Categories
ECONOMY

LINE FOOD TECH ชี้วิกฤตร้านอาหารไทย ยอดขายตก-ต้นทุนพุ่ง สวนทาง “มัทฉะ” โต 28%

LINE FOOD TECH 2025 ชี้วิกฤตร้านอาหารไทย “ยอดขายตก ต้นทุนเพิ่ม ลูกค้าลด”  มัทฉะพุ่งแรง เป็น “เส้นชีพจร” ของตลาดเครื่องดื่ม — 4 ทางรอดสู่ปี 2026

กรุงเทพฯ, 21 ตุลาคม 2568 — เสียงบี๊ปจากเครื่องรับออเดอร์ที่เคยดังถี่ในชั่วโมงเที่ยง กลับเงียบลงกว่าที่เคย ขณะเดียวกันใบแจ้งหนี้ค่าวัตถุดิบและค่าแรงก็ขยับขึ้นทีละน้อย แต่รวมกันแล้วหนักหนาสาหัส นี่คือสภาพจริงที่ผู้ประกอบการร้านอาหารจำนวนมากเผชิญอยู่ และถูกถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาในเวทีสัมมนา LINE FOOD TECH 2025 ของ LINE for Business เมื่อ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา — งานที่รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและภาพรวมการค้าปลีกอาหารจากระบบนิเวศของแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนรับปี 2569/2026

ภาพจำที่ชัดจากเวทีนี้คือ “สามแรงกดดัน” ที่หนีไม่พ้น เศรษฐกิจซบเซาและนักท่องเที่ยวบางกลุ่มหายไป, ต้นทุนดำเนินงานรวมพุ่งมากกว่า 25% โดยเฉพาะค่าวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น 25%, และสนามแข่งขันที่หนาแน่นตั้งแต่ร้านเชนต่างชาติจนถึงผู้เล่นออนไลน์ไร้หน้าร้าน ทั้งหมดนี้กำลังบีบกำไรของร้านอาหารให้บางลง จนเกิดปรากฏการณ์ที่ มากกว่า 50% ของร้านเปิดใหม่ต้องปิดในปีแรก” — ตัวเลขสะเทือนใจที่บอกชัดว่า “เปิดร้าน” ไม่ใช่เรื่องง่ายแม้ทำเลจะดีและเมนูจะโดน

เศรษฐกิจชะลอท่องเที่ยวเปลี่ยนทิศ เมื่อ “คนเดิน” น้อยลงกว่าเดิม

ข้อมูลจากเวทีระบุว่า แม้ไตรมาสแรกของปีจะดูสดใส แต่เข้าสู่ไตรมาส 2–3 จำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติ ในย่านหลักลดลงอย่างมีนัย สวนทางกับค่าใช้จ่ายคงที่ของร้านที่เพิ่มขึ้น ทำให้ ยอดขายหน้าร้าน (Offline Same Store Sale) ปี 2025 หดตัวถึง 14% (เทียบกับปี 2024 ที่หด 3%) ในขณะที่บิลเฉลี่ยก็ลดลงทั้งสองช่วงราคา — บิลต่ำกว่า 500 บาทลดลง 12% และบิลมากกว่า 500 บาทลดลง 14% สะท้อนพฤติกรรม “รัดเข็มขัด” ของผู้บริโภค

ภาพนี้ชัดขึ้นเมื่อมองระดับหมวด — ร้านอาหาร สตรีทฟู้ด เติบโต 4% ทวนกระแส เพราะตอบโจทย์ “อิ่มคุ้มในงบจำกัด” ขณะที่หมวดเมนูท็อปฮิตยังเป็นของคุ้นลิ้นอย่าง ไก่ทอด ซึ่งโต 18% และ “สุกี้” ที่พุ่งแรง 30% ในไตรมาสล่าสุด แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเริ่มหันหาเมนู “บ้านๆ แต่มั่นใจได้” และคุมงบได้ง่าย

ต้นทุน 25% ที่มองไม่เห็นแต่อยู่ทุกจาน

ในครัว ต้นทุนแทบทุกบรรทัดขยับขึ้นพร้อมกัน — วัตถุดิบหลักหลายรายการแพงขึ้น ราว 25%, ค่าแรงปรับขึ้นตามนโยบาย และค่าเช่าพื้นที่ที่ยืดหยุ่นน้อยในทำเลหลัก ผลคือ “ต้นทุนรวม” ของหนึ่งจานอาหารแพงขึ้นแม้พยายามตรึงราคา หน้าเคาน์เตอร์ลูกค้าอาจไม่ทันเห็น แต่ในสมุดบัญชีผู้ประกอบการเห็นทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญบนเวทีจึงย้ำว่า ระบบอัตโนมัติ และ ข้อมูล คือกลไกลดรั่วไหลที่จับต้องได้จริง — ตั้งแต่การจัดตารางพนักงาน, การคุมสต๊อกและของเสีย (waste), จนถึงการคำนวณจุดสั่งซื้ออัตโนมัติ

สนามแข่งขันเดือด “เปิดง่าย–ปิดเร็ว” และการรุกของแบรนด์ต่างชาติ

ดัชนีอีกด้านคือ จำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ในหมวดอาหาร ที่อยู่ใน Top 3 ของทุกอุตสาหกรรม สะท้อนว่าผู้เล่นใหม่ไหลเข้าสนามไม่หยุด ขณะเดียวกัน แบรนด์ต่างชาติ ทั้งไก่ทอด เบเกอรี่ และสตรีทฟู้ดระดับโลกเข้ามาจับจุดแข็งทำเลและการตลาดดิจิทัลอย่างเข้มข้น ผลคือร้านที่ “ไม่มีจุดต่าง” มักถูกบีบให้ออกจากตลาดเร็วขึ้น

