Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมการแรงงานชายแดน ทำไมธุรกิจเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้งานว่างนับพันอัตรา?

เมื่อเชียงรายกำลังหาคนทำงาน – แต่ทั้งจังหวัดกลับส่งคนหนุ่มสาวไปทำงานต่างประเทศ ขณะที่รัฐกลางกำลังเผชิญปัญหา “ขาดคนดูแลประชาชน” โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข

เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – นี่คือภาพสะท้อนของตลาดแรงงานไทยในปี 2568 ที่ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่คือสัญญาณเตือนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและคุณภาพการให้บริการประชาชน ในระดับจังหวัด ในระดับภูมิภาค และในระดับประเทศ

บทความนี้รวบรวมข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.), หนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567, รายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ไตรมาส 4 ปี 2567 ของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย ตลอดจนถ้อยแถลงล่าสุดจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน (อัปเดตวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568) เพื่อฉายภาพ “สมการแรงงานไทย” ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในห้วงเวลาไม่ถึง 5 ปีที่ผ่านมา

ชายแดนเชียงราย — เมืองที่ยังต้องใช้แรงงาน แต่แรงงานท้องถิ่นกำลังหายไป

เชียงรายในปี 2567-2568 ไม่ใช่เพียงจังหวัดท่องเที่ยวหรือเมืองหน้าด่านด้านวัฒนธรรม หากแต่เป็น “ประตูเศรษฐกิจชายแดน” ของภาคเหนือที่เชื่อมไทยกับเมียนมาผ่านอำเภอแม่สายและแม่จัน และเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว ผ่านอำเภอเชียงของ ตลอดจนเป็นจุดหมุนเวียนสินค้าของภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบนและเส้นทางโลจิสติกส์สู่จีนตอนใต้

เศรษฐกิจนี้สร้างความต้องการแรงงานปฏิบัติการจำนวนมาก ทั้งแรงงานก่อสร้าง แรงงานโลจิสติกส์ คนขับรถบรรทุกหัวลาก ทักษะซ่อมบำรุงเครื่องยนต์ ตลอดจนแรงงานบริการแนวหน้าที่ต้องติดต่อกับนักท่องเที่ยวและลูกค้าข้ามชาติ โดยเฉพาะในเขตเมืองเชียงราย แม่จัน แม่สาย และเชียงของซึ่งเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมสำคัญของจังหวัด

แต่ปัญหาที่เชียงรายเผชิญอยู่ในวันนี้ไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” ตรงกันข้าม สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 จังหวัดมีตำแหน่งงานว่างรวม 1,482 อัตรา (ก่อนหน้านั้นทั้งปีพบตำแหน่งว่างรวมหลักหมื่นอัตรา) แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานในระบบเพียง 1,368 คนในไตรมาสดังกล่าว ตัวเลขนี้สะท้อนช่องว่างอย่างชัดเจนระหว่าง “อุปสงค์แรงงาน” กับ “แรงงานไทยที่ยอมเข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ” ซึ่งยังคงต่ำกว่าความต้องการของนายจ้างอย่างมีนัยสำคัญ

ในเวลาเดียวกัน รายงานฉบับเดียวกันยังชี้ว่าแรงงานจำนวนมากในเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่เป็นทางการ แต่ทำงานในฐานะแรงงานนอกระบบสูงถึง 507,372 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 86.25 ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดของจังหวัด และส่วนใหญ่ยังคงผูกพันอยู่กับภาคเกษตรกรรมดั้งเดิม โดยมีแรงงานภาคเกษตรมากกว่า 374,000 คนจากผู้มีงานทำทั้งหมดราว 588,000 คน

กล่าวอีกแบบ หนึ่งจังหวัดมีคนทำงานจำนวนมาก แต่คนจำนวนมหาศาลเหล่านั้นไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานทางการ ไม่สมัครทำงานในภาคบริการสมัยใหม่ ไม่เข้าศูนย์บริการรถยนต์ ไม่เข้าสู่ธุรกิจโลจิสติกส์ ไม่เข้าสู่ภาคค้าปลีกสมัยใหม่ ทั้งที่ตำแหน่งงานยังว่างอยู่

คำถามเชิงนโยบายจึงไม่ใช่เพียง “ทำไมคนตกงาน” แต่กลับกลายเป็น “ทำไมธุรกิจในเชียงรายหาคนทำงานไม่ได้ แม้อัตราว่างงานทางการของจังหวัดจะอยู่เพียงร้อยละ 0.40 เท่านั้น” (2,368 คน ณ ไตรมาส 3 ปี 2567)

คนเชียงรายจำนวนหนึ่งไม่ตกงาน – แต่ “ย้ายออก”

เมื่อมองลึกลงไปในข้อมูล สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ในไตรมาสเดียวกัน มีแรงงานไทยจากเชียงราย 1,160 คนยื่นคำขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศ และเมื่อดูทั้งปี 2567 ตัวเลขการย้ายออกเพื่อไปทำงานนอกประเทศสูงกว่าสองพันคน โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานกึ่งทักษะหรือไร้ทักษะ เช่น งานก่อสร้างและงานรับใช้ในครัวเรือนในต่างประเทศ ซึ่งมีค่าจ้างสูงกว่าในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

นี่คือ “การอพยพทางรายได้” (income migration) คนทำงานไม่ได้ออกจากกำลังแรงงาน แต่ย้ายกำลังแรงงานของตัวเองออกนอกจังหวัดหรือนอกประเทศเพื่อแลกกับรายได้ที่สูงกว่า ในขณะที่ธุรกิจในพื้นที่ยังคงต้องเดินต่อ และจึงหันไปพึ่งแรงงานจากภายนอกมากขึ้น

นั่นทำให้แรงงานต่างด้าวกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจเชียงรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อมูลจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานตามกฎหมายจำนวน 36,568 คนในไตรมาส 4 ปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 6.21 ของแรงงานทั้งหมด โดยแรงงานเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในภาคก่อสร้าง ภาคบริการขั้นพื้นฐาน และงานใช้แรงกายจำนวนมากซึ่งแรงงานท้องถิ่นบางส่วนไม่ต้องการทำ

ยิ่งไปกว่านั้น แรงงานต่างด้าวในเชียงรายจำนวนมากไม่ได้มีสถานะเดียวกันทั้งหมด แต่กระจายอยู่ในหลายฐานะตามกฎหมาย เช่น กลุ่มชนกลุ่มน้อยและผู้ไม่มีสัญชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานตามมาตรา 63/1 มากถึง 16,999 คน และกลุ่มที่ได้รับการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี (มาตรา 63/2) รวม 17,349 คน ซึ่งสะท้อนว่ากลไกเศรษฐกิจท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนพึ่งพา “แรงงานข้ามชาติภายใต้มาตรการผ่อนผัน” มากกว่าที่มักเข้าใจกันในภาพรวม

กล่าวโดยสรุป เชียงรายเป็นพื้นที่ที่ “ต้องมีแรงงานข้ามชาติ” เพื่อให้ภาคบริการ ภาคก่อสร้าง และภาคโลจิสติกส์เดินต่อ ในขณะที่แรงงานท้องถิ่นบางส่วนเดินทางไปทำงานข้ามพรมแดนในทิศทางกลับด้านเพื่อหารายได้ที่สูงกว่า

ส่วนกลางเองก็เริ่ม “ไม่มีคน” — โดยเฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐ

หากมองออกจากระดับจังหวัดไปยังระดับประเทศ จะพบปรากฏการณ์คู่ขนานที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือรัฐบาลไทยเองกำลังเผชิญโจทย์เรื่อง “กำลังคนภาครัฐ” ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับคุณภาพของบริการสาธารณะ โดยเฉพาะสาธารณสุข การศึกษา การปกครองท้องถิ่น และความปลอดภัยสาธารณะ

ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และหนังสือ “กำลังพลภาครัฐ 2567” ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมประมาณ 3,004,485 คน ในปีงบประมาณ 2567 หรือราว 3 ล้านคน คิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 40.5 ล้านคนจากประชากรทั้งประเทศประมาณ 65.95 ล้านคน.

ในจำนวนนี้ “ข้าราชการ” ตามความหมายทางกฎหมายมีอยู่ 1,756,606 คน โดยกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน รองลงมาคือข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน ข้าราชการทหาร 368,711 คน และข้าราชการตำรวจ 213,086 คน. ตัวเลขสะท้อนชัดว่าระบบการศึกษาและระบบความมั่นคงยังคงเป็นเจ้าของกำลังคนจำนวนมากในระบบราชการไทย.

ส่วนอีกกว่า 1.24 ล้านคนคือแรงงานภาครัฐประเภทอื่น เช่น ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน พนักงานจ้างท้องถิ่น 223,528 คน พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน และพนักงานราชการ 179,567 คน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ถือเป็น “เครื่องยนต์ปฏิบัติการ” ของภาครัฐในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในบริการสาธารณสุขและบริการเชิงพื้นที่ระดับจังหวัดและอำเภอ.

ตัวเลขดังกล่าวบอกอะไรเรา?
มันบอกว่ารัฐไทยยังเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศ และบุคลากรของรัฐคือคนที่เราพบในชีวิตประจำวัน – ครูในโรงเรียนลูกเรา พยาบาลที่ห้องฉุกเฉิน ที่ว่าการอำเภอ คนเก็บภาษีท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในด่านชายแดนที่เชียงรายกำลังรับภาระประชากรข้ามแดน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ข้อมูลเชิงโครงสร้างกลับเตือนถึงความเปราะบางที่กำลังขยายตัว

สาธารณสุข” ทั้งบรรจุสูงสุด ทั้งว่างตำแหน่งสูงสุด ทั้งลาออกสูงสุด

ในสายตาของนักนโยบายแรงงาน ตัวเลขที่น่ากังวลที่สุดอยู่ในกลุ่มสาธารณสุข

ตำแหน่งที่ภาครัฐต้องบรรจุมากที่สุด 10 อันดับแรกในปีงบประมาณ 2567 ส่วนใหญ่เป็นวิชาชีพทางการแพทย์ โดยอันดับหนึ่งคือ “พยาบาลวิชาชีพ” 4,372 ตำแหน่ง ตามด้วย “นายแพทย์” 2,194 ตำแหน่ง และ “นักวิชาการสาธารณสุข” 1,025 ตำแหน่ง ตัวเลขเหล่านี้ยืนยันว่าระบบสุขภาพสาธารณะยังต้องการคน ทั้งในโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลอำเภอ รวมถึงโรงพยาบาลชายแดนที่มีภาระการดูแลทั้งคนท้องถิ่นและแรงงานข้ามชาติ.

แต่เมื่อมองไปข้างหน้า กลับพบว่าตำแหน่งว่างที่คาดการณ์ว่าจะยังไม่มีคนทำในอนาคตอันใกล้ก็อยู่ในสายงานเดียวกัน ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพที่คาดว่าจะมีตำแหน่งว่าง 3,439 ตำแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง และนายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง ขณะที่ในกลุ่มสายปฏิบัติการทั่วไป อันดับหนึ่งของตำแหน่งที่ยังว่างคือ “เจ้าพนักงานธุรการ” 2,011 ตำแหน่ง และ “เจ้าพนักงานสาธารณสุข” 1,753 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนการทำงานแนวหน้าในโรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพ.

ยิ่งกว่านั้น เมื่อดูสถิติ “การสูญเสียบุคลากร” ของข้าราชการพลเรือนสามัญในปีงบประมาณ 2566 พบว่ามีการสูญเสียรวม 19,006 คน แบ่งเป็นการลาออก (47.93%) การเกษียณอายุ (48.66%) การเสียชีวิต (2.38%) และการออกด้วยเหตุผิดวินัย (1.04%).

กระทรวงสาธารณสุขกลายเป็นกระทรวงที่มีตัวเลขโดดเด่นที่สุดในแทบทุกหมวดพร้อมกัน

  • เกษียณอายุ: 4,237 คน มากที่สุดในบรรดากระทรวงทั้งหมด
  • ลาออก: 4,674 คน มากที่สุดเช่นกัน
  • เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่หรือสภาพงาน: 169 คน สูงที่สุดในบรรดาหน่วยงานรัฐ (เทียบกับกระทรวงอื่นที่ตัวเลขหลักสิบหรือต่ำกว่านั้นมาก)
    กระทรวงมหาดไทยตามมาเป็นอันดับสองในหลายตัวเลข แต่ก็ยังต่ำกว่ากระทรวงสาธารณสุขอย่างชัดเจน.

คำอธิบายหนึ่งที่มักถูกพูดในแวดวงบุคลากรสาธารณสุขก็คือ ภาระงานหน้าด่าน สูง ความเสี่ยงสูง คุณภาพชีวิตการทำงานผูกติดกับภารกิจที่ไม่มีวันหยุด ทั้งในเขตเมืองและโดยเฉพาะชายแดน เช่น เชียงราย ที่ต้องรองรับทั้งคนไทย คนต่างด้าวถูกกฎหมาย และผู้ที่ยังไม่มีสถานะทางทะเบียน

หากมองภาพระยะยาว ก.พ. คาดการณ์ว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า “พยาบาลวิชาชีพ” จะเป็นตำแหน่งที่มีการเกษียณอายุมากที่สุดของประเทศ มากถึง 23,725 อัตรา ขณะที่ตำแหน่งด้านธุรการแนวหน้าของหน่วยบริการสาธารณะอย่าง “เจ้าพนักงานธุรการ” ก็จะเกษียณมากกว่า 3,800 อัตรา ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงสำหรับงานสนับสนุนเชิงระบบ.

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนโจทย์เชิงโครงสร้าง
ระบบสุขภาพไทยกำลังจะขาดคนในรุ่นต่อไป ในขณะที่คนรุ่นปัจจุบันกำลังลาออกก่อนเกษียณ

โครงสร้างกำลังคนรัฐ คนเยอะจริงหรือ? หรือแค่กระจุกผิดที่?

อีกหนึ่งคำถามที่สังคมมักตั้งคือ “เรามีข้าราชการเยอะเกินไปหรือไม่”

หากมองในเชิงสัดส่วน จะพบว่ากำลังพลภาครัฐคิดเป็นประมาณร้อยละ 4.6 ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ ซึ่งถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับหลายรัฐสวัสดิการขนาดกลางในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการกระจายคนภาครัฐในประเทศไทยไม่ได้สม่ำเสมอ กระจุกตัวอยู่ในบางภารกิจและบางภูมิภาค

ข้อมูลปีงบประมาณ 2567 ชี้ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนมากที่สุดประมาณ 417,445 คน หรือร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด ขณะที่ภาคกลางและภาคเหนืออยู่ที่ราวร้อยละ 19.57 และ 17.68 ตามลำดับ ส่วนกรุงเทพมหานครมีข้าราชการฝ่ายพลเรือนราว 177,897 คน หรือ 12.82% ของทั้งหมด.

ตัวเลขนี้ชวนคิดในสองมิติ
มิติแรก — ภาคอีสานและภาคเหนือ (รวมเชียงราย) เป็นพื้นที่ที่รัฐยังต้องปล่อย “คนของรัฐ” ลงไปให้บริการโดยตรง ทั้งการศึกษา ปกครองท้องที่ เกษตร สาธารณสุขขั้นปฐมภูมิ
มิติที่สอง — เมื่อบุคลากรสาธารณสุขและบุคลากรท้องถิ่นในพื้นที่เหล่านี้ลาออกหรือย้ายออก ระบบบริการพื้นฐานของรัฐย่อมสั่นคลอนทันที โดยเฉพาะบริการที่ “แทนกันไม่ได้ง่าย” อย่างพยาบาลฉุกเฉินในโรงพยาบาลชายแดน หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคติดต่อตามช่องทางเข้าเมืองตามแนวชายแดนเชียงราย

นั่นหมายความว่า “การขาดคนในระบบราชการ” ไม่ใช่แค่ปัญหาของส่วนกลางในเชิงงบประมาณบุคลากร แต่เป็นปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนชายขอบ ซึ่งรวมถึงชุมชนจังหวัดชายแดนภาคเหนือ

ย้อนกลับมาที่ชายแดนอีกครั้ง ทำไมเชียงรายจึงกลายเป็นแนวหน้าของนโยบายแรงงานระดับชาติ

เมื่อแรงงานท้องถิ่นจำนวนหนึ่งเลือกออกไปทำงานต่างประเทศ ชั่วโมงเดียวกันเชียงรายกลับต้องพึ่งแรงงานข้ามชาติที่ถูกกฎหมายและกึ่งถูกกฎหมายจำนวนมาก เพื่อคงกิจกรรมทางเศรษฐกิจไว้ แต่โครงสร้างดังกล่าวก็กำลังสร้างแรงเสียดทานทางสังคมอย่างชัดเจน

ในช่วงวันที่ 26-27 ตุลาคม 2568 นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กระทรวงแรงงาน ระบุว่ากรมฯ ได้สั่งการเชิงรุกให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบแรงงานต่างชาติทั่วประเทศ จากกรณีที่มีการร้องเรียนว่ามีชาวต่างชาติประกอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” ใช้ชื่อคนไทยบังหน้า และเข้ามาทำอาชีพแข่งขันกับคนไทยอย่างไม่ถูกต้องกฎหมาย เช่น ธุรกิจเช่ารถ ธุรกิจบริการนำเที่ยว และร้านตัดผม โดยระบุพื้นที่ตรวจเข้มพิเศษทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ เกาะสมุย เมืองพัทยา ตลอดจนพื้นที่เศรษฐกิจชายแดน

อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำว่า เป้าหมายของการปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การ “กวาดล้างคนต่างด้าว” แบบไร้เงื่อนไข แต่เพื่อป้องกันไม่ให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น และเพื่อไม่ให้การจ้างงานที่ผิดกฎหมายกดค่าแรงหรือเบียดโอกาสการประกอบอาชีพของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

สิ่งที่น่าสนใจคือ “ความเข้มงวดทางกฎหมาย” ที่ประกาศใช้ควบคู่กัน

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานเกินสิทธิที่กฎหมายอนุญาต มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท ต่อคน พร้อมทั้งถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างที่รับแรงงานไม่มีใบอนุญาต หรือปล่อยให้แรงงานต่างด้าวทำงานในอาชีพต้องห้าม ต้องเผชิญโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และหากทำผิดซ้ำ อาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท พร้อมมาตรการห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี

ประกาศกระทรวงแรงงานยังคงระบุ “40 อาชีพต้องห้ามคนต่างด้าวทำ” ซึ่งครอบคลุมอาชีพระดับฐานรากหลายประเภท เช่น งานขายปลีกย่อยในตลาด งานตัดผมชาย-หญิง งานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น หรืองานธุรกิจให้เช่าในพื้นที่ท่องเที่ยวบางรูปแบบ เพื่อคุ้มครองอาชีพของคนไทยโดยตรง

หากมองจากเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนและมีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานกว่า 36,000 คน การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงทั้งต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น ร้านเช่ารถนำเที่ยว ร้านบริการตัดผม-เสริมสวยในพื้นที่ท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจนำเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและทัวร์ชายแดนที่พึ่งพาบุคลากรที่สื่อสารได้หลายภาษา

คำถามเชิงโครงสร้างจึงตามมาทันที
ถ้ารัฐ “กวาด” อาชีพต้องห้ามออกจากมือแรงงานต่างด้าว แล้วใครจะเข้ามาทำงานแทน?
คำตอบหนึ่งที่รัฐเสนอ คือการจูงใจแรงงานไทยให้กลับเข้าสู่ระบบงานในพื้นที่ ผ่านทั้งการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน การอำนวยความสะดวกให้แรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบที่ถูกกฎหมายภายใต้มติคณะรัฐมนตรี (เช่น มติ ครม. เดือนสิงหาคม 2568 ที่เปิดทางให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานที่ไม่มีสถานะถูกกฎหมาย เพื่อออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี) และการยกระดับทักษะในสาขาขาดแคลน เช่น โลจิสติกส์และบริการด้านพยาบาลผู้ช่วย

กล่าวให้ชัด นี่ไม่ใช่แค่มาตรการ “ไล่จับคนผิดกฎหมาย” แต่คือความพยายามใช้กฎหมายเป็นคันโยกเพื่อรีเซ็ตสมดุลแรงงานชายแดน

ประเทศไทยกำลังอยู่ในสมการซับซ้อน 3 ชั้น

  1. ชั้นประเทศ – รัฐต้องการคนทำงานในระบบราชการ โดยเฉพาะสาธารณสุขและการบริการประชาชนระดับพื้นที่ แต่บุคลากรที่มีอยู่เริ่มลาออกเร็วกว่าที่ระบบจะผลิตคนใหม่เข้ามาทดแทน ขณะที่ตำแหน่งสำคัญอย่างพยาบาลวิชาชีพและนักวิชาการสาธารณสุขกำลังจะขาดแคลนในระดับโครงสร้างภายใน 5-10 ปีข้างหน้า.
  2. ชั้นจังหวัดชายแดน – จังหวัดอย่างเชียงรายยังต้องพึ่งแรงงานต่างด้าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแรงงานในพื้นที่จำนวนหนึ่งไม่เข้าสู่ระบบจ้างงานทางการ และอีกจำนวนหนึ่งเลือกเดินทางไปทำงานต่างประเทศเพื่อรายได้ที่สูงกว่า ขณะที่เศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะโลจิสติกส์ การท่องเที่ยว การก่อสร้าง และบริการหน้าด่าน ยังเดินอยู่ทุกวัน
  3. ชั้นผู้ประกอบการท้องถิ่น – ผู้ประกอบการในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษชายแดนจำเป็นต้องรักษาต้นทุนให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ในตลาดภูมิภาค ซึ่งกดดันให้พึ่งแรงงานต้นทุนต่ำและยืดหยุ่นสูง บางส่วนจึงหันไปใช้แรงงานต่างด้าวในอาชีพบางประเภท แม้จะเสี่ยงต่อการถูกตีความว่า “แย่งงานคนไทย” และถูกจัดอยู่ในอาชีพสงวนตามกฎหมาย

ความขัดแย้งที่ดูเหมือนเป็นการเมืองเรื่องอาชีพในพื้นที่ชายแดน จึงแท้จริงแล้วเป็นผลสะสมจากโครงสร้างประชากรไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเกิดต่ำลง แรงงานรุ่นใหม่ไม่ยึดติดกับงานประเภทใช้แรงกายซ้ำซาก แรงงานรุ่นกลางอายุจำนวนหนึ่งต้องการค่าตอบแทนสูงขึ้นหรือการปรับทักษะใหม่ (re-skill / up-skill) ขณะที่แรงงานต่างด้าวจำนวนมากยินดีทำงานหนักด้วยค่าแรงที่แข่งขันได้เพราะยังมองเห็นโอกาสในฝั่งไทยมากกว่าที่บ้านเกิด

3 ล้านคนที่ต้องดูแลประเทศทั้งประเทศ

ข้อมูลล่าสุดจากฐานข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) และหนังสือกำลังพลภาครัฐ ปีงบประมาณ 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมี “กำลังคนภาครัฐ” รวมทั้งสิ้น 3,004,485 คน หรือประมาณ 3.00 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 4.60 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ

หากเทียบกับโครงสร้างประชากร ประเทศไทยมีประชากร 65.95 ล้านคนในปี 2567 (และประมาณ 71.6 ล้านคนในปี 2568 ตามฐานข้อมูลคาดการณ์ที่นำมาอ้างอิง) โดยในจำนวนประชากรทั้งหมด มีผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน 40.54 ล้านคน หรือร้อยละ 61.47 ของประชากรทั้งประเทศ นั่นหมายความว่า ในแรงงานทุก ๆ 100 คน มีเพียงประมาณ 4-5 คนเท่านั้นที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “แรงงานภาครัฐ” ซึ่งครอบคลุมทั้งครู หมอ พยาบาล ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่การคลัง วิศวกร โยธา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ธุรการในหน่วยงานย่อยระดับอำเภอและตำบล

ตัวเลข 3 ล้านคนนี้ ไม่ใช่เพียงข้าราชการในความหมายปกติแบบ “คนใส่เครื่องแบบสีกากี” เท่านั้น แต่ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  1. กลุ่มข้าราชการ รวม 1,756,606 คน
    กลุ่มนี้คือโครงสร้างดั้งเดิมของภาครัฐ ประกอบด้วย
    • ครูและบุคลากรทางการศึกษา 444,168 คน
    • ข้าราชการพลเรือนสามัญ 414,088 คน
    • ทหาร 368,711 คน
    • ตำรวจ 213,086 คน
    • พนักงานส่วนตำบล 83,137 คน
    • พนักงานเทศบาล 70,367 คน
    • ครูส่วนท้องถิ่น 53,574 คน
    • บุคลากรกรุงเทพมหานคร 35,126 คน
    • ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด 27,833 คน
    • บุคลากรในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เช่น หน่วยงานด้านตุลาการ อัยการ องค์กรตรวจสอบ 26,364 คน
    • พลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 9,408 คน
    • ตุลาการ 5,297 คน
    • อัยการ 4,257 คน
    • รัฐสภาสามัญ 3,164 คน
  2. กลุ่มประเภทอื่น (ไม่ได้อยู่ในสถานะ “ข้าราชการ” ตามพ.ร.บ.ข้าราชการ) รวม 1,247,879 คน
    นี่คือแรงงานที่สังคมมักมองข้าม แต่แบกรับงานหน้างานจำนวนมาก เช่น
    • ลูกจ้างชั่วคราว 271,917 คน
    • พนักงานจ้าง 223,528 คน
    • พนักงานรัฐวิสาหกิจ 214,860 คน
    • พนักงานราชการ 179,567 คน
    • พนักงานมหาวิทยาลัย 136,859 คน
    • พนักงานกระทรวงสาธารณสุข 121,285 คน
    • ลูกจ้างประจำ 82,111 คน
    • พนักงานองค์การมหาชน 13,598 คน

หากมองเชิงนโยบาย กลุ่มที่ไม่ใช่ข้าราชการเหล่านี้คือแรงงาน “ยืดหยุ่น” ของรัฐ เป็นกำลังที่ถูกจ้างเพิ่มเพื่ออุดช่องว่างของโครงสร้างข้าราชการประจำ โดยเฉพาะในภารกิจบริการสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล สาธารณสุขชุมชน งานพัฒนาสังคม และงานปฏิบัติการเชิงพื้นที่ ซึ่งสะท้อนความจริงอย่างหนึ่งว่า ระบบราชการไทยยุคใหม่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย “ข้าราชการประจำเท่านั้น” อีกต่อไป

ครูมากที่สุด แต่สาธารณสุขคือด่านหน้า

ในจำนวนข้าราชการทั้งหมด กลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดคือ “ครูและบุคลากรทางการศึกษา” 444,168 คน ตามมาด้วยพลเรือนสามัญ 414,088 คน และทหาร 368,711 คน

การที่ครูอยู่ในกลุ่มใหญ่ที่สุด ชี้ให้เห็นว่ารัฐไทยยังคงวางน้ำหนักเชิงโครงสร้างไว้ที่ระบบการศึกษาในฐานะบริการสาธารณะพื้นฐานระดับชาติ โรงเรียนยังต้องมีครูประจำการในทุกตำบล เด็กยังต้องเข้าถึงครูประจำชั้นและชั้นเรียนสาธารณะโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

แต่เมื่อลงรายละเอียดเชิง “ทักษะวิชาชีพเฉพาะทาง” กลับพบภาพอีกแบบหนึ่ง — ภาครัฐกำลังพึ่งพาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ทั้งในมิติของการ “บรรจุ” (คือการรับคนเข้าใหม่) และในมิติของ “ตำแหน่งว่างที่ยังหาไม่ได้”

ข้อมูลการบรรจุอัตรากำลังระบุว่า 10 อันดับตำแหน่งงานที่มีการบรรจุมากที่สุดประเภทวิชาการในปีงบประมาณ 2567 ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 4,372 คน
  2. นายแพทย์ 2,194 คน
  3. นักวิชาการสาธารณสุข 1,025 คน
  4. นิติกร 531 คน
  5. นักวิชาการพัฒนาชุมชน 484 คน
  6. นักจัดการงานทั่วไป 474 คน
  7. ทันตแพทย์ 437 คน
  8. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 436 คน
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 428 คน
  10. นักทรัพยากรบุคคล 277 คน

หากพิจารณาเฉพาะ 3 อันดับแรก จะเห็นว่าทั้งหมดเป็นตำแหน่งด้านสาธารณสุขและการแพทย์ ซึ่งหมายความว่า “ถ้ารัฐต้องรับคนเข้าระบบวันนี้ รัฐกำลังเลือกบรรจุคนเพื่อรักษาชีวิตประชาชนก่อนเรื่องอื่น”

ในฝั่งตำแหน่งประเภททั่วไป (ไม่ใช่วิชาชีพเฉพาะ) 10 อันดับแรกที่มีการบรรจุมากที่สุด ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 958 คน
  2. เจ้าพนักงานราชทัณฑ์ 683 คน
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 517 คน
  4. นายช่างโยธา 406 คน
  5. เจ้าพนักงานสรรพากร 388 คน
  6. นายช่างรังวัด 345 คน
  7. เจ้าพนักงานเภสัชกรรม 205 คน
  8. เจ้าพนักงานพัสดุ 134 คน
  9. เจ้าพนักงานสรรพสามิต 132 คน
  10. เจ้าพนักงานขนส่ง 104 คน และนายช่างไฟฟ้า 104 คน

จะเห็นว่าหน่วยงานบริการสาธารณะ “เชิงพื้นที่และเชิงโครงสร้าง” ทั้งเรือนจำ การเงินการคลังท้องถิ่น โยธา โครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ และภาษีท้องถิ่น ยังคงต้องการคนจำนวนมากเช่นกัน

แต่ตำแหน่งว่างก็ยังเป็นกลุ่มเดิม — สาธารณสุขนำโด่ง

เมื่อดู “ตำแหน่งที่ยังว่างและต้องการบรรจุ” หรือพูดง่าย ๆ ว่า งานที่มีคนรออยู่แต่ยังไม่มีคนไปทำ พบว่าเป็นภาพที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน

ประเภทวิชาการที่มีตำแหน่งว่างสูงสุด 10 อันดับ ได้แก่

  1. พยาบาลวิชาชีพ 3,439 ตำแหน่ง
  2. นักวิชาการสาธารณสุข 2,751 ตำแหน่ง
  3. นายแพทย์ 1,882 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานปกครอง 1,272 ตำแหน่ง
  5. นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 1,005 ตำแหน่ง
  6. ทันตแพทย์ 825 ตำแหน่ง
  7. นิติกร 823 ตำแหน่ง
  8. นักจัดการงานทั่วไป 682 ตำแหน่ง
  9. นักวิชาการเงินและบัญชี 740 ตำแหน่ง
  10. นักตรวจสอบภาษี 590 ตำแหน่ง

ส่วนประเภททั่วไป ได้แก่

  1. เจ้าพนักงานธุรการ 2,011 ตำแหน่ง
  2. เจ้าพนักงานสาธารณสุข 1,753 ตำแหน่ง
  3. เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี 1,101 ตำแหน่ง
  4. เจ้าพนักงานสรรพากร 522 ตำแหน่ง
  5. เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข 483 ตำแหน่ง
  6. นายช่างโยธา 470 ตำแหน่ง
  7. เจ้าพนักงานพัสดุ 377 ตำแหน่ง
  8. นายช่างสำรวจ 295 ตำแหน่ง
  9. นายช่างไฟฟ้า 289 ตำแหน่ง
  10. นายช่างเครื่องกล 280 ตำแหน่ง

คำถามที่ตามมาคือ ถ้าพยาบาลจำเป็นต่อชีวิตประชาชน ทำไมตำแหน่งว่างของพยาบาลจึงยังสูงขนาดนี้?

สำนักงาน ก.พ. ยังประเมินแนวโน้มในอีก 10 ปีข้างหน้า พบว่า “พยาบาลวิชาชีพ” เป็นตำแหน่งที่จะเกษียณอายุสูงที่สุด คาดว่ามีมากถึง 23,725 คน ตามด้วย “นักวิชาการสาธารณสุข” 5,589 คน และ “นายแพทย์” 2,368 คน นั่นหมายความว่า ไม่ใช่แค่ปัจจุบันที่ขาดคน แต่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจยิ่งขาดหนักกว่าเดิม

ความเป็นจริงนี้ตีคู่กับแรงกดดันภาคสนามที่สะท้อนออกมาชัดที่สุดใน “กระทรวงสาธารณสุข” ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่สูญเสียกำลังคนสูงสุด ทั้งจากการเกษียณ การลาออก และแม้กระทั่งการเสียชีวิต

แรงกดดันในกระทรวงสาธารณสุข คนออกมากกว่าคนเกษียณ

ข้อมูลปีงบประมาณ 2566 ระบุว่าการสูญเสียกำลังคนของข้าราชการพลเรือนสามัญอยู่ที่ 19,006 คน แบ่งเป็น

  • ลาออก 47.93%
  • เกษียณอายุ 48.66%
  • เสียชีวิต 2.38%
  • ออกด้วยเหตุผิดวินัย 1.04%

เมื่อแยกรายกระทรวง พบความแตกต่างที่น่าจับตา

กระทรวงสาธารณสุขมีข้าราชการเกษียณอายุ 4,237 คน ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาทุกกระทรวง และยังมีข้าราชการ “ลาออก” สูงถึง 4,674 คน มากกว่าตัวเลขเกษียณเสียอีก ในขณะที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงหลักด้านการบริหารพื้นที่ มีข้าราชการเกษียณอายุ 1,094 คน ลาออก 988 คน แต่สะดุดตาตรงตัวเลข “ออกด้วยเหตุผิดวินัย” ที่สูงสุด 49 คน

การที่บุคลากรสาธารณสุขลาออกมากเกษียณ เป็นสัญญาณถึงภาระงาน ความเหนื่อยล้า และปัจจัยความอยู่รอดทางอาชีพในระยะยาว เช่น ความก้าวหน้าในตำแหน่ง ความมั่นคงรายได้ และความสมดุลชีวิต-งาน

นี่ไม่ใช่ตัวเลขเชิงโครงสร้างเฉพาะกรุงเทพฯ แต่กระจายไปถึงจังหวัดชายแดนเช่นเชียงราย ซึ่งต้องรองรับทั้งคนไทย นักท่องเที่ยว และแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ ซึ่งหลายคนไม่มีหลักประกันสุขภาพตามระบบปกติ โรงพยาบาลชายแดนบางแห่งจึงต้องรับภาระต้นทุนการรักษาที่เรียกเก็บไม่ได้ในระดับหลายพันล้านบาทต่อปีในภาพรวม

กล่าวอีกแบบ เราอาศัยระบบสาธารณสุขเป็นด่านหน้า ทั้งด้านสาธารณสุขชุมชน ด้านความมั่นคงชายแดน และด้านมนุษยธรรม แต่คนที่อยู่ด่านหน้ากำลังไหลออกจากระบบ

ข้าราชการกระจุกตัวที่ไหน? ใครดูแลใคร?

เมื่อดูเชิงพื้นที่ สำนักงาน ก.พ. รายงานว่า ข้าราชการฝ่ายพลเรือนของไทยกระจุกตัวมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 417,445 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 30.08 ของข้าราชการพลเรือนทั้งหมด รองลงมาคือ ภาคกลาง 271,603 คน (19.57%) ภาคเหนือ 245,392 คน (17.68%) ภาคใต้ 216,093 คน (15.57%) กรุงเทพมหานคร 177,897 คน (12.82%) และน้อยที่สุดคือภาคตะวันออก 58,518 คน (4.22%)

ตัวเลขนี้สะท้อนสองมิติพร้อมกัน

หนึ่ง ภาครัฐยังวางน้ำหนักด้านกำลังคนไว้กับจังหวัดนอกเมืองหลวงอย่างจริงจัง โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งรวมถึงจังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย นั่นหมายถึง รัฐรู้ว่าการให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน—โรงเรียน อนามัย โรงพยาบาลชุมชน ที่ว่าการอำเภอ—ต้องเข้าถึงได้แม้ในพื้นที่ห่างไกล

สอง จำนวนบุคลากรไม่ได้แปลว่า “มีพอ” เสมอไป เพราะลักษณะพื้นที่ชายแดนมีความซับซ้อนกว่าเชิงจำนวน เช่น เชียงรายอาจไม่ได้มีขนาดประชากรเท่ากรุงเทพฯ แต่มีแรงงานเคลื่อนย้ายข้ามแดนทุกวัน ทั้งแรงงานข้ามชาติถูกกฎหมาย แรงงานผ่อนผันสถานะตามนโยบายรัฐ และแรงงานที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทำให้ความต้องการบริการรัฐ (ตั้งแต่สาธารณสุขถึงงานทะเบียนราษฎร) สูงกว่าที่ตัวเลขประชากรทางการสะท้อน

ข้อมูลแรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่าจังหวัดมีประชากรรวมประมาณ 1,297,483 คน และมีกำลังแรงงานจำนวนมากถึง 507,372 คนที่จัดอยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ คิดเป็นถึงร้อยละ 86.25 ของผู้มีงานทำทั้งหมด กล่าวคือ ประชากรทำงานส่วนใหญ่ของเชียงรายไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมปกติ ไม่ได้อยู่ในระบบการจ้างงานที่มีสัญญาชัดเจน ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขสวัสดิการตามกฎหมายแรงงาน

ในเวลาเดียวกัน เชียงรายยังพึ่งพาแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมายมากถึง 36,568 คน (ปี 2567) โดยแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เป็นกำลังหลักในภาคการผลิต การก่อสร้าง การค้าชายแดน และบริการพื้นฐาน เช่น ร้านอาหาร โรงแรม งานยกของ งานขนส่ง

คำถามเชิงนโยบายจึงเกิดขึ้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า “ใครคือคนที่ระบบราชการต้องดูแลจริง ๆ”
คือเฉพาะคนสัญชาติไทยเท่านั้นหรือ?
หรือรวมแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานเลี้ยงเศรษฐกิจจังหวัดชายแดน?
หรือรวมครอบครัวของแรงงานที่พาลูกหลานเข้ามาด้วยแต่ไม่มีสิทธิในระบบสวัสดิการสาธารณะ?

ทุกคำถามนี้ สุดท้ายตกไปที่กลุ่มวิชาชีพสาธารณสุขหน้าเส้นชายแดน

เชียงราย เขตเศรษฐกิจพิเศษแรงงาน แต่แรงงานไทยย้ายออกไปทำงานต่างประเทศ

ในภาพรวมโครงสร้างตลาดแรงงานเชียงราย ปี 2567-2568 พบความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างรุนแรง (structural imbalance) กล่าวคือ ความต้องการแรงงาน (ตำแหน่งงานว่างที่ประกาศอย่างเป็นทางการ) มีมากถึง 12,254 อัตราในรอบปี แต่มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คนเท่านั้น ช่องว่างมากกว่า 10 เท่าเช่นนี้บ่งชี้ว่า ปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีงานให้ทำ” แต่คือ “ไม่มีคนไทยยอมเข้าไปทำงานในเงื่อนไขที่เสนอ”

จึงไม่น่าแปลกใจที่ภาคธุรกิจในเชียงราย ทั้งโลจิสติกส์ การค้าชายแดน การบริการยานยนต์ การพาณิชย์ปลีก ไปจนถึงบริการสินเชื่อและการเร่งรัดหนี้สิน ต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติเข้ามาเติมเต็มตำแหน่งในระดับปฏิบัติการ ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลและหน่วยบริการสุขภาพชายแดน—ทั้งของรัฐและเอกชน—ก็รับสมัครบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อพบว่า ในปี 2567 มีแรงงานไทยในเชียงรายไม่น้อยกว่า 2,085 คน ยื่นคำขอไปทำงานต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้างและงานในครัวเรือนในต่างประเทศ ปรากฏการณ์นี้อธิบายได้ด้วยคำว่า “การอพยพทางรายได้” (income migration) เมื่อค่าจ้างในพื้นที่ชายแดนไม่สามารถแข่งขันกับค่าจ้างในต่างประเทศ คนวัยทำงานในพื้นที่จึงเลือกเดินออก

ผลลัพธ์คืออะไร?

  1. ธุรกิจท้องถิ่นขาดแรงงานไทย
  2. ต้องหันไปจ้างแรงงานข้ามชาติ
  3. ความรู้สึกของชุมชนบางส่วนคือ “ต่างด้าวมาแย่งงาน”
  4. ภาครัฐถูกกดดันให้เข้มงวดการตรวจคนต่างด้าวและอาชีพต้องห้าม
  5. แต่ในอีกมุมหนึ่ง รัฐก็ผ่อนผันให้นายจ้างขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเดินต่อ

นี่คือความย้อนแย้งเชิงนโยบายที่เชียงรายกำลังเผชิญอยู่ทุกวัน

ความกดดันนโยบาย ควบคุม หรือผ่อนผัน?

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ดำเนินการสองทางพร้อมกันในช่วงปีงบประมาณล่าสุด

ด้านหนึ่ง กระทรวงแรงงานและหน่วยงานความมั่นคงชายแดนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบแรงงานต่างด้าว โดยย้ำการบังคับใช้ 40 อาชีพต้องห้ามของคนต่างด้าว และเตือนโทษทั้งจำทั้งปรับสำหรับทั้งแรงงานต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตและนายจ้างที่รับเข้าทำงานโดยฝ่าฝืน เพื่อปกป้องอาชีพที่สงวนไว้ให้คนไทยและลดความตึงเครียดทางสังคม

แต่อีกด้านหนึ่ง คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เปิดทางให้นายจ้างยื่นคำขออนุญาตทำงานแทนแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่ยังไม่มีเอกสารถูกต้อง เพื่อให้แรงงานเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสุขภาพ เก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล (ไบโอเมตริกซ์) และรับใบอนุญาตทำงานชั่วคราว 1 ปีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

กล่าวอีกมุม มตินี้สะท้อนการปรับท่าทีของรัฐจาก “การจัดการความมั่นคงสังคมด้วยการกวาดล้าง” ไปสู่ “การจัดการความมั่นคงเศรษฐกิจด้วยการทำให้แรงงานอยู่บนโต๊ะกฎหมาย”

นี่คือสัญญาณเชิงนโยบายที่สำคัญ เพราะยอมรับกลาย ๆ ว่า เศรษฐกิจชายแดนไทย โดยเฉพาะจังหวัดอย่างเชียงราย ไม่สามารถเดินต่อได้โดยไม่มีแรงงานข้ามชาติ

แล้วทั้งหมดนี้เชื่อมกับโครงสร้างข้าราชการอย่างไร?

คำตอบอยู่ที่ “ความสามารถของภาครัฐในการรองรับความเปลี่ยนแปลงเชิงประชากร”

หนึ่ง ภาครัฐกำลังจะเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมากภายใน 10 ปี โดยเฉพาะในระบบสาธารณสุข ขณะเดียวกันความต้องการใช้บริการสาธารณสุข โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน กลับไม่ลดลง ตรงกันข้าม มีแต่จะเพิ่มขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติและการสูงวัยของคนไทยเอง

สอง แรงงานในระบบราชการใหม่ อายุแรกบรรจุไม่ได้เริ่ม “หนุ่มสาวเสมอไป” เพราะข้อมูลระบุว่า อายุแรกบรรจุเฉลี่ยของข้าราชการในหลายกระทรวงอยู่ช่วงประมาณ 28-35 ปี เช่น กระทรวงการต่างประเทศเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงสาธารณสุขเฉลี่ย 28 ปี กระทรวงยุติธรรมเฉลี่ย 35 ปี และมีกรณีแรกบรรจุที่อายุมากสุดถึง 59 ปีในบางหน่วยงาน นี่แปลว่า ภาครัฐกำลังดึงทั้งคนรุ่นใหม่และคนวัยกลางคนเข้าสู่ระบบ พร้อมกัน เพื่ออุดช่องว่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

สาม ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปถึงร้อยละ 60.52 และระดับปริญญาโทอีก 21.75% แต่แรงงานที่จะรองรับเศรษฐกิจชายแดนระดับปฏิบัติการจำนวนมากในเชียงรายกลับเป็นแรงงานนอกระบบและแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งไม่มีหลักฐานการศึกษาในระบบไทย ทำให้ “ทักษะ” และ “วุฒิการศึกษา” ที่รัฐพยายามพัฒนา อาจยังไม่เชื่อมกับความต้องการแรงงานเชิงพื้นที่

นี่คือโจทย์เชิงยุทธศาสตร์ จะทำอย่างไรให้โครงสร้างกำลังคนภาครัฐขนาด 3 ล้านคน (ส่วนใหญ่ถือปริญญาตรีขึ้นไป) ช่วยยกระดับระบบเศรษฐกิจที่พึ่งแรงงานระดับปฏิบัติการซึ่งเป็นแรงงานนอกระบบและต่างด้าว โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และไม่สร้างความตึงเครียดในชุมชน?

ทางไปข้างหน้า โครงสร้างกำลังคนภาครัฐต้องปรับอย่างไร

จากข้อมูลเชิงโครงสร้างทั้งหมด หน่วยงานด้านแรงงานและภาครัฐในพื้นที่เสนอแนวทางหลัก 3 ด้านซึ่งสะท้อนแนวโน้มเชิงนโยบายในระดับจังหวัดและระดับประเทศ คือ

  1. เร่งพัฒนาทักษะที่การันตีการจ้างงานทันที
    โมเดลฝึกอบรมเชิงรุก เช่น หลักสูตรขับรถลากจูง (โดยเฉพาะการขนส่งวัตถุอันตราย) หรือหลักสูตรควบคุมรถยกสินค้าขนาดไม่เกิน 10 ตัน ของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนานาชาติเชียงแสน พบว่าสามารถจัดหางานให้ผู้ผ่านการอบรมได้เต็ม 100% ทันทีหลังจบหลักสูตร สะท้อนว่าหากรัฐ-เอกชนร่วมกันออกแบบทักษะให้ตรงกับซัพพลายเชนชายแดนจริง ๆ ไม่ใช่แค่คำว่า “ยกระดับฝีมือแรงงาน” บนกระดาษ โอกาสการจ้างงานในพื้นที่ยังมีอยู่มาก
  2. พัฒนาทักษะภาษา-บริการ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์
    ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในเชียงราย โดยเฉพาะกลุ่มโฮมสเตย์ ไร่กาแฟ ไร่ชา และท่องเที่ยวชุมชนในอำเภอแม่จัน แม่สาย แม่สรวย ระบุว่าปัญหาไม่ใช่ “ไม่มีนักท่องเที่ยว” แต่คือ “สื่อสารกับนักท่องเที่ยวไม่ได้” ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการขายเรื่องราว วัฒนธรรม วิถีเกษตรคุณภาพสูง และสินค้าแปรรูป มหาวิทยาลัยในพื้นที่จึงเริ่มจัดคอร์สภาษาอังกฤษเชิงปฏิบัติ (functional English) แบบเข้มข้นเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่นสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษระดับพื้นฐาน เช่น อธิบายวิธีชงชา วิธีคั่วกาแฟ ความหมายของพันธุ์กาแฟท้องถิ่น ฯลฯ นี่ไม่ใช่แค่การสอนภาษา แต่คือการยกระดับอำนาจต่อรองรายได้ของชุมชน
  3. จัดการแรงงานข้ามชาติด้วยหลักความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก
    เส้นแบ่งระหว่าง “แรงงานต่างด้าวที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ” กับ “แรงงานต่างด้าวที่ถูกมองว่าแย่งอาชีพคนไทย” กำลังบางลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดน รัฐจึงเริ่มขยับจากการมองแรงงานข้ามชาติเป็นเพียง “ปัญหาความมั่นคง” มาสู่การมองว่าเป็น “ทุนมนุษย์ชั่วคราวที่ควรอยู่ในระบบภาษีและระบบสวัสดิการขั้นต่ำ” เพื่อควบคุม ติดตาม และวางแผนร่วมกันในระยะยาว การผ่อนผันให้ขึ้นทะเบียนแรงงานไม่มีสถานะถูกกฎหมายจึงต้องถูกมองว่าเป็นการวางโครงสร้างกำกับ ไม่ใช่การปล่อยเสรี

โครงสร้างกำลังคนภาครัฐไทยในปัจจุบันคือโครงสร้างที่กำลังถูกท้าทายจากหลายทิศทางพร้อมกัน

  • ระบบการศึกษายังต้องใช้ “ครู” จำนวนมากที่สุดในประเทศ เพื่อประคองสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กทุกคน
  • ระบบสาธารณสุขกำลังเป็นเสาหลักทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุขชุมชน และความมั่นคงชายแดน แต่กลับเป็นวิชาชีพที่ทั้งถูกบรรจุมากที่สุด ขาดแคลนมากที่สุด และกำลังจะเกษียณมากที่สุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
  • จังหวัดชายแดนอย่างเชียงราย ซึ่งเป็นด่านหน้าทั้งเศรษฐกิจชายแดน การท่องเที่ยว และการเคลื่อนย้ายแรงงาน กำลังเผชิญช่องว่างเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน ตำแหน่งงานว่างนับหมื่น แต่คนไทยสมัครเพียงหลักพัน ขณะที่แรงงานต่างด้าวเข้ามาเติมเต็มช่องว่างนี้ภายใต้สายตาจับตามองของชุมชนท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐ
  • ในอีกฟากหนึ่ง ข้าราชการและบุคลากรของรัฐเองก็เผชิญภาระงานหนักขึ้น โดยเฉพาะในสาธารณสุขและงานบริการเชิงพื้นฐาน และบางส่วนเลือก “ลาออกก่อนเกษียณ” ซึ่งสะท้อนความเหนื่อยล้าและปัญหาเชิงแรงจูงใจในอาชีพ

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดาษ แต่เป็นคำถามเชิงอนาคตของประเทศว่า “เราจะมีใครยืนอยู่ด่านหน้าดูแลสังคมไทยในอีก 5-10 ปีข้างหน้า” โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเป็นแนวหน้าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนอย่างเชียงราย

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มจำนวนคนในระบบ แต่คือการบริหาร “คุณภาพงาน-คุณภาพชีวิต-คุณภาพบริการ” ไปพร้อมกัน เพื่อให้กำลังคนภาครัฐ 3 ล้านคนที่เหลืออยู่ สามารถแบกภารกิจของประเทศต่อไปได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักข่าวไทยพับลิก้า
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย / กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เชียงรายสะเทือน! กกจ. สั่งตรวจเข้มปราบ ‘นอมินีต่างชาติ’ และแรงงานเถื่อนทั่วประเทศ

จับตาปราบแรงงานเถื่อนและ “นอมินีต่างชาติ” หลังกรมการจัดหางานสั่งตรวจเข้มทั่วประเทศ ปมแรงงานชายแดน-อาชีพต้องห้าม ปะทุสู่นโยบายความมั่นคงทางเศรษฐกิจ

เชียงราย, 28 ตุลาคม 2568 – เชียงรายกำลัง “หนาวเพิ่ม” ไม่ใช่เพียงเพราะอากาศปลายฝนต้นหนาวเหนือสุดแดนสยาม แต่เป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากนโยบายแรงงานฉบับเข้มงวดที่เริ่มเดินเครื่องจริงจังในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2568 เมื่อกรมการจัดหางาน (กกจ.) ภายใต้กระทรวงแรงงาน ประกาศปฏิบัติการเชิงรุก ตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวทั่วประเทศ คุมเข้มการทำงานที่เข้าข่าย “แย่งอาชีพคนไทย” รวมถึงตรวจสอบธุรกิจในลักษณะ “นอมินี” คือธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ชื่อคนไทยบังหน้า แต่ให้ต่างชาติดำเนินกิจการแท้จริง

นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ อธิบดีกรมการจัดหางาน ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการตรวจหนังสืออนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่เป็นการ “บูรณาการตรวจเข้ม” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศ ตั้งแต่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยวเชิงนานาชาติอย่างภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา เกาะสมุย รวมถึงพื้นที่ที่มีแรงงานต่างชาติจำนวนมากและมีพรมแดนเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จังหวัดเชียงราย

“ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ” อธิบดีกรมการจัดหางานย้ำ พร้อมระบุว่าการเคลื่อนกำลังตรวจในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสองประการ คือ

  1. ป้องกันการจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและไม่มีใบอนุญาตทำงาน
  2. ป้องกันกรณีต่างชาติลงมือทำงานเองในอาชีพที่กฎหมายไทยสงวนไว้ให้คนไทยเท่านั้น เช่น ธุรกิจนำเที่ยว ร้านตัดผม หรือบริการเช่ารถในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งถูกมองว่าเป็น “การตัดโอกาสคนไทยโดยตรง” ในสายตาของภาครัฐ

เชียงราย เมืองชายแดนกับแรงงานต่างด้าว 36,568 คนในระบบ

หากมองจากมุมพื้นที่ จังหวัดเชียงรายถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ในประเด็นแรงงานต่างด้าว เพราะเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนทางบกทั้งกับ สปป.ลาว ทางอำเภอเชียงของ และกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทางอำเภอแม่สายและอำเภอแม่จัน ทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามแดนเกิดขึ้นได้ทั้งแบบชั่วคราวแบบไป-กลับรายวัน ไปจนถึงการเข้ามาตั้งหลักในอาชีพบริการ พาณิชย์ และก่อสร้าง

จากเอกสารรายงานสถานการณ์แรงงานจังหวัดเชียงราย ปี 2567 ระบุว่า เชียงรายมีแรงงานต่างด้าว “ที่ได้รับอนุญาตทำงานตามกฎหมาย” ทั้งหมด 36,568 คน ในปี 2567 ซึ่งนับรวมคนต่างด้าวหลายสถานะตามกฎหมายคนต่างด้าวไทย เช่น คนต่างด้าวมาตรา 59 (แรงงานฝีมือ/แรงงาน MOU), มาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อยหรือคนไม่มีสถานะทางทะเบียน), มาตรา 63/2 (กลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้ทำงานภายใต้หลักเกณฑ์เฉพาะ) ตลอดจนแรงงานข้ามแดนแบบไป-กลับบริเวณชายแดนตามฤดูกาลตามมาตรา 64

ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า แรงงานต่างด้าวไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของเชียงราย แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการจ้างงานของจังหวัดในระดับ “เป็นรูปธรรม” แล้ว

หากลงรายละเอียดตามกฎหมายแรงงานคนต่างด้าว พบข้อมูลสำคัญดังนี้

  • แรงงานต่างด้าวตามมาตรา 63/1 (กลุ่มชนกลุ่มน้อย ผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียน ผู้ที่ไม่ได้รับสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว) มีจำนวนมากถึง 16,999 คน ในเชียงรายปี 2567
  • กลุ่มที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 63/2 ซึ่งเป็นกลุ่มที่คณะรัฐมนตรีผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษ เช่น ตามมติ ครม. วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 และวันที่ 3 ตุลาคม 2566 มีจำนวนรวม 17,349 คน
  • แม้ในมุมมองสาธารณะ เรามักนึกถึงแรงงานเมียนมาในฐานะแรงหลักของการทำงานข้ามแดนบริเวณด่านแม่สาย แต่รายงานระบุว่า กลุ่มแรงงานเมียนมาที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานแบบไป-กลับตามฤดูกาล (มาตรา 64) ในพื้นที่ชายแดนเชียงราย อำเภอแม่สาย แม่จัน และอำเภอเมืองเชียงราย มีจำนวนอย่างเป็นทางการเพียง 29 คนในปีล่าสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการทำงานแบบ “ข้ามฝั่งเช้า-กลับเย็น” ที่ชาวบ้านมักพูดถึงนั้น ในทางเอกสารอาจยังเข้าไม่ถึงการขึ้นทะเบียนหรือการอนุญาตเต็มรูปแบบ

ข้อมูลเหล่านี้เป็นจุดที่คนทำงานภาคสนามในเชียงรายตั้งข้อสังเกตมานานว่า “มีแรงงานมากกว่าที่ตัวเลขบอกไว้” และช่องว่างดังกล่าวคือจุดเริ่มต้นของความรู้สึกว่า “แรงงานเถื่อนกำลังแย่งงานคนในจังหวัด”

เมื่อ “แรงงานเถื่อน” ถูกมองว่าแย่งงาน – แต่ตัวเลขแรงงานไทยบอกอีกเรื่อง

ความตึงเครียดทางสังคมที่กำลังคุกรุ่นในเชียงราย มีอยู่สองด้านที่ต้องมองคู่กัน

ด้านแรก คือเสียงสะท้อนในพื้นที่ว่าตลาดแรงงานท้องถิ่นบางส่วนถูก “กดค่าแรง” จากแรงงานที่ไม่มีเอกสารหรือไม่มีใบอนุญาตทำงาน บางคนเข้ามาทำงานในอาชีพบริการที่ปกติควรเป็นพื้นที่หาเลี้ยงชีพของคนในจังหวัด เช่น งานค้าปลีกย่อยหน้าร้าน งานเช่ารถท่องเที่ยว งานตัดผม หรืองานมัคคุเทศก์ท้องถิ่น

อาชีพเหล่านี้ไม่ใช่อาชีพรองในมุมเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่คืออาชีพตั้งต้นของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดหน้าด่านที่รายได้ท้องถิ่นพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติและคนเดินทางข้ามแดน

ด้านที่สอง คือข้อมูลทางเศรษฐกิจแรงงานของจังหวัดที่สะท้อนภาพอีกด้าน ซึ่งอาจจะไม่ถูกพูดในวงสนทนาเท่าไรนัก

  • ปี 2567 เชียงรายมีตำแหน่งงานว่าง 12,254 อัตรา
  • มีผู้ลงทะเบียนสมัครงานอย่างเป็นทางการตลอดทั้งปีเพียง 1,197 คน
  • มีผู้มารับบริการจัดหางาน 3,498 คน
  • และมีการบรรจุงานสำเร็จ 2,375 คน.

ตัวเลขนี้ตีความได้ว่า ธุรกิจในพื้นที่ยัง “ต้องการคนทำงาน” อยู่มาก โดยเฉพาะแรงงานระดับปฏิบัติการและแรงงานบริการพื้นฐาน เช่น โรงแรม ร้านอาหาร การก่อสร้าง การผลิต การขนส่ง หรือการค้าปลีก – ซึ่งล้วนเป็นงานที่เชียงรายพึ่งพาทั้งแรงงานท้องถิ่น แรงงานข้ามชาติในระบบ และแรงงานนอกระบบ

อีกจุดที่น่าสนใจคือ จังหวัดเชียงรายมีแรงงานนอกระบบมากถึง 507,372 คน หรือคิดเป็น 86.25% ของประชากรที่มีงานทำทั้งหมดในจังหวัดในปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานภาคเกษตรกรรมและงานบริการพื้นฐาน นี่หมายความว่า โครงสร้างแรงงานในเชียงราย “อยู่ในเงา” เป็นจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นแรงงานไทยเองหรือแรงงานต่างด้าว

คำถามจึงไม่ใช่เพียงว่า “ต่างด้าวมาแย่งงานหรือไม่” แต่คือ “พื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายกำลังอยู่ในระบบจ้างงานที่พรมระหว่างถูกกฎหมาย–ผิดกฎหมายพร่าเลือนเกินไปหรือไม่” และ “ใครคือผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากช่องว่างนี้ – นายจ้าง? ผู้รับงานช่วง? หรือแรงงานเถื่อนเอง?”

“40 อาชีพต้องห้าม” และโทษทั้งจำทั้งปรับ สัญญาณเข้มจากรัฐ

ท่ามกลางความกังวลจากคนในพื้นที่ กระทรวงแรงงานยืนยันชัดเจนว่า ประเทศไทยยังมี “เส้นชัด” ในเรื่องอาชีพที่คนต่างด้าวห้ามทำ โดยประกาศกระทรวงแรงงานกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำไว้ทั้งสิ้น 40 งาน ครอบคลุมตั้งแต่งานตัดผม/เสริมสวย งานขายของหน้าร้าน งานมัคคุเทศก์/จัดนำเที่ยว งานบริการนำรถท่องเที่ยว ไปจนถึงงานขายทอดตลาดและงานเจียระไนเพชรพลอย

การทำงานในอาชีพเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือโดยฝ่าฝืนข้อจำกัดของกฎหมาย มีบทลงโทษชัดเจนทั้งสำหรับแรงงานต่างชาติและนายจ้าง ดังนี้

  • คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต หรือทำงานนอกเหนือสิทธิที่กฎหมายกำหนด มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท จากนั้นจะถูกส่งกลับประเทศต้นทาง และถูกห้ามขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปี
  • นายจ้างหรือสถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานเกินสิทธิ จะถูกปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท “ต่อคนต่างด้าว 1 คน” ที่จ้าง หากทำผิดซ้ำ โทษจะหนักขึ้นเป็นจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับ 50,000 – 200,000 บาทต่อหัว พร้อมทั้งถูกห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี

ภาษาง่าย ๆ คือ รัฐไทยกำลังส่งสัญญาณว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “แรงงานต่างด้าวรายคน” อย่างเดียว แต่อยู่ที่ “โครงสร้างการจ้าง” ซึ่งรวมถึงนายจ้างไทยที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย และธุรกิจที่อาจเป็นนอมินีต่างชาติ

เชียงรายในสมการระดับประเทศ ชายแดน ช่องโหว่?

แม้คำสั่งตรวจเข้มของกรมการจัดหางานจะถูกสื่อสารในเชิงปกป้องอาชีพของคนไทย แต่ในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงราย มีอีกมุมหนึ่งที่ต้องพิจารณา

ข้อมูลของสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงรายชี้ว่า คนเชียงรายจำนวนมากยังคงออกไปหางานต่างประเทศ โดยปี 2567 มีแรงงานไทยในจังหวัดยื่นขออนุญาตเดินทางไปทำงานต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 2,085 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานไร้ทักษะหรือทักษะกึ่งฝีมือ เช่น งานก่อสร้าง งานใช้แรงในระบบบริการ หรือแรงงานรับใช้ในครัวเรือน ซึ่งสะท้อนว่าตลาดแรงงานในพื้นที่ยังไม่ตอบโจทย์รายได้ที่เพียงพอสำหรับคนบางกลุ่ม

ปรากฏการณ์นี้นำไปสู่ความเป็นจริงที่ย้อนแย้ง

  • คนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งออกไปขายแรงงานต่างประเทศ
  • ธุรกิจในเชียงรายยังต้องการแรงงานระดับปฏิบัติการจำนวนมาก
  • นายจ้างในพื้นที่จึงหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้น

ในรายงานของจังหวัดระบุชัดว่า “หากแรงงานเหล่านี้ออกไปทำงานต่างประเทศ ทำให้ในจังหวัดเชียงรายขาดแคลนแรงงานตามมา ส่งผลให้นายจ้าง/สถานประกอบการหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้น.”

