Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งลุย! จับร้านกัญชา-น้ำกระท่อมปรุงขายเยาวชน

เชียงรายเปิดปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส ไร้สิ่งมอมเมา” ลุยตรวจ–จับร้านกัญชา–น้ำกระท่อมปรุงใกล้โรงพยาบาลและสถานศึกษา หลังร้องเรียนขายให้เยาวชนไม่สนกฎหมาย

เชียงราย, 27 สิงหาคม 2568 —ช่องว่างการกำกับดูแล “พืชกระท่อม–กัญชา” หลังปลดล็อกในระดับประเทศ กลายเป็นโจทย์ยากของจังหวัดท่องเที่ยว–การค้าชายแดนอย่างเชียงราย เมื่อธุรกิจบางส่วนฉวยโอกาสตั้งร้านในทำเลอ่อนไหวและขายให้กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเยาวชน ประเด็นนี้ไม่ใช่แค่กฎหมายลายลักษณ์อักษร แต่คือ “สมดุลใหม่” ระหว่างสุขภาพสาธารณะ เศรษฐกิจท้องถิ่น และความปลอดภัยชุมชน ข่าวชิ้นนี้พาไล่เรียงจากเสียงร้องเรียนของพ่อแม่–ครู สู่การบูรณาการ “ฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ” ลงพื้นที่จริง พร้อมคลี่ให้เห็นปมกฎหมาย–ทางปฏิบัติที่ต้องเร่งปิด และข้อเสนอเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้–เด็กปลอดภัย–เมืองไม่เสื่อมโทรม

เสียงจากผู้ปกครอง–ครู จุดชนวน “เช็คตรง–จับจริง” ใจกลางเมือง

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 ส.ค. 2568 ภายใต้คำสั่งการของ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ชุดปฏิบัติการผสมจาก ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย (กลุ่มงานความมั่นคง), สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองเชียงราย และ สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ได้เข้าตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับสถานประกอบการร้านจำหน่ายกัญชา “#ใจแลกใจ” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกหลัง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ — ทำเลที่มีทั้งโรงพยาบาลและสถานศึกษากระจุกหนาแน่น

เบื้องหลังการลงพื้นที่ครั้งนี้ เริ่มจาก ข้อร้องเรียนต่อเนื่อง ของผู้ปกครองและสถานศึกษาในย่านดังกล่าว ระบุพฤติการณ์จำหน่าย ช่อดอกกัญชา และ น้ำต้มใบกระท่อมปรุงรส ให้แก่นักเรียน–เยาวชน อย่างเปิดเผย ตลอดทั้งกลางวันและยามวิกาล จนเกิดปัญหามั่วสุมใกล้ชุมชน ซึ่งสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง “ตรวจ–ตัด–เตือน” แบบเร่งด่วน

ทำเลอ่อนไหว–พฤติการณ์ชัด–ดื่มผสมปรุงรส ขายง่าย ราคางาม

จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่พบว่าร้านดังกล่าวตั้งอยู่ ไม่ถึง 200 เมตร จากโรงพยาบาลและสถานศึกษา ถือเป็น ทำเลเสี่ยงต่อการเข้าถึงของเยาวชนและผู้ป่วย แม้ทางร้าน อ้างมีใบอนุญาตจำหน่ายกัญชา แต่พบ การจำหน่าย “น้ำกระท่อมปรุง” เป็นกิจวัตร ทั้งในรูปแบบเครื่องดื่มปรุงแต่งรสชาติ ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ข้อห้ามของกฎหมายอาหาร และหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข

ที่น่าห่วงยิ่งกว่า คือ การไม่ตรวจสอบอายุผู้ซื้อ และ ไม่เรียกดูใบสั่งแพทย์/ใบรับรองแพทย์ ตามแนวทางที่หน่วยงานสาธารณสุขกำหนดสำหรับการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ส่งผลให้ นักเรียน–เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย และมีรายงานจากชุมชนว่า มีการรวมกลุ่มมั่วสุม หลังซื้อออกจากร้าน ทั้งในช่วงหลังเลิกเรียนและยามค่ำคืน

คำให้การและของกลาง: ผู้จัดการยอมรับ “ขายจริง–ไม่คัดกรอง” รายได้วันละหลักหมื่น

ภายในร้าน เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายวิจิตรศักดิ์ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี แสดงตนเป็นผู้จัดการและผู้จำหน่าย นายวิจิตรศักดิ์ รับสารภาพในที่เกิดเหตุ ว่ามีการจำหน่ายทั้งช่อดอกกัญชาและน้ำต้มใบกระท่อมปรุง โดยไม่สอบถามอายุ–ไม่เรียกใบสั่งแพทย์ พร้อมให้ข้อมูลเชิงธุรกิจว่า มีรายได้เฉลี่ยวันละ 10,000–15,000 บาท สะท้อน เม็ดเงินหมุนเวียน ของธุรกิจที่อาศัยช่องว่างกำกับดูแลได้อย่างชัดเจน

เจ้าหน้าที่จึงรวบรวม ของกลาง และแจ้งข้อกล่าวหา 2 กระทงหลัก ได้แก่

  1. จำหน่ายอาหารที่ห้ามจำหน่าย (กรณี “น้ำกระท่อมปรุง”) — โทษจำคุก 6 เดือน–2 ปี และปรับ 5,000–20,000 บาท ตามกฎหมายอาหารและประกาศที่เกี่ยวข้องของกระทรวงสาธารณสุข
  2. ตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารโดยไม่มีหนังสือรับรองฯ — โทษจำคุก ไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับ ไม่เกิน 25,000 บาท ตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข

ภายหลังการแจ้งข้อหา เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหาและของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอน

คลายปมกฎหมาย “ปลดล็อกไม่ใช่เสรี” และทำไม “น้ำกระท่อมปรุง” ยังผิด

การปลดล็อกพืชกระท่อมและกัญชาในช่วงที่ผ่านมา มิได้หมายถึงเสรีภาพเต็มรูปแบบ การจำหน่าย–โฆษณา–รูปแบบผลิตภัณฑ์ และ กลุ่มเปราะบาง” (เช่น ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี, หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร) ยังถูก จำกัดและห้าม หลายประการ โดยเฉพาะฝั่งอาหาร–เครื่องดื่ม ซึ่งอยู่ภายใต้ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ระบุ รายการอาหารต้องห้ามผลิต–นำเข้า–จำหน่าย อย่างชัดเจน

  • น้ำกระท่อมปรุง” จัดเป็น อาหาร/เครื่องดื่มที่ห้ามผลิต–นำเข้า–จำหน่าย เพราะอยู่ในประเภทผลิตภัณฑ์ที่มี ความเสี่ยงต่อสุขภาพ และ ความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์ ควบคุมไม่ได้จากการต้ม–ปรุง–ผสม
  • การจำหน่าย ช่อดอกกัญชา ต้องดำเนินการภายใต้ หลักเกณฑ์เฉพาะ (เช่น การแสดงข้อความคำเตือน, ข้อห้ามขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์, ข้อจำกัดสถานที่ขาย–บริโภค) รวมถึง การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่ต้องมี ผู้ประกอบวิชาชีพ/สถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต กำกับดูแล
  • ทำเลตั้งร้าน ใกล้ โรงพยาบาล–สถานศึกษา–ชุมชน หลายจังหวัดและท้องถิ่นมี ข้อบัญญัติ/คำสั่ง กำกับระยะห่าง/เขตห้าม เพื่อป้องกันการเข้าถึงของเยาวชน แม้ “ระยะเมตร” จะต่างกันตามข้อกำหนดแต่ละพื้นที่ ใจกลางเมืองเชียงราย ก็ถือเป็น เขตอ่อนไหว” ที่หน่วยงานต้องพิจารณาเข้ม

ความจริงสำคัญคือ การใช้ประโยชน์เชิงการแพทย์ กับ การค้าเชิงเสพ มี “เส้นบาง ๆ” คั่นอยู่ที่ เครื่องมือกำกับ–ความรับผิดชอบผู้ประกอบการ–การบังคับใช้กฎหมายเชิงพื้นที่ กรณีร้านดังกล่าวจึงถูกดำเนินคดีในส่วนที่ กฎหมายกำหนดชัด คือผลิตภัณฑ์อาหารต้องห้าม และการตั้งสถานจำหน่ายโดยไม่มีหนังสือรับรอง

มุมสังคม ทำไม “ร้านใกล้โรงพยาบาล–สถานศึกษา” เสี่ยงเป็นพิเศษ

เชียงรายเป็นเมืองที่มีทั้ง โรงเรียน–มหาวิทยาลัย–โรงพยาบาล กระจุกในรัศมีไม่กี่กิโลเมตรจากศูนย์กลางเมือง การมีร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อ ผลกระทบต่อพฤติกรรม/สุขภาพ อยู่ ในรัศมีเดินถึง ย่อมเพิ่มโอกาสเข้าถึงของเยาวชน อย่างก้าวกระโดด ยิ่งเมื่อ ไม่มีการคัดกรองอายุ ตามที่พบในคดีนี้

ประเด็นนี้สัมพันธ์กับ ทฤษฎี “ความพร้อมใช้งาน–ราคาย่อมเยา–การยอมรับทางสังคม” (Availability–Affordability–Acceptability) ซึ่งระบุว่า หาก มีของ–ราคาไม่แพง–สังคมไม่ห้าม อัตราการทดลองใช้ในเยาวชนจะ พุ่งขึ้น แนวทางสาธารณสุขจึงมักใช้ การจำกัดทำเล และ การบังคับใช้เข้มกับผู้ขาย เป็น “ด่านหน้า” ป้องกัน ก่อนจะค่อย ๆ เสริมด้วย การให้ความรู้ ครู–ผู้ปกครอง–นักเรียน เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางข้อมูล”

ภาพรวมการปฏิบัติการบูรณาการ–ปิดช่องโหว่–ปักหมุดมาตรฐานใหม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อน สามยุทธศาสตร์หลัก ของจังหวัดเชียงราย

  1. เชิงรุก (Proactive): ใช้ ข้อร้องเรียน เป็นสัญญาณเตือน ร่วมบูรณาการฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ ตรวจจริง–จับจริง
  2. เชิงกฎหมาย (Enforcement): ชี้เป้า บทบัญญัติที่ชัดเจน (อาหารต้องห้าม, การตั้งสถานที่จำหน่ายโดยไม่มีหนังสือรับรอง) เพื่อ ดำเนินคดีได้ทันที ลดการตีความ
  3. เชิงระบบ (Systemic): หลังคดีนี้ สาธารณสุขจังหวัด เตรียม สั่งพักใช้ใบอนุญาต/ทบทวนเงื่อนไข และแจ้งมาตรการ “เข้ม” ไปยังผู้ประกอบการในพื้นที่ ตั้งจุดเสี่ยง พร้อม สุ่มตรวจ ต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่ชี้ว่า สัญญาณจากคดีนี้ ไม่ใช่เพียง “ปิดร้านหนึ่ง” แต่คือ เปิดมาตรฐานใหม่ทั้งเมือง” — ร้านใดตั้งอยู่ใน ทำเลอ่อนไหว หรือ ละเลยการคัดกรองอายุ จะถูก เพ่งเล็ง–สุ่มตรวจ–ปรับปรุงหรือปิด ตามกฎหมายและดุลพินิจเชิงพื้นที่

เสริมเกราะป้องกัน 5 แนวทางลดเสี่ยงเชิงพื้นที่–ชุมชน

เพื่อให้ “ธุรกิจเดิน–เด็กปลอดภัย–เมืองไม่เสื่อมโทรม” ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณสุขในพื้นที่เสนอแนวทางที่ ทำได้ทันที ดังนี้

  • กำหนดโซนนิ่ง/ระยะห่าง รอบสถานศึกษา–โรงพยาบาล–ศูนย์เยาวชน โดยออกเป็น คำสั่ง/ข้อบัญญัติท้องถิ่น ที่อ่านง่าย–บังคับใช้ได้จริง
  • บังคับป้ายคำเตือน–ข้อห้ามขาย ที่จุดขายทุกร้าน (เช่น ไม่ขายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี/หญิงตั้งครรภ์/ให้นมบุตร) พร้อม กล้องบันทึก–ระบบสุ่มตรวจอายุ
  • สุ่มตรวจเชิงสารวิเคราะห์ สำหรับผลิตภัณฑ์น้ำกระท่อม–กัญชาปรุงแต่ง เพื่อเช็ก ความเข้มข้นสารออกฤทธิ์ และ การปนเปื้อน
  • ตั้งช่องร้องเรียนออนไลน์ เชื่อม ฝ่ายปกครอง–สาธารณสุข–ตำรวจ ตอบสนองภายใน 24–48 ชม.
  • จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว (Rapid Response) ลงพื้นที่ หลังเลิกเรียน–ยามวิกาล ในจุดเสี่ยง เพื่อตัดวงจร มั่วสุม–เสพผสม

มองไกลกว่าคดี เมื่อ “ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ” คือเส้นแบ่ง

บทเรียนจากกรณีนี้ตอกย้ำว่า ผู้ประกอบการที่ปรับตัวรับกติกา ยังเดินธุรกิจได้ โดยเฉพาะร้านที่เน้น สินค้าเชิงสุขภาพ–กึ่งการแพทย์ และมี มาตรการคัดกรอง–ป้องกันเยาวชน ที่เข้มงวด ในทางกลับกัน ผู้ที่อาศัยช่องว่าง ขายให้กลุ่มเปราะบาง–ตั้งร้านใกล้แหล่งเสี่ยง–ปรุงแต่งผลิตภัณฑ์ต้องห้าม ย่อมเผชิญ ต้นทุนทางกฎหมาย–ชื่อเสียง–ความเชื่อมั่น ที่สูงกว่าผลตอบแทนในระยะยาว

หรือกล่าวให้ชัด “ปลดล็อกไม่ใช่ปล่อยเสรี” เมืองจะเดินหน้าได้ เมื่อ ทุกฝ่ายแสดงความรับผิดชอบ ตามบทบาท — รัฐออกกติกาชัด–บังคับใช้จริง, ธุรกิจค้าขายอย่างใจเข็มทิศสาธารณสุข, ครู–พ่อแม่สื่อสารกับเด็กเรื่องความเสี่ยง และชุมชนช่วยกัน เฝ้าระวังเชิงสร้างสรรค์

เชียงรายปักหมุด “ฟ้าใส” ด้วยกฎหมายที่ทำงาน–ชุมชนที่ไม่นิ่งเฉย

คดี “#ใจแลกใจ” ไม่ใช่เพียงภาพจับกุมรายวัน แต่คือ จุดเปลี่ยนเชิงสัญลักษณ์ ว่าเชียงรายกำลังก้าวสู่ มาตรฐานเมืองปลอดภัยสำหรับเยาวชน ด้วย 3 กลไกขับเคลื่อนพร้อมกัน—ชุมชนร้องเรียนอย่างมีหลักฐาน, รัฐบังคับใช้กฎหมายชัด–รวดเร็ว, และ สาธารณสุขวางเงื่อนไข–สั่งพักใบอนุญาตเมื่อจำเป็น สิ่งสำคัญคือ ความต่อเนื่อง: สุ่มตรวจ–สื่อสาร–ทำให้เห็นผลของการทำผิด (โทษ–ค่าปรับ–ปิด) และผลของการทำถูก (อยู่ได้–เชื่อถือได้)

หากรักษา “วินัยใหม่” นี้ไว้ได้ยาว ๆ เชียงรายจะไม่เพียง “ฟ้าใส” ต่อหน้ากล้องในวันจับกุม แต่จะ ใสจริง ในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ครู พ่อแม่ และผู้ป่วยรอบโรงพยาบาล–สถานศึกษา ซึ่งคือ หัวใจแท้ของเมืองน่าอยู่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • ที่ทำการปกครองอำเภอเมืองเชียงราย
  • สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย
  • ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 430) พ.ศ. 2564
  • พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
  • พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สทนช. ลุยเชียงราย! ปูพรมข้อมูล วางแผนปฏิบัติการเชิงรุก รับมือพายุ “วิภา”

เลขาฯ สทนช. นำทัพ “ระดม-ประเมิน-ยกระดับ” บริหารจัดการน้ำรับมือพายุ “วิภา” ปูพรมข้อมูล-เดินหน้าแผนปฏิบัติการเชิงรุก

เชียงราย, 20 กรกฎาคม 2568  ท่ามกลางความผันผวนของสภาพอากาศและอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยในฤดูฝนปีนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) โดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสทนช. นำคณะทำงานบูรณาการระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่นลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างเข้มข้น มุ่งหน้ารวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์น้ำแบบรอบด้าน และยกระดับมาตรการบริหารจัดการน้ำในจุดเสี่ยงสำคัญ เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประชุมใหญ่ “ระดมสรรพกำลัง” – วิเคราะห์น้ำท่วมเสี่ยงสูงลุ่มน้ำโขง

เมื่อเวลา 13.00 น. ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล ได้เป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 7/2568 โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานระดับชาติ อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมควบคุมมลพิษ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