บทเรียนเชิงตัวเลข ยอดขายหน้าร้านปี 2025 ลด 14% | ต้นทุนวัตถุดิบ +25% | บิลเฉลี่ยลด 12–14% | ร้านใหม่มากกว่า 50% ปิดภายในปีแรก

เสียงสะท้อนจาก “แก้ว” แทน “จาน” ตลาดเครื่องดื่มยังหายใจแรง — มัทฉะนำขบวน

ท่ามกลางความหนืดของตลาดอาหาร หมวดเครื่องดื่ม กลับงอกเงย โดยเฉพาะร้านกาแฟและชาเขียวที่พุ่งสวนทางกับร้านอาหารภาพรวม คีย์เวิร์ดของปีนี้คือ มัทฉะ” ซึ่ง ยอดขายเครื่องดื่มชาเขียวเติบโต 28% มูลค่ารวมแตะราว 1,160 ล้านบาท จำนวนร้านที่ขายเมนูชาเขียวเพิ่มจาก 9,600 เป็น 12,400 ร้าน และบนแพลตฟอร์มเดลิเวอรีมีการสั่ง “มัทฉะ” มากกว่า 5 ล้านแก้ว ในครึ่งปีแรกเพียงอย่างเดียว

ที่น่าจับตายิ่งกว่า คือ เพียวมัทฉะ” กลับโตแซง “มัทฉะลาเต้” ซึ่งสะท้อนรสนิยมใหม่ของผู้บริโภคที่หันหา ความแท้จริง (authenticity) และ คุณภาพวัตถุดิบ มากขึ้น ผู้จัดงานยังชี้เทรนด์ ชานมเผือกโมจิ” ที่ได้รับอิทธิพลจากจีน — ยอดค้นหาเพิ่มขึ้นกว่า 530% และทำยอดขาย 150,000 แก้วใน 3 เดือน บ่งชี้ว่านวัตกรรมเมนูข้ามวัฒนธรรมยังมีที่ทาง หากจับ “จังหวะไว ทำจริงเร็ว–เล่าเรื่องเป็น”

แผนที่มัทฉะ ยังสะท้อนการกระจุกตัวในเมืองใหญ่—กรุงเทพฯ นนทบุรี ชลบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี ติดท็อป 5 จังหวัดที่มีร้านมัทฉะมากที่สุด เป็นสัญญาณว่าตลาด “รอง” ยังมีพื้นที่รอการเจาะ โดยเฉพาะทำเลมหาวิทยาลัย/แหล่งงานที่มีกำลังซื้อวัยเริ่มทำงาน

พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2025 สุขภาพ ส่วนบุคคล โอมนิแชนแนล

เส้นเรื่องผู้บริโภควันนี้ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

  • ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ต้องการปรับแต่งเมนู ลดหวาน/เพิ่มท็อปปิงเฉพาะ
  • แยก “กินในร้าน–สั่งเดลิเวอรี” ไม่ออก แล้ว ร้านต้องพร้อมทุกช่องทาง
  • เดลิเวอรีโตต่อเนื่อง 2–3%/ปี คิดเป็น ~29% ของยอดขายรวม ปี 2025 แม้พ้นยุคโควิด
  • ผู้บริโภคคาดหวัง ช่องทางสั่งซื้อหลากหลาย 72%, จ่ายเงินหลายรูปแบบ 66%, ความเร็วบริการ 60%, ระบบคิว 43%, ความสะดวกใช้งาน 36%

สาระสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “เปิดให้สั่งออนไลน์” แต่คือการทำ โอมนิแชนแนล ให้ลื่น ทั้งการค้นหา–สั่ง–จ่าย–ติดตาม–รับสินค้า และการดูแลหลังการขายในช่องทางที่ลูกค้าคุ้นเคย (เช่น LINE OA)

4 ทางรอดที่ทำได้ทันที จากเวทีสู่หน้าร้าน

เวที LINE FOOD TECH 2025 ย้ำ 4 คันโยก ที่ลงมือแล้วเห็นผล

  1. Differentiation — สร้างความต่างให้ชัด
    เลือก “เล่าเรื่อง” หรือ “นิช” ที่ไปให้สุด เช่น มัทฉะสายเพียว/ซิงเกิลออริจิน, สุกี้แห้งสูตรท้องถิ่น, ไก่ทอดสไตล์เฉพาะถิ่น เชื่อมด้วยกิจกรรมหน้าร้านคอนเทนต์หลังร้าน ให้ลูกค้ารู้สึกว่า “แบรนด์นี้มีตัวตนและเหตุผลของราคา”
  2. คุณภาพ ราคา — คุ้มจริงในมือผู้บริโภค
    ในยุคที่ทุกบาทมีความหมาย ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำเมื่อ “คุณภาพสม่ำเสมอ” และ “ป้ายราคาเข้าใจได้” สูตร ไซซ์ ภาพจริงต้องตรงปก และสื่อสารชัด (เช่น ระบุ % ความหวาน/คาเฟอีน) เพื่อสร้างความเชื่อถือ
  3. Automation — คุมต้นทุนด้วยระบบ
    เริ่มจากจุดที่ “รั่วง่าย” เช่น สต๊อกวัตถุดิบ, ของเสียในครัว, ตารางเวรพนักงาน นำระบบจัดซื้อ/สต๊อก/พนักงานอัตโนมัติเข้ามาช่วย ต้นทุนบุคลากรลดลงโดยไม่กระทบคุณภาพ และผู้จัดการร้านมีเวลาไปทำการตลาด พัฒนาสินค้ามากขึ้น
  4. Experience — ประสบการณ์ลูกค้าคือสินทรัพย์
    ทำให้ “ค้นหา–สั่ง–จ่าย–รับ” ไหลลื่น รองรับการชำระเงินทุกแบบที่ลูกค้าคุ้น มือถือจบได้ในไม่กี่คลิก ตั้ง SLA ความเร็ว และ ระบบคิว ที่โปร่งใส พร้อม การันตีคืนเงิน/เปลี่ยนสินค้า ในกรณีผิดพลาด เพื่อซื้อใจในระยะยาว

มัทฉะ” ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือบทเรียนเชิงกลยุทธ์

การขึ้นแท่นของมัทฉะสอนเราสามข้อ

  • คุณภาพ–ความแท้จริง ชนะในระยะยาว ผู้บริโภคสนใจ “เพียวมัทฉะ” มากกว่าเมนูที่ถูก–หวานจัด
  • ซัพพลายและเล่าเรื่อง สำคัญเท่ารสชาติ แหล่งที่มา–ระดับการบด–พิธีชง เป็นส่วนหนึ่งของ “ประสบการณ์”
  • ต่อยอดข้ามหมวด ได้ เช่น จากเครื่องดื่มสู่เบเกอรี่ ครัวซองต์ ขนมปังมัทฉะ เมื่อทำให้ “คอนเซ็ปต์เดียวกัน” เชื่อมทุกเมนู

ด้วยเหตุนี้ ร้านเล็กสามารถ “จิ้มจุดต่าง” ให้ชัด แล้วใช้คอนเทนต์–รีวิวจริง–กิจกรรมร่วมกับคอมมูนิตี้วัฒนธรรมชา สร้างฐานลูกค้าประจำที่มั่นคงกว่าการลดราคาแข่ง

โรดแมป 90–180 วัน แผนทำจริงสำหรับปี 2026

ช่วง 0–90 วัน

  • ติดตั้ง ระบบสต๊อก–จัดซื้อ แบบง่ายที่เชื่อม POS
  • ตั้ง มาตรฐานคุณภาพ (สูตร–ไซซ์–ภาพจริง) และอบรมบาริสต้า/ครัวให้ชัดเจน
  • เปิด ช่องทางสั่งครบ หน้าร้าน–โทร–แชต LINE–เดลิเวอรี พร้อม จ่ายหลายแบบ (โอน/QR/บัตร/อีวอลเล็ต)

ช่วง 91–180 วัน

  • ทดลอง 2–3 เมนู “นิช” (เช่น เพียวมัทฉะระดับเกรด/สุกี้แห้งสูตรบ้านเกิด) พร้อม A/B test ราคา–ภาพ–คำอธิบาย
  • นำ ระบบจัดตารางพนักงานอัตโนมัติ และ วิเคราะห์ของเสีย เพื่อลดต้นทุน 3–7%
  • ทำ โปรแกรมสมาชิก บน LINE OA สะสมแต้ม–เกิดวัน–ชุดล่วงเวลา (off-peak) ดันยอดช่วงเงียบ

ตลอดปี 2026

  • สร้าง คอนเทนต์เล่าเรื่องวัตถุดิบ และ รีวิวจริงตรวจสอบได้
  • ขยาย สาขา/คีออสท์ขนาดเล็ก ในทำเลรองที่ต้นทุนเช่าต่ำ แต่มีทราฟฟิกกลุ่มเป้าหมาย
  • วัดผล CSAT/NPS รายช่องทาง และเชื่อมเข้ากับโบนัสทีม เพื่อให้ “ประสบการณ์ลูกค้า” เป็น KPI กลาง

เปิดเร็ว–ปิดเร็ว หรือปรับเร็ว–อยู่ยาว

ประเด็นที่ทำให้หลายร้าน “เปิดเร็ว–ปิดเร็ว” มักไม่ใช่แค่ยอดขาย แต่คือ โครงสร้างต้นทุน–ระบบ–จุดต่าง ที่ไม่ทันกาล ข้อมูลจาก LINE FOOD TECH 2025 จึงไม่ได้ชี้เพียง “ตลาดแย่” แต่ยื่น เครื่องมือ ให้จับต้อง—ตั้งแต่วิธีเลือกเมนูที่มีสัญญาณเติบโต (เช่น มัทฉะ/สุกี้/ไก่ทอด), การทำโอมนิแชนแนลให้ลื่น, ไปจนถึงระบบหลังบ้านที่ช่วยอุ้มกำไร

เมื่อปี 2026 กำลังจะมาถึงพร้อมความผันผวน สิ่งที่ร้านเล็กทำได้คือ “เปลี่ยนแต่เนิ่น ๆ” เปลี่ยนให้มีข้อมูล เปลี่ยนให้มีระบบ เปลี่ยนให้โดดเด่นในสายตาลูกค้า — เพราะในตลาดที่ลูกค้าจ่ายน้อยลง การเลือกของพวกเขาจะยิ่งเฉียบคมขึ้นเสมอ

สถิติสำคัญจากเวที

  • ยอดขายหน้าร้านปี 2025 (Offline SSS) ลดลง 14% (ปี 2024 ลด 3%)
  • ต้นทุนรวม เพิ่ม >25% โดยวัตถุดิบ +25% และค่าแรงปรับขึ้น
  • ลูกค้าจ่ายน้อยลง บิล <500 บาท -12%, บิล >500 บาท -14%
  • สตรีทฟู้ด โต 4% | ไก่ทอด โต 18% | สุกี้ โต 30% (ไตรมาสล่าสุด)
  • มากกว่า 50% ของร้านเปิดใหม่ ปิดภายในปีแรก
  • มัทฉะ/ชาเขียว โต 28% เป็น ~1,160 ล้านบาท | ร้านที่ขายชาเขียวเพิ่มจาก 9,600 → 12,400 ร้าน
  • ครึ่งปีแรก 2025 มีการสั่ง มัทฉะ >5 ล้านแก้ว บนแพลตฟอร์มเดลิเวอรี
  • ชานมเผือกโมจิ ยอดค้นหา +530%, ยอดขาย >150,000 แก้วใน 3 เดือน
  • เดลิเวอรีเติบโต 2–3%/ปี, คิดเป็น ~29% ของยอดขายรวม
  • ความคาดหวังผู้บริโภค ช่องทางสั่งหลากหลาย 72%, จ่ายได้หลายแบบ 66%, เร็ว 60%, คิวดี 43%, สะดวก 36%

ข้อมูลจาก LINE FOOD TECH 2025 ให้ภาพใหญ่ที่ตรงไปตรงมาว่า “ปีที่ยาก” ยังไม่ผ่านพ้น แต่ โอกาส อยู่ตรงการเลือกเล่นในสนามที่ “คนอยากซื้อจริง” (เช่น มัทฉะ–สุกี้–ไก่ทอด), ทำระบบให้เกิดผล (automation/stock), และทำประสบการณ์ให้เหนือความคาดหวัง (โอมนิแชนแนล–จ่ายหลายแบบ–คืนเงินโปร่งใส) หากทำได้ ร้านเล็กก็มีสิทธิ์ “อยู่ยาว” ท่ามกลางคลื่นเศรษฐกิจที่ซัดแรง

ปี 2026 จึงน่าจะไม่ใช่ปีที่ร้านอาหารต้อง “ทนรอ” แต่เป็นปีที่ ลงมือปรับ เพื่อกลับมา “เลือกกำไร” แทนที่จะ “เหลือกำไร”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • LINE for Business — LINE FOOD TECH 2025
  • LINE MAN Wongnai
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตรียมตัวให้พร้อม กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังร้านปิด” มีผลบังคับใช้ 8 พ.ย. 68

กฎหมายใหม่ “ห้ามดื่มหลังเวลาขาย” เริ่มใช้ 8 พ.ย. 2568 ปรับเป็นพินัยสูงสุด 10,000 บาท—ธุรกิจ-ผู้บริโภคปรับตัวอย่างไร

ประเทศไทย, 16 กันยายน 2568 – หลังถกเถียงยืดเยื้อเรื่องการ “ปลดล็อกเวลา” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทยก้าวสู่หมุดหมายกฎหมายครั้งสำคัญเมื่อ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลบังคับใช้เมื่อครบ 60 วัน นับแต่ 9 กันยายน 2568 ซึ่งตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 โดยสาระใหม่ที่จับตาคือ ห้ามผู้บริโภคดื่มในสถานที่เชิงพาณิชย์ระหว่างเวลาห้ามขาย” ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สะท้อนทิศทางการคุมแอลกอฮอล์ที่เข้มขึ้นและไปกระทบพฤติกรรม “นั่งแช่” โดยตรง.

เส้นเวลาและภาพรวมกฎหมาย “รีเซ็ต” โครงสร้างกำกับ แต่ยังคงช่วงเวลาห้ามขาย

กฎหมายฉบับใหม่ปรับโครงสร้างอำนาจกำกับหลายส่วน ยืนยันกรอบเวลาห้ามขายตามกฎหมายแม่ปี 2551 และกฎรองที่ออกตามอำนาจเดิม ขณะเดียวกันยัง ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 (พ.ศ. 2515) ที่เคยเป็นฐานเวลาห้ามขายยุคแรก เพื่อทำให้กฎหมายเป็นเอกภาพและทันสมัยขึ้น แต่ “แกนเวลา” ไม่ได้คลายอัตโนมัติ เพราะภาครัฐยืนยันว่า ยังคงใช้ข้อกำหนดเวลาห้ามขายเดิม ตามประกาศนายกรัฐมนตรีและคำสั่งกฎหมายลูกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน.

ประเด็น “ปลดล็อกขายเวลา 14.00–17.00 น.” ที่แพร่ในสื่อสังคม ได้รับการยืนยันว่าเป็นข้อมูลบิดเบือน โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ชี้ชัดว่าไทยยังห้ามขายในช่วงเวลาดังกล่าว (ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย) ภายใต้อำนาจตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ. ปี 2551 และประกาศนายกรัฐมนตรีฉบับล่าสุด.

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวของรัฐบาลสรุปสาระสำคัญของประกาศนายกรัฐมนตรีเรื่องเวลาห้ามขายและ กลุ่มกิจการ/พื้นที่ที่ “ได้รับยกเว้น” รวม 18 ประเภท เช่น เขตปลอดอากร ร้านปลอดภาษีในสนามบิน หรือพื้นที่ที่กฎหมายเฉพาะอนุญาต—ข้อมูลนี้ยังคงมีผลหลัง 8 พ.ย. 2568 จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง.

หัวใจฉบับใหม่ “ห้ามดื่มในเวลาห้ามขาย” โฟกัสที่ผู้บริโภค

มาตรา 32 (ใหม่) กำหนดชัดว่า “ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่หรือบริเวณที่ขาย/จัดบริการเพื่อประโยชน์ทางการค้า ในเวลาห้ามขาย” จากเดิมที่กฎหมายเน้นควบคุม “ผู้ขาย” เป็นหลัก จึงอุดช่องว่างสถานการณ์ “ร้านปิด แต่ลูกค้ายังนั่งดื่มต่อ” ให้กลายเป็นความผิดโดยตรงในฝั่งผู้บริโภค.

ในแง่บทลงโทษ มาตรา 37/1 (ชุดบทบัญญัติใหม่) ระบุให้ฝ่าฝืน ปรับเป็นพินัย” ไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการทางปกครอง ไม่ใช่คดีอาญา จุดมุ่งหมายคือสร้างวินัยและยับยั้งพฤติกรรมรวดเร็ว ลดภาระกระบวนการยุติธรรม แต่ยังคงน้ำหนักทางกฎหมายเพียงพอให้เกิดการปฏิบัติตาม

สรุปให้ชัด: หลังร้านหยุด “ขาย” ตามเวลาห้ามขายแล้ว ลูกค้า ก็ห้าม “ดื่ม” ในพื้นที่ร้านด้วย การ “นั่งแช่” จึงเสี่ยงถูกเปรียบเทียบปรับทันทีเมื่อกฎหมายมีผลใช้.

ทำไมต้องเข้มขึ้น บทเรียนจากโซเชียลคอสต์และความเสี่ยงสาธารณสุข

หลายงานวิชาการชี้ว่า การจำกัดเวลาขายและลดการบริโภคในช่วงดึกสัมพันธ์กับการลดอุบัติเหตุ อาชญากรรม และภาระสาธารณสุข ตลอดจนความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากแอลกอฮอล์ โดยแนวโน้มการปฏิรูปในต่างประเทศก็เดินในทิศทางเดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุผลเชิงนโยบายที่ไทยเลือก “ย้ายแรงกดดัน” มาฝั่งพฤติกรรมผู้ดื่มในช่วงเวลาเสี่ยง แทนที่จะรับภาระไว้กับผู้ประกอบการเพียงด้านเดียว.

บทสะท้อนจากพื้นที่ท่องเที่ยว ช่วงไฮซีซันต้องจัดระเบียบใหม่

ในเมืองท่องเที่ยวหลัก ร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ที่พึ่งพายอดขายช่วงหัวค่ำถึงดึก ต้องปรับกระบวนการ ตั้งแต่กำหนด “Last order” ให้ชัด, ปิดบิลก่อนเวลาห้ามขาย, และ ยุติการดื่มในพื้นที่ร้าน ให้ครบถ้วน เพื่อไม่ให้ลูกค้าเผลอทำผิดโดยไม่เจตนา การชี้แจงหน้าร้าน/ในเมนู รวมถึงการฝึกพนักงานจึงเป็น “เส้นเลือดฝอย” สำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายใหม่.

ภาคธุรกิจบางส่วนมองว่า รายได้จากลูกค้ากลุ่ม “นั่งยาว” อาจหายไปบ้าง แต่หากสื่อสารและออกแบบประสบการณ์การรับประทานอาหาร เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ หรือกิจกรรมทางเลือกในชั่วโมงท้าย ๆ ก็อาจ แปลงความเสี่ยงเป็นโอกาส โดยเฉพาะร้านที่มีจุดขายเรื่องอาหาร บริการ และดนตรีสดคุณภาพ

กลไกการบังคับใช้ “พนักงานเจ้าหน้าที่” เดินคู่สื่อสารสาธารณะ

การบังคับใช้หลักยังอยู่กับ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้กรมควบคุมโรคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกฎหมายใหม่ เพิ่มเครื่องมือทางปกครอง (เช่น การสั่งปรับเป็นพินัย) ควบคู่กับมาตรการด้านโฆษณา/การสื่อสารการตลาดที่เข้มขึ้น ทั้งหมดนี้อาศัยการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน เพื่อลดความสับสนจากข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อสังคม—กรณี “ปลดล็อก 14.00–17.00 น.” คือบทเรียนล่าสุดที่รัฐต้องชี้แจงอย่างเป็นระบบ.

ผลกระทบเป็นวงกว้าง ผู้บริโภครับภาระ “ความรับผิดชอบส่วนบุคคล” มากขึ้น

สำหรับผู้ดื่ม กฎหมายใหม่ เลื่อนจุดรับผิดชอบ มาอยู่กับพฤติกรรมบุคคลอย่างชัดเจน ต่อไปนี้การ “นั่งดื่มต่อ” หลังร้านหยุดขาย ไม่ใช่เพียงเรื่องมารยาทหรือระเบียบภายใน แต่เป็น ความผิดตามกฎหมาย ที่มีค่าปรับชัดเจน ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องรู้เวลาและ หยุดดื่มให้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมาย ขณะที่สำหรับผู้ค้าปลีก การวางระบบหน้าร้าน และการประชาสัมพันธ์ คือกุญแจ ให้ลูกค้าเข้าใจและร่วมมือ

“10 คำถามยอดฮิต” ที่ควรรู้ก่อนกฎหมายมีผล

  1. เริ่มบังคับใช้เมื่อใด8 พ.ย. 2568 (ครบ 60 วันจาก 9 ก.ย. 2568).
  2. ห้ามอะไรเพิ่ม – ห้าม “ดื่มในเวลาห้ามขาย” ในสถานที่เชิงพาณิชย์ เช่น ร้านอาหาร บาร์ ผับ คาราโอเกะ ฯลฯ.
  3. ถ้าฝ่าฝืนปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้บริโภคตามมาตรา 37/1. Multi DOPA
  4. ช่วงเวลา 14.00–17.00 น. ขายได้หรือไม่ – โดยหลัก ยังห้ามขาย ยกเว้นพื้นที่/กิจการที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายและประกาศนายกรัฐมนตรี.
  5. ร้านปิดบิลทันเวลา แต่ลูกค้ายังจิบ – เมื่อเข้า “เวลาห้ามขาย” แล้ว ห้ามดื่มต่อในพื้นที่ร้าน เพื่อไม่ให้เข้าข่ายความผิดของผู้บริโภค.
  6. สนามบิน/ดิวตี้ฟรี/เขตปลอดอากร – อยู่ในกลุ่ม “ได้รับยกเว้น” ตามเงื่อนไขประกาศที่ยังมีผล.
  7. มีการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ 253 จริงหรือไม่ – จริง แต่โครงสร้างเวลาห้ามขายยังอยู่ผ่านกฎหมาย/ประกาศที่ใช้บังคับปัจจุบัน.
  8. โฆษณา/การตลาดเข้มขึ้นอย่างไร – ฉบับใหม่เพิ่มข้อห้ามและอำนาจกำกับด้านสื่อสารการตลาดมากขึ้น รายละเอียดจะตามกฎหมายลูก.
  9. ใครบังคับใช้ – พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ปี 2551–2568 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานตำรวจในทางปฏิบัติเมื่อจำเป็น.
  10. ธุรกิจควรทำอะไรทันที – ปรับ SOP เวลา “Last order/เคลียร์โต๊ะ”, ป้ายแจ้งลูกค้า, อบรมพนักงาน,

คืนสุดท้ายก่อนยุคใหม่

ลองนึกภาพเย็นศุกร์ย่านท่องเที่ยวเหนือสุด—เสียงแก้วกระทบกันเบา ๆ ก่อนพนักงานเดินมาบอกรอบสุดท้าย “อีกสิบนาทีเข้าช่วงห้ามขายนะคะ” ลูกค้าบางโต๊ะยกมือขอเช็กบิล ขณะอีกโต๊ะเปลี่ยนเป็นม็อกเทลและของหวาน ร้านเปิดเพลงช้าลง แต่บรรยากาศยังคลอด้วยบทสนทนา กฎหมายไม่ได้ปิดไฟเมือง แต่ชวนทุกฝ่าย ขยับจังหวะ ให้พอดีกับกรอบกติกาใหม่ เมืองยังสนุกได้—อย่างรับผิดชอบ

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์

  • ผู้ประกอบการ: ทำ “คู่มือ 1 หน้า” ติดหน้าร้าน อธิบายเวลาห้ามขาย/ห้ามดื่ม และขั้นตอนเคลียร์โต๊ะ ฝึกทีมงานให้สื่อสารสุภาพแต่ชัดเจน
  • ผู้บริโภค: วางแผนการดื่มตามเวลา แปลง “ชั่วโมงท้าย” เป็นของหวาน/เครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
  • ภาครัฐ: สื่อสารสม่ำเสมอ ลดความสับสน และจัดทำ FAQ กลางหลายภาษาในพื้นที่ท่องเที่ยว พร้อมประเมินผลหลังบังคับใช้ 3–6 เดือน

 

นี่ไม่ใช่เพียงการขยับถ้อยคำในกฎหมาย แต่คือการ ย้ายสมดุลความรับผิดชอบ จากผู้ขายมาสู่ผู้บริโภคในชั่วโมงเสี่ยง เป็นการ “รีเซ็ตมารยาทสังคม” เชื่อมเศรษฐกิจท่องเที่ยวกับสาธารณสุขให้เดินไปด้วยกัน เมื่อ 8 พ.ย. 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ราชกิจจานุเบกษา: พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 – ประกาศ 9 ก.ย. 2568, มีผลหลัง 60 วัน.
  • ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (สำนักนายกรัฐมนตรี/กระทรวงดิจิทัลฯ)
  • iLaw
  • สำนักงานกฎหมาย/ราชการที่เผยแพร่สรุปกฎหมาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

จับตาธุรกิจร้านอาหารปี 68 โตแต่แข่งสูง รายใหญ่สู้รายเล็ก

ทีทีบีเผย ธุรกิจร้านอาหารไทยปี 2568 โต 6.12 แสนล้านบาท ชี้ตลาดแข่งเดือด รับยุคใหม่ Next Era

ประเทศไทย, 12 พฤษภาคม 2568 – ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารไทยประจำปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง และมีมูลค่ารวมสูงถึง 6.12 แสนล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงลักษณะพิเศษของอาหารซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นที่มีความต้องการจากผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา

รายงานดังกล่าวยังได้วิเคราะห์สถานการณ์ในปีที่ผ่านมา (2567) ว่า แม้ปัญหาด้านต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ จะเริ่มลดลง แต่ราคาสินค้าในธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับลดราคาลงตามต้นทุนที่ลดลงแต่อย่างใด ซึ่งกลายเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่องมาถึงปีนี้

การขยายตัวของตลาดร้านอาหาร ส่งผลการแข่งขันสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทีทีบีชี้ว่าการเติบโตที่เกิดขึ้นได้สร้างการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดร้านอาหารไทย โดยเฉพาะในด้านอุปทาน เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารมีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดต่ำ หรือที่เรียกว่าการมี No Barrier to Entry ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเปิดกิจการได้โดยง่าย และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าจำนวนร้านอาหารในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 333,000 ร้านในปี 2562 เป็นกว่า 405,000 ร้านในปี 2567 และมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสูงขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการเดิม โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ที่เคยมีความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งที่ดีและภาพลักษณ์ Premium

รายใหญ่รับผลกระทบ รายกลาง-รายเล็กโตสวนกระแส

รายงานของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มร้านอาหารรายกลางและรายเล็กกลับสามารถปรับตัวและจับกลยุทธ์ใหม่ที่เรียกว่า Premium Mass & Niche Market ได้ดีกว่ารายใหญ่ โดยอาศัยเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มเดลิเวอรีที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สามารถสร้างฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังตั้งราคาขายตามกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

จากการวิเคราะห์พบว่าธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ที่มีการเติบโตเฉลี่ยเพียง 4.0% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่กลุ่มร้านอาหารรายกลางและรายเล็กกลับเติบโตสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดถึง 7.0% และ 7.5% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในตลาดร้านอาหารไทยได้เป็นอย่างดี

ร้านอาหารรายใหญ่ปรับกลยุทธ์สู่ตลาด Mass

จากการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่จำเป็นต้องปรับตัวโดยนำกลยุทธ์ใหม่เข้ามาใช้ คือการจับตลาด Mass หรือ Everyday Integration Strategy ผ่านการสร้างเมนูที่ง่ายต่อการบริโภค เข้าถึงลูกค้าทั่วไปได้ในชีวิตประจำวัน และใช้แพลตฟอร์ม Food delivery เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะสูญเสียลูกค้าในกลุ่ม Premium บางส่วนให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลาง แต่สามารถเข้าถึงกลุ่ม Mass ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีโอกาสในการขยายตัวต่อเนื่องมากกว่า

จากทำเลสู่แพลตฟอร์มเดลิเวอรี โอกาสใหม่ของธุรกิจร้านอาหาร

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่รายงานชี้ให้เห็น คือ การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจร้านอาหารจากการอาศัยทำเลที่ตั้งที่เคยมีความสำคัญในอดีต (Traditional Location-Based Advantage) ไปสู่การให้บริการอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี (Democratizing Food Delivery) ทำให้ร้านอาหารไม่จำเป็นต้องมีทำเลที่ดีอีกต่อไป ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนหน้าร้าน และขยายการเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างได้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ เช่น Cloud Kitchen หรือ Ghost Kitchen ที่สามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากร้านอาหารที่มีทำเลดีเดิมได้ง่ายขึ้นมาก

กระแสนิยม การแข่งขันแบบใหม่ระยะสั้น

ขณะเดียวกันในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารเข้าสู่ Next Era ยังเกิดกระแสนิยมร้านอาหารใหม่ๆ ที่เน้นการลงทุนในระยะสั้นและเกาะกระแสความนิยมชั่วคราว (Trend-based Business) ส่งผลให้ร้านอาหารรูปแบบนี้เข้ามาแย่งอุปสงค์จากร้านอาหารที่มีอยู่เดิม และสร้างวัฏจักรใหม่ของการเกิดร้านอาหารที่มีการแข่งขันแบบต่อเนื่องตามกระแสที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

วิเคราะห์อนาคตตลาดร้านอาหารไทย

จากรายงานนี้ ทีทีบีชี้ชัดว่า ธุรกิจร้านอาหารไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เชิงรุก ใช้การตลาดและการสร้างแบรนด์ที่เข้มข้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเองในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 ระบุว่า จำนวนร้านอาหารในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5.3% ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2567 และคาดการณ์ว่าในปี 2568 ตลาดจะเติบโตถึง 612,000 ล้านบาท (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) 
  • ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 
  • KANJO Review
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มปี 2568 เติบโต 4.6% พร้อมความท้าทาย

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 spacebar รายงานว่าแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 657,000 ล้านบาท เติบโต 4.6% แต่เป็นการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปี 2567 สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ธุรกิจนี้ยังคงได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น

แนวโน้มการเติบโตของตลาด

ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า การใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม ของนักท่องเที่ยวถือเป็นอันดับ 2 ของการใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทาง โดยร้านอาหารไทยกว่า 482 แห่งที่ได้รับการจัดอันดับในมิชลินไกด์ ก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเชิงอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเติบโตของมูลค่าตลาดส่วนหนึ่งยังเกิดจากการ ปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยเพิ่มรายได้ต่อครั้งต่อคำสั่งซื้อ นอกจากนี้ การขยายสาขาใหม่ในพื้นที่ศักยภาพ เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และสุราษฎร์ธานี รวมถึงการพัฒนาเชิงพาณิชย์ในห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานที่เพิ่มขึ้น ก็มีส่วนกระตุ้นให้จำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มมากขึ้น

การแข่งขันที่รุนแรง

ธุรกิจร้านอาหารในปี 2568 มีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคา ประเทศไทยมีร้านอาหารกว่า 6.9 แสนแห่ง หรืออัตราส่วน 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า การหมุนเวียนเปิด-ปิดกิจการ มีจำนวนร้านอาหารที่ปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 89% (YoY) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 สะท้อนถึงการแข่งขันที่เข้มข้น

แนวโน้มธุรกิจร้านอาหารในปี 2568

  1. ร้านอาหารบริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants)
    คาดว่าจะเติบโต 2.9% หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 213,000 ล้านบาท ร้านบุฟเฟต์ยังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่มองหาความคุ้มค่า

  2. ร้านอาหารบริการจำกัด (Limited Service Restaurants)
    คาดว่าจะเติบโต 3.8% หรือมีมูลค่ารวม 93,000 ล้านบาท การขยายตัวของกลุ่มร้านพิซซ่า ไก่ทอด และร้าน Quick Service เพิ่มมากขึ้น

  3. ร้านอาหารข้างทาง (Street Food)
    คาดว่าจะเติบโต 6.8% หรือมีมูลค่ารวม 266,000 ล้านบาท ได้รับความนิยมจากทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว

แนวโน้มธุรกิจร้านเครื่องดื่ม

ในปี 2568 คาดว่ามูลค่าตลาดร้านเครื่องดื่มจะอยู่ที่ 85,320 ล้านบาท เติบโต 3.2% การขยายแฟรนไชส์และการเปิดตัวเมนูใหม่ช่วยกระตุ้นการบริโภค

ความเสี่ยงและความท้าทาย

  • ต้นทุนสูงขึ้น
    ทั้งค่าแรง วัตถุดิบ เช่น นมผง เนย ชีส และค่าสาธารณูปโภค ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ
  • พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
    มาตรฐานใหม่ของผู้บริโภคเน้น ความแปลกใหม่+ประสบการณ์+สุขภาพ+ราคาสมเหตุสมผล

ข้อสรุป

ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มยังคงมีศักยภาพเติบโต แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายมิติ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวทั้งในด้านกลยุทธ์และนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพ : พันดาว 1000 Stars

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เหนือ-อีสานหนัก ร้านอาหาร ยอดขายหาย 50% เร่งรัฐบาลแก้

 

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้ออกมาเปิดเผยถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อของรัฐบาล โดยเรียกร้องให้มีการลงรายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีเพียงนโยบายที่กล่าวถึงในเชิงทั่วไป และยังขาดรายละเอียดเชิงลึกที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถเข้าใจและปรับตัวได้

นางฐนิวรรณแสดงความเห็นว่า ภาคธุรกิจเอสเอ็มอียังคงเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีธุรกิจจากต่างชาติเข้ามาแข่งกับคนไทย เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ภาคธุรกิจภายในประเทศได้รับผลกระทบอย่างมาก เธอเรียกร้องให้รัฐบาลควรมีการรับฟังเสียงของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย

3 ประเด็นเร่งด่วนที่ภาคธุรกิจร้านอาหารต้องการให้รัฐบาลดำเนินการ

  1. ทบทวนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ:
    นางฐนิวรรณระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยต้องดำเนินการตามกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี เนื่องจากการขึ้นค่าแรงทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้อาจส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็กต้องรับภาระหนักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา การขึ้นค่าแรงจึงควรพิจารณาตามบริบทเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละพื้นที่
  2. ลดหรือตรึงค่าพลังงาน:
    ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้า นางฐนิวรรณเสนอว่ารัฐบาลควรพิจารณามาตรการในการลดหรืออย่างน้อยควรตรึงราคาพลังงาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้กับผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้
  3. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567-2568:
    นางฐนิวรรณชี้ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณที่รวดเร็วจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจร้านอาหาร การที่รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น

สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารยังซบเซา

นางฐนิวรรณเปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจร้านอาหารยังคงประสบปัญหาด้านกำลังซื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรวมยอดขายของร้านอาหารไม่ถึง 50% ในบางจังหวัด เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานการณ์แย่ลงมากยิ่งขึ้น สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ต่ำลง ผู้ประกอบการหวังว่ารัฐบาลจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ที่คาดว่าจะเริ่มในเดือนกันยายนนี้

นางฐนิวรรณยังได้เสนอให้รัฐบาลกำหนดให้ผู้ได้รับเงินดิจิทัลสามารถใช้จ่ายเงินนี้ในร้านอาหารได้ เพื่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและเป็นการฟื้นฟูกำลังซื้อในภาคธุรกิจร้านอาหาร

ความคาดหวังต่อมาตรการรัฐบาล

นางฐนิวรรณกล่าวปิดท้ายว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการที่สามารถบรรเทาผลกระทบในด้านค่าแรงและต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ การสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นกลุ่มใหญ่ในภาคเศรษฐกิจจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

สรุปสถานการณ์:
นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในเดือนตุลาคมนี้อาจจะซ้ำเติมธุรกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่ละเอียดและชัดเจนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อให้สามารถฟื้นฟูและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News