Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

เปิดเกมเศรษฐกิจ 2,400 ล้าน! เชียงรายเจ้าภาพ Spartan World Championship

เชียงรายจารึกประวัติศาสตร์กีฬาโลก คว้าเจ้าภาพ “Spartan SUPER World Championship” 3 ปีซ้อน (2026–2028) ผลักดันเมืองรองสู่เวทีนานาชาติ วางหมาก “Longer Stay” ปลุกเศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาท

เชียงราย,20 กันยายน 2568 — ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจคึกคักตั้งแต่เช้า ผู้บริหารภาครัฐ–เอกชน นักวิ่งแนว OCR และสื่อมวลชนหลากสำนักจับจ้อง “จุดเปลี่ยน” ใหม่ของเมืองเหนือ เมื่อจังหวัดเชียงรายลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับพันธมิตร 4 องค์กร เพื่อเดินหน้าผลักดันสิทธิ์เจ้าภาพจัด Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (พ.ศ. 2569–2571) ถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของเอเชีย หากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการตามโรดแมปของผู้จัดสากล

เอกสารความร่วมมือครั้งนี้มีผู้แทนร่วมลงนามได้แก่

  1. นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย,

  2. ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) – TCEB,

  3. Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc., และ

  4. นายบุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สารัตถะของ MOU ระบุกรอบความร่วมมือเพื่อผลักดันการจัดการแข่งขัน รอบชิงแชมป์โลกประเภท “Super 10K”สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี โดยตั้งเป้าให้เชียงรายก้าวขึ้นเป็น “เมืองเทศกาลระดับโลก” ใช้งานกีฬามวลชนเสริมพลังเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างคน และสร้างแบรนด์เมืองระยะยาว จังหวัดเชียงรายกำลังกลายเป็น “หมุดหมาย” หน้าใหม่ของเมืองเหนือสุดในสยาม เมื่อ 4 ภาคี อย่างสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEB, Spartan Race Inc. และบริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด—ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) เพื่อผลักดันให้เชียงรายเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Spartan SUPER World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี (ค.ศ. 2026–2028) ณ สิงห์ปาร์ค เชียงราย ช่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

สำหรับโลกกีฬา OCR (Obstacle Course Racing) นี่ไม่ใช่แค่งานวิ่ง แต่นี่คือ “บทพิสูจน์” ทั้งร่างกายและจิตใจ—คลาน ลุยโคลน ปีนป่าย แบกหาม และข้ามไฟ—การผสานความแข็งแกร่ง กำลังใจ และวินัยเข้าด้วยกัน ภายใต้แบรนด์ Spartan ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกและกำหนดมาตรฐานชนิดกีฬานี้ในกว่า 40–45 ประเทศทั่วโลก มีทั้งรายการระดับสมัครเล่นไปจนถึงชิงแชมป์ทวีปและชิงแชมป์โลก โดยประเภท “Super” มีระยะ 10 กิโลเมตร พร้อมอุปสรรคเฉลี่ยราว 25 ด่าน—โครงสร้างการแข่งขันระดับสากลที่แฟน ๆ OCR ทั่วโลกคุ้นเคยดี

Mr. Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก และ บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

Spartan เป็นแบรนด์ระดับโลกที่สร้างชุมชนจาก ความยืดหยุ่น (resilience), ความมุ่งมั่น (grit), ความแข็งแกร่ง (strength) และเหนืออื่นใดคือ ความเป็นหนึ่งเดียว (togetherness). ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงเชียงราย ผมเห็นทุกองค์ประกอบที่เราตามหา” — Matthew Brooke รองประธานอาวุโส ฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก Spartan Race Inc. กล่าวระหว่างพิธีลงนาม

จากห้องประชุม “ไลบรารี่ เล้าท์” สู่ปฏิทินโลก

พิธีลงนาม ณ ห้องไลบรารี่ เล้าท์ โรงแรมเฮอริเทจ จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 20 กันยายน 2568 เปรียบเสมือนการ “เลี้ยวเข้าสู่โค้งสุดท้าย” ของการเสนอสิทธิ์เมืองเจ้าภาพ โดยทั้ง 4 องค์กรแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันชัดเจน—เชียงรายพร้อมใช้มหกรรมกีฬาระดับโลกเป็น แม่เหล็ก (Magnet) กระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นการท่องเที่ยวคุณภาพสูง และยกระดับสมรรถนะการจัดงานนานาชาติของเมืองรองอย่างเป็นระบบ

ในเดือนตุลาคม 2568 ที่งาน Spartan SUPER World Championship 2025 ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา จะมีพิธีประกาศชื่อ “เชียงราย” บนเวทีโลกอย่างเป็นทางการ พร้อมพิธีโบกธงชาติไทย ซึ่งหมายถึงชื่อ “Chiang Rai” จะถูกบรรจุอยู่ในปฏิทินนานาชาติของ Spartan ตั้งแต่เดือนมกราคม 2569 เป็นต้นไป—คือจุดเริ่มต้นของการนับถอยหลังสู่รอบไฟนอลประเภท Super บนผืนดินเอเชียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเครือการแข่งขันนี้

“Spartan” คืออะไร ทำไมจึงเป็นเกมใหญ่ของเมือง

กีฬาประเภท OCR อยู่ภายใต้กรอบของ World Obstacle (FISO) องค์กรนานาชาติที่ทำงานด้านมาตรฐาน ความปลอดภัย และการยอมรับในระดับโลก โดย Spartan คือตัวแสดงหลักที่สร้างฐานแฟนจำนวนมากจาก “สนามมาตรฐาน + ประสบการณ์สนาม” ผ่านรายการหลากหลาย (Sprint/Super/Beast/Ultra ฯลฯ) และอีเวนต์เกือบตลอดทั้งปีในหลายทวีป

บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับ ประเภท “Super” ที่เชียงรายจะเป็นเจ้าภาพรอบชิงแชมป์โลกนั้น กติกาสากลากำหนด “วิ่ง 10K + อุปสรรค ~25 ด่าน” และเป็นขั้นกลางที่ท้าทายกว่าสาย Sprint อย่างมีนัยสำคัญ—นักกีฬาต้องมีความฟิตทั้ง upper body และ lower body รวมถึงทักษะการทรงตัว/สมดุล (body balance) เพื่อผ่านอุปสรรคบนเส้นทางธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะสนาม ซึ่งเป็นลายเซ็นของแบรนด์ Spartan ในทุกประเทศ

สปาร์ตันไม่ได้ต้องการ ‘การเอาชนะ’ แต่ต้องการ ‘การพิชิต’ (Conquer)—พิชิตสิ่งกีดขวางตรงหน้าไปทีละด่าน…” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รันริโอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงปรัชญาของงาน

ในมุมเชิงการแข่งขัน “เวิลด์แชมเปียนชิพ” ไม่ได้เปิดกว้างแก่ทุกคน เพราะผู้เข้าชิงตำแหน่งต้องผ่านรอบคัดเลือกในระดับ National Series / Regional Series สะสมแต้ม ผ่านระบบจัดอันดับและ Token เพื่อได้สิทธิ์ลงไฟนอล “Super” ซึ่งเป็นเส้นทางที่เข้มข้นคล้ายสนามสอบระดับประเทศ—จึงไม่น่าแปลกใจว่าจากผู้เข้าร่วม Spartan ทั่วโลกนับ ล้านคน/ปี จะมีเพียง “หยิบมือ” ที่ได้ตั๋วสู่ไฟนอล ทว่า “เอฟเฟกต์มวลชน” ของแบรนด์ยังเกิดขึ้นควบคู่ผ่านรายการ open class และกิจกรรมคอมมูนิตี้ในสัปดาห์อีเวนต์ ที่เปิดให้คนทั่วไปสัมผัสประสบการณ์ Spartan ได้เช่นกัน (บริบทจำนวนประเทศ/กิจกรรมภายใต้ Spartan อ้างอิงหน้าองค์กร)

เมืองรองสู่ “World Sport Tourism Destination” ทำไมต้องเชียงราย

สิงห์ปาร์ค เชียงราย คือแลนด์สเคปโล่งกว้าง รายล้อมไร่ชา–เนินเขา มีพื้นที่เพียงพอสำหรับวางคอร์สอุปสรรคหลายเซกเมนต์ รวมถึงโซนรีคัฟเวอรี/เอ็กซ์โป/แฟนโซน ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงครอบครัวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด—จุดถ่ายรูป, ปั่นจักรยาน, ไร่ชา, ซิปไลน์ และเทศกาลระดับนานาชาติอย่างบอลลูน—ช่วยผสาน “สนามแข่ง” กับ “เดสติเนชัน” ได้ในจุดเดียว (ข้อมูลทางการจาก ททท.)

ด้านการเดินทาง ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย (CEI) อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงราว 8–9 กิโลเมตร ใช้เวลารถยนต์ประมาณ 15–20 นาที (ขึ้นกับสภาพจราจรและจุดหมายปลายทาง) ซึ่งเป็นระยะที่เอื้อให้เกิด “ฮับรับ–ส่ง” สำหรับนักกีฬาต่างชาติและทีมงานได้สะดวกกว่าหลายเมืองแข่งขันในต่างประเทศ (อ้างอิงข้อมูลระยะทางสนามบิน/เมือง)

ปัจจัยเชิงระบบที่ช่วยหนุนอีกชั้นคือบทบาทของ TCEB ในฐานะหน่วยงานรัฐด้าน MICE—การประชุม, นิทรรศการ, อีเวนต์ระดับนานาชาติ—ซึ่งมี “เครื่องมือสนับสนุน” ทั้งด้านการประสานงาน, กลไกสนับสนุนเชิงงบประมาณตามหลักเกณฑ์, และการทำงานร่วมกับจังหวัด/เอกชนเพื่อให้การเป็นเจ้าภาพเกิดผลทางเศรษฐกิจสูงสุด (อ้างอิงเอกสารและรายงานผลการสนับสนุนของ TCEB)

ภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ TCEB

ผลกระทบทางเศรษฐกิจ 800 ล้านบาท/ปี กับ “ตัวคูณเวลาพำนัก”

ฝ่ายจัด–ภาครัฐคาดการณ์นักกีฬาและผู้ติดตามรวมกว่า 60,000 คน จาก กว่า 50 ประเทศ ตลอด 3 ปี และประเมินเม็ดเงินหมุนเวียน ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท) โดยมาจากค่าโดยสาร/โรงแรม/ร้านอาหาร/การท่องเที่ยวต่อเนื่อง–เชื่อมเมืองใกล้เคียง ตลอดจน มูลค่า PR ที่สะท้อนภาพลักษณ์จังหวัดสู่สายตาโลกผ่านคอนเทนต์ของแบรนด์และผู้ติดตามนับล้าน

แม้ตัวเลขดังกล่าวเป็น “ประมาณการ” จากเจ้าภาพ อย่างไรก็ดี ประสบการณ์ก่อนหน้าในไทยสะท้อนให้เห็นว่า Spartan ดึง ผู้เข้าร่วมเป็นพัน–หลักหมื่น และ ผู้ติดตามหลักหมื่น สร้างผลคูณรายได้ระดับ หลายร้อยล้านบาท ในเมืองท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ (รายงานจากสื่อกระแสหลัก) ซึ่งช่วยยืนยัน “ทิศทาง” ของตัวเลขที่เชียงรายตั้งความหวังไว้ได้ในระดับหนึ่ง

หัวใจสำคัญของผลคูณคือแผนยุทธศาสตร์ “Longer Stay Campaign”—ทำอย่างไรให้นักกีฬา/ทีมงาน/ผู้ติดตาม อยู่เชียงรายนานขึ้น ไม่ใช่แค่มา–แข่ง–กลับ หากยืดเวลาเป็น 7–14 วัน ผ่านกิจกรรมคู่ขนาน เช่น เทศกาลอาหาร “Taste of Spartan”, งานดนตรี After Party แนว world/ethnic, เส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม (ไร่ชา, ดอยตุง, คาเฟ่–กาแฟพิเศษ, วิถีชนเผ่ามลายู–ลาหู่–อาข่า ฯลฯ) และกิจกรรมอาสาสมัครชุมชน—ทั้งหมดนี้สอดรับภาพใหญ่ของ TCEB/MICE ที่ผลักดันเมืองรองไทยให้เป็น Sport Hub / Training Center ระดับเอเชีย

“ทำอย่างไรให้เขาอยู่เชียงราย สองอาทิตย์ ได้ไหม—นี่คือโจทย์” — บุญเพิ่ม อินทนปสาธน์ ชี้ทิศทางยุทธศาสตร์ที่ต้องขับเคลื่อนทั้งจังหวัดร่วมกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

สนาม” กับ “เมือง” โจทย์ความพร้อมที่ต้องไปด้วยกัน

ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวย้ำว่า “โอกาสแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อย หลายจังหวัดอยากได้ แต่วันนี้เกิดขึ้นที่เชียงราย” พร้อมระบุว่าทุกภาคส่วน—หน่วยงานรัฐ–เอกชน–สถาบันการศึกษา—จะบูรณาการกำลังคน/อาสาสมัคร/ลอจิสติกส์ เพื่อรองรับมาตรฐานสากลของงาน

โจทย์หลักที่ต้องเร่งวางแผนเชิงปฏิบัติการ ได้แก่

  1. ที่พัก–การเดินทาง: กระจายตัวรองรับนักกีฬาหลายหมื่นคนในสัปดาห์อีเวนต์ โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันปลายปี (ธ.ค.) ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปหนาแน่นอยู่แล้ว
  2. การจราจร–ความปลอดภัย: วางแผนเส้นทางเข้า–ออกสิงห์ปาร์ค, จุดจอดรับ–ส่ง, หน่วยแพทย์สนาม, ระบบสื่อสารฉุกเฉินตามมาตรฐาน OCR/Spartan
  3. สิ่งแวดล้อม–ชุมชน: จัดการขยะ/น้ำเสียจากอีเวนต์, ใช้วัสดุรีไซเคิลในแฟนโซน/เอ็กซ์โป, เปิดช่องทางให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นจำหน่ายสินค้า OTOP/Local และบริการทัวร์ชุมชน
  4. คน–ทักษะ (Upskill/Reskill): เตรียมอาสาสมัครสนาม/ล่าม/ช่างเทคนิคอุปสรรค, ฝึกอบรม first aid และความรู้ด้านมาตรฐานความปลอดภัยสากลของ OCR เพื่อสร้าง “ขีดความสามารถใหม่” ให้กับคนเชียงราย

นอกจากนั้น ภาคส่วนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ต้อง “จับคู่–ต่อยอด” กับ คอมมูนิตี้สปาร์ตัน ที่มีพฤติกรรมบริโภคเฉพาะ—อาหารสุขภาพ, กาแฟพิเศษ, เวิร์กชอปโยคะ/ฟื้นฟู, สปอร์ตกายภาพ—เพื่อยืดเวลาพำนัก ให้เงินหมุนเวียนอยู่ในจังหวัดนานขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนเวทีแถลง

นางนิตยา เกิดจันทึก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกีฬาอาชีพ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)

เรื่องเล่าจากสนาม จาก “โคลน–เชือก–ไฟ” สู่ “ภาพจำเชียงราย”

หากมองผ่านเลนส์สื่อสังคมออนไลน์ โพสต์จากนักกีฬาสปาร์ตันทรงพลังเสมอ—รอยยิ้มตอนข้ามไฟ, มือที่ยื่นดึงเพื่อนข้ามกำแพง, หรือภาพพื้นโคลนที่ใคร ๆ ภูมิใจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก—ทุกเฟรมคือ “PR ธรรมชาติ” ที่ยากประเมินมูลค่า เมื่อเชียงรายกลายเป็นฉากหลังของคอนเทนต์ระดับโลก ภาพไร่ชา–ภูเขา–ศิลปะวัดวา (เช่น วัดร่องขุ่น/วัดร่องเสือเต้น) จะค่อย ๆ กลายเป็น ภาพจำใหม่ ของเดสติเนชันกีฬาเอาท์ดอร์ในเอเชีย—นี่คือ เสถียรภาพทางภาพลักษณ์ (reputation capital) ที่ขยายเวลานานกว่าสัปดาห์แข่งขัน

ประสบการณ์ในไทยก่อนหน้านี้ สะท้อนว่าเมืองเจ้าภาพได้รับแสงสปอร์ตไลต์ชัดเจน: The Nation เคยรายงานว่าอีเวนต์ Spartan Thailand 2023 สองสนามใหญ่ (พัทยา–ภูเก็ต) “คาดต้อนรับนักกีฬากว่า 10,000 คน และสร้างรายได้รวมกว่า 500 ล้านบาท” ขณะที่ Bangkok Post ระบุสนามเชียงใหม่ปี 2022 คาดผู้เข้าร่วมกว่า 4,000 คนจาก 30 ประเทศ และเม็ดเงินหมุนเวียนราว 300 ล้านบาท—กรณีศึกษาที่ส่งสัญญาณว่าหากเชียงรายวาง Longer Stay ได้ตรงใจและทำ “แพ็กเกจกีฬา + เที่ยว” ให้โดนตลาดสากล เม็ดเงิน 800 ล้านบาท/ปีอาจไม่ไกลเกินเอื้อม

เชียงรายในสมการ “MICE + Sport” จากสนามสู่ระบบนิเวศเศรษฐกิจ

บทบาทของ TCEB สำคัญยิ่งในเฟสหลังประกาศเมืองเจ้าภาพ—ไม่เพียงสนับสนุนอีเวนต์หลัก แต่ยังสามารถ “ต่อยอด” ด้วยการดึง การประชุม/ประชุมเชิงปฏิบัติการ ของเครือข่าย Spartan (เจ้าหน้าที่เทคนิค, ผู้ตัดสิน, ทีมจัดการความปลอดภัย, ผู้จัดซีรีส์ทวีป) มาจัดในไทยช่วงก่อน–หลังอีเวนต์ เพื่อให้การใช้จ่ายของคณะทำงานกระจายสู่ภาคบริการมากขึ้น และช่วยสร้าง “องค์ความรู้” ให้คนท้องถิ่น—จากการจัดสนาม, บริหารอุปสรรค, ไปจนถึงการทำ event operations ตามมาตรฐานโลก (ข้อมูลบทบาท/เครื่องมือสนับสนุน TCEB)

ในชั้นเชิงนโยบาย “Sport Tourism” กำลังกลายเป็น Soft Power ด้านสุขภาพ–ไลฟ์สไตล์ของไทย เมืองที่เคยเป็น MICE City อย่างพัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ต่างใช้กลยุทธ์ “เทศกาลกีฬา” ดึงเม็ดเงินคุณภาพ—และเชียงรายซึ่งมีทุนวัฒนธรรม–ธรรมชาติชัดเจน พร้อมเครือข่ายเอกชน–สถาบันการศึกษา เข้าสู่ “วงจรดี” เดียวกันได้ หากยกระดับมาตรฐานและเปลี่ยน “อีเวนต์หนึ่งสัปดาห์” เป็น ฤดูกาลกีฬา (Sporting Season) ที่ต่อเนื่องตลอดปี

คลี่ปม–จับมือ–เดินหน้า งานใหญ่ของ “ทั้งเมือง”

การเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship ไม่ใช่งานของคนกีฬาเพียงกลุ่มเดียว แต่เป็นงานของ “ทั้งเมือง”—ตั้งแต่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร ผู้ผลิตของที่ระลึก ไปจนถึงชุมชนท้องถิ่นและเยาวชนที่จะเข้ามาเป็นอาสาสมัครสนาม ทุกวงจรล้วนอยู่ในสมการรายได้ของจังหวัดดังนี้

  • ก่อนงาน (T-12 ถึง T-1 เดือน): โฟกัสการก่อสร้าง/ทดสอบอุปสรรค, ฝึกกำลังคน, เปิดคอร์ส trial, เดินสายโปรโมต “แพ็กเกจ Longer Stay” และดีล early bird สำหรับทัวร์เนินเขา–ไร่ชา–คาเฟ่–งานคราฟต์ (ใช้หน้าที่วัด/ชุมชนเป็นเวทีย่อย)
  • สัปดาห์งาน (T-0): โฟกัสความปลอดภัย–โลจิสติกส์–การจราจร, จัดโซน Fan Village ที่เน้นสินค้าชุมชน/OTOP, ตั้ง “ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวกีฬา” เชื่อมเส้นทางต่อยอดหลังจบแข่ง
  • หลังงาน (T+1 ถึง T+4 สัปดาห์): เก็บข้อมูล spend per capita และ length of stay, ทำแผนเยียวยาสิ่งแวดล้อม (เก็บขยะ, คืนสภาพสนาม), ทำคอนเทนต์ “Best Moments of Chiang Rai” ร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์/ทีมถ่ายทอด เพื่อรีมาร์เก็ตติ้งสู่ฤดูกาลถัดไป

หากทุกฟันเฟืองเดินไปทิศเดียวกัน เป้าหมาย “เศรษฐกิจสะพัด 2,400 ล้านบาทใน 3 ปี” ย่อมมีฐานรองรับจริง—ไม่ใช่เพียงตัวเลขในสไลด์งานแถลง

จาก “สนามโลก” สู่ “เมืองโลก”

การเลือกเชียงรายเป็นเจ้าภาพ Spartan SUPER World Championship 2026–2028 คือ “สัญญาณ” ว่าเมืองรองของไทยพร้อมยืนบนเวทีกีฬาโลก—ไม่ใช่ด้วยสนามกีฬาอันทันสมัยเพียงอย่างเดียว แต่ด้วย ภูมิทัศน์ธรรมชาติ, ทุนวัฒนธรรม, และ ระบบคน–บริการ ที่กำลังจะได้รับการยกระดับครั้งใหญ่

“วันนี้ ทุกภาคส่วนจะร่วมมือกัน เพื่อเป็นเจ้าภาพร่วมอย่างสง่างาม”—คำกล่าวของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สอดรับกับวิสัยทัศน์ของ TCEB และพันธมิตร Spartan/รันริโอ

เส้นทางข้างหน้ามีทั้ง “โคลน–เชือก–กำแพง” ให้เชียงรายต้องพิชิตทีละด่าน—แต่หาก “ทีมเชียงราย” เดินไปพร้อมกัน เป้าหมาย เมืองกีฬา–ท่องเที่ยวระดับโลก ที่คนทั้งโลกอยากมา “วิ่ง–พัก–ใช้ชีวิต” ที่นี่อย่างน้อย สองสัปดาห์ ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม

ตัวเลข “ผู้เข้าร่วมรวม 60,000 คน” และ “เม็ดเงินสะพัด 800 ล้านบาท/ปี (รวม 2,400 ล้านบาท/3 ปี)” เป็น ประมาณการจากผู้จัดและหน่วยงานคู่สัญญาในการลงนาม MOU วันที่ 20 กันยายน 2568 ซึ่งผู้เขียนข่าวระบุแหล่งที่มาไว้โดยชัดแจ้ง และนำไปเทียบเคียงกับผลลัพธ์งาน Spartan ในไทยที่มีรายงานอย่างเป็นทางการจากสื่อกระแสหลักก่อนหน้าเพื่อประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจแตกต่างตามภาวะเศรษฐกิจโลก สภาพอากาศในช่วงจัดงาน กำลังซื้อ และปัจจัยหน้างานอื่น ๆ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • World Obstacle (FISO)
  • Spartan Race (Global/Thailand)
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (TAT)
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • Thailand Convention & Exhibition Bureau (TCEB)
  • The Nation Thailand และ Bangkok Post.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

งบช่วยเหลือกว่า 600 ล้านบาท! เชียงรายสรุปผลฟื้นฟูหลังน้ำท่วมระยะที่ 2

เชียงรายติดตามฟื้นฟูหลังอุทกภัยระยะที่ 2 สรุปงบช่วยเหลือกว่า “600 ล้านบาท” เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางจากเยียวยาเร่งด่วนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — ห้องประชุม “จอมกิตติ” ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงรายตัวแทนจากหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทุกสายตาจับจ้องไปยังวาระเดียวกัน—การติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยระยะที่ 2 ควบคู่กับ แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ที่มุ่งยกระดับโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กลุ่มเปราะบาง หลังจังหวัดเผชิญวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2567

การประชุมที่มี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน มิใช่เพียงพิธีการสรุปตัวเลข หากแต่เป็น “จุดเปลี่ยน” จากงานบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน สู่การวางรากฐานพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชนพื้นที่เสี่ยงทั้งลุ่มน้ำกก—อิง—โขง โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพด้านสังคม เศรษฐกิจ สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐาน เข้าร่วมรายงานความคืบหน้าอย่างพร้อมเพรียง

“ผมย้ำกับทุกหน่วยงานว่า ความช่วยเหลือต้อง เร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และเดินหน้าไปด้วยกันถึงเส้นชัยของการพัฒนา ไม่ใช่หยุดที่ปลอบประโลมระยะสั้น” ผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวในที่ประชุม สะท้อนทิศทางการทำงานแบบ “เยียวยาเชื่อมพัฒนา” ที่จังหวัดต้องการเห็นผลเป็นรูปธรรม

บาดแผลจากน้ำ และพลังความร่วมมือที่ล้นหลาม

กันยายน–ตุลาคม 2567 น้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และวาตภัย สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในเชียงราย ครัวเรือนกว่า 35,124 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บ้านพังเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง เหตุการณ์ครั้งนั้นผลักให้ทุกภาคส่วนขยับอย่างพร้อมเพรียง—ตั้งแต่ มติคณะรัฐมนตรี, กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี, เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด, ไปจนถึง งบ อปท. และ กองทุนรับบริจาคจังหวัดเชียงราย เพื่อระดมทรัพยากรให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุด

หนึ่งปีผ่านไป จังหวัดสรุปผลการดำเนินงาน “ระยะที่ 2” ได้อย่างชัดเจน ดังนี้

1) เงินช่วยเหลือตามมติ ครม. (17 ก.ย. และ 8 ต.ค. 2567)

  • ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครบ 35,124 ครัวเรือน
  • วงเงินรวม 316,116,000 บาท
  • จ่ายครบทุกครัวเรือนแล้ว

2) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2567 (เงินบริจาค)

  • ยอดบริจาครวม 9,839,079.03 บาท
  • จ่ายค่าวัสดุก่อสร้างบ้าน 174 หลัง รวม 8,370,000 บาท
  • สมทบค่าดำรงชีพเพิ่มเติม ผู้ประสบภัยบ้านพังทั้งหลัง 160 ราย รวม 1,398,000 บาท
  • เบิกรวม 9,768,000 บาท

3) เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 (ในอำนาจผู้ว่าฯ)

  • วงเงินขยาย 100 ล้านบาท ช่วยเหลือแล้ว 98,056,678.50 บาท
  • วงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ช่วยเหลือแล้ว 295,240,930 บาท

4) ค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน (หลังน้ำลด)

  • ขอรับความช่วยเหลือ 17,384 ครัวเรือน และ ให้ความช่วยเหลือครบ 17,384 ครัวเรือน
  • วงเงินรวม 173,840,000 บาทเสร็จสิ้นแล้ว

5) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

  • ผู้เสียชีวิต 12 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือรวม 1,080,000 บาท
  • บ้านเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง ได้รับรวม 12,490,006 บาท
  • อนุมัติและจ่ายแล้วรวม 13,570,006 บาท

6) งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย

  • รวมการช่วยเหลือ 120,084,535 บาท
    • อบจ.เชียงราย จ่าย 48,937,375 บาท
    • เทศบาลนครเชียงราย จ่าย 26,707,500 บาท
    • อปท.อื่น ๆ จ่าย 44,439,660 บาท
  • ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เมื่อนำรายการสำคัญมาร้อยเรียง เรามองเห็น “โครงข่ายนิตย–การเงิน” ที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบตั้งแต่ระดับคณะรัฐมนตรีจนถึงอบต.ปลายน้ำ เงินบางส่วนมุ่งเยียวยาเร่งด่วน (เช่น ค่าดำรงชีพและค่าล้างโคลน) เงินบางส่วนวางรากฐานระยะยาว (เช่น วัสดุก่อสร้างบ้านและโครงสร้างพื้นฐานจำเป็น) ภาพรวมนี้สะท้อนความสามารถในการ “ซ่อมเมือง—ซ่อมคน” ของจังหวัดภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่

งบฯ ถึงมือครบแต่โจทย์ใหม่คือ “ความยั่งยืน”

ในเชิงปริมาณ ตัวเลขข้างต้นตอบคำถามสำคัญสามประการ

  1. ถึงมือใคร—เมื่อไหร่: จังหวัดยืนยันว่า ช่วยเหลือครบทุกครัวเรือน 35,124 ครัวเรือน ทั้งตามมติ ครม. และมาตรการเสริมจากแหล่งอื่น ๆ
  2. ช่วยเรื่องอะไร—มิติไหน: เงินถูกจัดสรรเพื่อ ยังชีพ—ที่อยู่อาศัย—ทำความสะอาด—ชดเชยความสูญเสีย ครบทั้ง 4 ช่วงวงจรภัยพิบัติ (ก่อน—ระหว่าง—หลัง—ฟื้นฟู)
  3. โปร่งใสแค่ไหน: ตัวเลขแยกรายโครงการ/แหล่งที่มา พร้อมสถานะ “เสร็จแล้ว” หลายส่วน ชี้ถึงการบริหารงานที่มี เอกสารอ้างอิงและหลักฐานการจ่าย ตรวจสอบย้อนกลับได้

แต่ในเชิงคุณภาพ โจทย์ระยะถัดไป คือการทำให้ครัวเรือนที่พึ่งพาน้ำ—ดิน—พื้นที่ทำกิน กลับมายืนได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กและสตรี ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรรายย่อย และแรงงานนอกระบบ ซึ่งสูญเสียทรัพย์สินและเครื่องมือประกอบอาชีพจากน้ำหลากครั้งก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดทิ้งท้ายในที่ประชุมว่า “ฟื้นบ้าน–ฟื้นถนนแล้ว ต้องฟื้น รายได้ และ โอกาส ให้เขา เราจะวัดผลการทำงานจากคุณภาพชีวิต ไม่ใช่จากยอดเบิกจ่ายเท่านั้น”

จากเยียวยาเร่งด่วน สู่แผน “พัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ” ของกลุ่มเปราะบาง

วาระสำคัญในห้องประชุมคือ รายงานผลการปฏิบัติตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ซึ่งจังหวัดทำคู่ขนานกับภารกิจซ่อมแซมระยะสั้น เป้าหมายคือ “สร้างเสริมความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ” ผ่าน 4 แนวทางหลักที่หน่วยงานรับผิดชอบได้เสนอความคืบหน้า ดังนี้

  1. ฟื้นอาชีพ—เข้าถึงทุน
  • จัดแพ็กเกจเครื่องมือทำกินให้ครัวเรือนเปราะบางในพื้นที่ลุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบ
  • เชื่อมกองทุนหมู่บ้าน/ธนาคารเพื่อการเกษตร/สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องอย่างถูกกฎหมาย
  • ฝึกอบรมทักษะอาชีพทางเลือกในช่วงฤดูฝน/น้ำหลาก เช่น แปรรูปอาหารท้องถิ่น การตลาดออนไลน์ของชุมชน
  1. ที่อยู่อาศัย—มาตรฐานปลอดภัย
  • บูรณาการวัสดุก่อสร้างจากกองทุน/เงินบริจาคกับแบบบ้านปลอดภัยราคาประหยัด
  • ยกระดับระบบเตือนภัยและจุดอพยพชั่วคราวในชุมชนเสี่ยง เพื่อปกป้องผู้สูงอายุและผู้พิการ
  1. สุขภาพ—สังคม—การคุ้มครอง
  • ทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่ติดตามโรคเรื้อรัง สุขภาพจิตหลังภัยพิบัติ และสิทธิประโยชน์ประกันสุขภาพ
  • ตั้ง “อาสาสมัครดูแลกลุ่มเปราะบาง” เครือข่ายหมู่บ้าน/วัด/โรงเรียน เพื่อประสานความช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดเหตุ
  1. โครงสร้างพื้นฐาน—ข้อมูลเสี่ยงภัย
  • เร่งซ่อมเส้นทางหลัก–รอง พร้อมจุดคอขวดที่ซ้ำซาก
  • พัฒนาแผนที่เสี่ยงดินถล่ม–น้ำท่วมระดับตำบล เชื่อมฐานข้อมูลหน่วยงานและแอปพลิเคชันแจ้งเตือนชุมชน

แม้รายละเอียดเชิงนโยบายของแต่ละโครงการยังอยู่ระหว่างเร่งรัดงบประมาณและกำหนดตัวชี้วัด แต่ทิศทางโดยรวมทำให้เห็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างงบเยียวยาในปีแรก กับงบพัฒนาคุณภาพชีวิตที่จะเริ่มเห็นผลใน 12–24 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะเป้าหมาย “รายได้คืนถิ่น—หนี้ลด—ความสามารถรับมือภัยพิบัติสูงขึ้น”

บทเรียนจากงบ 600 ล้านบาท สิ่งที่ทำได้ และสิ่งที่ต้องทำต่อ

หนึ่งปีหลังวิกฤต เชียงรายได้พิสูจน์แล้วว่ากลไกงบประมาณหลายชั้นสามารถขับเคลื่อนพร้อมกันได้ หากมีระบบติดตามและผู้รับผิดชอบชัดเจน สิ่งที่เห็นชัดจากการสรุปผลครั้งนี้ ได้แก่

  • ความครอบคลุม: เงินช่วยเหลือแตะทุกมิติ ตั้งแต่ค่าครองชีพ—ที่อยู่อาศัย—ทำความสะอาด—ชดเชยความสูญเสีย
  • ความรวดเร็ว: หลายโครงการ “เสร็จสิ้น” พร้อมหลักฐานการจ่ายและรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ
  • ความโปร่งใส: ตัวเลขละเอียด แยกแหล่งที่มา—ประเภทช่วยเหลือ—จำนวนครัวเรือน

อย่างไรก็ดี บททดสอบรอบถัดไป อยู่ที่

  1. การติดตามผลระดับครัวเรือน—ครัวเรือนเปราะบางมีรายได้กลับมาที่ระดับก่อนเกิดภัยหรือไม่? เครื่องมือทำกินที่ได้รับยังใช้งานได้ดีและเหมาะกับบริบทหรือไม่?
  2. การจัดการความเสี่ยงซ้ำซาก—จุดที่น้ำหลาก/ดินถล่มซ้ำ ๆ ได้รับการแก้ไขเชิงโครงสร้างแล้วหรือยัง (เช่น การระบายน้ำ จุดอุดตัน แนวป้องกันดินไหล)
  3. การบูรณาการข้อมูล—แผนที่เสี่ยงภัยระดับหมู่บ้าน–ตำบล และข้อมูลสิทธิประโยชน์ของประชาชน ต้องเข้าถึงง่าย ใช้งานได้จริง และปรับปรุงสม่ำเสมอ
  4. ความพร้อมของท้องถิ่น—อปท.จำเป็นต้องมี “งบเผื่อฉุกเฉิน” และแบบแผนปฏิบัติการที่ซ้อมจริง เพื่อให้ระยะเวลาจาก “เกิดเหตุ” ถึง “รับเงิน/รับของช่วยเหลือ” สั้นที่สุด

เสียงจากห้องประชุม นโยบายที่ต้องไปต่อ

ในช่วงท้ายของการประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการ 3 ประเด็นสำคัญ

  • เร่งปิดบัญชีคงค้าง ของโครงการที่ยังอยู่ระหว่างเบิกจ่าย พร้อมเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อรักษาความเชื่อมั่น
  • ขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ให้เห็นผลเร็ว โดยกำหนดตัวชี้วัดที่วัดได้จริง เช่น รายได้เฉลี่ยครัวเรือนเปราะบาง จำนวนผู้ได้งานทำหลังฝึกอาชีพ อัตราการเข้าถึงบริการสุขภาพ และเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
  • ซ้อมแผนภัยพิบัติประจำปี ร่วมกันทุกภาคส่วน—ตั้งแต่โรงเรียน วัด ชุมชน จนถึงผู้ประกอบการ—เพื่อย่นเวลาและลดความสูญเสียเมื่อเกิดเหตุ

“ประชาชนต้องเห็นว่า รัฐ ‘อยู่ตรงนั้น’ และ ‘อยู่ต่อไป’ จนชีวิตกลับมาดีกว่าเดิม นี่คือมาตรวัดความสำเร็จที่แท้จริงของเรา” ผู้ว่าฯ กล่าวย้ำ

คลี่คลายปมจากน้ำท่วมสู่ความเท่าเทียมทางโอกาส

สาระสำคัญของวันนั้นไม่ได้จบลงที่ยอดงบประมาณ หากแต่เริ่มต้นด้วย แนวคิดใหม่ ว่า “ภัยพิบัติ” ไม่ใช่เพียงเหตุไม่คาดฝันที่ต้องเยียวยา แต่เป็น หน้าต่างโอกาส ให้ปรับระบบเศรษฐกิจ—สังคมให้รองรับคนตัวเล็กได้ดีขึ้น แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพที่เชียงรายกำลังผลักดัน จึงตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ชุมชนที่เข้มแข็ง คือวัคซีนต้านภัยรอบต่อไป

ในเชิงปฏิบัติ นั่นหมายถึงการทำงานที่ ข้ามกำแพงหน่วยงาน (สาธารณสุข—พม.—แรงงาน—เกษตร—การศึกษา—ปกครอง) ให้มุ่งไปที่ “ผลลัพธ์ครัวเรือน” มากกว่า “ผลผลิตโครงการ” และยึด “เสียงของพื้นที่” เป็นเข็มทิศ เพื่อให้การลงทุนสาธารณะทุกบาทตอบโจทย์ชีวิตจริง

เชียงรายได้ก้าวพ้น “จุดพีคของน้ำ” มาแล้ว แต่กำลังยืนอยู่หน้าประตูด่านใหม่—การทำให้ครัวเรือนเปราะบางยืนได้ด้วยตัวเอง ตัวเลขงบกว่า 600 ล้านบาท ที่ผ่านมือหน่วยงานต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าระบบราชการไทยสามารถขับเคลื่อนเพื่อประชาชนได้จริงเมื่อมีเป้าหมายร่วมและระบบติดตามที่เข้มแข็ง

สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือผลลัพธ์เชิงคุณภาพว่า รายได้กลับมาไหม? หนี้ครัวเรือนลดหรือไม่? สุขภาพกายใจดีขึ้นเพียงใด? และเมื่อฝนใหญ่ครั้งต่อไปมาเยือน ชุมชนเชียงรายจะ “พร้อมกว่าเดิม” แค่ไหน หากจังหวัดรักษาจังหวะการทำงานแบบที่เห็นในห้องประชุมวันนั้นไว้ได้—จากเยียวยา สู่การพัฒนา และสู่ ความเท่าเทียมทางโอกาส—เชียงรายก็อาจไม่เพียง “ผ่านพ้นน้ำ” แต่จะ “ผ่านพ้นความเปราะบาง” ไปด้วยพร้อมกัน

ข้อมูลตัวเลขสำคัญ

  • ผู้ได้รับผลกระทบ: 35,124 ครัวเรือน / ผู้เสียชีวิต 12 ราย / บ้านเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง
  • มติ ครม. ช่วยเหลือรวม: 316,116,000 บาท (ครบทุกครัวเรือน)
  • กองทุนจังหวัด (บริจาค): ยอด 9,839,079.03 บาท | จ่ายแล้ว 9,768,000 บาท
  • เงินทดรองราชการ (พ.ศ. 2562): 98,056,678.50 บาท และ 295,240,930 บาท (สองวงเงินขยาย)
  • ค่าล้างดินโคลน 17,384 ครัวเรือน: รวม 173,840,000 บาท (เสร็จสิ้น)
  • กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี: รวม 13,570,006 บาท
  • งบ อปท. รวม 120,084,535 บาท (อบจ. 48,937,375 | เทศบาลนครเชียงราย 26,707,500 | อปท.อื่น 44,439,660)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย – ศาลากลางจังหวัดเชียงราย: รายงานการประชุม “สรุปรายงานผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการ และระบบติดตามการฟื้นฟูเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ระยะที่ 2” ณ ห้องประชุมจอมกิตติ วันที่ 15 กันยายน 2568
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 กันยายน 2567 และ 8 ตุลาคม 2567 เรื่องแนวทางและกรอบวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี: หลักเกณฑ์และผลการจ่ายช่วยเหลือกรณีผู้เสียชีวิตและบ้านเสียหายทั้งหลัง จังหวัดเชียงราย ปีงบประมาณ 2567–2568
  • ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ รายงานผลการจ่าย ของ อบจ.เชียงราย เทศบาลนครเชียงราย และ อปท. ในจังหวัด
  • ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และเอกสารสรุปการเบิกจ่ายจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ทอท.ทุ่ม 5.7 พันล้านบาท ดันเชียงรายสู่ “มหานครการบิน” เพิ่มขีดรองรับ 6 ล้านคน

เชียงรายเร่งเครื่องสู่ “มหานครการบิน” ทอท.เดินหน้าแม่ฟ้าหลวงเฟส 1 เพิ่มขีดรองรับเป็น 6 ล้านคนภายใน 7 ปี

เชียงราย, 15 กันยายน 2568 — แผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจภาคเหนือตอนบน ทั้งในมิติการคมนาคม การท่องเที่ยว การค้า และการจ้างงาน ด้วยงบลงทุนประมาณ 5,700 ล้านบาท เพื่อยกระดับขีดความสามารถจาก 3 ล้านคน/ปี เป็น 6 ล้านคน/ปี ภายใน 7 ปี พร้อม “พิมพ์เขียว” โครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่ครอบคลุมงานเขตการบิน อาคารผู้โดยสาร และระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน โดยยังยึดหลักการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) และสื่อสารอัตลักษณ์เชียงรายผ่านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย

บริบทและสัญญาณการเติบโต จาก “เกตเวย์” สู่ “กลไกหลัก”

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ทำหน้าที่ “ประตูสู่ภาคเหนือ” และเชื่อมภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง—จีนตอนใต้มายาวนาน กระนั้น เพดานความจุ 3 ล้านคน/ปี เริ่มตึงตัวตามการฟื้นตัวของการบินหลังโควิดและมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวของรัฐ ปีที่ผ่านมา สนามบินรองรับผู้โดยสารประมาณ 1.9 ล้านคน แม้ยังไม่ชนขีดจำกัด แต่แนวโน้ม “กลับมาและเติบโตต่อ” ชี้ชัดว่า หากไม่ขยายขีดความสามารถ โอกาสทางเศรษฐกิจจะ “ติดคอขวด” ในระยะสั้นถึงกลาง

น.ต.ดร.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระบุว่า สนามบินมีศักยภาพพร้อมต่อยอด ทั้งจากรางวัลด้านบริการ ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และสุขาภิบาลระดับประเทศหลายปีซ้อน แต่สิ่งสำคัญคือการ “อัปเกรดให้สอดรับบทบาทใหม่” ในฐานะ กลไกหลัก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจจังหวัดและภูมิภาค ไม่ใช่เป็นเพียงจุดผ่าน (gateway) อีกต่อไป

ความจุ 6 ล้านคน/ปี และเสถียรภาพระบบสนามบิน

หัวใจของโครงการคือการยกระดับความจุเป็น 6 ล้านคน/ปี แบ่งเป็น ผู้โดยสารภายในประเทศ 5 ล้านคน และ ระหว่างประเทศ 1 ล้านคน พร้อมเพิ่มความเสถียรของระบบสนามบิน ตั้งแต่ทางขับ ลานจอด ระบบเชื้อเพลิง ไปจนถึงการไหลเวียนคน รถ และสัมภาระอย่างเป็นระบบ ทั้งหมดตั้งอยู่บนที่ดินสนามบิน กว่า 3,000 ไร่ ซึ่งเปิดช่องให้จัดสรรพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมการบินในอนาคต

เป้าหมาย 7 ปี จึงไม่ใช่เพียง “สร้างเทอร์มินัลใหม่” หากแต่เป็นการ “บูรณาการเมืองทั้งเมือง” ให้พร้อมรองรับอุปสงค์การเดินทาง การลงทุน และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวตามความจุสนามบิน

พิมพ์เขียว 3 กลุ่มงาน โครงสร้างพื้นฐานที่คิดแบบองค์รวม

1.งานเขตการบิน (Airside)

  • สำรวจและออกแบบ ทางขับขนานด้านทิศใต้
  • ปรับปรุง–ขยาย ลานจอดอากาศยานด้านทิศใต้
  • ติดตั้ง ระบบเติมน้ำมันทางท่อ เพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียนเครื่อง
  • ออกแบบ ลานจอดอุปกรณ์สนับสนุนภาคพื้น (GSE) รองรับปริมาณเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น

2.งานอาคารผู้โดยสารและอาคารสนับสนุน (Landside & Terminal)

  • ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารใหม่ และ ปรับปรุงอาคารเดิม ให้ไหลลื่นเป็นหนึ่งเดียว
  • เพิ่ม หลุมจอดแบบประชิดอาคาร 9 หลุม ลดเวลารอคอยต่ออากาศยาน
  • ปรับปรุง อาคารจอดรถ ลานจอด และศูนย์ขนส่ง รองรับการเข้าถึงที่สะดวกขึ้น

3.งานระบบสนับสนุนท่าอากาศยาน (Airport Support Systems)

  • ปรับปรุง ถนนภายใน ระบบระบายน้ำ–บำบัดน้ำเสีย ระบบประปา และระบบไฟฟ้า
  • สำรวจ–ออกแบบ คลังสินค้าทดแทน และ อาคารซ่อมอุปกรณ์ภาคพื้น เพื่อความพร้อมเชิงปฏิบัติการ

สถาปัตยกรรม ผสานอัตลักษณ์เชียงรายผ่านแรงบันดาลใจ “ผ้าทอลายเชียงแสนหงส์ดำ—พระธาตุดอยตุง—เส้นโค้งไร่ชา” พร้อมแนวคิด Universal Design ตั้งแต่ลิฟต์ ทางลาด บันไดเลื่อน ห้องน้ำผู้สูงอายุ–ผู้พิการ เพื่อให้ “สนามบินสำหรับทุกคน” เกิดขึ้นจริง

ศูนย์ซ่อมอากาศยานแบบ Common Use ฟันเฟืองใหม่ของห่วงโซ่อุตสาหกรรม

ด้านเหนือของสนามบินคือพื้นที่ยุทธศาสตร์ของ ศูนย์ซ่อมอากาศยานแบบ Common Use ขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ผ่านการประเมิน EIA แล้ว และสามารถรองรับเครื่องบิน รหัส C ได้ 8 ลำ พร้อมกัน โครงการนี้คาดว่าจะ จ้างงานตั้งแต่ 400 คนขึ้นไป ในระยะเริ่มต้น และต่อยอดสู่ทักษะขั้นสูงด้านวิศวกรรมการบิน โลจิสติกส์ และซัพพลายเชน—องค์ประกอบที่ไทยยังต้องการเพิ่มกำลังคนและมาตรฐาน

น.ต.ดร.สมชนก เน้นย้ำว่า เม็ดเงินลงทุนสนามบิน “ไม่ใช่ต้นทุนจม” แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานที่กระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ” ที่กระจายไปยังซับเซกเตอร์มากมาย ทั้งการท่องเที่ยว บริการขนส่ง โรงแรม–ที่พัก อาหาร–สินค้า OTOP ตลอดจนสถาบันการศึกษาที่จะพัฒนาหลักสูตรรองรับสายงานใหม่

มมอง “ROI เพื่อสังคม” กำไรที่เกินกว่าตัวเลขงบประมาณ

คำถามเรื่อง ROI ถูกหยิบยกในเวทีสาธารณะบ่อยครั้ง ผู้บริหารสนามบินตอบชัดว่า
“ROI เป็นเรื่องรอง เป้าหมายหลักคือการพัฒนาจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือตอนบน”
การลงทุน 5,700 ล้านบาท จึงวัดผลได้มากกว่ารายได้สนามบิน ได้แก่

  • การเพิ่ม ผลิตภาพการเดินทาง และลดต้นทุนโลจิสติกส์ของพื้นที่
  • การขยาย โอกาสการค้า–การลงทุน และการเชื่อมต่อห่วงโซ่คุณค่าระดับภูมิภาค
  • การสร้าง โอกาสการจ้างงาน ทั้งระหว่างก่อสร้างและหลังเปิดใช้เต็มรูปแบบ
  • การยกระดับ คุณภาพชีวิต และ ความสามารถในการรองรับวิกฤต ของเมือง

เสียงจาก “เมือง” ถ้าคน 6 ล้านมา เมืองต้องพร้อมไปด้วย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ชี้เป้าท้าทายสำคัญว่า
ถ้าคน 6 ล้านมาแล้ว เมืองไม่พร้อม สนามบินอาจพร้อม แต่เมืองไม่พร้อม ก็ไม่มีประโยชน์”
ดังนั้น 7 ปีจากนี้คือหน้าต่างเวลาในการ บูรณาการ รัฐ–เอกชน–ชุมชน–การศึกษา ให้เดินหน้าไปพร้อมสนามบิน

ตัวอย่าง ดีมานด์มหภาค ที่รออยู่ ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพ Spartan World Championship ต่อเนื่อง 3 ปี คาดผู้เข้าร่วมหลักหมื่น ต้องการห้องพัก 20,000–30,000 ห้อง และเม็ดเงินหมุนเวียน ระดับพันล้านบาท ซึ่งสะท้อนว่าตลาด “นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง” มีความเป็นไปได้สูง หากเมืองยกระดับความพร้อมทั้งที่พัก ระบบขนส่งในเมือง บริการท่องเที่ยว และมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

ผู้ว่าฯ ยังชี้ให้ “สร้างภาพจำใหม่” ให้เชียงรายด้วยข้อมูลจริง เช่น การลดจุดความร้อน 84% ในปีที่ผ่านมา เพื่อให้การสื่อสารเมืองสะท้อนความจริงเชิงบวก และหนุนการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว–นักลงทุน

จากสนามบินดีเด่น สู่ศูนย์กลางโอกาส

เมื่อโครงการแล้วเสร็จ สนามบินจะ

  • รองรับผู้โดยสารรวม 6 ล้านคน/ปี (ในประเทศ 5 ล้าน ระหว่างประเทศ 1 ล้าน)
  • มี 9 หลุมจอดประชิดอาคาร และลานจอด–ทางขับที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
  • ยกระดับ มาตรฐานความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม ตามกรอบสากล
  • เสริมพลังการแข่งขันของเชียงรายและไทยใน การบิน–ท่องเที่ยว–การค้า–การลงทุน

เหนือสิ่งอื่นใด คือการก่อรูป “ศูนย์กลางโอกาส” ที่คนท้องถิ่นเข้าถึงได้จริง ผ่านอาชีพและธุรกิจใหม่ ตั้งแต่ซัพพลายเชนการบิน โลจิสติกส์เย็น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ–ธรรมชาติ ไปจนถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่เชื่อมอัตลักษณ์ล้านนากับตลาดโลก

โครงสร้างการมีส่วนร่วมการออกแบบที่เริ่มต้นจากประชาชน

ทอท. เปิดเวที สัมมนาประชาสัมพันธ์ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท วันที่ 15 กันยายน 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน จากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ อปท. ภาคธุรกิจ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยมอบหมายให้ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ซี.อาร์.เอ. ทำหน้าที่สำรวจ–ออกแบบ และรวบรวมข้อเสนอแนะเพื่อปรับแบบให้ “เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด” กับประชาชนและประเทศ

กลไกนี้สำคัญ เพราะทำให้โครงการสนามบิน “ไม่ใช่ของสนามบินฝ่ายเดียว” แต่เป็น ของจังหวัด ที่ทุกฝ่ายร่วมรับรู้–ร่วมกำหนด–ร่วมขับเคลื่อน

เวลา–ความพร้อมเมือง–ประสิทธิภาพการบูรณาการ

แม้มีแนวโน้มบวกชัดเจน แต่ความท้าทายเชิงนโยบายยังมี 3 มิติหลัก

  1. เวลาโครงการ 7 ปี
    ต้องมีวินัยด้านงบประมาณ–การจัดซื้อจัดจ้าง–การควบคุมงาน เพื่อปิดความเสี่ยง “ดีเลย์” ที่อาจกระทบความเชื่อมั่นและต้นทุนแฝงของเอกชน
  2. ความพร้อมของเมืองและห่วงโซ่บริการ
    ที่พัก ระบบขนส่งสาธารณะ–เชื่อมต่อสนามบิน ความเป็นระเบียบของโครงข่ายถนน–จุดรับส่ง รวมถึงมาตรฐานบริการภาคท่องเที่ยว ต้องยกระดับให้สอดรับดีมานด์ใหม่
  3. ประสิทธิภาพการบูรณาการข้อมูล–การสื่อสารสาธารณะ
    เมืองต้อง “เล่าเรื่องด้วยข้อมูลจริง” ต่อเนื่อง เช่น สถิติคุณภาพอากาศ ความคืบหน้าสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยการเดินทาง เพื่อเปลี่ยนภาพจำเดิมเป็นความเชื่อมั่นใหม่

การจัดการ 3 ประเด็นนี้อย่างเป็นระบบ จะทำให้ “สนามบินที่พร้อม” แปรเป็น “เมืองที่พร้อม” และทำให้เม็ดเงิน 5,700 ล้านบาท ส่งผลทวีคูณในเศรษฐกิจฐานราก

เมือง–สนามบิน ต้องโตไปด้วยกัน

น.ต.ดร.สมชนก สรุปทิศทางว่า “เราไม่ได้มอง ROI เป็นตัวตั้ง แต่ตั้งเข็มทิศที่คุณภาพชีวิตคนเชียงรายและภาคเหนือตอนบน” ขณะที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำว่า “ถ้าคน 6 ล้านมา เมืองต้องพร้อม” นี่คือสารเดียวกันในสองมุม—ฝั่งสนามบินและฝั่งเมือง—ที่ชี้ว่าความสำเร็จของโครงการนี้วัดจาก การเติบโตเชิงคุณภาพของจังหวัด มากกว่าตัวเลขก่อสร้าง

ในภาพกว้าง โครงการแม่ฟ้าหลวงเฟส 1 จึงเป็น จิ๊กซอว์โครงสร้างพื้นฐาน ที่เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ให้เชียงราย ตั้งแต่การเป็นฐานกิจกรรมกีฬานานาชาติ การยกระดับท่องเที่ยวคุณภาพ การก่อรูปคลัสเตอร์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ไปจนถึงการปั้นคนรุ่นใหม่ในสายอาชีพการบิน–บริการ—ทั้งหมดนี้คือ “กำไรส่วนรวม” ที่จะกลับมาหาประชาชน

