัวของสังคมที่มีทางเลือกในการเดินทางมากขึ้น ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และนโยบายสาธารณะที่มุ่งเน้นความปลอดภัย สำหรับคุณแต๋มและผู้ประกอบการรายอื่นๆ การจากลาอาชีพที่สืบทอดมาจากรุ่นพ่อนั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและความทรงจำ แม้จะต้องปิดบทนี้ลง แต่พวกเขาก็ไม่ได้หมดหวัง ยังคงมีแผนที่จะก้าวต่อไปในรูปแบบใหม่การตัดสินใจเก็บรักษารถไว้แทนที่จะขายทิ้ง สะท้อนถึงคุณค่าที่เหนือกว่าตัวเงิน นั่นคือความภาคภูมิใจในอาชีพและความปรารถนาที่จะให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงประวัติศาสตร์ของชุมชน

“วันสุดท้ายของปี วันสุดท้ายของเดือน และวันสุดท้ายของรถเมล์” คำพูดของคุณแต๋มสรุปความหมายของวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ได้อย่างชัดเจน มันคือจุดจบของบทหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของบทใหม่

สำหรับผู้โดยสารและชาวชุมชน รถเมล์เหล่านี้จะยังคงอยู่ในความทรงจำ เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวชีวิตที่ไม่อาจลืมเลือน เป็นพาหนะที่พาพวกเขาไปสู่โรงเรียน ที่ทำงาน และกลับบ้าน เป็นเวลาหลายสิบปี และสำหรับเมืองเชียงราย นี่คือบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง การพัฒนา และความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างความก้าวหน้ากับการดูแลรักษาสิ่งที่มีคุณค่าต่อชุมชน เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์เบอร์ 462 และ 445 อาจจะเงียบลงในวันนี้ แต่เรื่องราวและมรดกของ “รถเมล์หวานเย็น” จะยังคงอยู่ต่อไป ในหัวใจของผู้คนที่เคยสัมผัส และในรถที่ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อบอกเล่าตำนานที่เคยโลดแล่นบนถนนเชียงรายมานานกว่าครึ่งศตวรรษ

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เขียนโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร
  • เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร
  • สัมภาษณ์คุณแต๋ม ทิพย์พิมล ชัยวงค์ เจ้าของรถเมล์เบอร์ 445 สายเชียงราย-เชียงแสน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME