Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเข้ม รับมือน้ำท่วม-น้ำโขงล้น

เชียงรายวางมาตรการเข้มรับมือสถานการณ์น้ำ – ประชุมใหญ่ติดตามและเสริมแผนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รับมือฝนตกหนัก-น้ำโขงล้นตลิ่งกลางปี 2568

เชียงราย, 2 กรกฎาคม 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ร่วมประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นการประชุมสำคัญท่ามกลางสถานการณ์ฝนตกหนักที่เริ่มส่งผลกระทบหลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

วางแผนรับมือสถานการณ์น้ำ – เสริมกำลังและอุปกรณ์ 24 ชั่วโมง

การประชุมครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รายงานภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ พร้อมชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาและแผนการเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 จังหวัดได้จัดเตรียมกำลังพล อุปกรณ์ เครื่องจักรกล และเครื่องมือสาธารณภัยให้พร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงกำหนดพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังพิเศษ เช่น โรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สถานีผลิตไฟฟ้า-ประปา เพื่อให้การดำเนินงานสำคัญของจังหวัดไม่สะดุดในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน

พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนซ้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระหว่างวันที่ 7–10 กรกฎาคม 2568 เพื่อเสริมสร้างความพร้อมและความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน

รัฐบาลสั่งการเข้ม – เน้นป้องกันล่วงหน้า แจ้งเตือนรวดเร็ว ครอบคลุมทุกมิติ

ในการประชุมระดับประเทศวันนี้ (2 กรกฎาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคติดตามสถานการณ์น้ำและความเสี่ยงอุทกภัยอย่างใกล้ชิด เตรียมกำลังพลและทรัพยากรพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินทุกมิติ พร้อมกับให้ความสำคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนให้ทันเหตุการณ์และเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีเมื่อเกิดเหตุ โดยได้สั่งการให้จังหวัดเสี่ยงต้องมีแผนรองรับสถานการณ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการป้องกัน รับมือ ฟื้นฟู และเยียวยา

นายประเสริฐได้เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองทัพไทย กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน ฯลฯ กับพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย น่าน หนองคาย สกลนคร บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร ที่มีความเสี่ยงสูงจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำโขงล้นตลิ่ง

มาตรการใหม่และแนวโน้มภัยพิบัติปี 2568

ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงมาตรการสำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าโดย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อประสานข้อมูลพายุ ฝน และภัยพิบัติต่าง ๆ และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน ตรวจสอบและทดสอบระบบเตือนภัย รวมถึงใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast (CB) ซึ่งเริ่มใช้งานในหลายพื้นที่เพื่อแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว ขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติและแนวทางการรับมือให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ด้านการจัดการในพื้นที่ ได้มีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน เช่น การแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกลำคลอง เตรียมเครื่องจักรกล อุปกรณ์ อากาศยาน เรือ และจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ รวมถึงพื้นที่อพยพ ศูนย์พักพิง อาหาร น้ำดื่ม และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน

วิเคราะห์สถานการณ์น้ำโขง – การเตรียมพร้อมของลุ่มน้ำสำคัญ

จากข้อมูลของ สทนช. และกรมชลประทาน ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลักยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ เพราะมีการพร่องน้ำไว้ล่วงหน้าเพื่อลดผลกระทบ อย่างไรก็ตาม การประชุมได้รับทราบการคาดการณ์ว่าช่วงกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 อาจเกิดสถานการณ์น้ำโขงล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตอนบนของภาคเหนือ จึงมีการบูรณาการกับหน่วยงานลุ่มน้ำโขงทั้งไทยและ สปป.ลาว เพื่อบริหารจัดการน้ำร่วมกัน ลดผลกระทบและเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า

สาระสำคัญและข้อสั่งการ – มุ่งฟื้นฟู เยียวยา และป้องกันความเสียหายซ้ำซ้อน

รองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนและทรัพย์สิน เพื่อเร่งดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้เร็วที่สุด พร้อมตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วให้ความช่วยเหลือพื้นที่ห่างไกล โดยเน้นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน จิตอาสา และมูลนิธิอย่างมีประสิทธิภาพ

นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเสริมว่า สภาพอากาศโดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 2-6 กรกฎาคม และ 10-14 กรกฎาคม จะมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะในบางพื้นที่ภาคเหนือและอีสานตอนบน สทนช. จะตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ที่จังหวัดหนองคายในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และเตรียมประชุมเฉพาะกิจกับ สปป.ลาว เพื่อลดผลกระทบจากน้ำโขงล้นตลิ่งในฤดูฝนนี้

บทสรุป

สถานการณ์น้ำในปี 2568 แม้จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเป็นระบบ การผนึกกำลังกันระหว่างจังหวัด หน่วยงานกลาง และเครือข่ายภาคี จึงเป็นหัวใจของการป้องกันและเยียวยาอุทกภัยในทุกมิติ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างทันท่วงที เสริมความมั่นใจให้กับประชาชนทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกยังไม่ปลอดภัย สารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

วิกฤตสารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกกยังไม่คลี่คลาย สสจ.เชียงรายยืนยันน้ำไม่ปลอดภัย ชุมชนหวั่นผลกระทบระยะยาว

เชียงราย, 23 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) ยืนยันว่าแหล่งน้ำเหล่านี้ยังไม่ปลอดภัยสำหรับการใช้งาน โดยสั่งห้ามประชาชนสัมผัสหรือใช้น้ำโดยตรง จนกว่าจะมีการยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพหากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่การเจรจากับแหล่งกำเนิดมลพิษข้ามพรมแดนยังคงไม่มีความคืบหน้าชัดเจน สร้างความไม่มั่นใจให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

สายน้ำแห่งชีวิตที่ถูกคุกคาม

แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงรายมานานนับศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การประมง หรือการท่องเที่ยว ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเหล่านี้พึ่งพาทรัพยากรน้ำในการดำรงชีวิตและสร้างรายได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกก น้ำที่เคยใสสะอาดกลับขุ่นข้น และมีกลิ่นผิดปกติในบางช่วง ความกังวลเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่าสัตว์น้ำในแม่น้ำเริ่มตาย และชาวบ้านบางรายที่สัมผัสน้ำมีอาการผื่นคันและระคายเคือง

ความตื่นตระหนกทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เปิดเผยว่าพบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา สารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่มีพิษร้ายแรง สามารถสะสมในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น เช่น ผื่นคันและคลื่นไส้ และในระยะยาว เช่น โรคมะเร็งและความเสียหายต่ออวัยวะภายใน ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำเริ่มตั้งคำถามถึงสาเหตุของมลพิษ โดยหลายฝ่ายสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกก ซึ่งอยู่ในเขตประเทศเมียนมา

สถานการณ์นี้ไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างหนัก การท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น กิจกรรมล่องแพและนั่งช้างลุยน้ำ ต้องหยุดชะงัก เกษตรกรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเพาะปลูกเผชิญกับความเสี่ยงจากสารพิษตกค้างในผลผลิต และชาวประมงต้องหยุดจับปลาเนื่องจากไม่มีผู้ซื้อกล้าเสี่ยงบริโภค ความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชุมชน

การตรวจสอบและมาตรการรับมือของหน่วยงาน

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ยังคงมีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน และขอให้ประชาชนงดใช้น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้ในการอุปโภค บริโภค หรือสัมผัสโดยตรง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย การตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำโดย สคพ.1 ดำเนินการมาแล้ว 3 ครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2568 โดยเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา 15 จุด แม่น้ำสาย 3 จุด และแม่น้ำโขง 2 จุด ผลการตรวจพบว่าคุณภาพน้ำอยู่ในระดับ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” โดยบางจุดมีค่าความสกปรกจากสารอินทรีย์และแบคทีเรียเกินมาตรฐาน รวมถึงสารหนูที่เกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ระบบการผลิตน้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงรายยังคงปลอดภัยสำหรับการใช้งาน เนื่องจากมีการบำบัดน้ำอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำจากเดือนละครั้งเป็นสัปดาห์ละครั้ง และสำรวจรูปแบบการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว

เพื่อรับมือกับวิกฤต สสจ.เชียงราย ร่วมกับเครือข่ายบริการสุขภาพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ได้จัดตั้งระบบเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยมีการตรวจสุขภาพอย่างใกล้ชิดและให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากสารปนเปื้อน คำแนะนำสำหรับประชาชนรวมถึงการหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำในการล้างผัก อาบน้ำ หรือให้สัตว์เลี้ยงดื่ม รวมถึงการงดจับหรือบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำเสี่ยง

ในระดับชาติ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน โดยมีนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธาน คณะอนุกรรมการนี้มีภารกิจวิเคราะห์สาเหตุของมลพิษ กำหนดแนวทางแก้ไข และเจรจากับหน่วยงานในประเทศเมียนมาเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ การประชุมครั้งแรกของคณะอนุกรรมการมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล

หนึ่งในมาตรการที่ได้รับความสนใจคือการสำรวจพื้นที่เพื่อสร้าง “ฝายดักตะกอน” ในลำน้ำฝางและแม่น้ำกก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ของศูนย์เทคโนโลยีอากาศ (ศทอ.) ได้บินสำรวจพื้นที่เป้าหมายในอำเภอฝาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อเก็บข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศสำหรับวิเคราะห์ความเหมาะสมในการสร้างฝายดักตะกอน 4 จุด ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปนเปื้อนของตะกอนและสารหนูในน้ำ ผลการสำรวจจะถูกส่งต่อให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อไป

ความพยายามแก้ไขและความหวังที่ยังไม่ชัดเจน

การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาแสดงถึงความพยายามในการจัดการวิกฤตสารหนูปนเปื้อน การเพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำ การจัดตั้งคณะอนุกรรมการ และการสำรวจเพื่อสร้างฝายดักตะกอน เป็นสัญญาณของความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา การประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อเจรจากับเมียนมา รวมถึงการใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) แสดงถึงความพยายามในการจัดการปัญหาข้ามพรมแดน

ในระดับท้องถิ่น สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างดินและพืชในพื้นที่เกษตรริมแม่น้ำกกเพื่อตรวจสอบสารหนูตกค้าง พร้อมให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการใช้น้ำอย่างปลอดภัย สำนักงานประมงจังหวัดได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในปลา ซึ่งผลการตรวจเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 พบสารหนูในระดับ 0.13 mg/kg ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายได้เพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปาเป็นเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย ขณะที่ รพ.สต. 19 แห่งใน 7 อำเภอทำหน้าที่เป็นศูนย์รับแจ้งและเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคืบหน้าในบางด้าน แต่ประชาชนในชุมชนริมแม่น้ำกกยังคงไม่มั่นใจในความปลอดภัยของน้ำ การขาดความชัดเจนในแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการเจรจากับเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าปัญหานี้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีทางออกที่เป็นรูปธรรม นางสาวจันทร์จิรา สุวรรณวงศ์ เกษตรกรในอำเภอเมืองเชียงราย กล่าวว่า “เราไม่กล้าใช้น้ำจากแม่น้ำกกมานานแล้ว แต่ก็ยังกังวลว่าสารพิษจะสะสมในดินและพืช ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ อนาคตเราจะอยู่อย่างไร”

ความหวังของชุมชนอยู่ที่การประชุมคณะอนุกรรมการในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับระบบดักตะกอนและการเจรจาระหว่างประเทศ หากมีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เช่น การติดตั้งฝายดักตะกอนหรือการควบคุมการปล่อยมลพิษจากเหมืองในเมียนมา อาจช่วยฟื้นฟูความมั่นใจให้กับประชาชนและชุมชนได้

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการวิกฤตสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกมีผลลัพธ์ที่สำคัญ ดังนี้:

  1. การเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำและสุขภาพประชาชนช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารหนูในระยะสั้น
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การจัดตั้งคณะอนุกรรมการและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดและชาติแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา
  3. การใช้เทคโนโลยี การสำรวจด้วยเฮลิคอปเตอร์และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศช่วยระบุจุดเสี่ยงและวางแผนแก้ไขได้อย่างแม่นยำ
  4. การสื่อสารสาธารณะ การให้คำแนะนำและประชาสัมพันธ์ข้อมูลช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของปัญหาข้ามแดน การเจรจากับเมียนมาเกี่ยวกับเหมืองแร่ในรัฐฉานมีความท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในและอิทธิพลของบริษัทจีน
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร การติดตั้งฝายดักตะกอนและระบบกรองน้ำต้องใช้เงินทุนและเวลา ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว สารหนูสามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นาน การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. ความไม่มั่นใจของประชาชน การขาดความชัดเจนในแนวทางแก้ไขทำให้ชาวบ้านยังคงหวาดกลัวและสูญเสียความเชื่อมั่นในหน่วยงานรัฐ

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการเจรจาระหว่างประเทศ: ใช้กลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และความร่วมมือทวิภาคีเพื่อกดดันเมียนมาให้ควบคุมการปล่อยมลพิษ
  • จัดหางบประมาณเพิ่มเติม ขอความสนับสนุนจากภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฝายดักตะกอนและระบบกรองน้ำ
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่ออัปเดตความคืบหน้าและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
  • สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น จัดหาแหล่งน้ำสะอาดและสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับเกษตรกรและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก: สารหนูสูงสุด 0.038 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1). (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา.
  2. ผลกระทบต่อสุขภาพ:
    • ผู้สัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกที่มีสารหนูเกินมาตรฐานมีโอกาสเกิดผื่นคันถึง 30% และความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังในระยะยาวเพิ่มขึ้น 5–10%
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย. (2568). รายงานผลกระทบต่อสุขภาพจากสารหนูในแหล่งน้ำ.
  3. ผลกระทบต่อการเกษตร:
    • พื้นที่เกษตรริมแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบราว 20,000 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตลดลง 15–20%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย. (2568). รายงานผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกต่อภาคเกษตรกรรม.
  4. การผลิตแร่ในเมียนมา:
    • รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตันในปี 2566 ซึ่งอาจเป็นแหล่งกำเนิดสารหนูในแม่น้ำกก
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

บอร์ดแอลกอฮอล์ “ไฟเขียว” ‘ขายเหล้า-เบียร์’ วันพระใหญ่ได้บางที่

รัฐบาลไฟเขียวขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา เร่งออกกฎก่อนวันวิสาขบูชา

ประเทศไทย, 4 มีนาคม 2568 – ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ว่าที่ประชุมมีมติ ผ่อนคลายมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา เพื่อรองรับภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงควบคุมให้เกิดความเหมาะสมและไม่กระทบต่อค่านิยมทางศาสนาและวัฒนธรรมของไทย

ผ่อนปรนการขายแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา

ที่ประชุมมีมติให้สามารถ จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วัน ได้แก่

  1. วันมาฆบูชา
  2. วันวิสาขบูชา
  3. วันอาสาฬหบูชา
  4. วันเข้าพรรษา
  5. วันออกพรรษา

แต่จำกัดเฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น โดยสถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย ได้แก่

  1. สนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ – สามารถจำหน่ายแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและเลานจ์ภายในสนามบิน
  2. สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ – เช่น ผับ บาร์ ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิง
  3. สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ – เช่น ย่านทองหล่อ พัฒน์พงศ์ หรือถนนข้าวสาร ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด
  4. โรงแรมที่ให้บริการนักท่องเที่ยว – อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในโรงแรม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
  5. สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ – เช่น งานประชุมสัมมนา งานแสดงสินค้า หรือกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก

ทั้งนี้ พื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุข้างต้น ยังคงห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ตามกฎหมายเดิม

มาตรการควบคุมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสังคม

เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว รัฐบาลกำหนดให้สถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัด ได้แก่

  • การคัดกรองผู้ซื้อ – ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
  • การรักษาความสงบเรียบร้อย – เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสถานที่จำหน่าย
  • การจำกัดการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน – ห้ามโฆษณาหรือส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้เกิดการดื่มเกินขนาด

รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า มาตรการนี้จะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใน 15 วัน ก่อนนำเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณารับรอง และส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จก่อนวันวิสาขบูชาในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

มาตรการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์

รองนายกฯ ย้ำว่า มาตรการผ่อนปรนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญทางศาสนาโดยเฉพาะ ส่วนข้อเสนอให้ ขยายระยะเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลาที่กำหนด นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้มีการพิจารณา เนื่องจากหากจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ต้องมีการแก้ไข พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายหลัก

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่สนับสนุนมาตรการ

  • ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการร้านอาหาร มองว่ามาตรการนี้เป็นการปรับตัวที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาเดิมอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของสถานประกอบการ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก
  • ผู้บริหารโรงแรมและสนามบิน เห็นว่าการอนุญาตให้จำหน่ายแอลกอฮอล์ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นหลัก จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง

กลุ่มที่คัดค้านมาตรการ

  • องค์กรทางศาสนาและกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แสดงความกังวลว่าการผ่อนคลายมาตรการนี้อาจเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาและอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย
  • กลุ่มรณรงค์ต่อต้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระบุว่าการผ่อนปรนมาตรการในวันสำคัญทางศาสนาอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เช่น การเพิ่มขึ้นของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย

  • ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย (ปี 2567) – เฉลี่ย 5 ลิตรต่อคนต่อปี
  • รายได้จากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย (ปี 2567) – ประมาณ 250,000 ล้านบาท
  • สัดส่วนอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567)22% ของอุบัติเหตุทั้งหมด
  • จำนวนร้านค้าที่ได้รับใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย – มากกว่า 120,000 ร้านค้า
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567) – มากกว่า 6,500 ราย

บทสรุป

การผ่อนปรนมาตรการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ถือเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ยังต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านจากกลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม

รัฐบาลจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่าง การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว กับ การรักษาคุณค่าและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้มาตรการนี้สามารถดำเนินไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News