ที่ประชุมได้รับฟังและพิจารณาข้อมูลสถานการณ์น้ำครอบคลุมทุกมิติ ทั้งรายงานแนวโน้มฝน ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างในแม่น้ำหลักและลำน้ำสาขา คุณภาพน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร รวมถึงความก้าวหน้าโครงการสำคัญ เช่น การขุดลอกลำน้ำสาย ลำน้ำกก และลำน้ำรวก ตลอดจนการวางมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 อาทิ การพร่องน้ำ การระบายน้ำ และการตั้งจุดติดตามระดับน้ำ พร้อมระบบแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบนที่เชื่อมโยงไทย-เมียนมา-ลาว

5 มาตรการเร่งด่วนตอบโจทย์การบริหารน้ำ “ยุคพายุ”

  1. ปรับปรุงการคาดการณ์ปริมาณฝน: สั่งการให้กรมอุตุนิยมวิทยาทบทวนแบบจำลองและฐานข้อมูลการคาดการณ์ฝนรายเดือนสำหรับสิงหาคม-กันยายน 2568 เป็นพิเศษ หลังปีที่ผ่านมาเกิดฝนสูงกว่าคาด และบางช่วงฝนน้อยเกินไป เพื่อให้แผนจัดการน้ำแม่นยำขึ้น
  2. วิเคราะห์ข้อมูลฝนระดับพื้นที่ย่อย: สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา จัดทำข้อมูลอากาศและฝนอย่างละเอียดระดับพื้นที่ ส่งต่อให้จังหวัดและหน่วยปฏิบัติพื้นที่ เพื่อกำหนดจุดเฝ้าระวัง ปรับแผนระบายน้ำ วางมาตรการแจ้งเตือนแบบเฉพาะจุด ลดความเสี่ยงจากการใช้ค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ไม่สะท้อนสภาพจริงในพื้นที่ภูเขาและชายแดน
  3. แผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำสำคัญ: กำชับกรมชลประทานและ กฟผ. ร่วมวางแผนจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือ ยม และน่าน ให้คำนึงถึงปริมาณฝนจากพายุ “วิภา” ป้องกันกรณีปล่อยน้ำฉับพลันในช่วงฝนชุก
  4. เร่งพร่องน้ำกว๊านพะเยา: กำหนดแผนพร่องน้ำให้เสร็จทันก่อนฝนหนัก เพื่อเพิ่มพื้นที่กักเก็บ ลดความเสี่ยงน้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูกและชุมชนในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2568
  5. ปรับปรุงการรายงานคุณภาพน้ำ: กรมควบคุมมลพิษปรับเกณฑ์รายงานผลตรวจน้ำ เทียบมาตรฐาน FAO (สุขภาพ-การเกษตร) เสริมจากเกณฑ์น้ำผิวดินเดิม เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนต่อความปลอดภัยของน้ำกิน-น้ำใช้

ลงพื้นที่ “แม่สาย” – เจาะลึกจุดเสี่ยงลุ่มน้ำชายแดน

หลังประชุม ดร.สุรสีห์ และคณะได้ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ลำน้ำชายแดนซึ่งรับน้ำจากพื้นที่สูงและตะกอนจำนวนมากทุกปี เน้นโครงการขุดลอกตะกอนและกำจัดสิ่งกีดขวางในลำน้ำสาย-กก-รวก ซึ่งเป็น “เส้นเลือด” สำคัญของทั้งลุ่มน้ำโขง

มาตรการเร่งด่วนด้านการขุดลอกและบริหารจัดการลำน้ำเหล่านี้ จะช่วยให้กระแสน้ำเคลื่อนตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ลดความเสี่ยงน้ำล้นตลิ่ง เปิดทางให้ระบบแจ้งเตือนน้ำหลากทำงานได้แม่นยำขึ้น ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

 “เชียงรายต้นแบบจัดการน้ำลุ่มน้ำโขงเหนือ”

บทสรุปจากการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าใน “การวางแผนเชิงรุก” การเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ การบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น ตลอดจนการปรับปรุงเกณฑ์การคาดการณ์และติดตามสถานการณ์อย่างละเอียด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการรับมือภัยน้ำหลากในยุคสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง

ประเด็นวิเคราะห์เพิ่มเติม ได้แก่

  • การวางแผนบนฐานข้อมูลจริง: ช่วยให้ตัดสินใจการปล่อยน้ำ/พร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำได้แม่นยำ ลดความสูญเสียในพื้นที่ปลายน้ำ
  • บูรณาการข้อมูลข้ามพื้นที่-ข้ามหน่วยงาน: เสริมศักยภาพการตอบสนองภัยพิบัติอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนที่มีจุดเสี่ยงเฉพาะตัว
  • ระบบเตือนภัยทันสมัย: ป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจ การเกษตร และสังคม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ลุ่มต่ำ

อย่างไรก็ดี ความต่อเนื่องของงบประมาณ ซ่อมบำรุงเครื่องมือ และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านยังคงเป็นความท้าทายที่ต้องผลักดันต่อเนื่อง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะติดตามและสรุปรายงานสถานการณ์ รวมถึงสนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์กับจังหวัดลุ่มน้ำโขง เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ในการเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์พายุ “วิภา” ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กรมชลประทาน
  • การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา สืบสานพระราชปณิธานยั่งยืน

ณ อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวงศูนย์รวมดวงใจแห่งการรำลึกและสืบสานพระราชปณิธาน

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายน้อมรำลึก “แม่ฟ้าหลวง” จัดพิธีทานหา แสดงความกตัญญูในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ บรรยากาศที่อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง (ไร่แม่ฟ้าหลวง) อำเภอเมืองเชียงราย เต็มไปด้วยความสงบและความศรัทธา เมื่อคณะผู้บริหารจังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, ข้าราชการ, ทหาร, ตำรวจ, นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ, ผู้บริหารสถานศึกษา, ผู้นำชุมชน, และประชาชนหลากหลายชาติพันธุ์ มาร่วมพิธี “ทานหาแม่ฟ้าหลวง” เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “แม่ฟ้าหลวง” ของชาวไทยภูเขา

พระราชกรณียกิจจากวิสัยทัศน์สู่ต้นแบบการพัฒนาโลก

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะพื้นที่สูงในจังหวัดเชียงราย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของปัญหายาเสพติด ความยากจน และการทำลายป่า

ด้วยสายพระเนตรอันกว้างไกล สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเห็นว่าการ “ให้โอกาส” สำคัญกว่าการลงโทษ พระราชดำรัส “คนดีไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่เขาไม่มีโอกาส ไม่มีทางเลือก” กลายเป็นปรัชญาสำคัญของโครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มุ่งเน้นการให้ทางเลือกอาชีพและความมั่นคงในชีวิตแก่ชาวบ้าน โดยเชื่อว่าหากมีอาชีพและสุขภาพที่ดี ก็จะหลุดพ้นจากวงจรความยากจนและความไม่รู้

จุดเปลี่ยนแห่งดอยตุงจาก “สามเหลี่ยมทองคำ” สู่ต้นแบบความยั่งยืน

เมื่อครั้งพระองค์เสด็จฯ ถึงดอยตุงในปี 2530 พื้นที่ป่าเสื่อมโทรมอย่างหนัก ชุมชนหลากหลายชาติพันธุ์กว่า 29 หมู่บ้านขาดโอกาสทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม พระองค์ทรงมีพระราชดำริ “ตกลงจะมาสร้างบ้านที่นี่ แต่ถ้าไม่มีโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ฉันก็จะไม่มา” สะท้อนพระราชหฤทัยแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนี้ให้เป็น “บ้าน” ที่มีทั้งป่าและผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

โครงการพัฒนาดอยตุงแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ระยะ:

  • ระยะ “อยู่รอด” สนองความต้องการพื้นฐาน
  • ระยะ “พอเพียง” ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและยกระดับอาชีพ
  • ระยะ “ยั่งยืน” มุ่งสร้างชุมชนที่บริหารจัดการตนเองได้

สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 30 ปีคือป่าไม้ดอยตุงขยายจาก 28% เป็น 77% (หรือ 87% ในบางช่วงเวลา) พื้นที่ที่เคยปลูกฝิ่นกลายเป็นพื้นที่เกษตร วิสาหกิจชุมชน และท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า เร็วกว่าค่าเฉลี่ยประเทศถึง 3 เท่า จนยูเอ็นและ UNODC ยอมรับให้ “ดอยตุงโมเดล” เป็นแบบอย่างของโลกในการแก้ปัญหายาเสพติดและพัฒนาชนบทแบบครบวงจร

สะท้อนรากเหง้าความกตัญญูและพลังศรัทธาชุมชน

พิธีทานหาในวันนี้ถือเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกร โดยเฉพาะชาวไทยภูเขา ซึ่งต่างยกย่องพระองค์ว่า “แม่ฟ้าหลวง” หรือ “แม่ของแผ่นดิน” ไม่เพียงเพราะพระราชกรณียกิจด้านการแพทย์ เช่น การจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสา (พอ.สว.) เพื่อดูแลผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบุกเบิกโครงการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด (บ้านผาหมี) การพัฒนาอาชีพ สร้างโรงเรียน สร้างสาธารณูปโภค และก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ของภาคเหนือ

ในพิธีทานหา บรรยากาศเต็มไปด้วยความเคารพและความกตัญญูยิ่งยวด เมื่อคุณหญิงพวงร้อย ดิศกุล ณ อยุธยา และอาจารย์นคร พงษ์น้อย ได้นำถวายเครื่องราชสักการะ ณ พระราชานุสาวรีย์ ท่ามกลางการร่วมแรงร่วมใจของข้าราชการ ผู้นำชุมชน และเยาวชนรุ่นใหม่ แสดงให้เห็นว่าสายใยแห่งความผูกพันระหว่าง “แม่ฟ้าหลวง” กับประชาชนยังคงเหนียวแน่น ไม่เสื่อมคลาย

พระราชมรดกที่ยังคงขับเคลื่อนสังคมและชุมชน

นอกเหนือจากโครงการพัฒนาดอยตุง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังมีพระราชกรณียกิจมากมายในเชียงราย ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พระตำหนักดอยตุง สวนแม่ฟ้าหลวง พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี หรือแม้แต่การริเริ่มโครงการต้นแบบด้านการจัดการขยะเป็นศูนย์ ส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมล้านนา (อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง) และผลักดันผลิตภัณฑ์ “ดอยตุง” สู่ตลาดโลก

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังคงดำเนินการสืบสานพระราชปณิธาน ส่งเสริมโมเดล “ธุรกิจที่ทำให้โลกดีขึ้น” ขยายผลสู่การพัฒนาชุมชนในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้หลักการ “มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต” และ “ชุมชนต้องช่วยเหลือตัวเองได้”

พระราชมรดกเพื่ออนาคตและแรงบันดาลใจสำหรับการพัฒนา

ปรัชญา “ช่วยชาวบ้านให้ช่วยตัวเอง” ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงวางรากฐานไว้ กลายเป็นแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูป่าไม้ การแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างองค์รวม หรือการสร้างโอกาสทางการศึกษาและเศรษฐกิจ “ดอยตุงโมเดล” ไม่ได้หยุดอยู่แค่เชียงราย แต่ขยายผลไปยังประเทศเพื่อนบ้านและกลายเป็นกรณีศึกษาของโลกในเวทีสหประชาชาติ

พระราชกรณียกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ “การปลูกป่า ปลูกคน” ไปจนถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน ตอกย้ำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องอาศัยการให้โอกาส มองเห็นคุณค่าและศักยภาพในตัวคน เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

พิธีทานหาแม่ฟ้าหลวงในวันนี้ คือการยืนยันถึงพระราชมรดกอันทรงคุณค่าของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้กับชุมชน ผู้บริหาร นักพัฒนา และประชาชนทุกหมู่เหล่า ตราบจนวันนี้และตลอดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • อุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • รายงานสรุปโครงการพัฒนาดอยตุงฯ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพเปิด Wellness Trail ครั้งแรก! ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าเชียงรายนำทัพเปิดเส้นทาง Wellness Trail ครั้งแรก ส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ขณะที่ขบวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม “ผู้ว่าเชียงราย พาเที่ยว เพื่อสุขภาพ” ครั้งที่ 1 สู่เส้นทางแห่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์และความหมายต่อชาวเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะลงพื้นที่เพื่อเปิดตัวโครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 อย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพควบคู่ไปกับการยกระดับเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ พญาเม็งราย ขุนตาล และเทิง

การเดินทางเพื่อสุขภาพและชุมชน

ในเวลา 08.00 น. คุ้มพญาเม็งรายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ไม่เพียงแต่เน้นการดูแลสุขภาพ แต่ยังเป็นการเชื่อมโยงวิถีชีวิตท้องถิ่นเข้ากับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คณะผู้เข้าร่วม ซึ่งประกอบด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย นายเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย นายอำเภอทั้งสามพื้นที่ และหน่วยงานราชการ ได้รับการต้อนรับด้วยการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่สะท้อนความงดงามของล้านนา ผู้มาเยือนยังได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น แชมพูจากอัญชัน น้ำผึ้งจากบ้านสวนพอเพียง กล้วยอบธัญพืช และสมุนไพรพอกเข่า ซึ่งล้วนเป็นตัวอย่างของการนำทรัพยากรท้องถิ่นมาสร้างมูลค่าเพิ่ม

“เราต้องการให้เชียงรายเป็นมากกว่าแค่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่มอบสุขภาพที่ดีและความยั่งยืนให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและชุมชน” นายชรินทร์กล่าวขณะเดินชมบูธผลิตภัณฑ์ชุมชน

จากคุ้มพญาเม็งราย คณะเดินทางต่อไปยังบ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan ในอำเภอขุนตาลเมื่อเวลา 10.00 น. ที่นี่ ชาวบ้านได้แบ่งปันเรื่องราวของการปลูกและแปรรูปโกโก้ ซึ่งกลายเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ “ARAMP อารัมภ์” ความสำเร็จของชุมชนนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอัตลักษณ์ท้องถิ่น แต่ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างรายได้จากเกษตรแปรรูปที่ยั่งยืน

ในช่วงบ่าย คณะมุ่งหน้าสู่ไร่รื่นรมย์ อำเภอเทิง ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์และพลังงานสะอาด ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์การทำน้ำสมุนไพรออร์แกนิคและการเลี้ยงผึ้งอย่างยั่งยืนผ่านกิจกรรม DIY ที่สร้างความประทับใจและจุดประกายไอเดียให้ผู้มาเยือน

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและความยั่งยืน

โครงการ Chiang Rai Wellness City 2025 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2568 เป็น “ปีทองแห่งการท่องเที่ยว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ เส้นทาง Wellness Trail ไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีผ่านการเดินทางและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์

“การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลก และเชียงรายมีศักยภาพทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น” นายเสริฐ ไชยยานันตา กล่าว “เราต้องการให้ทุกคนที่มาเยือนได้รับทั้งความสุขและสุขภาพที่ดี พร้อมกับช่วยให้ชุมชนมีรายได้ที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์การก้าวสู่เมืองแห่งสุขภาพ

กิจกรรมในครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Wellness Trail ที่จะจัดต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2568 โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและบริการด้านการท่องเที่ยว จากข้อมูลย้อนหลัง ปี 2566 เชียงรายมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 46,773.91 ล้านบาท และมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.1 ล้านคน การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail นี้คาดว่าจะช่วยผลักดันรายได้ให้สูงกว่า 50,000 ล้านบาทในปี 2568 โดยเฉพาะเมื่อรวมกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การขยายพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบินแม่ฟ้าหลวง

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่การรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรท้องถิ่นและการจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การโปรโมทผ่านแพลตฟอร์ม OTA และการพัฒนาระบบจองท่องเที่ยวออนไลน์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและประสบการณ์ท้องถิ่น

มองไปข้างหน้าเพื่อโอกาสและความยั่งยืน

การเปิดตัวเส้นทาง Wellness Trail เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับเชียงรายให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับจังหวัดในฐานะเมืองที่ผสานสุขภาพ วัฒนธรรม และธรรมชาติได้อย่างลงตัว การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐและชุมชน จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายก้าวสู่การเป็น Wellness City อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย. (2566). รายงานสถิติการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ปี 2566.
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.). (2568). แผนปฏิรูปการท่องเที่ยว 5 ปี (2568-2573).
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). นโยบายปีทองแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568.
  • ไร่รื่นรมย์. (2568). รายงานกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอินทรีย์ อำเภอเทิง.
  • บ้านทุ่งรุ่งอรุณ The Local Khuntan. (2568). ข้อมูลผลิตภัณฑ์โกโก้และการท่องเที่ยวชุมชน.
  • ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย. (2568). แผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสนามบิน.
  • สิงห์ปาร์คเชียงราย. (2568). รายละเอียดการจัดงานเทศกาลบอลลูนนานาชาติ 2568.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายลุย! โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” สกัดพิษสุนัขบ้าถวายพระปณิธาน

เชียงรายลุย! ปศุสัตว์เดินหน้า “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” ตามพระปณิธานกรมพระศรีสวางควัฒนฯ สกัดพิษสุนัขบ้าให้หมดสิ้น

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย ร่วมเทิดพระเกียรติฯ พร้อมลงมือแก้ไขปัญหาโรคพิษสุนัขบ้าอย่างยั่งยืน เดินหน้าเต็มกำลังในการขับเคลื่อนโครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า” เพื่อน้อมถวายพระปณิธานของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ที่ทรงห่วงใยสุขภาพของประชาชนและสัตว์เลี้ยง และทรงมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะขจัด “โรคพิษสุนัขบ้า” ให้หมดไปจากแผ่นดินไทย

พิธีเปิดโครงการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ หอประชุมเทศบาลตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชนจำนวนมากเข้าร่วม

โรคพิษสุนัขบ้าภัยเงียบที่ยังคร่าชีวิตได้ หากละเลย

แม้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าลงได้มาก แต่ “โรคกลัวน้ำ” นี้ยังคงเป็นภัยเงียบที่สามารถคร่าชีวิตมนุษย์และสัตว์ได้อย่างรุนแรง และยังคงมีการแพร่ระบาดในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทที่สัตว์เลี้ยงยังไม่ได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง

ด้วยพระเมตตาและวิสัยทัศน์ของ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ที่ทรงเน้นการป้องกันโรคก่อนเกิดภัย ภาครัฐจึงได้น้อมนำพระปณิธานมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

ปศุสัตว์เชียงรายเคลื่อนทัพบริการเชิงรุกถึงชุมชน

นำโดย นายอนุสรณ์ รัฐอนันต์พินิจ ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่และสัตวแพทย์ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจิตอาสา ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนแบบเชิงรุก ครอบคลุมกิจกรรมสำคัญ 3 ด้าน:

  1. บริการผ่าตัดทำหมันสัตว์เลี้ยง

เพื่อลดปัญหาการเพิ่มจำนวนของสุนัขและแมวจรจัด ซึ่งเป็นพาหะสำคัญในการแพร่กระจายเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า การทำหมันยังช่วยให้สัตว์มีสุขภาพดี และลดพฤติกรรมเสี่ยงในช่วงฤดูผสมพันธุ์

  1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

การฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุมให้กับสุนัขและแมวในชุมชน ถือเป็นหัวใจของโครงการ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่ยังพบการระบาดของโรค การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จะเป็นเกราะป้องกันโรคที่มีประสิทธิภาพที่สุด

  1. ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชน

เจ้าหน้าที่ได้ให้ความรู้เรื่องอาการของโรค กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเมื่อถูกสัตว์กัดหรือสัมผัสสัตว์ต้องสงสัย เพื่อส่งเสริมความรู้ที่ถูกต้องและยกระดับความตระหนักของสังคม

ชาวบ้านแห่ร่วมงานแน่น หวังให้สัตว์เลี้ยงได้รับวัคซีนครบ

ในวันเปิดโครงการ บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ชาวบ้านจากหลายตำบลได้นำสุนัขและแมวมารับบริการฉีดวัคซีนและทำหมันอย่างต่อเนื่อง การตอบรับที่ดีแสดงถึงความพร้อมของประชาชนในการเป็นส่วนหนึ่งของการขจัดโรคนี้ให้หมดไปจากชุมชน

เป้าหมายใหญ่ของโครงการ”สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” อย่างยั่งยืน

ภายใต้กรอบของยุทธศาสตร์แห่งชาติและพระปณิธานของพระองค์ โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อทำให้ ประเทศไทยปลอดโรคพิษสุนัขบ้าอย่างถาวร ภายในระยะเวลาอันใกล้ โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างแท้จริง ดังนี้:

  • ส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์อย่างมีความรับผิดชอบ: ไม่ปล่อยปละละเลยหรือปล่อยสัตว์ออกนอกบ้านโดยไม่มีการดูแล
  • สร้างความรู้ในการเฝ้าระวัง: ชี้แจงสัญญาณของโรค วิธีปฏิบัติเมื่อพบสัตว์ป่วย หรือเมื่อถูกกัด
  • ขยายจุดบริการครอบคลุมทุกหมู่บ้าน: ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการฉีดวัคซีนและทำหมันได้ง่ายขึ้น
  • ลดจำนวนสัตว์จรจัด: เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในที่สาธารณะ เช่น ตลาด วัด โรงเรียน

ปัจจัยสำเร็จของการแก้ไขปัญหา

จากการลงพื้นที่และติดตามการดำเนินงานพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการนี้มีแนวโน้มประสบผลสำเร็จ ได้แก่:

  • การนำพระปณิธานมาสู่แผนปฏิบัติที่ชัดเจน: การเชื่อมโยงพระราชปณิธานกับแผนงานที่วัดผลได้
  • การบูรณาการหน่วยงานแบบไร้รอยต่อ: การทำงานร่วมกันของสำนักงานปศุสัตว์ องค์กรปกครองท้องถิ่น หน่วยสาธารณสุข และภาคประชาชน
  • การสื่อสารที่เข้าถึงง่าย: การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในการรณรงค์ และการเปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
  • การสร้างแรงจูงใจในชุมชน: เช่น การแจกของรางวัลเล็กน้อย หรือประกาศเกียรติคุณแก่ชุมชนปลอดโรค

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายขยายผลสู่ระดับประเทศ

เพื่อให้โรคพิษสุนัขบ้าหมดไปจากประเทศไทยอย่างแท้จริง ข้อเสนอที่ควรพิจารณา ได้แก่:

  • ขยายการจัดโครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย” ครอบคลุมทุกอำเภอ
  • เพิ่มงบประมาณสนับสนุนวัคซีนคุณภาพสูง
  • พัฒนาแอปพลิเคชันลงทะเบียนสัตว์เลี้ยงระดับชาติ
  • สนับสนุนการศึกษาวิจัยวัคซีนสายพันธุ์ใหม่ที่ตอบสนองไวรัสกลายพันธุ์
  • จัดให้มีวัน “สัตว์ปลอดโรคแห่งชาติ” เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระดับชาติ

 

เมื่อพระปณิธานกลายเป็นพลังขับเคลื่อนเพื่อชีวิตที่ปลอดภัย

โครงการ “สัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัยจากโรคพิษสุนัขบ้า” ไม่เพียงเป็นการเทิดพระเกียรติพระราชวงศ์ หากแต่เป็นการส่งต่อความห่วงใยสู่ประชาชนในระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง เชียงรายอาจเป็นเพียงจังหวัดหนึ่ง แต่กำลังแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศเริ่มต้นได้จากการร่วมมืออย่างจริงจังในระดับชุมชน

หากทุกจังหวัดนำแนวทางนี้ไปปรับใช้ ร่วมกับการขับเคลื่อนจากภาครัฐ ประชาชน และภาคส่วนต่างๆ เชื่อได้ว่า “โรคพิษสุนัขบ้า” ที่เคยเป็นฝันร้ายของคนไทยมาหลายทศวรรษ จะหมดไปจากแผ่นดินไทยได้ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข่าวประชาสัมพันธ์สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลโครงการสัตว์ปลอดโรค คนปลอดภัย จากโรคพิษสุนัขบ้า
  • สำนักงานควบคุมโรคติดต่อ กรมปศุสัตว์
  • รายงานการประชุมขับเคลื่อนพระปณิธานฯ ปี 2567
  • ข้อมูลโรคพิษสุนัขบ้า จากองค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อุโมงค์ดอยหลวงเจาะทะลุฉลุย! เร็วกว่ากำหนด 19 เดือน ความหวังใหม่เชื่อมโลก

แสงแรกแห่งล้านนา” อุโมงค์ดอยหลวงทะลุฉลุย! รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ความหวังใหม่เชื่อมไทย-ลาว-จีน

เชียงราย, 8 กรกฎาคม 2568 – “ทะลุแล้ว…อีกหนึ่งความก้าวหน้า อีกขั้นของความสำเร็จ” เสียงแห่งความยินดีดังกึกก้องที่อุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เมื่อการเจาะทะลุ (Breakthrough) อุโมงค์ขนาดมหึมาได้สำเร็จก่อนกำหนดถึง 19 เดือน ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะทางวิศวกรรม แต่คือแสงแห่งความหวังที่จะฉายส่องอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือของไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

อุโมงค์ดอยหลวง สัญลักษณ์แห่งศักยภาพไทย ก้าวข้ามความท้าทายทางธรณีวิทยา

อุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งมีความยาว 3,400 เมตร เป็นหนึ่งในสี่อุโมงค์หลักของโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือเส้นใหม่นี้ การก่อสร้างถือเป็นงานวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากภูมิประเทศและธรณีวิทยาบริเวณดังกล่าวเป็น หินภูเขาไฟและดินเหนียว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคนิคขั้นสูงอย่าง Drill & Blast (เจาะและระเบิด) ร่วมกับการขุดด้วยเครื่องจักร (Excavator)

เดิมที การขุดเจาะและงานคอนกรีตภายในอุโมงค์ถูกประมาณการว่าจะใช้เวลาถึง 40 เดือน (3 ปี 4 เดือน) ทว่าด้วยศักยภาพของทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญชาวไทย รวมถึงการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้งานนี้สำเร็จได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ถึง 19 เดือน ณ เดือนมิถุนายน 2568 ความคืบหน้าโดยรวมของงานก่อสร้างอุโมงค์ดอยหลวงอยู่ที่ประมาณ 54% ซึ่งเร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ 7%

“การเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงได้เร็วกว่ากำหนดถึง 19 เดือน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของบุคลากรไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์” นายอธิรัฐ กะตังค์ หัวหน้าโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กล่าว “นี่คือสัญญาณที่ดีว่าโครงการจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการในปี 2571 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคเหนือสู่ประตูการค้ากับลาวและจีน”

นอกจากนี้ โครงการยังให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและมาตรฐานสากล โดยมีการเสริมกำแพงโครงเหล็กและผนังคอนกรีต ติดตั้งแผ่นกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม รวมถึงระบบระบายน้ำที่ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกอุโมงค์ มีการศึกษาแนวการไหลของน้ำเพื่อรองรับน้ำป่าในฤดูฝนอย่างละเอียด และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ยังมีการจัดสร้าง ทางเชื่อมฉุกเฉิน (Cross Passages) จำนวน 14 จุด สำหรับการอพยพตามมาตรฐานสากลในทุกๆ ระยะ 240 เมตร

ความคืบหน้าภาพรวมแม้มีอุปสรรคแต่เดินหน้าไม่หยุด

จากข้อมูลล่าสุด (ณ เดือนมกราคม 2568) โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งมีระยะทางรวม 323.1 กิโลเมตร และมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.28 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากงบประมาณอนุมัติเบื้องต้น 85,845 ล้านบาท ในปี 2561) มีความคืบหน้าโดยรวมกว่า 25% แม้ว่า ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จะรายงานว่าภาพรวมโครงการยังล่าช้ากว่าแผนประมาณ 3.7% แต่ความสำเร็จในการเจาะอุโมงค์ดอยหลวงที่รวดเร็วกว่ากำหนดมาก แสดงให้เห็นถึงการเร่งรัดในงานโครงสร้างสำคัญที่มีความซับซ้อนสูง

สำหรับงานโครงสร้างสำคัญอื่นๆ:

  • อุโมงค์แม่กา (พะเยา): ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีความคืบหน้าประมาณ 17.8% และมีการจัดซ้อมแผนกรณีอุโมงค์ถล่มเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
  • งานระบบราง: คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2569 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571
  • สะพานและทางยกระดับ/ทางลอด: มีการนำเทคโนโลยีอย่าง Curved Precast Reinforced Concrete Railway Arch Culverts (BEBO) มาใช้ เพื่อความแข็งแรงและลดระยะเวลาการก่อสร้าง

ปมร้อนเวนคืนที่ดินโจทย์ใหญ่ที่ต้องคลี่คลาย

แม้การก่อสร้างจะคืบหน้าไปมาก แต่โครงการยังคงเผชิญกับประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การเวนคืนที่ดิน ซึ่งคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องมีการประชุมหารือเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาหลักคือ ข้อร้องเรียนจากชาวบ้านเกี่ยวกับการประเมินค่าชดเชยที่ไม่เป็นธรรม โดยมีการเปรียบเทียบกับราคาการเวนคืนของกรมทางหลวงและโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการคิดราคา นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังได้ลงพื้นที่ประกาศเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ก่อนการเวนคืนในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งในชุมชนได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ท้องถิ่น ให้ความเห็นว่า “การแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินที่เหลืออยู่ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากชุมชนในระยะยาว หากปัญหานี้ยังคงอยู่ อาจนำไปสู่ความล่าช้าในบางพื้นที่ ความท้าทายทางกฎหมาย และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ แม้ว่าการก่อสร้างทางกายภาพจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วในส่วนอื่นๆ ก็ตาม”

แสงสว่างทางเศรษฐกิจโอกาสมหาศาลสู่ล้านนาและภูมิภาค

โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ไม่ใช่แค่เส้นทางคมนาคม แต่คือ กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาคเหนือตอนบน ด้วยประโยชน์และโอกาสที่หลากหลาย

  • กระตุ้นการค้าชายแดนและโลจิสติกส์ เส้นทางนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ จากไทยไปยัง สปป.ลาว, เมียนมา, และจีนตอนใต้ ผ่าน ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ ซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางถนน R3A (เชียงของ-โม่ฮาน-คุนหมิง) และรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรของไทย
  • ฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดเส้นทาง รถไฟจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้าถึงภาคเหนือตอนบนได้สะดวกสบายขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิมและสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดรายได้และการจ้างงานในท้องถิ่น
  • ลดต้นทุนและเพิ่มขีดแข่งขัน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระยะไกล ทำให้สินค้าไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาด E-commerce ขนาดใหญ่ของจีนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างงานและกระจายรายได้ การก่อสร้างและการดำเนินงานโครงการจะสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างมหาศาล
  • โลจิสติกส์สีเขียว การขนส่งทางรางช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนถึง 6 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เชิงกลยุทธ์ปูทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

เพื่อให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และสร้างประโยชน์สูงสุด รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องดำเนินงานเชิงรุกในหลายด้าน:

  1. เร่งรัดและแก้ไขปัญหาการก่อสร้าง วิเคราะห์ความล่าช้าเชิงลึกในแต่ละสัญญา และพิจารณากลไกแรงจูงใจหรือบทลงโทษผู้รับจ้าง เพื่อกระตุ้นให้งานเดินหน้าตามแผน รวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ
  2. จัดการปัญหาเวนคืนที่ดินอย่างเป็นธรรม จัดตั้งช่องทางการสื่อสารที่โปร่งใสกับชุมชน ทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินค่าชดเชยให้สอดคล้องกับราคาตลาด และจัดทำแผนการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุม
  3. พัฒนาระบบป้องกันภัยธรรมชาติที่ยั่งยืน เร่งนำมาตรฐานระบบระบายน้ำและมาตรการลดความเสี่ยงภัยในระบบรางไปปฏิบัติใช้ ติดตั้งระบบ “DRT Alert” เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ และจัดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ
  4. ส่งเสริมการเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสริม เช่น ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ (Dry Port) ผลักดันการเจรจาและประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลในห่วงโซ่อุปทาน
  5. เตรียมความพร้อมของภาคส่วนในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่นควรจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ ส่งเสริมการท่องเที่ยวรอง พัฒนาทักษะแรงงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นในการปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ความสำเร็จของการเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงเป็นเพียง “แสงแรก” ที่ส่องนำทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองของภาคเหนือ การสานต่อโครงการให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมกับการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอย่างเป็นธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงไทยสู่เวทีโลกได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย
  • TEAM GROUP
  • ผู้รับจ้างโครงการ: กิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 2, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง MOU ยกระดับจัดการสาธารณภัย สร้างความปลอดภัยยั่งยืน

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง! ลงนาม MOU บูรณาการการจัดการสาธารณภัย ยกระดับความปลอดภัยให้ชาวเชียงราย

ก้าวย่างใหม่ของระบบป้องกันภัยพิบัติในเชียงราย

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – ในบรรยากาศของวันฝนพรำที่แฝงไว้ด้วยความหวัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนวงการบริหารท้องถิ่น นั่นคือ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการบูรณาการการบริหารจัดการสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่คือการเริ่มต้นของยุคใหม่ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า “เชียงรายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

จากโต๊ะประชุมสู่ความร่วมมือในภาคสนาม

จุดเริ่มต้นของ MOU ฉบับนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการและฝึกซ้อม Table-Top Exercise (TTX) เพื่อจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินและเสริมสร้างทักษะการรับมือภัยพิบัติ โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแลกเปลี่ยนความรู้ การจำลองสถานการณ์ และการฝึกตัดสินใจภายใต้ความกดดัน ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าความร่วมมือแบบบูรณาการคือหัวใจสำคัญ

บรรยากาศของการประชุม TTX เปรียบเสมือน “สนามซ้อมรบ” ให้ทุกหน่วยงานได้ทดสอบความพร้อมและประสานงานจริง ตั้งแต่การเตรียมแผน การระดมทรัพยากร ไปจนถึงการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประสบการณ์ที่ได้ถูกนำมาต่อยอดเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ในวันนี้

ทีมเชียงราย” บนเส้นทางความปลอดภัย

การลงนาม MOU ฉบับนี้ เป็นการรวมตัวของพันธมิตรหลักในระบบการบริหารสาธารณภัยของจังหวัดเชียงราย ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ. 37)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)

การหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากรจากทุกหน่วยงาน ทำให้ระบบป้องกันภัยพิบัติของจังหวัดมีความแข็งแกร่งรอบด้าน ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมเชิงรุก การเฝ้าระวัง การสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังเกิดภัย

อบจ.เชียงราย แกนกลางของระบบความปลอดภัย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เน้นย้ำบทบาทขององค์กรว่า “อบจ.เชียงราย คือศูนย์กลางประสานงานและขับเคลื่อนการบูรณาการทรัพยากรเพื่อประชาชน” โดยเป้าหมายคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนเชียงรายมีภูมิคุ้มกันภัยพิบัติทุกรูปแบบ ผ่านการสนับสนุนบุคลากร อุปกรณ์ และการฝึกอบรมต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดการภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของ ‘หน่วยใดหน่วยหนึ่ง’ แต่เป็นภารกิจของ ‘ทุกคน’ ที่ต้องทำงานเป็นทีมอย่างแท้จริง”

มิติของความร่วมมือบูรณาการสู่มาตรฐานระดับชาติ

สาระสำคัญของ MOU ฉบับนี้ ครอบคลุมมิติหลัก ดังนี้

  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและบทเรียน
    การแบ่งปันข้อมูลสภาพอากาศ แนวโน้มภัยพิบัติ และประสบการณ์รับมือในอดีต จะทำให้ทุกฝ่ายวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
  2. การสนับสนุนกำลังพลและเครื่องมือ
    บูรณาการบุคลากร ยานพาหนะ อุปกรณ์กู้ภัย และเครื่องมือสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  3. การพัฒนาศักยภาพบุคลากร
    จัดฝึกอบรม สัมมนา และฝึกซ้อมร่วมกันเป็นประจำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่ทันต่อเหตุการณ์
  4. กลไกการประสานงาน
    สร้างระบบประสานงานและการตัดสินใจที่รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อน และทำให้การตอบสนองต่อภัยพิบัติมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผลลัพธ์ของความร่วมมือจะทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

วิเคราะห์ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

การลงนาม MOU ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ สู่การบริหารจัดการที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลที่คาดหวังในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่

  • ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย: ระบบเตือนภัยและแผนรับมือภัยพิบัติจะมีความชัดเจน รวดเร็ว และเทียบเท่ามาตรฐานสากล
  • สร้างความมั่นใจให้ประชาชน: ประชาชนเชียงรายจะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น ทราบวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติและได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  • พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น: การอบรมและฝึกซ้อมร่วมกันจะเสริมสร้างความรู้ความสามารถให้เจ้าหน้าที่ในทุกระดับ
  • ลดผลกระทบและความสูญเสีย: การประสานงานที่ดีจะช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ต้นแบบความร่วมมือ: เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ

ในอนาคต เราจะได้เห็นโครงการอบรมร่วม การพัฒนาเทคโนโลยีเตือนภัยอัจฉริยะ และแผนเผชิญเหตุใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายปลอดภัย มั่นใจ สู่อนาคตที่เข้มแข็ง

“เชียงรายจะเป็นจังหวัดที่ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และพร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์” คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือในวันนี้

การลงนาม MOU ไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นการเริ่มต้นของระบบความปลอดภัยที่บูรณาการอย่างแท้จริง “เชียงรายโมเดล” กำลังถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่น ๆ ได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • รายงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเข้ม รับมือน้ำท่วม-น้ำโขงล้น

เชียงรายวางมาตรการเข้มรับมือสถานการณ์น้ำ – ประชุมใหญ่ติดตามและเสริมแผนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รับมือฝนตกหนัก-น้ำโขงล้นตลิ่งกลางปี 2568

เชียงราย, 2 กรกฎาคม 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ร่วมประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นการประชุมสำคัญท่ามกลางสถานการณ์ฝนตกหนักที่เริ่มส่งผลกระทบหลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

วางแผนรับมือสถานการณ์น้ำ – เสริมกำลังและอุปกรณ์ 24 ชั่วโมง

การประชุมครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รายงานภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ พร้อมชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาและแผนการเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 จังหวัดได้จัดเตรียมกำลังพล อุปกรณ์ เครื่องจักรกล และเครื่องมือสาธารณภัยให้พร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงกำหนดพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังพิเศษ เช่น โรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สถานีผลิตไฟฟ้า-ประปา เพื่อให้การดำเนินงานสำคัญของจังหวัดไม่สะดุดในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน

พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนซ้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระหว่างวันที่ 7–10 กรกฎาคม 2568 เพื่อเสริมสร้างความพร้อมและความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน

รัฐบาลสั่งการเข้ม – เน้นป้องกันล่วงหน้า แจ้งเตือนรวดเร็ว ครอบคลุมทุกมิติ

ในการประชุมระดับประเทศวันนี้ (2 กรกฎาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคติดตามสถานการณ์น้ำและความเสี่ยงอุทกภัยอย่างใกล้ชิด เตรียมกำลังพลและทรัพยากรพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินทุกมิติ พร้อมกับให้ความสำคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนให้ทันเหตุการณ์และเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีเมื่อเกิดเหตุ โดยได้สั่งการให้จังหวัดเสี่ยงต้องมีแผนรองรับสถานการณ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการป้องกัน รับมือ ฟื้นฟู และเยียวยา

นายประเสริฐได้เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองทัพไทย กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน ฯลฯ กับพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย น่าน หนองคาย สกลนคร บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร ที่มีความเสี่ยงสูงจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำโขงล้นตลิ่ง

มาตรการใหม่และแนวโน้มภัยพิบัติปี 2568

ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงมาตรการสำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าโดย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อประสานข้อมูลพายุ ฝน และภัยพิบัติต่าง ๆ และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน ตรวจสอบและทดสอบระบบเตือนภัย รวมถึงใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast (CB) ซึ่งเริ่มใช้งานในหลายพื้นที่เพื่อแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว ขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติและแนวทางการรับมือให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ด้านการจัดการในพื้นที่ ได้มีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน เช่น การแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกลำคลอง เตรียมเครื่องจักรกล อุปกรณ์ อากาศยาน เรือ และจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ รวมถึงพื้นที่อพยพ ศูนย์พักพิง อาหาร น้ำดื่ม และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน

วิเคราะห์สถานการณ์น้ำโขง – การเตรียมพร้อมของลุ่มน้ำสำคัญ

จากข้อมูลของ สทนช. และกรมชลประทาน ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลักยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ เพราะมีการพร่องน้ำไว้ล่วงหน้าเพื่อลดผลกระทบ อย่างไรก็ตาม การประชุมได้รับทราบการคาดการณ์ว่าช่วงกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 อาจเกิดสถานการณ์น้ำโขงล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตอนบนของภาคเหนือ จึงมีการบูรณาการกับหน่วยงานลุ่มน้ำโขงทั้งไทยและ สปป.ลาว เพื่อบริหารจัดการน้ำร่วมกัน ลดผลกระทบและเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า

สาระสำคัญและข้อสั่งการ – มุ่งฟื้นฟู เยียวยา และป้องกันความเสียหายซ้ำซ้อน

รองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนและทรัพย์สิน เพื่อเร่งดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้เร็วที่สุด พร้อมตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วให้ความช่วยเหลือพื้นที่ห่างไกล โดยเน้นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน จิตอาสา และมูลนิธิอย่างมีประสิทธิภาพ

นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเสริมว่า สภาพอากาศโดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 2-6 กรกฎาคม และ 10-14 กรกฎาคม จะมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะในบางพื้นที่ภาคเหนือและอีสานตอนบน สทนช. จะตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ที่จังหวัดหนองคายในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และเตรียมประชุมเฉพาะกิจกับ สปป.ลาว เพื่อลดผลกระทบจากน้ำโขงล้นตลิ่งในฤดูฝนนี้

บทสรุป

สถานการณ์น้ำในปี 2568 แม้จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเป็นระบบ การผนึกกำลังกันระหว่างจังหวัด หน่วยงานกลาง และเครือข่ายภาคี จึงเป็นหัวใจของการป้องกันและเยียวยาอุทกภัยในทุกมิติ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างทันท่วงที เสริมความมั่นใจให้กับประชาชนทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย เร่งช่วยน้ำท่วม

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่แม่สาย ติดตามการแก้ไขน้ำท่วมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่จากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่กลางดึกวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และให้กำลังใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่หน่วยงานทุกภาคส่วนระดมกำลังติดตั้งแนวป้องกันน้ำและสูบน้ำออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน แม้ว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายในบางจุด แต่คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยายังระบุถึงฝนตกชุกที่อาจยืดเยื้อจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ทำให้ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างต่อเนื่อง

ฝนที่ไม่หยุดและสายน้ำที่ล้นตลิ่ง

ในค่ำคืนของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ชาวบ้านในอำเภอแม่สายเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติเมื่อเสียงฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย เมฆฝนหนาที่ยังคงปกคลุมพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำแม่สาย รวมถึงเขตชายแดนฝั่งเมียนมา ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญอย่างตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่มีความคึกคัก

ความรุนแรงของน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ถนนหลายสายถูกตัดขาด บ้านเรือนของประชาชนถูกน้ำซัดจนทรัพย์สินเสียหาย และระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านไม้ลุงขน และบริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ต้องเผชิญกับน้ำที่ไหลเชี่ยวและโคลนตมที่ทับถมในบ้านเรือน ความหวาดกลัวและความสูญเสียเริ่มครอบงำชุมชน โดยเฉพาะเมื่อหลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสาย ในช่วงฤดูมรสุมของปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เคยประสบภัยน้ำท่วมรุนแรงมาแล้ว ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของแนวป้องกันน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในพื้นที่ ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำและความท้าทายจากน้ำที่ไหลมาจากฝั่งเมียนมาเป็นประเด็นที่ทั้งชุมชนและหน่วยงานรัฐต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง

การระดมกำลังและการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯ

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมทวีความรุนแรง นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ไม่รอช้าที่จะลงพื้นที่เพื่อติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่และให้กำลังใจประชาชน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดวิกฤตที่น้ำล้นพนังกั้นน้ำ ผู้ว่าฯ ได้ตรวจสอบการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่เร่งเสริมแนวป้องกันน้ำด้วยกระสอบทรายและติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสอบถามความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้การช่วยเหลืออย่างตรงจุด

นายชรินทร์ เปิดเผยว่า แนวผนังกั้นน้ำเดิมที่ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การป้องกันน้ำท่วมไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่ ส่งผลให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่สองจุดสำคัญ ได้แก่ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 และสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขน อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถปิดกั้นน้ำที่จุดสะพานมิตรภาพได้สำเร็จ ขณะที่จุดที่สองบริเวณสวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนกำลังเร่งดำเนินการ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ชุมชนได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในพื้นที่ที่น้ำเริ่มลดลง เช่น ชุมชนบางส่วนในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย มณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมกับอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนในการทำความสะอาดบ้านเรือน โดยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม บริเวณตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญ ยังคงมีน้ำท่วมขังในระดับสูง หน่วยงานต่างๆ จึงเตรียมติดตั้งแนวกระสอบทรายแบบ Big Bag และเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากจุดวิกฤต โดยเฉพาะที่สวนสาธารณะบ้านไม้ลุงขนและตลาดสายลมจอย

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศเตือนว่าภาคเหนือตอนบน รวมถึงจังหวัดเชียงราย จะยังคงมีฝนตกชุกต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ผู้ว่าฯ จึงขอให้ประชาชนยกของขึ้นที่สูง ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น อำเภอแม่สายได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยมีที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายเป็นจุดรองรับผู้ประสบภัย พร้อมจัดเตรียมที่พักชั่วคราวและจุดจอดรถเพื่ออำนวยความสะดวก

ในด้านโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมถาวร กรมการทหารช่างกำลังดำเนินการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้า 27% หากโครงการนี้แล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถปกป้องพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในแม่สายจากอุทกภัยในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงดำเนินต่อเนื่องเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมและประเด็นสารปนเปื้อนในน้ำ โดยเฉพาะในแม่น้ำสาย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน

เกี่ยวกับคุณภาพน้ำประปาในพื้นที่แม่สาย การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายได้ตรวจสอบและยืนยันว่าน้ำประปาที่ผลิตสามารถใช้อุปโภคและบริโภคได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการดื่มหรือสัมผัสน้ำโดยตรงจากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำสาย จนกว่าสถานการณ์จะปลอดภัย และควรระมัดระวังการสัมผัสน้ำท่วมขังที่อาจปนเปื้อนสารเคมีหรือเชื้อโรค

ความหวังท่ามกลางสายฝน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์น้ำท่วมในอำเภอแม่สายเริ่มแสดงสัญญาณของการฟื้นตัว ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลงในบางพื้นที่ หลังจากเครื่องสูบน้ำและแนวกระสอบทรายช่วยควบคุมการไหลของน้ำได้ดีขึ้น ชุมชนที่น้ำลดลง เช่น บริเวณใกล้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 เริ่มมีการเคลียร์พื้นที่และฟื้นฟูบ้านเรือน โดยมีอาสาสมัครและทหารจากมณฑลทหารบกที่ 37 เข้ามาสนับสนุนอย่างเต็มที่

ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่จัดตั้งขึ้นในพื้นที่ช่วยให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ลดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ และทำให้ทรัพยากรถูกจัดสรรไปยังจุดที่ต้องการมากที่สุด ผู้ประสบภัยที่อพยพไปยังที่ว่าการอำเภอและเทศบาลตำบลแม่สายได้รับการดูแลด้านอาหาร ที่พัก และการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่น้ำท่วมขัง เช่น ตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน การเร่งระบายน้ำและฟื้นฟูพื้นที่นี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ผู้ประกอบการกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนที่อาจตกต่อเนื่องยังเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต้องจับตา โดยหน่วยงานในพื้นที่มีการเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น

ในระยะยาว การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำถาวรโดยกรมการทหารช่างจะเป็นความหวังของชุมชนในการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อบริหารจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการ รวมถึงการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า จะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชนแม่สาย

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและการระดมทรัพยากรจากหน่วยงานต่างๆ ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้ทันท่วงที
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การทำงานร่วมกันของมณฑลทหารบกที่ 37 กรมการทหารช่าง การประปาส่วนภูมิภาค และเทศบาลตำบลแม่สาย สร้างความเข้มแข็งในการจัดการภัยพิบัติ
  3. การสนับสนุนชุมชน การจัดตั้งศูนย์อำนวยการและที่พักชั่วคราวช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำจังหวัดและการให้กำลังใจประชาชนช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำที่ไม่สมบูรณ์ แนวผนังกั้นน้ำที่ยังไม่แล้วเสร็จเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้
  2. ความเสี่ยงจากฝนต่อเนื่อง คำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาเกี่ยวกับฝนตกชุกจนถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
  3. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจชายแดนในระยะสั้น
  4. สารปนเปื้อนในน้ำ ความกังวลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนในน้ำท่วมขังและแม่น้ำสายยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เพิ่มงบประมาณและกำลังคนเพื่อให้โครงการแนวป้องกันน้ำถาวรแล้วเสร็จโดยเร็ว
  • พัฒนาระบบเตือนภัยและติดตามสภาพอากาศ ใช้เทคโนโลยี เช่น เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำและแอปพลิเคชันแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวล่วงหน้า
  • ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอยและให้การสนับสนุนด้านการเงิน
  • ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายและน้ำท่วมขัง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

  1. จำนวนผู้ประสบภัยในอำเภอแม่สาย
    • น้ำท่วมในปี 2567 ส่งผลกระทบต่อประชากรในอำเภอแม่สายกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในชุมชนลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอย
    • แหล่งอ้างอิง หอการค้าจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจชายแดน.
  3. การใช้ทรัพยากรในการจัดการน้ำท่วม
    • ในปี 2567 หน่วยงานในภาคเหนือใช้กระสอบทรายกว่า 100,000 ใบและเครื่องสูบน้ำ 50 ชุดในการจัดการน้ำท่วม
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมการทหารช่าง
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE