Categories
ECONOMY

SCB EIC เตือน! การนำเข้าทะยาน 53% ของ GDP ไทย เสี่ยงพึ่งจีนหนัก

ไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ การนำเข้าพุ่งสูงสุดรอบ 12 ปี สะท้อนพึ่งพาจีนหนัก เสี่ยงเป็นแค่ “ประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก!

เชียงราย, 19 กรกฎาคม 2568 – เปิดม่าน “โจทย์ใหม่เศรษฐกิจไทย” เมื่อการนำเข้าทะยานสูงสุดรอบ 12 ปี ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน ผลการศึกษาของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการเศรษฐกิจไทยอย่างยิ่ง เมื่อเผยแพร่ข้อมูลชี้ชัดว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยในปี 2567-2568 ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020 โดยสัดส่วนการนำเข้าสินค้าต่อจีดีพีของไทยพุ่งสูงถึง 53% ในปี 2024 ซึ่งเป็นระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังส่งผลให้ไทยเผชิญภาวะขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นปีที่ 3

สัญญาณนี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจของไทยอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Supply Chain) ที่กำลังเปลี่ยนจาก “ประเทศผู้ผลิต” สู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” มากขึ้นทุกที

3 ปัจจัยหนุนการนำเข้าทะยาน – ผลักไทยสู่จุดเปลี่ยนใหญ่

การวิเคราะห์ของ SCB EIC ระบุชัดว่า แนวโน้มการนำเข้าสินค้าของไทยที่เร่งตัวขึ้นตลอด 4 ปีหลัง เกิดจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่

  1. การระบายสินค้าส่วนเกินจากจีน: จีนในฐานะประเทศผู้ผลิตอันดับต้นของโลก เผชิญปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าส่วนเกินมายังประเทศคู่ค้าเพิ่มสูงขึ้น ไทยกลายเป็นปลายทางสำคัญ ด้วยอัตราการนำเข้าสินค้าจากจีนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 4 เท่า
  2. ธุรกิจอีคอมเมิร์ซข้ามชาติเติบโต: คนไทยนิยมช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มข้ามชาติ เช่น Alibaba, Shopee, Lazada สินค้าส่วนใหญ่ที่สั่งซื้อมาจากจีน ไม่เพียงกระตุ้นการนำเข้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค แต่ยังส่งผลให้รายได้ของธุรกิจออนไลน์เหล่านี้ไหลกลับไปยังต่างประเทศ มากกว่าหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย
  3. โครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้า (High Import Content): กลุ่มธุรกิจที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้ามีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น พบทั้งในกลุ่มการผลิต (อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก พลาสติก) ก่อสร้าง บริการ และร้านอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มทุนต่างชาติที่ย้ายฐานเข้ามาเพียงเพื่อประกอบขั้นต้นในไทย แล้วส่งออกต่อไปยังประเทศที่สาม

ผลกระทบเป็นลูกโซ่ ไทยกลายเป็น “Trader” ภาคอุตสาหกรรมซบเซา-เสี่ยงตกเป็นทางผ่าน

บทวิเคราะห์ของ SCB EIC เตือนชัดว่า ผลลัพธ์ของการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมีทั้งด้านเศรษฐกิจมหภาคและความมั่นคงทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมภายในประเทศซบเซา: การนำเข้าสินค้าทดแทนการผลิตในประเทศ กลายเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มเหล็ก, แผงวงจร, เครื่องใช้ไฟฟ้า, ชิ้นส่วนยานยนต์และพลาสติก ไทยเสี่ยงสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและมูลค่าเพิ่ม (Value-added) ลดลง
  • ธุรกิจ “ซื้อมา-ขายไป” & ความเสี่ยง “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า”: ธุรกิจในไทยจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนบทบาทเป็น “Trader” มากกว่าผู้ผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มแผงวงจร, อิเล็กทรอนิกส์, ยานยนต์, พลาสติก, อะลูมิเนียม และเครื่องใช้ไฟฟ้า กิจกรรมเหล่านี้บางส่วนอาจเข้าข่าย “สวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า” เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีในตลาดตะวันตก ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันในอนาคต

จากผู้ผลิตสู่ผู้ซื้อ ไทยเสี่ยง “ติดกับดักประเทศทางผ่าน”

หากแนวโน้มนี้ดำเนินต่อไป ไทยจะเสี่ยงต่อการถูกลดบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลกจาก “ฐานการผลิต” ไปสู่ “ประเทศผู้ซื้อ” และ “ประเทศทางผ่าน” ซึ่งมีลักษณะเป็นจุดพักสินค้า หรือประกอบสินค้าก่อนส่งออกไปยังปลายทางประเทศที่สาม โดยที่มูลค่าเพิ่มและประโยชน์ที่ได้ตกอยู่กับเจ้าของวัตถุดิบหรือแบรนด์ต่างชาติ

ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาได้แก่

  • ขีดความสามารถแข่งขันถดถอย: หากภาคการผลิตภายในประเทศยังพึ่งพานำเข้าสูง จะกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบระหว่างประเทศ: มาตรการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าและมาตรการกีดกันการค้าโดยสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป อาจทำให้ไทยเผชิญความยากลำบากในการส่งออกสินค้ากลุ่มเสี่ยง
  • บทบาทจีนที่เพิ่มขึ้น: เมื่อธุรกิจและแพลตฟอร์มจีนกลายเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาด ภาคธุรกิจไทยต้องเร่งพัฒนาและหาจุดแข็งที่แท้จริงของประเทศ

ทางรอดต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ “จากทางผ่าน สู่ศูนย์กลางมูลค่าสูง”

บทเรียนจากสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้กำหนดนโยบายของไทยต้องร่วมมือกันในการ

  • ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
  • ลดการพึ่งพิงวัตถุดิบและสินค้าเทคโนโลยีต่ำจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน
  • สร้างแรงจูงใจในการลงทุนและพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอนาคต (Next-Gen Industry)
  • ผลักดันการเชื่อมโยงซัพพลายเชนในประเทศ สร้างผู้ประกอบการไทยที่แข็งแกร่ง
  • ติดตามและปรับตัวตามมาตรการกีดกันการค้าและข้อกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างใกล้ชิด

วิเคราะห์สถานการณ์

สถานการณ์การนำเข้าสูงสุดในรอบ 12 ปีของไทยถือเป็น “สัญญาณเตือน” สำคัญ ที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันหาทางออก เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยตกสู่ “กับดักประเทศทางผ่าน” ในห่วงโซ่อุปทานโลก การเพิ่มขีดความสามารถภายในและสร้างจุดแข็งใหม่จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • รายงานข่าวเศรษฐกิจและสถิติการค้าไทย-จีน
  • กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทย 2568 เศรษฐกิจยั่งยืนหรือแค่พยุง? รัฐบาลใหม่เผชิญบทพิสูจน์

รัฐบาลใหม่กับการแก้โจทย์เศรษฐกิจไทย ปี 2568 สู่การเติบโตที่ยั่งยืนหรือแค่พยุงระยะสั้น?

ประเทศไทย, 7 กรกฎาคม 2568 – ปี 2568 กลายเป็นปีแห่งการจับตา “บทพิสูจน์ศักยภาพรัฐบาลใหม่” ที่ต้องเผชิญกับคลื่นเศรษฐกิจโลก ปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน และโจทย์หนี้ครัวเรือนที่สั่งสมมานาน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” รัฐบาลประกาศเดินหน้าด้วยนโยบายเชิงรุก และงบประมาณลงทุนสูงสุดในรอบ 17 ปี หวังปลุกเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นกับดักการเติบโตต่ำ แต่นโยบายเหล่านี้จะนำไทยสู่ความยั่งยืน หรือเพียงแค่สร้างคลื่นกระเพื่อมชั่วคราวในระบบเศรษฐกิจ?

เปิดฉากปีแห่งบททดสอบ เศรษฐกิจไทยในพายุความไม่แน่นอน

แม้รัฐบาลจะจุดพลุสร้างความหวังด้วยนโยบายขับเคลื่อนการลงทุนและมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ยากคาดเดา ขณะที่ในประเทศเองก็เผชิญปัญหาโครงสร้างเช่น หนี้ครัวเรือนสูง สังคมสูงวัย และผลิตภาพแรงงานที่ถดถอย ด้านสถาบันวิจัยและนักวิเคราะห์ชั้นนำสะท้อนภาพเศรษฐกิจปี 2568 ด้วยคาดการณ์ GDP ที่ “แตกต่างสุดขั้ว” ตั้งแต่ 1.4% ถึง 2.6% โดยมองปัจจัยเสี่ยงหลักทั้งการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และแรงกระแทกจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ตารางที่ 1การคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 (หน่วย: %)

หน่วยงาน

คาดการณ์ (%)

ข้อสังเกต

สศค.

2.5

เสถียรภาพในประเทศ, เงินเฟ้อต่ำ

ธปท.

2.3

Q1 ดีกว่าคาด, Q2 ดีขึ้น

KResearch

1.4 – 2.4

ส่งออก-ท่องเที่ยวต่ำ, หนี้เสียสูง

World Bank/IMF

1.8

ผลกระทบสงครามการค้า, หนี้สูง

SCB EIC

1.5

การค้าโลก, ข้อจำกัดการคลัง

TDRI

2.5-3.0

FDI/ลงทุนรัฐ, สินค้าจีนเข้า

กกร.

2.4-2.9

ท่องเที่ยว, รัฐอัดมาตรการ

ขณะที่ “เงินเฟ้อทั่วไป” ยังคงต่ำ (0.8%) อันเป็นผลจากพลังงานราคาตกและอุปสงค์อ่อนแรง มิได้สะท้อนเศรษฐกิจแข็งแรง แต่กลับชี้ถึงกำลังซื้อที่ถดถอย

เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสัญญาณเปราะบางใต้ตัวเลขบวก

  • การท่องเที่ยว คือความหวังหลัก คาดนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน แต่การใช้จ่ายต่อหัวต่ำกว่าระดับก่อนโควิด สะท้อนโครงสร้างรายได้ประเทศที่เปราะบาง
  • การลงทุนภาคเอกชน ได้แรงหนุนจาก FDI ย้ายฐานหนีสงครามการค้า แต่หนี้ครัวเรือนและเกณฑ์สินเชื่อเข้มข้นยังฉุดกำลังซื้อและศักยภาพลงทุน
  • การบริโภคในประเทศ โต 2-3% จากรายได้และเงินโอนภาครัฐผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทว่า “หนี้ครัวเรือน” 16.2 ล้านล้านบาท (เกือบ 90% ของ GDP) กลับเป็นเงาทะมึนที่กัดกินกำลังซื้อ
  • การส่งออก ไตรมาส 1 โตจากการเร่งระบายสินค้าก่อนภาษีใหม่สหรัฐฯ ทว่าระยะยาวอ่อนแรงจากสงครามการค้าและสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดไทย

ความท้าทายเชิงโครงสร้างหนี้ครัวเรือนสูง-สังคมสูงวัย-ขีดจำกัดการคลัง

รัฐบาลต้องเผชิญโจทย์ “หนี้ครัวเรือนสูงสุดประวัติการณ์” ที่กัดกินศักยภาพการบริโภคและสร้าง NPL เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าทำให้สินค้าจีนเบี่ยงเบนเข้าไทย-กดดันตลาดในประเทศให้แข่งขันรุนแรง สังคมไทยเองก็เร่งเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” แรงงานขาดแคลน ผลิตภาพตกต่ำ ทุนมนุษย์ด้อยประสิทธิภาพ ระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ดิจิทัล หนี้สาธารณะ 63.3% ของ GDP ขยับขึ้นทุกปีจนพื้นที่การคลังเหลือน้อยลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคุกคามความเชื่อมั่นนักลงทุน

รัฐบาลใหม่ภายใต้ ‘แพทองธาร’ปรับยุทธศาสตร์-ตั้งทัพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

การตั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมี “นายพิชัย ชุณหวชิร” เป็นแม่ทัพคลัง ประสานกับนายกรัฐมนตรี มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” โดยเน้น 5 ยุทธศาสตร์หลักที่รวมการลงทุนภาครัฐ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และสร้างสังคมเสมอภาค

จุดเปลี่ยนสำคัญธนาคารแห่งประเทศไทยกับทิศทางดอกเบี้ยและเสถียรภาพ

ปี 2568 ยังเป็น “จุดเปลี่ยนผู้นำ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่การเลือกผู้ว่าฯ คนใหม่ระหว่าง “ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส” (เน้นเสถียรภาพการเงิน) และ “นายวิทัย รัตนากร” (แก้ปัญหาฐานราก) จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสถูกปรับลดอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพื่อประคองเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน แม้จะกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อและคุณภาพสินเชื่อ

งบประมาณ 2568การลงทุนภาครัฐสูงสุดในรอบ 17 ปี – หวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

งบประมาณปี 2568 อยู่ที่ 3.75 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุนสูงถึง 24.2% หรือ 908,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน เน้นยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และพัฒนาโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกัน “งบกู้ขาดดุล” กว่า 865,000 ล้านบาท ก็เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ

มาตรการเรือธงดิจิทัลวอลเล็ตกับข้อกังขาเรื่องความยั่งยืน

  • ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการเรือธง เติมเงินให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคนในระยะแรก และเตรียมขยายไปยังผู้สูงวัย 4 ล้านคน รวมถึงประชาชนทั่วไปต่อไป คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น
  • บ้านเพื่อคนไทย – โครงการคอนโดมิเนียมรัฐให้ผ่อนต่ำยาว 30 ปี หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยในเมือง
  • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน – เดินหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” “จ่ายตรง คงทรัพย์” และ “จ่ายตัดต้น” ช่วยกลุ่มหนี้ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อบ้าน/รถ

แต่เสียงสะท้อนจากสื่อและนักวิชาการ เตือนถึง “วินัยการคลัง” ที่อาจถูกกระทบจากการกู้เงินอัดฉีด โดยเฉพาะเมื่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้รัฐวิสาหกิจยังสูง หากการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเพียงการ “ดึงกำลังซื้ออนาคต” มาใช้ปัจจุบัน อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในภายหลัง

นโยบายโครงสร้างจุดเปลี่ยนแท้จริงของเศรษฐกิจไทย

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การเติบโตยั่งยืนต้องมาจากการ “ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่แค่กระตุ้นระยะสั้น รัฐบาลใหม่ต้องเร่งยกระดับทุนมนุษย์ แก้ช่องว่างทักษะดิจิทัล ส่งเสริมอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ขยายตลาดการส่งออกและสร้างความสามารถแข่งขันใหม่ รวมถึงปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย โปร่งใส และลดทุจริต

เส้นทางเศรษฐกิจไทยระหว่างโอกาสและกับดัก

ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2568 เปรียบเสมือนการขับเรือกลางมรสุม แม้มี “คลื่นบวก” จากนโยบายรัฐและมาตรการลงทุน แต่รากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก และแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกยังคงสร้างความเปราะบางสูง นโยบายรัฐจะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเด็ดขาด-รอบคอบในการปฏิรูป สร้างโอกาสใหม่ และรักษาวินัยการคลังในระยะยาว

 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. เน้นลงทุนที่สร้างผลิตภาพระยะยาว เช่น ดิจิทัล-โครงสร้างพื้นฐาน-ทุนมนุษย์ มากกว่าการอัดฉีดชั่วคราว
  2. รักษาวินัยการคลัง พร้อมบริหารหนี้สาธารณะอย่างยั่งยืน วางแผนงบประมาณระยะปานกลางชัดเจน
  3. ส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้าง เร่งพัฒนาทุนมนุษย์ ระบบการศึกษา และอุตสาหกรรมใหม่ สร้างความสามารถแข่งขัน
  4. ลดอุปสรรคการลงทุน-เพิ่มความโปร่งใส สร้างกลไกติดตาม-ประเมินผลนโยบายแบบเรียลไทม์
  5. พัฒนานโยบายการเงินและบริหารหนี้เชิงรุก ประสานระหว่างธปท.และรัฐบาลเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงิน

บทสรุป

รัฐบาลใหม่ปี 2568 เผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย แม้นโยบายลงทุนและมาตรการกระตุ้นจะสร้างคลื่นหวังในระยะสั้น แต่โจทย์หลักคือการเร่งปฏิรูปโครงสร้างให้สำเร็จ สร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตอย่างแท้จริง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพมนุษย์และความสามารถแข่งขันของประเทศ ไทยจะพลิกวิกฤตนี้ได้หรือไม่ ยังต้องติดตามบทพิสูจน์ต่อไปในอีก 1 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ SCB EIC
  • สถาบันวิจัย TDRI
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตภาษีสหรัฐฯ ผู้ว่าฯ ธปท. เตือน SME เร่งปรับตัว

ประเทศไทยเผชิญพายุภาษีสหรัฐฯ มุมมองผู้ว่าการแบงก์ชาติและทางออกเพื่ออนาคต

กรุงเทพฯ, 12 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ ในงาน “Meet the Press: ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน ครั้งที่ 1/2568” เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจไทยท่ามกลาง “พายุ” ทางเศรษฐกิจ พร้อมนำเสนอแนวทางรับมือที่เน้นความยั่งยืนและการปรับโครงสร้างเพื่ออนาคต

ความไม่แน่นอนจากพายุภาษีสหรัฐฯ

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย นโยบายนี้สร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลก โดย ดร.เศรษฐพุฒิ เปรียบสถานการณ์นี้เป็น “พายุ” ที่อาจกินเวลานานและไม่คลี่คลายง่าย ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ จะเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีออกไป 90 วัน แต่การเจรจากับหลายประเทศที่มีจำนวนมากทำให้มองเห็นความท้าทายในการหาข้อสรุปที่ชัดเจน

“พายุลูกนี้จะใช้เวลานาน ไม่น่าจะจบเร็ว การเจรจาคงไม่ง่าย และอาจไม่จบลงด้วยดีในทุกกรณี” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวในงานแถลงข่าว

ผลกระทบจากมาตรการภาษีนี้คาดว่าจะเริ่มชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 โดยจุดต่ำสุดของผลกระทบอาจอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าผลกระทบในครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าวิกฤตโควิด-19 หรือวิกฤตการเงินปี 2540 แต่ก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากความลึกและระยะเวลาของผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยและความเปราะบางของ SME

ธปท. ประเมินว่ามี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับผลกระทบหนักจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในปริมาณสูง ได้แก่:

  1. เครื่องใช้ไฟฟ้า
  2. ยานยนต์และชิ้นส่วน
  3. ยางล้อ
  4. อาหารแปรรูป
  5. อิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่อเนื่องไปยังสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังจีนหรือเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่มุ่งสู่สหรัฐฯ

อีกหนึ่งความกังวลสำคัญคือการที่สินค้าจากต่างประเทศอาจ “ทะลัก” เข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด เนื่องจากสินค้าราคาถูกจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย

“การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจกระทบ SME ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ภาครัฐควรใช้มาตรการทางการค้า เช่น การตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว

นโยบายการเงินและการคลังที่ต้องแม่นยำ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพื่อรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบจากพายุภาษีในขั้นต้น แต่หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด ธปท. พร้อมทบทวนนโยบายเพิ่มเติม

“กระสุนทั้งฝั่งนโยบายการเงินและการคลังมีจำกัด ต้องใช้อย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ดร.เศรษฐพุฒิ เน้นย้ำ

ในด้านนโยบายการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. แนะนำว่ารัฐบาลควรหลีกเลี่ยงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “ปูพรม” เช่น การแจกเงินผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากผลกระทบจากพายุภาษีมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน การกระตุ้นการบริโภคอาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงินไปยังสินค้านำเข้า ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดดุลการค้า

“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตควรได้รับการทบทวนในแง่ความคุ้มค่าและประสิทธิผล โดยเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น สินค้าต่างชาติที่อาจทะลักเข้ามา” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชื่นชมรัฐบาลที่รับฟังข้อเสนอของ ธปท. และยอมทบทวนโครงการดังกล่าว

ในส่วนของมาตรการเฉพาะเจาะจง ธปท. สนับสนุนการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น SME ในอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องออกแบบให้ตรงจุดและไม่ครอบคลุมกว้างเกินไป เพื่อป้องกันการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

โอกาสท่ามกลางวิกฤตและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่าพายุภาษีสหรัฐฯ เป็นโอกาสให้ประเทศไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว หากประเทศไทยยังยึดติดกับรูปแบบการเติบโตแบบเดิม เช่น การพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรหรืออุตสาหกรรมหนัก อาจทำให้การเติบโตชะลอตัวลงในอนาคต การปรับตัวในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม

หนึ่งในแนวทางที่ผู้ว่าการ ธปท. เสนอคือการยกระดับภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เน้นมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมสูงวัยทั้งในไทยและทั่วโลก ตลาดนี้มีศักยภาพเติบโตสูงและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ของประเทศ

“ในช่วงที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง การทำธุรกิจที่ ‘ขาวสะอาด’ มีความสำคัญ การพัฒนากาสิโนอาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดู ‘สีเทา’ ซึ่งไม่เหมาะสมในบริบทปัจจุบัน” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชี้ว่า การพัฒนาศูนย์สุขภาพจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าและสอดคล้องกับจุดแข็งของไทย

นอกจากนี้ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การลงทุนในเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว โครงการอย่าง “Financial Landscape” และ “Open Data” ที่ ธปท. กำลังผลักดัน จะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน

ความท้าทายในอนาคตการเปลี่ยนผ่านผู้ว่าการ ธปท.

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุภาษีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ ดร.เศรษฐพุฒิกำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ในวันที่ 30 กันยายน 2568 การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากผู้ว่าการคนใหม่จะต้องรับมือกับความท้าทายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการประสานงานกับรัฐบาลที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน

คณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. นำโดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน 2568 ผู้สมัครที่มีศักยภาพ ได้แก่:

  1. ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ผู้มีประสบการณ์ยาวนานในนโยบายการเงินและการพัฒนาภูมิทัศน์ทางการเงิน
  2. ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และตลาดทุน
  3. ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ผู้มีประสบการณ์บริหารทั้งในภาครัฐและเอกชน
  4. ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อบาคัส ดิจิทัล ผู้มีเครือข่ายทางการเมืองและประสบการณ์ในวงการการเงิน
  5. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ อดีตรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการวิจัย
  6. ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ผู้มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติ

การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของไทยในช่วงเวลาที่ท้าทาย ผู้ว่าการคนใหม่จะต้องมีความสามารถในการประสานงานกับรัฐบาล ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นอิสระของ ธปท. เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบจากพายุภาษีสหรัฐฯ และสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ:
    • ในปี 2567 การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 17% ของการส่งออกทั้งหมด
    • อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 2.2% ของ GDP ประเทศไทย
    • แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  2. ผลกระทบต่อ SME:
    • SME ในประเทศไทยมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด แต่มีเพียง 30% ที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นทางการ
    • การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจทำให้ SME ในภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดถึง 20-30%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  3. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย:
    • อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ถูกปรับลด 2 ครั้งในปี 2568 จาก 2.50% เหลือ 2.00%
    • การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  4. หนี้ครัวเรือน:
    • หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2567 อยู่ที่ 90.8% ของ GDP ลดลงเล็กน้อยจาก 91.3% ในปี 2566
    • โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีผู้เข้าร่วมกว่า 500,000 ราย ณ เดือนเมษายน 2568
    • แหล่งอ้างอิง: ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

พายุภาษีสหรัฐฯ เป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปี 2568 แต่ก็เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่แม่นยำ การปกป้อง SME จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการลงทุนในภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าพายุครั้งนี้ไปได้

สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ แนะนำให้ติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน ส่วนรัฐบาลและ ธปท. ควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปราบมิจฉาชีพ บัญชีม้านิติบุคคล ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้มงวด

ธปท. เร่งปราบบัญชีม้านิติบุคคล จับมือหน่วยงานรัฐป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน

มาตรการเข้มงวด ป้องกันการใช้บัญชีนิติบุคคลในอาชญากรรมออนไลน์

ประเทศไทย, 14 มีนาคม 2568 – ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการยกระดับมาตรการจัดการ บัญชีม้านิติบุคคล หลังพบแนวโน้มมิจฉาชีพใช้ช่องทางนี้เป็นเครื่องมือก่ออาชญากรรมทางการเงินมากขึ้น โดยมีการบังคับใช้มาตรการเข้มงวด ทั้งการคัดกรองนิติบุคคลที่มีความเสี่ยง การติดตามพฤติกรรมทางการเงิน และการเพิ่มโทษแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า

นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงินของ ธปท. ระบุว่า หน่วยงานกำกับดูแลการเงินได้ดำเนินมาตรการหลายประการ เช่น การพัฒนา Central Fraud Registry (CFR) สำหรับแลกเปลี่ยนเส้นทางเงินและสนับสนุนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การออก พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มอำนาจให้สถาบันการเงินสามารถระงับบัญชีม้าได้อย่างรวดเร็ว และการปรับมาตรการตรวจสอบบัญชีม้านิติบุคคลให้เข้มงวดขึ้น

“มาตรการเหล่านี้ช่วยให้การเปิดบัญชีม้าทำได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันพบว่ามิจฉาชีพปรับเปลี่ยนไปใช้ บัญชีนิติบุคคล ในการหลอกลวงมากขึ้น จึงต้องมีการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดกับภาคธุรกิจเช่นเดียวกับที่ทำกับบัญชีบุคคล” นางรุ่งกล่าว

แนวทางป้องกันบัญชีม้านิติบุคคล

  1. ตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง
  • สถาบันการเงินจะเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณานิติบุคคลที่ขอเปิดบัญชี โดยเฉพาะกรณีที่กรรมการหรือหุ้นส่วนมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • หากพบว่านิติบุคคลมีความเสี่ยงสูง สถาบันการเงินสามารถ ระงับบัญชี และ จำกัดการใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ทันที
  1. ปรับปรุงกระบวนการจดทะเบียนนิติบุคคล
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้ออกคำสั่ง สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ที่ 3/2567 ซึ่งกำหนดให้กรรมการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชี HR-03 ของ ปปง. ต้อง แสดงตนต่อหน้านายทะเบียนก่อนการรับจดทะเบียน
  • นิติบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นบัญชีม้าจะถูก แจ้งต่อศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) เพื่อขยายผลและติดตามการกระทำความผิด
  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ
  • ธปท. ได้ร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (บช.สอท.), ปปง., กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และ AOC เพื่อรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลนิติบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัย
  • ข้อมูลบัญชีนิติบุคคลจะถูกนำเข้าสู่ Central Fraud Registry (CFR) เพื่อช่วยให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสามารถดำเนินการปราบปรามได้อย่างรวดเร็ว

การดำเนินคดีและสถิติที่เกี่ยวข้อง

พล.ต.ท. ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมิจฉาชีพมีแนวโน้มใช้ บัญชีนิติบุคคล ในการหลอกลวงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะใน กลุ่มบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการทำธุรกรรมผิดกฎหมาย

จากการสืบสวนพบว่า บัญชีนิติบุคคลสามารถโอนเงินได้ครั้งละจำนวนมาก โดยไม่ต้องใช้การสแกนใบหน้า ทำให้กลายเป็นช่องทางหลักของเครือข่ายมิจฉาชีพ ขณะที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กำลังพิจารณากำหนดนิยามบัญชีม้านิติบุคคล HR-03-1 และ HR-03-2 เพื่อให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าและอาชญากรรมทางการเงิน

  • บัญชีม้าในระบบธนาคารที่ถูกระงับ: 1.4 แสนราย รวม 1.92 ล้านบัญชี
  • บัญชีม้านิติบุคคลที่ถูกตรวจสอบโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า: มากกว่า 7.8 หมื่นราย
  • คดีอาชญากรรมทางออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า (2565 – ปัจจุบัน): ประมาณ 8 แสนบัญชี มูลค่าความเสียหาย 7-8 หมื่นล้านบาท
  • การตรวจค้นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า (ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา): 23 จุดทั่วประเทศ พบ บริษัทต้องสงสัย 190 บริษัท มูลค่าความเสียหาย 800 ล้านบาท เงินหมุนเวียน 5,000 ล้านบาท

ข้อคิดเห็นจากนักวิชาการและภาคธุรกิจ

นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่าการจัดการบัญชีม้านิติบุคคลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถแยกแยะระหว่าง นิติบุคคลที่ทำธุรกิจจริง กับ นิติบุคคลที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อกระทำความผิด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่สุจริต

นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงกำลังเร่งดำเนินการ ใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการเงิน และปรับปรุงกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่าน ศูนย์ปฏิบัติการ AOC เพื่อให้สามารถป้องกันอาชญากรรมออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุป:

  • ธปท. และหน่วยงานภาครัฐร่วมมือกันปราบปราม บัญชีม้านิติบุคคล อย่างจริงจัง
  • มาตรการใหม่เน้น การตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยง, ควบคุมการเปิดบัญชี, และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานรัฐ
  • สถิติแสดงให้เห็นว่าบัญชีม้านิติบุคคลกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีมาตรการเข้มงวดกับบัญชีบุคคลธรรมดาแล้วก็ตาม
  • ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รัฐบาลใช้ เทคโนโลยี AI และข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อยกระดับการตรวจสอบและดำเนินคดีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย / กรมพัฒนาธุรกิจการค้า / สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน / กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ธปท.เปิดโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ หนุนลูกหนี้รายย่อยและ SMEs

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 เปิดตัวโครงการช่วยหนี้รายย่อย คุณสู้ เราช่วย ทั้ง จ่ายตรง คงทรัพย์ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย และ จ่าย ปิด จบ ลดภาระหนี้ NPL ที่ยอดหนี้ไม่สูง ช่วยลูกหนี้ 1.9 ล้านราย 2.1 ล้านบัญชี จากหนี้ 8.9 แสนล้านบาท

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ออกมาตรการชั่วคราวเพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม ภายใต้ชื่อ โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งในช่วงเริ่มต้น การช่วยเหลือจะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังนี้

มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์”

เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินหนี้ไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้น

รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ

(1) ลดค่างวดเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำที่ 50% 70% และ 90% ของค่างวดเดิม ในปีที่ 1 ปีที่ 2 และปีที่ 3 ตามลำดับ ซึ่งค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น

(2) พักดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยดอกเบี้ยที่พักไว้จะได้รับยกเว้นทั้งหมด หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขได้ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่อยู่ภายใต้มาตรการ

ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถชำระมากกว่าค่างวดขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้ เพื่อตัดเงินต้นเพิ่มและปิดจบหนี้ได้ไวขึ้น

คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้

(1) มีวงเงินสินเชื่อรวมต่อสถาบันการเงินไม่เกินที่กำหนด โดยพิจารณาแยกวงเงินตามประเภทสินเชื่อต่อสถาบันการเงิน ดังนี้

o สินเชื่อบ้าน / บ้านแลกเงิน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท

o สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงินไม่เกิน 8 แสนบาท

o สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาท

o สินเชื่อธุรกิจ SMEs วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท

o กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต หากมีหนี้บ้านหรือรถที่เข้าเงื่อนไขข้างต้น สามารถพิจารณาเข้ามาตรการรวมหนี้ได้ ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินรับได้ โดยวงเงินเมื่อรวมแล้วไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด

(2) เป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567

(3) มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ 

(3.1) เป็นหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน 

(3.2) เป็นหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

เงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการ

(1) ลูกหนี้ไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ ยกเว้นกรณีสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง เจ้าหนี้สามารถให้สินเชื่อเพิ่มเติมได้โดยจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามความเหมาะสม

(2) ลูกหนี้รับทราบว่า จะมีการรายงานข้อมูลต่อเครดิตบูโร (NCB) ถึงการเข้าร่วมมาตรการ

(3) หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระค่างวดขั้นต่ำได้ตามที่มาตรการกำหนด หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ได้ เช่น ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน ลูกหนี้จะต้องออกจากมาตรการและชำระดอกเบี้ยที่ได้รับการพักไว้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ

(4) หากสัญญาสินเชื่อมีผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องให้ความยินยอมในการเข้าร่วมมาตรการและลงนามในสัญญาค้ำประกันใหม่

มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” 

เป็นการช่วยลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อเปลี่ยนสถานะจากหนี้เสียเป็นปิดจบหนี้ และให้ลูกหนี้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้

 
 
รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ

ลูกหนี้จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลูกหนี้จะชำระหนี้บางส่วน เพื่อให้สามารถจ่ายและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น

คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้

(1) ลูกหนี้บุคคลธรรมดา ที่มีสถานะค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (NPL) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 

(2) มีภาระหนี้ต่อบัญชี ไม่เกิน 5,000 บาท โดยไม่จำกัดประเภทสินเชื่อ (สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี)

ในระยะต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Non-Bank อื่น ๆ จะมีความช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการ ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” สามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการและสมัครเข้าร่วมได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 23.59 น. ทั้งนี้ ลูกหนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ BOT contact center ของ ธปท. โทร 1213 หรือ call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการและกดเบอร์ต่อ 99

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

แก้ประกาศปล่อยสินเชื่อรวมรายได้ ซื้อรถยนต์ได้ คาดปลายปีแล้วเสร็จ

 

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายในเดือนธันวาคม 2567 ธปท.จะมีการแก้ประกาศผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ในส่วนของสินเชื่อรถยนต์ ในเรื่องของ “การขอกู้ร่วม” ภายหลังจากมีการเปิดรับฟังความคิดเห็น (Hearing) ร่วมกับสมาคมธุรกิจเช่าซื้อ ผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และเจ้าหนี้เช่าซื้อ

“ตอนนี้เราส่งเฮียริ่งเจ้าหนี้ ประกาศตามกฎหมายยังไม่ออก แต่เช่าซื้อภายใต้แบงก์ชาติมีแค่เช่าซื้ออันเดอร์แบงก์ที่มีตัวเลขรายงาน ธปท.มีประมาณ 65% ของตัวเลขทั้งหมด ระหว่างนี้เราแจ้งแบงก์ว่า หากจะทำก่อนก็ได้ และเราจะแก้ประกาศตาม เพื่ออยากให้เร็ว แต่เรื่องปัญหาเช่าซื้อที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อจะมาจากปัญหากู้ร่วมน้อยมาก แต่ส่วนใหญ่มาจากปัญหาราคารถมือสองมันเยอะ จึงกระทบกับตลาดรถยนต์โดยรวมทั้งมือหนึ่งและมือสอง ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แบงก์ก็เพิ่ม Underwriting กระทบทั้งฝั่งดีมานด์และซัพพลาย”

นางสาวสุวรรณีกล่าวเพิ่มว่า ภาพรวมสินเชื่อรถยนต์ที่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้ายื่นขอสินเชื่อน้อยลง อาจจะเป็นผลมาจากมีรถยนต์ใช้แล้ว หรือรายได้ไม่เพียงพอในการผ่อนชำระ จึงชะลอการขอสินเชื่อ

ขณะเดียวกัน ธนาคารหรือผู้ประกอบเช่าซื้ออาจจะมีการปรับเพิ่มเครดิตรับความเสี่ยงลูกค้ามากขึ้น (Cut of Score) เนื่องจากโดยธรรมชาติการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ผู้ประกอบการจะเจอกับ Loss on Sale อยู่ที่ประมาณ 20% เพราะเมื่อรถซื้อไปใช้ไปและเวลาขายขาดทุน ซึ่งในภาวะปกติค่าความเสียที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Loss : EL) ของผู้ประกอบการจะอยู่ที่ 6%

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่าตลาดรถใช้แล้ว หรือรถมือสองตกลงมาค่อนข้างมาก 50% ทำให้ Loss on Sale จาก 20% เพิ่มเป็น 50% ส่งผลให้ผู้ประกอบการรับความเสี่ยงได้น้อยลง จึงเป็นที่มาธนาคารคัดกรองคุณสมบัติของลูกค้าเข้มขึ้น โดยที่เกณฑ์ของ ธปท.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อ แต่เกิดจากสภาวะของตลาดรถยนต์เอง และปัจจัยต่อมาคือ จากภาวะเศรษฐกิจลูกหนี้มีคุณสมบัติที่ตึงเอง จึงยื่นการขอสินเชื่อน้อยลง ซึ่งเป็นเรื่องของดีมานด์และซัพพลาย

อย่างไรก็ตาม เมื่อรถมือสองมีปัญหาราคาตก ก็ส่งผลต่อตลาดรถมือหนึ่ง หากดูตลาดเช่าซื้อ เมื่อซื้อรถมาและไม่สามารถผ่อนได้ และเกิดการขายดาวน์ เช่น ผ่อนมา 30 งวด เหลืออีก 30 งวดผ่อนไม่ไหว จึงไปหาคนซื้อดาวน์ เช่น ผ่อนไปแล้ว 5 แสนบาท เหลือผ่อนอีก 3 แสนบาท จากราคาเต็ม 8 แสนบาท แต่ปรากฏว่าราคาในตลาดเหลือแค่ 3 แสนบาท และไปซื้อเต็นท์รถเหลือแค่ 2 แสนบาท จึงไม่มีใครมาซื้อดาวน์ต่อ ทำให้ตลาดรถยนต์ออกมาดูค่อนข้างแย่

“กลุ่มที่เราห่วงคือ กลุ่มเปราะบางรายได้น้อย ซึ่งในตอนต้นการขอกู้ภรรยาเป็นคนขอกู้ แต่รายได้ภรรยาไม่เพียงพอ จึงนำสามีมาค้ำประกัน ซึ่งโดยปกติก่อนหน้านี้นำรายได้มารวมกัน หากเป็นกรณีอยู่ในครอบครัวเดียวกันก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ไม่อยากเห็น สมมติ เช่น คนกู้และคนค้ำอาจจะขายของแผงติดกัน ซึ่งอาจจะช่วยโดยไม่รู้ว่าคนกู้ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ ซึ่งเป็นเหมือนทำร้ายคนค้ำประกัน ดังนั้น กำหนดให้ธนาคารว่าเวลาปล่อยกู้และพิจารณารายได้รวม ให้พิจารณาว่ามีรายได้พอกินพอใช้หรือไม่ เพื่อคุ้มครองผู้ค้ำประกัน จริง ๆ เป็นผู้ค้ำประกัน แต่ในชีวิตจริงเป็นผู้กู้ร่วม”

“เราจะทบทวน หากเป็นการค้ำประกันในครอบครัวเดียวกัน เช่น แม่ค้ำให้ลูก สามีค้ำให้ภรรยา จะยอมให้นับรายได้ของผู้ค้ำมารวมด้วย จากเดิมเกณฑ์จะกำหนดให้ใช้รายได้ของผู้กู้เป็นหลัก เราจะผ่อนเกณฑ์ให้นับรายได้ของผู้ค้ำประกันที่เป็นคนในครอบครัวด้วย เพื่อช่วยคลายปัญหาธุรกิจเช่าซื้อได้บางส่วน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ธนาคารแห่งประเทศไทย เตือนมีคน โอนเงินผิดมาหาเรา อย่าโอนคืนเองเด็ดขาด

 

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยแพร่ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ โอนเงินผิดบัญชี เกิดเรื่องต้องทำอย่างไร?เทคโนโลยีระบบการชำระเงินที่ทันสมัยทำให้การจ่ายหรือโอนเงินกลายเป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้วสัมผัส แต่ผู้ใช้บริการเองก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้งานเช่นกัน เราอาจจะเคยได้ยินเรื่องโอนเงินผิดบัญชี ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่เราโอนผิดเอง หรือมีคนโอนผิดมาที่เรา แล้วไม่รู้ว่าจะต้องแก้ไขอย่างไร Financial Wisdom ฉบับนี้จะมาเล่าถึงวิธีการที่ถูกต้องในการจัดการกับปัญหาเรื่องนี้กัน

 

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เมื่อมีการโอนเงินผิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการโอนที่สาขาของธนาคาร ทางตู้ ATM หรือ mobile banking ธนาคารจะไม่มีอำนาจในการดึงเงินกลับคืนเข้าบัญชีต้นทาง เว้นแต่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้รับโอนผิดเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องมีขั้นตอนการดำเนินการ โดยสามารถแบ่งการโอนเงินผิดได้เป็น 2 กรณีด้วยกัน

 

หากเราโอนเงินผิดบัญชีไปบัญชีคนอื่น ถ้าเป็นคนที่เรารู้จักกันก็สามารถพูดคุยเพื่อขอให้เขาโอนเงินคืนกลับมาให้เราได้เลย แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักกันจะมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมา อย่างแรก เมื่อเรารู้แล้วว่าเราโอนเงินไปผิดบัญชี ให้เราไปติดต่อธนาคารของเรา (ธนาคารต้นทาง) เพื่อสอบถามว่าธนาคารต้องการเอกสารอะไรบ้าง เนื่องจากแต่ละธนาคารอาจใช้เอกสารไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราสามารถเตรียมได้ เช่น ข้อมูลวันเวลา จำนวนเงิน ช่องทางการโอนเงิน ถ้าทำรายการที่ตู้ ATM ก็อาจจะเก็บสลิปใบบันทึกรายการไว้ แต่หากทำผ่าน mobile banking ก็เก็บ e-slip โอนเงินไว้ รวมทั้งอาจจะเตรียมหลักฐานเอกสารอื่น ๆ ที่ธนาคารอาจจะขอ เช่น ใบคำร้องขอตรวจสอบการโอนเงินผิดบัญชี สำเนาบัตรประชาชน หรือหากเป็นการโอนเงินผิดไปต่างธนาคาร ธนาคารบางแห่งอาจร้องขอใบแจ้งความเป็นหลักฐานเพิ่มเติมด้วย

 

เมื่อธนาคารรับแจ้งปัญหาเรียบร้อยแล้วก็จะแจ้งระยะเวลาการดำเนินการให้เราทราบ และจะเป็นผู้ประสานงานติดต่อบัญชีปลายทางเพื่อให้ความยินยอมโอนเงินคืนกลับมาต่อไป ถ้าผู้รับโอนยินยอมคืนเงิน ธนาคารก็จะโอนเงินเข้าบัญชีให้กับเรา แต่ถ้าผู้รับโอนไม่ยินยอมคืนเงินหรือติดต่อไม่ได้ เราสามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อออกคำสั่งทางกฎหมายให้ธนาคารของผู้รับโอนดำเนินการอายัดบัญชี หรือเปิดเผยข้อมูลบัญชีให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

ถ้าเขาโอนผิด

กรณีที่มีเงินโอนผิดเข้ามาในบัญชีของเราซึ่งจะคล้ายกับกรณีที่แล้ว คือถ้าเป็นคนรู้จักกัน ได้พูดคุยกันแล้วพบว่าเขาโอนเงินผิดมาจริง เราก็สามารถที่จะโอนเงินคืนเจ้าของบัญชีได้เลย แต่ถ้าไม่รู้จักกัน ทางที่ดีเราควรจะไปติดต่อธนาคารของเราโดยตรง เพื่อตรวจสอบก่อน ถ้าพบว่าเงินที่โอนเข้ามาผิดบัญชีจริง ๆ ก็ให้ความยินยอมแก่ธนาคารในการโอนเงินกลับไปให้เจ้าของบัญชี

สิ่งที่พึงระวังคือ

เราไม่ควรโอนเงินกลับเอง เพราะอาจจะเป็นกลลวงของมิจฉาชีพที่จะใช้บัญชีเราเป็นทางผ่านในการโอนเงินผิดกฎหมาย หรือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟอกเงิน ที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ “บัญชีม้า” ก็เป็นได้ โดยมิจฉาชีพจะขอให้โอนเงินเข้าอีกบัญชีหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นคนละธนาคาร คนละชื่อบัญชี โดยอ้างเหตุผลว่าโอนผิดบัญชีไปแล้ว ไหน ๆ จะต้องโอนเงินใหม่ ก็ฝากให้เราช่วยโอนเลยแล้วกัน กลายเป็นว่าเราทำเรื่องผิดกฎหมายโดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่ถ้าหากมีเงินโอนผิดเข้ามาในบัญชีของเราจริงโดยไม่ใช่กลโกงของมิจฉาชีพ แต่เราเลือกที่จะเพิกเฉย หรือนำเงินที่ได้มาไปใช้ เจ้าของเงินก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีกับเราได้เช่นกัน

 

วิธีการป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด

ก็คือการตรวจสอบข้อมูลการโอนเงินให้ถูกต้องก่อนยืนยันการโอนเงินทุกครั้ง สิ่งที่ทุกคนจะต้องดู คือ หมายเลขบัญชีหรือหมายเลขพร้อมเพย์ ชื่อบัญชี ชื่อธนาคาร และจำนวนเงินให้ถูกต้องก่อนที่จะกดยืนยันการโอนเงินไป หากเกิดกรณีโอนเงินผิดขึ้นมาจริงๆ ให้ตั้งสติ อย่าหลงเชื่อใครง่ายๆ จนยอมโอนเงินกลับเอง และควรรีบปรึกษาธนาคารเพื่อให้ธนาคารแนะนำว่าต้องดำเนินการอย่างไรจะดีที่สุด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ห้ามแบงก์ เก็บดอกเบี้ย ค่าปรับ หากลูกหนี้คืนก่อนครบกำหนด เริ่ม 1 ม.ค. 67

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งประกาศธปท.เรื่อง การกำหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (ฉบับที่ 2) ถึงธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศ ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศ บริษัทเงินทุน และบริษัทผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจเรียกเก็บดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าปรับ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ สำหรับกรณีผู้บริโภคไถ่ถอนหรือชำระคืนสินเชื่อก่อนครบกำหนด (prepayment fee) ทั้งจำนวนหรือบางส่วน เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการไถ่ถอนหรือชำระคืนสินเชื่อก่อนครบกำหนด หรือลดปัญหาอุปสรรคในการเปลี่ยนผู้ให้บริการ (refinance) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันของผู้ประกอบธุรกิจอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค

ทั้งนี้ ประกาศฉบับนี้ จะมีผลทั้งสำหรับสินเชื่อรายย่อยภายใต้กำกับ และผู้ให้บริการสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 

โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News