
“มงคล” ยื่น ป.ป.ช. สอบ “ทวี-อธิบดีดีเอสไอ” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีฮั้วเลือก ส.ว.
รัฐสภา, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – นาย มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา “ฮั้วเลือก ส.ว.” ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด อั้งยี่และฟอกเงิน
การยื่นเรื่องนี้เป็นไปตาม ความประสงค์ของสมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ที่มาของการร้องเรียน: ข้อกล่าวหาเรื่อง “ฮั้วเลือก ส.ว.”
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พร้อมคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมงคล สุระสัจจะ ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี และ พ.ต.ต.ยุทธนา โดยระบุว่าทั้งสองบุคคลมีพฤติกรรมเข้าข่าย
- กระทำผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
- ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
- อาจเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่และฟอกเงิน จากกรณีข้อกล่าวหาการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา
โดยหนังสือที่ยื่นถึงประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ได้รับการพิจารณา และ ดำเนินการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ในวันที่ 28 ก.พ. อย่างเร่งด่วน
พ.ต.อ.ทวี – พ.ต.ต.ยุทธนา อาจถูกสอบสวนอย่างละเอียด
กรณีนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ต้องเผชิญกับการพิจารณาจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งอาจนำไปสู่การไต่สวนในรายละเอียด และหากพบว่ามีมูลความผิดจริง อาจส่งผลให้ทั้งสองคนต้องรับโทษตามกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท
มาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ หากพิสูจน์ได้ว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม อาจนำไปสู่โทษสูงสุดคือ ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิทางการเมือง
ปฏิกิริยาทางการเมืองและผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล
การยื่นเรื่องสอบสวนในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการเมือง โดยเฉพาะในกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหา ส.ว.
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กรณีนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลและฝ่ายบริหาร เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงในหน่วยงานสำคัญ และหากมีการดำเนินคดี อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมของไทย
ขณะที่ สภาวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ อาจมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น หากพบว่าข้อกล่าวหานี้มีมูลจริง
แนวโน้มการพิจารณาของ ป.ป.ช. และกระบวนการต่อไป
หลังจากการรับเรื่องจากประธานวุฒิสภา ป.ป.ช. มีอำนาจในการ
- แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง
- เรียกพยานบุคคลและเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
- ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายฟอกเงิน
- เสนอมาตรการลงโทษทางกฎหมายและทางจริยธรรม
กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณหลักฐานและความซับซ้อนของคดี
สถิติที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตในไทย
- จำนวนคดีทุจริตที่ ป.ป.ช. รับเรื่องในปี 2567: 6,842 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
- จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง: 1,253 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
- จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส.: 187 คดี (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง – กกต.)
- คดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 157 ที่ ป.ป.ช. ส่งฟ้องในศาลอาญาคดีทุจริต: 82 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
บทสรุป
กรณีนี้ถือเป็น ประเด็นร้อนทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และ ระบบการตรวจสอบภาครัฐ หาก ป.ป.ช. มีมติรับไต่สวน คดีนี้อาจนำไปสู่ การเปิดโปงขบวนการทุจริตในวงการเมืองระดับสูง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รัฐบาลและวุฒิสภาจะต้องจับตา ผลสรุปของ ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด และคาดว่าการพิจารณาคดีนี้ จะเป็นที่จับตามองจากประชาชน และองค์กรต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสทางการเมืองของไทย
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐสภา