Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ยุทธศาสตร์ทุนมนุษย์เชียงราย ดัน IQ ถึง 103 ปิดแผลเยาวชนหลุดระบบด้วยทักษะ

ยกระดับ “ทุนมนุษย์” เชียงราย เกมรุกสองขา IQ 103–EQ 85% และ “แรงงานฝีมือ” เพื่อปิดแผลเยาวชนหลุดระบบ

เชียงราย, 13 พฤศจิกายน 2568 – ขณะที่ประเทศไทยเดินหน้าสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ จังหวัดเชียงรายกำลังผลักดันยุทธศาสตร์ ทุนมนุษย์” แบบบูรณาการสองขา ยกระดับ IQ/EQ เด็กปฐมวัย ให้ถึงเป้าหมายชาติ และ เสริมทักษะอาชีพ ให้เยาวชนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบภาคบังคับเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานในฐานะ แรงงานฝีมือ อย่างมีคุณภาพ นโยบายนี้มีฐานข้อมูลสนับสนุนชัดเจน  แม้ค่าเฉลี่ย IQ เด็กไทย ป.1 = 102.8 อยู่ในเกณฑ์ดี แต่ “ปลายหางต่ำ” ยังน่ากังวล 4.2% อยู่ในเกณฑ์ IQ < 70 สูงกว่าเกณฑ์สากล (~2.2%) เกือบเท่าตัว สะท้อนช่องว่างการคัดกรองและแทรกแซงก่อนวัยเรียนที่ยังไม่ครอบคลุม

ฉากหลัง  ตัวเลขที่ชวนคิด เฉลี่ยดี แต่ปลายหางคือจุดปะทะนโยบาย

ภาพรวมระดับชาติจากการสำรวจของกรมสุขภาพจิต (ปี 2564) ระบุว่าเด็ก ป.1 ไทยมี IQ เฉลี่ย 102.8 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล (100) และมีสัดส่วน IQ > 130 ประมาณ 10.4% สะท้อนศักยภาพด้าน “ยอดพีระมิด” ที่เติบโตดี ทว่าด้านที่ต้องเร่งคือ Low-tail distribution  เด็ก IQ < 70 = 4.2% สูงผิดปกติเมื่อเทียบกับความคาดหมายตามการกระจายแบบปกติ (~2–3%) นั่นหมายความว่า หากไม่ปิดแผลปลายหาง ตั้งเป้า IQ เฉลี่ย 103 อาจเป็น “เป้าหมายที่ได้ไม่คุ้มเสีย” เพราะผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจจากกลุ่มเสี่ยงจะกดประสิทธิภาพเชิงระบบในระยะยาว

ในเชิงยุทธศาสตร์ กรมสุขภาพจิตจึงวางเป้าหมาย ปี 2568–2570 ให้ประเทศมุ่งสู่ IQ ≥ 103 และ EQ ในเกณฑ์ปกติ 85% สองตัวชี้วัดที่ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกัน เพราะงานวิจัยยืนยันว่า เด็กที่ EQ ดีกว่าเกณฑ์ มีโอกาส IQ สูงกว่า กลุ่มที่ EQ ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ 1.6–2.5 เท่า การ “ยก EQ” จึงไม่ใช่กิจกรรมเสริม แต่เป็น “คันโยก” ทางสติปัญญา

เชียงรายเริ่มแล้ว  โต๊ะบูรณาการ “แรงงานฝีมือ” ดึงเยาวชนคืนระบบเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 20 เชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน โครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ” ปีงบประมาณ 2569 (อยู่ในกรอบ Vocational Skills Enhancement Project – VSEP) โดยมีหน่วยงานร่วม เช่น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการจัดหางาน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมประชาสัมพันธ์

วัตถุประสงค์ คือ “เปิดทางเลือก” และ “เติมทักษะ” ให้เยาวชนที่หลุดจากเส้นทางการศึกษา ได้ก้าวสู่ตลาดแรงงานในฐานะ แรงงานฝีมือ ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของโครงสร้างเศรษฐกิจท้องถิ่น ตั้งแต่ธุรกิจบริการ การท่องเที่ยว ไปจนถึงห่วงโซ่อุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป และงานช่างเทคนิคที่มีอุปสงค์สูง

ที่ประชุมได้วางกรอบ แผนปฏิทิน ปี 2569 อย่างเป็นรูปธรรม  วันชี้แจงผู้บริหาร/ครูแนะแนว, กิจกรรมศึกษาดูงานและรับสมัคร, วันเปิดฝึกอบรม และการกำหนดชุดหลักสูตรที่ “สอดรับตลาดแรงงานจริง” เพื่อเลี่ยงการฝึกที่ไม่ตอบโจทย์การจ้างงาน ทั้งหมดมุ่งหวังให้ ทักษะที่เรียน = ค่าจ้างที่ดีขึ้น” ลดโอกาสวนกลับสู่ความเปราะบางทางเศรษฐกิจของครอบครัว

อีกขา (ที่สำคัญกว่า)  ปิดแผลปลายหางด้วย Early Intervention

เสาหลักด้านเด็กเล็กคือ Early Intervention (EI) การคัดกรองทารกและเด็กเล็ก 0–3 ปี แบบ “คาดการณ์ความเสี่ยง” แล้วเข้า โปรแกรมกระตุ้นพัฒนาการเข้มข้น ตั้งแต่วัยก่อนอนุบาล หลักฐานเชิงคลินิกชี้ว่า หากทำได้มาตรฐาน เด็กในกลุ่มเสี่ยงสามารถ เพิ่ม IQ ได้ 8 คะแนนขึ้นไป และ >70% ของเด็กพัฒนาล่าช้าจะกลับมาสมวัย นี่คือ “ผลตอบแทนสูงสุด” ของการลงทุนด้านทุนมนุษย์ เพราะทุก 1 คะแนน IQ ที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับศักยภาพการเรียนรู้และผลิตภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต

ดังนั้น กรอบปฏิบัติของเชียงรายควร “ย้ายศูนย์กลาง” จากการรอวัดผล ชั้น ป.1 ไปสู่การคัดกรองเชิงทำนาย 0–3 ปี โดยยึด ปัจจัยเสี่ยงปริกำเนิด เป็นเข็มทิศ ได้แก่ น้ำหนักแรกคลอดต่ำ (<2,500 กรัม), ภาวะขาดออกซิเจนแรกคลอด, มารดาอายุน้อย (<20 ปี), และทุพโภชนาการ (โดยเฉพาะ ขาดไอโอดีน) ควบคู่การคัดกรองโรคร่วมทางพัฒนาการ (ASD/ADHD) ที่สัมพันธ์กับความเสี่ยง IQ ต่ำอย่างมีนัยสำคัญ

“EQ ขับ IQ” ทำไมบ้านและผู้ปกครองคือตัวคูณ

หลักฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการระบุชัด บ้าน คือสนามพัฒนาการที่เข้มข้นที่สุด เครื่องมือ “ลงทุนต่ำแต่ได้ผลสูง” จึงต้องเข้าไปถึงมือพ่อแม่/ผู้ดูแลทุกครัวเรือน เช่น

  • อ่านนิทาน/หนังสือภาพ  เสริมภาษาและการคิดเชิงสัญลักษณ์
  • พาเดินสังเกตสิ่งรอบตัว  ฝึกการรับรู้–ประมวลผลข้อมูล
  • ทำอาหารร่วมกัน  ฝึกคิดเชิงเหตุและกระบวนการ
  • กิจกรรมใช้มือ–ตา  ปูรากฐานการคิดมีเหตุผลและแก้ปัญหา

สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับการค้นพบว่า เด็กที่ EQ อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือดีกว่า มีโอกาส IQ สูงกว่า กลุ่มที่ EQ ต่ำ 1.6–2.5 เท่า การเทรนพ่อแม่ให้ใช้ “เครื่องมือ 4 ชุด” อย่างมีวินัย จึงเป็น ตัวคูณ ที่ต้นทุนต่ำแต่ยกระดับผลเชิงระบบได้จริง

ใช้ทุนทางสังคมของเชียงราย  “สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา” สู่การขยายผลทั้งจังหวัด

เชียงรายมีต้นแบบที่น่าศึกษา สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา” ในอำเภอแม่ลาว ซึ่งขับเคลื่อนโดย อปท. และภาคีสุขภาพ (สสส./สถ.) บนแนวคิด “เล่น–เรียนรู้–เติบโตแบบองค์รวม” ครอบคลุมกาย–ใจ–สติปัญญา–อารมณ์ จุดแข็งของโมเดลนี้คือ ต้นทุนต่ำ–ขยายง่าย และสอดคล้องวัฒนธรรมชุมชน หากจังหวัดตั้ง ศูนย์ต้นแบบ และ คู่มือขยายผล ที่คุม “ความซื่อตรงของหลักสูตร (fidelity)” ได้ ก็สามารถยกระดับคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งจังหวัดอย่างเป็นระบบ

ความท้าทาย อยู่ที่ “การวัดผล” ให้ชัด เชื่อม ข้อมูลกิจกรรม เข้ากับ ตัวชี้วัดผลลัพธ์ (เช่น อัตราเด็กกลับมาสมวัย, คะแนนประเมินพัฒนาการ, สัดส่วน EQ ปกติ) แล้วรายงานในระดับ อำเภอ/ตำบล เพื่อให้ ทรัพยากรถูกอัดฉีด ไปยัง “พื้นที่อ่อนแอ” ได้ตรงจุด

สิ่งแวดล้อมก็มีส่วน  มลพิษอากาศ–ความเสี่ยงเงียบต่อพัฒนาสมอง

เชียงรายเผชิญปัญหา คุณภาพอากาศ เป็นระยะ โดยเฉพาะฤดูกาลฝุ่น การสัมผัส PM2.5 ในวัยที่สมองกำลังพัฒนา ถูกจัดเป็น ปัจจัยเสี่ยงทางระบบประสาท ในเชิงทฤษฎี การบูรณาการ สาธารณสุข–ควบคุมมลพิษ–ท้องถิ่น เพื่อ ลดการสัมผัส ในกลุ่มเสี่ยง (หญิงตั้งครรภ์/ทารก/เด็กเล็ก) และเพิ่มการเข้าถึง พื้นที่ปลอดฝุ่น (เช่น ห้องปลอดฝุ่นใน รพ./ศูนย์เด็กเล็กช่วงวิกฤต) เป็น “มาตรการเสริม” ที่ไม่ควรมองข้าม

ข้อเสนอเชิงระบบ (2568–2570)  จากร่างนโยบายสู่การปฏิบัติ

  1. Predictive Screening 0–3 ปี  ผูกแฟ้มเสี่ยงจาก รพ./รพ.สต. (น้ำหนักแรกคลอด ต่ำกว่าเกณฑ์, มารดาอายุน้อย, ปัญหาปริกำเนิด) เข้ากับ นัดคัดกรอง 9–18–30 เดือน แบบเข้มข้น และพาเข้า โปรแกรม EI โดยอัตโนมัติ
  2. Capacity Building หน่วย EI ขยายคลินิก/ทีม EI สู่ รพ.ชุมชน–รพ.สต. ให้เพียงพอ และตั้ง ตัวชี้วัดผลลัพธ์ เช่น เป้าหมาย เพิ่ม IQ ≥ 8 จุด ในกลุ่มเข้าโปรแกรม และ ≥70% กลับมาสมวัย
  3. Parental Training ทั้งจังหวัด บังคับใช้ หลักสูตรมาตรฐานพ่อแม่ 0–5 ปี ผ่าน อปท. /ศพด. ทุกแห่ง ใช้ “เครื่องมือ 4 ชุด” เป็นแกน พร้อมระบบติดตาม “ความถี่–คุณภาพ” การทำกิจกรรมที่บ้าน
  4. Scale-up สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ยกระดับ แม่ลาว เป็น “Hub” ถ่ายทอดความรู้, สร้าง เครือข่ายพี่เลี้ยง ระดับอำเภอ, ตั้ง กองทุนกิจกรรมเล็ก สำหรับครอบครัวรายได้น้อย
  5. ข้อมูล–หลักฐาน–ความโปร่งใส  จัดตั้ง แดชบอร์ดจังหวัด รายงาน IQ/EQ รายอำเภอ/ตำบล, อัตราเข้า EI, ผลลัพธ์หลัง 6–12 เดือน เพื่อให้ผู้บริหาร “เห็นปัญหาแบบพิกัด” และปรับทรัพยากรแบบ realignment
  6. สะพานสู่แรงงานฝีมือ (VSEP)  ผูกข้อมูล ผู้เรียนเสี่ยงหลุดระบบ กับ ตำแหน่งงานจริง ของกรมการจัดหางาน/เอกชนในพื้นที่ ออกแบบ หลักสูตรโมดูลาร์ ระยะสั้น–ยืดหยุ่น ตั้งแต่ช่างเทคนิคเบื้องต้น, ดิจิทัลเบื้องต้น, อาหาร–ท่องเที่ยว ไปจนถึงโลจิสติกส์ เพื่อให้ “เรียนแล้วมีงาน–มีรายได้”
  7. สื่อสารสาธารณะ (Public Buy-in)  แคมเปญ “EQ ขับ IQ ครอบครัวเชียงราย” สื่อสารภาษาง่าย–จับต้องได้ เชิญโรงพยาบาล, โรงเรียน, วัด, ผู้นำชุมชนร่วมเป็น “เจ้าบ้าน” เพื่อให้ทุกครัวเรือน “ลงมือทำได้จริง”

เกณฑ์วัดความสำเร็จที่ชัด–วัดได้–ตรวจสอบได้

  • ลดอัตรา IQ < 70 จากฐานประเทศ 4.2% ให้ เข้าใกล้เกณฑ์สากล 2.2% ภายในปี 2570 (วัดในกลุ่มเด็กเข้า EI ต่อเนื่อง)
  • เพิ่มสัดส่วน EQ ปกติ 85% ในกลุ่มเด็ก 0–5 ปีที่เข้าร่วม Parental Training/สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา
  • อัตราเยาวชนเข้า–จบหลักสูตร VSEP และ อัตราการมีงานทำภายใน 3–6 เดือน หลังจบหลักสูตร (เชื่อมฐานข้อมูลกรมการจัดหางาน)
  • สัดส่วนเด็กพัฒนาล่าช้ากลับมาสมวัย 70% ภายใน 6–12 เดือนหลังเข้าโปรแกรม EI
  • การเข้าถึงบริการ  ร้อยละของครัวเรือนเด็ก 0–5 ปีที่ได้รับ Parental Training อย่างน้อย 1 คอร์ส/ปี, จำนวน อปท./ศพด. ที่ยกระดับเป็น “สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา” มาตรฐาน
  • การลดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่  ค่าเฉลี่ย IQ/EQ ระดับอำเภอที่ต่ำกว่าเกณฑ์ “ไล่ทัน” ค่าเฉลี่ยจังหวัดตามเป้ารายปี

 “ทุนมนุษย์เชียงราย” จะก้าวทันโลกได้ เมื่อเราปิดปลายหาง และพาเยาวชนกลับสู่ศักดิ์ศรีแรงงานฝีมือ

ข้อมูลชี้ชัด ค่าเฉลี่ย ไม่ใช่ทุกอย่าง “ปลายหางต่ำ” คือโจทย์จริงของสังคม หากเชียงราย “ปิดแผล” IQ < 70 ได้ใกล้เกณฑ์สากล ขณะเดียวกัน เชื่อมสะพานทักษะ ให้เยาวชนที่หลุดจากระบบกลับมามีศักดิ์ศรีแรงงานฝีมือ เมืองทั้งเมืองจะได้ ผลตอบแทนสูงสุด ทั้งในมิติคุณภาพชีวิต ครอบครัวเข้มแข็ง และผลิตภาพทางเศรษฐกิจ นี่คือการลงทุนที่ “จำเป็นและคุ้มค่า” มากที่สุดในทศวรรษหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงสาธารณสุข
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

เชียงรายปั้น “แพลตฟอร์มกลาง” แก้วิกฤตภัยพิบัติ เชื่อมข้อมูล-อาสาฯ ไม่ซ้ำซ้อน

เชียงรายยกระดับ “ระบบกู้ภัยอัจฉริยะ” ใช้แผนที่–ข้อมูล–อาสาสมัคร เชื่อมรัฐกับประชาชน หลังบทเรียนอุทกภัย 2567 เดินหน้าปั้น “แพลตฟอร์มกลางจังหวัด” รับมือภัยพิบัติครบวงจร

เชียงราย, 26 สิงหาคม 2568 — 2–3 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติในภาคเหนือมีทั้งความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ “น้ำหลากปนโคลน” ที่เกิดจากปัจจัยร่วมของฝนตกหนัก น้ำท่า และน้ำหนุน ทำให้รูปแบบความเสียหายต่างจากน้ำท่วมเมืองแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ บทเรียนใหญ่ของเชียงรายในเดือนกันยายน 2567 จึงไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องมือกู้ภัยหรืองบเยียวยา แต่คือ “ข้อมูลที่เชื่อมถึงกัน” เพื่อให้คน–หน่วยงาน–ทรัพยากร พบกันได้รวดเร็ว ถูกจุด และไม่ซ้ำซ้อน ข่าวนี้ชี้ให้เห็น 3 ประเด็นหลักที่น่าจับตา: (1) ปัญหาเรื้อรังด้านข้อมูลภาคสนามเมื่อเกิดเหตุ (2) การลุกขึ้นมาสร้างระบบร่วมระหว่างภาครัฐ–มูลนิธิ–แพลตฟอร์มภาคประชาชน และ (3) วิสัยทัศน์ “แพลตฟอร์มกลางของจังหวัด” ที่ตั้งเป้าให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งก่อน–ระหว่าง–หลังภัยพิบัติ หากเชียงรายทำสำเร็จ โมเดลนี้จะต่อยอดสู่จังหวัดอื่นได้ไม่ยาก

เสียงสนทนาแน่นขนัดใน “ห้องประชุมสักทอง” โรงแรม Teak Garden Spa Resort เมืองเชียงราย บ่ายวานนี้สะท้อนความจริงว่า การรับมือภัยพิบัติยุคใหม่ต้องพึ่ง “ข้อมูลที่ดี + เทคโนโลยีที่ใช่ + อาสาสมัครที่พร้อม” ไปพร้อมกัน การอบรมเชิงปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการกู้ภัยด้วยเทคโนโลยีด้านแผนที่และการบริหารจัดการข้อมูลในสถานการณ์ภัยพิบัติ” จัดโดย มูลนิธิกระจกเงา สำนักงานจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ จิตอาสาแคร์ (Jitasa.care) และสมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์ มีผู้ปฏิบัติงานจริงจากหลายหน่วยงานเข้าร่วม เพื่อทดลอง “ต่อท่อข้อมูล” ให้ไหลลื่นตั้งแต่ปลายน้ำ (ประชาชนผู้ขอความช่วยเหลือ) ย้อนสู่ต้นน้ำ (ศูนย์บัญชาการ) แบบไร้รอยต่อ

นางสาวประไพ เกศล ผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงา สำนักงานเชียงราย กล่าวต้อนรับ ก่อนที่ นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จะประกาศเปิดเวที พร้อมส่งสัญญาณความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสร้างระบบที่ “ช่วยได้จริง” ไม่ใช่แค่ “แจ้งเตือน” แล้วหายไป

บทเรียนอุทกภัย 2567 เมื่อ “น้ำสามชนิด” มาเจอกัน และงบเยียวยามหาศาลก็ยังไม่พอ

รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ย้อนภาพมหาอุทกภัยเดือนกันยายน 2567 ว่า “ครั้งนั้นไม่ใช่แค่น้ำ แต่เป็นน้ำปนโคลน—ครั้งแรกของพื้นที่” จุดเกิดเหตุไม่ได้มีแค่น้ำฝนในพื้นที่ แต่เกิดจาก สามแรงปะทะ คือ น้ำท่าในพื้นที่ + ฝนตกหนัก + น้ำหนุนจากแม่น้ำโขง พอทั้งสามซ้อนกัน “ท่วม 100% และท่วมนาน” ส่งผลให้รูปแบบความเสียหายขยับจากทรัพย์สินสู่ “สภาพแวดล้อมอยู่อาศัย” ชนิดที่บ้านหลายหลังต้องระดมคน–เครื่องมือ–เวลา เพียงเพื่อ “ตักโคลนออก” ก่อนจะซ่อมแซมอย่างอื่นได้

ภาครัฐเร่งเยียวยาอย่างกว้างขวาง—เงินโอนเยียวยาเข้าบัญชีประชาชนรวม 1,074 ล้านบาท (ไม่รวมงบซ่อมสาธารณูปโภคที่กระทรวงคมนาคมอัดเข้าไป ราว 400–500 ล้านบาท เพื่อฟื้นถนนที่เสียหาย) นอกจากนี้ยังมี “แพ็กเกจ” เฉพาะกิจหลายรายการ อาทิ

  • แพ็กเกจ 1: เงินช่วยเหลือ 9,000 บาท/ครัวเรือน สำหรับบ้านที่น้ำท่วมและเสียหาย ครอบคลุม กว่า 35,000 ครัวเรือน รวมใช้งบ กว่า 350 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 2: เงินช่วย 10,000 บาท/ครัวเรือน สำหรับครัวเรือนที่ต้องขนโคลนออกจากบ้าน ครอบคลุม กว่า 18,000 ครัวเรือน รวม กว่า 180 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 3: ช่วยซ่อมบ้าน–อุปกรณ์ทำกิน สูงสุดไม่เกิน 49,500 บาท
  • แพ็กเกจ 4: เติมเต็มส่วนที่เกินระเบียบราชการโดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) อีก 34 ล้านบาท ครอบคลุม 1,200 หลังคาเรือน
  • แพ็กเกจ 5: ภาคเกษตร–ปศุสัตว์–ประมง รวม 268 ล้านบาท
  • แพ็กเกจ 6 และ 8: เงินช่วยจากกองทุนจังหวัดสำหรับบ้านเสียหายทั้งหลัง (174 ครัวเรือน) และช่วยกลุ่มเปราะบาง

ตัวเลขมหาศาลเหล่านี้ช่วยพยุงชีวิตผู้คนให้ลุกเดินต่อ แต่ “เงินอย่างเดียว” ไม่อาจทัดทาน “เวลาช่วยเหลือที่ช้า–ข้อมูลผิดจุด–งานซ้ำซ้อน” ซึ่งคือหัวใจของความสูญเสีย “ที่ป้องกันได้” หากระบบข้อมูลดีตั้งแต่ต้น

จุดเจ็บของภารกิจข้อมูลสะเปะสะปะ พิกัดผิดซ้ำซ้อน “ทำให้คนช่วยไปไม่ถึง”

นายโจ้ จากมูลนิธิกระจกเงา เล่าตรงไปตรงมา—ทุกวิกฤตมี “ช่องว่างข้อมูล” ซ่อนอยู่เสมอ แม้ภาคสนามมีคนและอุปกรณ์พร้อม แต่หาก พิกัดบ้านไม่ชัด” ก็ยากที่ทีมกู้ภัยจะฝ่าเสี่ยงเข้าไปถึงได้ “ตอนแม่สายปีที่แล้ว ญาติ–ชาวบ้านต้องเขียนข้อมูลใส่กระดาษยื่นให้เทศบาล” ก่อนที่ทีมมูลนิธิฯ ต้องมานั่ง คีย์ชื่อกว่า 900 ราย ลง Excel แล้วโทรไล่หาพิกัดจากญาติ ใช้ Google Street View ช่วยเดา บ้านที่ ‘คุ้น’ เมื่อแห้ง แต่ ‘หลง’ เมื่อท่วม และสิ่งที่ทีมได้ยินจากหน่วยซีลที่ถูกเรียกมาช่วยคือ ถ้าข้อมูลไม่ชัด เขาจะไม่ไป”—ไม่ใช่ไม่อยากไป แต่เพราะ การเสี่ยงชีวิตต้องมี “ความชัดเจน” ค้ำประกัน

นายชูเกียรติ จันทบูรณ์ เลขานุการและหัวหน้าชุดปฏิบัติการ สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย เสริมบทเรียนจากภารกิจที่น่าน ว่าการ “ไม่มีที่รวมศูนย์รายงานตัว” ทำให้เกิด งานทับซ้อน อย่างกรณีผู้ป่วยฟอกไต—ทีมหนึ่งฝ่าเสี่ยงเอาเรือเข้าไปรับ แต่ไปถึงจุดหมายกลับพบว่า มีทีมอื่นรับตัวออกไปแล้ว เสียทั้งเวลา–น้ำมัน–ความเสี่ยง โดยไม่จำเป็น “ถ้าทุกทีม ทุกเคส รายงานเข้า ‘ที่เดียวกัน’ ใช้เลขเคสเดียวกัน เราจะไม่เสียเวลา”

คำตอบเชิงระบบ “จิตอาสาแคร์” แพลตฟอร์มที่จับคู่งาน–ความช่วยเหลือด้วยแผนที่

คุณวสันชัย วงศ์สันติวนิช หัวหน้าทีม Jitasa.care เล่าจุดเริ่มแพลตฟอร์มที่เกิดจากโศกนาฏกรรมโควิด-19 เมื่อทีมงานคนหนึ่งสูญเสียญาติและ “หาที่เผาศพไม่ได้” ทีมโปรแกรมเมอร์–วิศวกร–นักวิจัยจึงรวมตัวพัฒนาระบบภายใน สองสัปดาห์ เพื่อให้ ความช่วยเหลือหาเจอกัน” ได้จริง จิตอาสาแคร์เคยรองรับผู้ใช้งาน กว่า 2 ล้านคนในกรุงเทพฯ ช่วงวิกฤต และถูกนำมา “รีดีไซน์” เพื่อภารกิจภัยพิบัติ

หน้าจอของจิตอาสาแคร์เข้าใจง่าย—หมุดสีแดง คือคำขอความช่วยเหลือ, หมุดสีเขียว คือมีคน “รับเคสแล้ว”, หมุดสีเทา คือ “ภารกิจสำเร็จ” ระบบมี เลขเคสเฉพาะ (case ID) และ QR/ลิงก์ ให้ส่งหากัน—ทีมไหนเปิดดู ก็เห็นข้อมูลชุดเดียวกัน ลดโอกาสซ้ำซ้อน มูลนิธิกระจกเงาช่วย คัดกรอง–ลบหมุดซ้ำ–ยืนยันข้อมูล ให้ “ข้อมูลชัดก่อนลงเรือ” พร้อมกันนี้ยังออกแบบ บทบาทอาสา 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. อาสาประสาน (Operator): รับ–กระจายเคส เชื่อมทุกหน่วย
  2. อาสากู้ภัย (Rescuers): ลงพื้นที่หน้างาน
  3. อาสาข้อมูล (Data Volunteers): เก็บ–รวบรวม–ปรับคุณภาพข้อมูล (ร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย/มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ))

ในบางพื้นที่ไม่มีสัญญาณมือถือ ทีมจึงสาธิตการใช้ Gaia GPS—แอปแผนที่ออฟไลน์ที่ดาวน์โหลดแผนที่ไว้ล่วงหน้า บันทึก เส้นทาง–ระยะ–ความสูง–ความชัน ได้ และ นำเข้า/ส่งออกไฟล์ GPX/KML เพื่อแชร์เส้นทางเดียวกันระหว่างทีม สอดคล้องกับความจริงภาคสนามที่ Google Maps อาจไม่ตอบโจทย์เมื่อ “สัญญาณล่ม”

กลางคืน–น้ำเชี่ยว–ไฟดับ และพฤติกรรม “ไม่อพยพ” ในระยะเตือน

นายชูเกียรติเล่าตรงไปตรงมา งานกู้ภัย “กลางคืน–ไม่มีไฟ–น้ำแรง” คือเสี่ยงที่สุด อีกทั้ง ชาวบ้านจำนวนมากไม่ยอมอพยพตั้งแต่แรก ยอมออกก็ต่อเมื่อ “น้ำถึงอก” ทำให้ทีมต้อง “วนซ้ำ” จุดเดิมหลายรอบ ความปลอดภัยของทั้งผู้ช่วยและผู้รอก็ลดลงพร้อมกัน

มิติโดรนจึงถูกหยิบมาหารือ จะบินอย่างไรให้ ‘ข้อมูล’ กลับมาที่ศูนย์กลาง ไม่ใช่แค่ ‘ภาพ’ อยู่ในมือถือคนบิน” หากทุกเที่ยวบินถูกเก็บเป็น เลเยอร์แผนที่เดียวกัน ทีมบัญชาการจะเห็นภาพรวม แบบเรียลไทม์ จัดคิว–จัดเส้นทาง–จัดอุปกรณ์ให้ “ตรงจุด–ทันเวลา” มากกว่า และอนาคตทีมเทคนิคกำลังพิจารณา อุปกรณ์ส่งพิกัดผ่านคลื่นวิทยุสื่อสาร เพื่อแก้ปัญหา “ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์” ในบางจุด

 “แพลตฟอร์มเดียว–ข้อมูลเดียว” ของทั้งจังหวัด

หัวใจที่รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำคือ แพลตฟอร์มกลางของจังหวัดเพียงหนึ่งเดียว” เพื่อรวม ข้อมูลเตือนภัย + คำขอช่วยเหลือ + แผนที่ภารกิจ + สถานะเยียวยา ไว้ที่เดียว และต้อง อ่านเข้าใจง่าย สำหรับประชาชนใน 1,774 หมู่บ้าน 124 ตำบล 144 อปท. โดยตั้งใจให้ มูลนิธิกระจกเงาและเครือข่าย ทำหน้าที่ “มือกลาง” บริหารระบบ ด้วยเหตุผลด้านความยืดหยุ่น ว่องไว และเชื่อมภาคสนามได้จริง

“ข้อมูลใดก็ตามต้อง ‘ไหล’ เข้ามาที่แพลตฟอร์มกลาง และผ่านการกลั่นกรองในนามจังหวัด เปรียบเหมือน ตรารับรองมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชน เชื่อถือ” แนวคิดนี้ไม่ได้หยุดแค่ ก่อนเกิดภัย (เตือน–เตรียม) แต่จะครอบคลุม ระหว่างภัย (ขอ–จัดคิว–กู้ภัย) และ หลังภัย (สำรวจ–เยียวยา–ฟื้นฟู) ให้ครบวงจร ซึ่งในปี 2568 ที่เชียงรายเริ่มทดลองใช้จริง “ระบบไหลลื่นกว่าปีก่อนมาก” ตามคำบอกเล่าของทีมจิตอาสาแคร์ ขณะที่รองผู้ว่าฯ ทิ้งท้ายบนเวทีว่า “สิ่งที่เราทำวันนี้ จะเป็น ต้นแบบ ให้จังหวัดอื่นนำไปปรับใช้—เพื่อประโยชน์ของพี่น้องชาวเชียงราย กว่า 1,290,000 คน และประชาชนทั่วประเทศ”

ตัวเลขที่ชวนคิด ทำไม “ข้อมูลดี” ถึงสำคัญกว่างบอีกหลายร้อยล้าน

  • 1,074 ล้านบาท เยียวยาเข้าบัญชีประชาชน + 400–500 ล้านบาท ซ่อมถนน คือค่าใช้จ่าย “ปลายน้ำ” ที่จำเป็น แต่หาก ข้อมูล/การสื่อสารต้นน้ำดี (พิกัดแม่น, ไม่ซ้ำเคส, จัดคิวถูก) ความสูญเสียและงบซ่อมซ้ำจะลดลงอย่างเป็นรูปธรรม
  • 35,000 + 18,000 ครัวเรือน ในสองแพ็กเกจหลัก สะท้อนสเกล “งานข้อมูล” ที่ต้องรองรับ—โมเดล “คีย์กระดาษ–โทรถามพิกัด–เดา Street View” ไม่อาจทันภัยพิบัติรุ่นใหม่อีกต่อไป
  • 1,774 หมู่บ้าน คือสาเหตุว่าทำไม “แพลตฟอร์มเดียว” สำคัญ—ต่างหน่วยต่างทำ ย่อมได้ “ความดีคนละชิ้น” แต่ “ระบบที่เชื่อมกัน” จะได้ “ความสำเร็จชิ้นเดียว” ที่ใหญ่กว่า

ข้อตกลงความร่วมมือและการเปิดข้อมูลแบบรับผิดชอบ

เวทีประกาศความตั้งใจจะลงนาม บันทึกความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง มูลนิธิกระจกเงา – จิตอาสาแคร์ – สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์ เพื่อกำหนด มาตรฐานข้อมูล–ขั้นตอนปฏิบัติ–การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ “บทบาท–หน้าที่” ของอาสาแต่ละกลุ่มให้ชัด ทำให้ทุกภาคส่วน เห็นภาพเดียวกัน ตั้งแต่ระดับตำบลถึงศูนย์บัญชาการ

แก่นของบทเรียนเชียงราย จึงไม่ใช่การมีเครื่องมือมากชิ้น หากแต่คือ การเอาเครื่องมือที่มีอยู่มา “เชื่อมเข้าหากัน” บนแผนที่เดียวและภาษาข้อมูลเดียว เพื่อให้ “คนที่เดือดร้อน” ได้เจอ “คนที่พร้อมช่วย” โดยมีรัฐทำหน้าที่รับรองมาตรฐานและอำนวยทรัพยากรสนับสนุน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย / รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย — ข้อมูลภาพรวมสถานการณ์อุทกภัย 2567 ในพื้นที่, แนวคิด “แพลตฟอร์มกลางจังหวัด”, ตัวเลขเยียวยาและแพ็กเกจช่วยเหลือสำคัญที่ประกาศใช้ในพื้นที่
  • มูลนิธิกระจกเงา (สำนักงานเชียงราย) — รายละเอียดการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ, บทบาทคัดกรอง/ยืนยันข้อมูลภาคสนาม, ประสบการณ์ภารกิจแม่สาย (การคีย์ข้อมูล 900 รายชื่อ, การยืนยันพิกัด)
  • แพลตฟอร์มจิตอาสาแคร์ (Jitasa.care) — หลักการทำงานของระบบจับคู่ความช่วยเหลือ (หมุดสีแดง/เขียว/เทา, case ID, QR/ลิงก์), ที่มาแพลตฟอร์มยุคโควิดและการใช้งานใน กทม. ช่วงวิกฤต
  • สมาคมกู้ชีพกู้ภัยศิริกรณ์เชียงรายบรรเทาสาธารณภัย — ประเด็นปัญหางานซ้ำซ้อน, ข้อเสนอเรื่อง “รายงานตัวที่เดียว”, ข้อจำกัดปฏิบัติการกลางคืน–น้ำแรง–อพยพล่าช้า
  • เครือข่ายอาสา–ภาควิชาการ (เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ)) — บทบาทสนับสนุนข้อมูลฝน–น้ำและงานอาสาข้อมูล (Data Volunteers) ในระบบ
  • ข้อมูลเทคนิคแผนที่ออฟไลน์ (เครื่องมือประเภท Gaia GPS) — คุณสมบัติการดาวน์โหลดแผนที่ล่วงหน้า, บันทึกเส้นทาง–ความสูง–ความชัน, นำเข้า/ส่งออก GPX/KML สำหรับใช้ในพื้นที่อับสัญญาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วช.ผนึก “เชียงราย-พะเยา” พลิกโฉมสิ่งแวดล้อมเหนือ จุดพลุ “อากาศสะอาด-น้ำมั่นคง” ด้วยวิจัย

วช. ผนึก “เชียงราย-พะเยา” พลิกโฉมสิ่งแวดล้อมเหนือ จุดพลุ “อากาศสะอาด-น้ำมั่นคง” ด้วยวิจัยและนวัตกรรม

ความร่วมมือข้ามจังหวัด จุดเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ

เชียงราย,วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 –  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ก้าวสำคัญด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับจังหวัดเชียงรายและพะเยา ขยายขอบเขตความร่วมมือไปสู่ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายชัดเจน “อากาศสะอาด น้ำมั่นคง” ผ่านการประยุกต์ใช้งานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เป็นจริงในระดับพื้นที่ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และความมั่นคงทางน้ำอย่างเป็นระบบ

พิธีลงนามครั้งประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนอนาคตไทย

งานลงนามจัดขึ้น ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยมีบุคคลสำคัญหลากหลายสาขาร่วมพิธี นำโดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อน ผู้อำนวยการ วช. นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภูธนะ ชมภูมิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ตัวแทนสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) อบจ.เชียงราย อบจ.พะเยา สภาเกษตรกร สภาลมหายใจ สภาวัฒนธรรม และหน่วยงานพันธมิตรจากสองจังหวัด ขานรับยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สู่ภารกิจจัดการฝุ่น PM2.5 ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน และจัดการน้ำใน 10 จังหวัดเสี่ยงภัยแล้งและน้ำท่วม ภายใต้แนวคิด “มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย เพื่ออากาศสะอาด น้ำมั่นคง”

พลังความร่วมมือหลากมิติ รัฐ-วิชาการ-ประชาชน

ข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นการรวมพลังของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันวิชาการ ภาคประชาชน และภาคีเครือข่าย เพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยผู้แทนจังหวัดเชียงรายและพะเยาได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของความร่วมมือแบบบูรณาการ “การจัดการฝุ่น PM2.5 และน้ำ ต้องใช้เครือข่ายและองค์ความรู้ทุกภาคส่วน มิใช่ภาครัฐเพียงลำพัง” นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าว

เชียงราย กลไกหลัก ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงระบบ

จังหวัดเชียงรายแสดงเจตจำนงชัดเจนในการรับบท “กลไกหลัก” สนับสนุนงานวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะประเด็นฝุ่น PM2.5 และการบริหารน้ำ ที่ต้องใช้ฐานข้อมูลและนวัตกรรมปรับใช้กับความหลากหลายของแต่ละชุมชน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะช่วยประสานความร่วมมืออย่างเป็นระบบ มีการติดตามผลที่ชัดเจน และขยายผลสู่จังหวัดอื่นในอนาคต

อบจ.เชียงราย ดัน “วิจัยสู่พื้นที่จริง” สร้างต้นแบบเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำแนวทาง “การทำงานเชิงพื้นที่” ผสานงานกับชุมชนและวิชาการเพื่อต่อยอดการจัดการฝุ่น PM2.5 และน้ำ โดยอบจ.เชียงรายผลักดันโครงการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) เพื่อเป็นฐานข้อมูล แผนฟื้นฟู และเครือข่ายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ

ขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ชุมชน Knowledge to Action

การเชื่อมโยงงานวิจัยของ วช. กับชุมชนท้องถิ่น ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม “พร้อมใช้” ไปถึงพื้นที่เป้าหมายจริง ลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงองค์ความรู้และเครื่องมือที่ทันสมัย จังหวัดเชียงรายยังสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมเลือกพื้นที่ทดลองและขยายผล รวมถึงสนับสนุนการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ พัฒนาการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยงไฟป่า และวางระบบบริหารจัดการน้ำให้ตอบโจทย์ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ตามเป้าหมาย

ประชาชน-ท้องถิ่น คือฟันเฟืองสำคัญของความสำเร็จ

อบจ.เชียงรายเน้นย้ำบทบาทองค์กรปกครองท้องถิ่น และเครือข่ายประชาชน ว่าเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอน สร้างความยั่งยืนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมผลักดันกลไกประเมินผลและรายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกโครงการเกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะยาว

วิทยาศาสตร์เปลี่ยนชีวิต จากห้องวิจัยสู่มือประชาชน

ความสำเร็จของ MOU ครั้งนี้ คือการพา “วิทยาศาสตร์” และ “นวัตกรรม” ลงจากห้องวิจัย สู่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดในชีวิตประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการลดฝุ่น PM2.5 หรือการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนที่เหมาะสมกับบริบทแต่ละพื้นที่

จุดเด่นสำคัญของความร่วมมือ คือ

  • การจัดการปัญหาแบบเชื่อมโยงข้ามหน่วยงาน ข้ามจังหวัด
  • การนำองค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติที่วัดผลได้จริง
  • การดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
  • การวางแผนแก้ปัญหาระยะยาว สร้างความยั่งยืนแท้จริง

จากนโยบายสู่ผลลัพธ์จับต้องได้

การดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยการประเมินผลที่ต่อเนื่อง การจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรที่เหมาะสม และการส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทนำในพื้นที่ ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างรัฐ วิชาการ และประชาชน คือกุญแจไปสู่ “อากาศสะอาด น้ำมั่นคง” ที่แท้จริงสำหรับชาวเชียงรายและพะเยา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สภาเกษตรกร, สภาลมหายใจ, สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายและพะเยา
  • รายงานพิธีลงนาม MOU 15 กรกฎาคม 2568
  • ข้อมูลจากผู้แทนและผู้อำนวยการ วช.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News