กล่าวอีกแบบ ระบบแรงงานชายแดนกำลังหมุนโดยพึ่งพากันและกัน คือเศรษฐกิจท้องถิ่นยังเดินต่อได้เพราะมีแรงงานข้ามชาติที่ยอมรับค่าแรงและเงื่อนไขงานบางรูปแบบ ขณะเดียวกัน คนเชียงรายบางส่วนย้ายออกไปทำงานต่างประเทศเพื่อส่งเงินกลับบ้าน

ประเด็นนี้ทำให้การ “ปราบต่างด้าวผิดกฎหมาย” ไม่ใช่ภารกิจง่าย ๆ ทางอารมณ์สาธารณะ เพราะถ้าคุมเข้มจนแรงงานขาด นายจ้างท้องถิ่นอาจเผชิญภาวะคนไม่พอทำงาน ในภาคเกษตร ภาคบริการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้าง และโรงงานผลิต ซึ่งล้วนเป็นหมุดเศรษฐกิจหลักของจังหวัดเชียงราย

ทำไม “นอมินี” จึงกลายเป็นคำร้อน

ในคำสั่งปฏิบัติการรอบนี้ คำว่า “นอมินี” ถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับคำว่า “แย่งอาชีพคนไทย” อย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนว่า ปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ที่แรงงานรายวัน แต่โยงไปถึงโครงสร้างธุรกิจบริการในเมืองท่องเที่ยว

ข้อมูลจากกรมการจัดหางานระบุกรณีตัวอย่างที่ถูกตรวจสอบในหลายจังหวัด

  • ธุรกิจให้เช่ารถและมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว
  • ธุรกิจบริการนำเที่ยว
  • ร้านตัดผม/เสริมสวย
    ทั้งหมดเป็นประเภทกิจการที่มีการร้องเรียนว่า มีต่างชาติเป็นผู้ให้บริการหลักจริงในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ แต่ใช้ชื่อคนไทยในการจดทะเบียนหรือถือหุ้น เพื่ออาศัยช่องว่างทางกฎหมาย

ในมุมเชียงราย ประเด็นนี้เชื่อมต่อโดยตรงกับเศรษฐกิจชายแดนและการท่องเที่ยวเชิงชายแดน โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย (ด่านเมียนมา) และอำเภอเชียงของ (ด่านเชื่อม สปป.ลาว ไปสู่เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมทองคำ) ที่พึ่งพารายจ่ายของนักท่องเที่ยว นักเดินทาง และผู้ข้ามแดนเพื่อจับจ่ายสินค้า การบริการท่องเที่ยวโดยมัคคุเทศก์ และการเดินทางเช่ารถข้ามเมือง

กระทรวงแรงงานย้ำชัดว่า อาชีพมัคคุเทศก์และจัดนำเที่ยวเป็น “อาชีพสงวนเฉพาะคนไทยเท่านั้น” การว่าจ้างไกด์ต่างชาติถือว่าผิดกฎหมาย และยังถูกมองว่าเป็นการแย่งรายได้ของแรงงานท้องถิ่นในจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายแดน

จุดนี้เองที่ทำให้เรื่องแรงงานต่างด้าวในเชียงราย ไม่ได้ถูกพูดถึงแค่ในมิติ “แรงงานในโรงงาน” อีกต่อไป แต่ขยับเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวเชิงบริการ ซึ่งเป็นรายได้โดยตรงของคนเชียงรายจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชนวัยทำงานอายุ 18–39 ปี ที่เป็นช่วงอายุซึ่งตลาดแรงงานเชียงรายต้องการสูงที่สุด (สะท้อนจากตำแหน่งงานว่าง 3,328 อัตราในกลุ่มอายุ 25–29 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 27.16 ของตำแหน่งงานว่างทั้งหมดในปี 2567)

ความหมายต่อประชาชนเชียงราย นี่ไม่ใช่แค่เรื่องจับ-ปรับ

เมื่อมองไปข้างหน้า ประเด็นไม่ได้จบที่การ “กวาดล้าง” หรือ “ปราบปราม” เพียงอย่างเดียว แม้บทลงโทษจะถูกยกระดับให้หนักทั้งจำทั้งปรับ ทั้งแรงงานต่างชาติและนายจ้างก็ตาม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดชายแดนอย่างเชียงรายยังต้องเผชิญโจทย์ 3 ชั้นพร้อมกันคือ

  1. จะรักษาพื้นที่ทำกินของแรงงานท้องถิ่น โดยเฉพาะอาชีพบริการระดับต้น ที่คนในพื้นที่ตั้งใจยึดเป็นอาชีพหลักได้อย่างไร
  2. จะป้องกันการเข้ามาดำเนินธุรกิจโดยต่างชาติในลักษณะนอมินี ซึ่งอาจทำให้เงินไหลออกนอกชุมชน แต่ทำโดยใช้โครงสร้างทางกฎหมายไทยเป็นฉากหน้า ได้อย่างไร
  3. จะดูแลแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในเชียงราย – ทั้งที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายกว่า 36,000 คน และที่ยังอยู่นอกระบบ – ให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้ (ทั้งด้านแรงงาน มาตรฐานความปลอดภัย ค่าจ้างที่เป็นธรรม) โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดสะดุดอย่างฉับพลัน ได้อย่างไร

ความท้าทายนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะเศรษฐกิจเชียงรายยังพึ่งพาการค้าชายแดน ภาคบริการท่องเที่ยว โรงแรม-อาหาร การก่อสร้าง และภาคการผลิต ซึ่งในปี 2565–2567 ยังเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักของจีดีพีจังหวัด โดยเฉพาะภาคการขายส่ง-ขายปลีก การก่อสร้าง และกิจกรรมโรงแรมและอาหารที่จ้างงานรวมกันหลายหมื่นตำแหน่ง

กล่าวอีกแบบ การจัดระเบียบแรงงานต่างด้าววันนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “คนต่างด้าว” แต่คือเรื่องอนาคตของเศรษฐกิจเชียงรายในระยะกลางด้วย

สายด่วนแจ้งเบาะแส สัญญาณว่ารัฐเปิดช่องให้ประชาชนร่วมตรวจสอบ

กรมการจัดหางานได้เปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแส หากพบเห็นแรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย หรือธุรกิจที่สงสัยว่าเป็นนอมินี โดยสามารถโทรแจ้งได้ที่

  • กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0-2354-1729
  • สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ พื้นที่ 1–10
  • หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน.

ช่องทางดังกล่าวสะท้อนว่า ภาครัฐกำลังย้ายบางส่วนของภารกิจตรวจสอบมาสู่ระดับชุมชน เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ – โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานท้องถิ่น – เป็น “หูเป็นตา” ให้หน่วยงานรัฐในการระบุจุดร้อน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านนโยบายแรงงานเตือนว่า การใช้กลไกแจ้งเบาะแสต้องเดินคู่กับการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน ไม่เช่นนั้น ความไม่พอใจเชิงเศรษฐกิจอาจถูกแปรเป็นแรงกดดันทางชาติพันธุ์หรือการเหมารวมทางสัญชาติ ซึ่งจะยิ่งทำให้การจัดระเบียบแรงงานในพื้นที่ชายแดนอย่างเชียงรายซับซ้อนขึ้นไปอีกขั้น

ปราบปรามอย่างเดียวไม่พอ ต้องจัดการ “สมการแรงงานชายแดน” ให้สมดุล

เมื่อมองภาพรวม เชียงรายกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนด้านแรงงานและความมั่นคงทางเศรษฐกิจระดับจังหวัด

ในเชิงตัวเลข จังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนทำงานตามกฎหมายกว่า 36,000 คน ครอบคลุมทั้งคนต่างด้าวตาม MOU แรงงานกลุ่มชนเผ่าพื้นที่สูงที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ได้รับใบอนุญาตทำงานแล้ว แรงงานที่ได้รับผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรี และแรงงานชายแดนที่เข้า-ออกตามฤดูกาล พร้อมกันนั้น คนเชียงรายเองจำนวนไม่น้อยกำลังเดินออกนอกประเทศเพื่อไปทำงานต่างแดน เพราะมองว่าค่าตอบแทนที่อื่นยังดีกว่า นำไปสู่ภาวะขาดแรงงานท้องถิ่นในบางอุตสาหกรรม และการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ยิ่งสูงขึ้น

ในเชิงนโยบาย ส่วนกลางกำลังส่งสัญญาณชัด จะไม่ยอมให้ต่างชาติ “แย่งอาชีพสงวนของคนไทย” โดยเฉพาะในภาคบริการท่องเที่ยว ซึ่งรวมถึงอาชีพมัคคุเทศก์ ร้านตัดผม ร้านเช่ารถนำเที่ยว ธุรกิจทัวร์รายย่อย และบริการเชิงพื้นที่ที่กระทบรายได้คนในจังหวัดโดยตรง การฝ่าฝืนเจอโทษทั้งจำทั้งปรับทั้งตัวแรงงานต่างด้าวและนายจ้าง/ผู้ประกอบการไทยที่สนับสนุน

แต่ในทางปฏิบัติ เขตแดนแรงงานในเชียงรายไม่ใช่เส้นตรง ระหว่าง “ไทย” กับ “ต่างชาติ” เท่านั้น หากแต่เป็นสามเหลี่ยมระหว่าง
(1) ความอยู่รอดของแรงงานท้องถิ่น
(2) ความต้องการแรงงานราคาย่อมเยาและต่อเนื่องของผู้ประกอบการ
(3) การควบคุมแรงงานข้ามชาติให้เข้าสู่ระบบที่ตรวจสอบได้จริง

ความท้าทายจึงอยู่ที่การทำให้ทั้งสามมุมนี้อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่ผลักให้แรงงานจำนวนมาก (ทั้งไทยและต่างด้าว) หล่นกลับไปอยู่ในเงามืดของเศรษฐกิจนอกระบบ ที่ไม่มีหลักประกัน ไม่มีสิทธิพื้นฐาน และไม่มีเสียงในโต๊ะนโยบาย

หรือพูดให้ชัด – การตรวจจับและลงโทษคือเพียง “ขั้นแรก” แต่การออกแบบระบบแรงงานชายแดนที่ยุติธรรมสำหรับทั้งคนในพื้นที่และคนที่เข้ามาหาโอกาสในประเทศไทย จะเป็นบทพิสูจน์จริงของเชียงรายในปีต่อจากนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News