บทสรุปเชิงนโยบาย

  • สนามบิน คือกลไกหลัก มิใช่เพียงเกตเวย์
  • โครงสร้างพื้นฐาน ต้องเดินคู่กับ ความพร้อมของเมือง
  • การมีส่วนร่วมสาธารณะ เป็นตัวประกันคุณภาพแบบและความยั่งยืน
  • การสื่อสารด้วยข้อมูลจริง จะสร้างภาพจำใหม่และแรงส่งการลงทุน
  • หาก “สนามบินที่พร้อม” พบกับ “เมืองที่พร้อม” เป้าหมาย 6 ล้านคน/ปี จะไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็น มหานครแห่งโอกาส ที่คนเชียงรายสัมผัสได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงราย ตรวจเลือกตั้ง! กกต.สอบเงินซื้อเสียง

ผู้ว่าฯเชียงรายตรวจเข้มหน่วยเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงราย ยืนยันโปร่งใสและเป็นธรรม

เชียงรายจัดเลือกตั้งเทศบาลนครครั้งใหญ่

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 บรรยากาศการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาลทั่วประเทศ รวมถึงเทศบาลนครเชียงราย เต็มไปด้วยความคึกคัก ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันอย่างต่อเนยื่องตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะในพื้นที่เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งถือเป็นเทศบาลขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงราย มีงบประมาณในการบริหารจัดการแต่ละสมัยสูงถึงกว่า 4,800 ล้านบาท ทำให้การเลือกตั้งในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางการพัฒนาจังหวัดเชียงรายในอนาคต

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายจรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เดินทางออกตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้งหลายแห่งในเขตเทศบาลนครเชียงราย เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเทศบาลนครเชียงรายแบ่งออกเป็น 4 เขตเลือกตั้ง ประกอบด้วยหน่วยเลือกตั้งทั้งสิ้น 87 หน่วย

ผู้ว่าฯเชียงรายย้ำเป้าหมาย เลือกตั้งโปร่งใส

นายจรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การออกตรวจเยี่ยมหน่วยเลือกตั้งครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชน และแสดงถึงความมุ่งมั่นของจังหวัดในการสนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตยให้เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกหน่วยได้รับการอบรมเตรียมความพร้อมล่วงหน้าอย่างเข้มข้น ทำให้สามารถดำเนินการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ ในระหว่างการจัดการเลือกตั้ง

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายยังได้กล่าวขอบคุณประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิอย่างคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า พร้อมทั้งเน้นย้ำว่าความร่วมมือจากประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้ง จะเป็นพลังสำคัญที่ทำให้ได้ตัวแทนที่มีคุณภาพ และนำไปสู่การบริหารงานท้องถิ่นที่ดีในอนาคต

เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยพร้อมเต็มที่ ประชาชนทยอยใช้สิทธิตลอดวัน

พันจ่าเอก อัษฎางค์ วิเศษวงศ์ษา ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเทศบาลนครเชียงราย เปิดเผยว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ มีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย โดยคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งทั้ง 87 หน่วย มีการจัดการอย่างเป็นระบบ หลังจากเปิดหีบบัตรในเวลา 08.00 น. ประชาชนได้ทยอยเข้ามาใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน จนถึงเวลาปิดหีบบัตรในเวลา 17.00 น. ซึ่งภาพรวมของการจัดการถือว่ามีความเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

กกต.เชียงรายชี้แจงร้องเรียนน้อยมาก

ทางด้าน นายชูชาติ สุขสงวน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่พบปัญหาร้ายแรงหรืออุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้ง เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมทั้งการอบรมเจ้าหน้าที่ การจัดเตรียมหีบบัตร และอุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ มีเพียงบางเหตุการณ์เล็กน้อยเท่านั้นที่เกิดขึ้น เช่น มีผู้สมัครนายกเทศมนตรีที่ถูกถอนชื่อออกจำนวน 1 รายในพื้นที่อำเภอเวียงแก่น เนื่องจากขาดคุณสมบัติที่ไม่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด และมีผู้สมัครสมาชิกสภาเทศบาลเสียชีวิตก่อนวันเลือกตั้งจำนวน 3 ราย

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ได้รับความสนใจและมีการร้องเรียนเข้ามาบ้าง คือข้อกล่าวหาเรื่องการให้เงินประชาชนก่อนที่จะครบวาระดำรงตำแหน่งเดิมของผู้สมัครบางราย ซึ่งขณะนี้ กกต.จังหวัดเชียงรายกำลังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง และยืนยันว่าจะดำเนินการสอบสวนอย่างละเอียดและเป็นธรรมที่สุด เพื่อให้การเลือกตั้งในครั้งนี้สะอาด ปราศจากการทุจริต และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

วิเคราะห์การเลือกตั้งและแนวโน้มอนาคต

จากสถานการณ์การเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นอีกครั้งที่จังหวัดเชียงรายสามารถจัดการเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาและเตรียมพร้อมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายที่เป็นพื้นที่สำคัญของจังหวัด ซึ่งการแข่งขันระหว่างผู้สมัครมีความสูสีอย่างชัดเจน ทำให้ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่งต่อทิศทางการบริหารจัดการในอนาคตของเชียงราย

ทั้งนี้ การที่มีปัญหาร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้เงินของผู้สมัคร ถึงแม้จะยังไม่รุนแรงหรือแพร่หลาย แต่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีและยกระดับการเมืองท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของประชาชนมากยิ่งขึ้นในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องในการเลือกตั้ง

จากสถิติการเลือกตั้งท้องถิ่นในปีที่ผ่านมา (2564) พบว่า จังหวัดเชียงรายมีผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถึงร้อยละ 71.52 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 67.85 และมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อเสียงหรือใช้เงินอย่างผิดกฎหมายรวม 23 เรื่อง โดยดำเนินการจนถึงขั้นศาลแล้วจำนวน 8 เรื่อง (ที่มา: รายงานสรุปผลการเลือกตั้งท้องถิ่น กกต.ประจำปี 2564)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายให้กำลังใจ เยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกแก่ตัวแทนเยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ

เชียงราย,26 มีนาคม 2568นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกให้แก่ ตัวแทนเยาวชนจังหวัดเชียงราย ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ รุ่นที่ 15 ประจำปี 2568ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้บริหารและคณะครูจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ พร้อมด้วยผู้แทนจากโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมในพิธี

เยาวชนต้นแบบเก่งและดี ตัวแทนจากเชียงราย

ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายส่งตัวแทนเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นเข้าร่วมแข่งขันในระดับประเทศ ได้แก่ นายกวิรัช เรือนคำจันทร์ (น้องต้าร์) และ นางสาวนาตาลี เชลโฟ (น้องนาตาลี) นักเรียนจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น เยาวชนต้นแบบเก่งและดี TO BE NUMBER ONE IDOL ผ่านเข้าสู่รอบ 40 คนสุดท้าย ของการประกวดในระดับประเทศ

การเดินทางเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันและเก็บตัวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มีนาคม 2568 – 4 พฤษภาคม 2568 โดยเยาวชนทั้งสองคนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ และร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อแสดงความสามารถในเวทีระดับประเทศ

คำกล่าวอวยพรจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรแก่เยาวชนทั้งสองคนว่า

“ขอแสดงความยินดีและชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจของเยาวชนที่ได้ผ่านการคัดเลือกมาเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงราย การที่เยาวชนสามารถก้าวสู่เวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพยายามอย่างแท้จริง ขอให้ทั้งสองคนใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำชื่อเสียงและความภาคภูมิใจกลับมาสู่จังหวัดเชียงราย”

การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน รวมถึง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 ที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เยาวชนสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในเวทีระดับประเทศ

นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ ผู้ช่วยเลขานุการโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“การที่เยาวชนของเราสามารถเข้าร่วมในเวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถและศักยภาพของเยาวชนในจังหวัดเชียงราย เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันให้พวกเขาประสบความสำเร็จ”

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: หลายฝ่ายเห็นว่าการเข้าร่วมการแข่งขันในเวทีระดับประเทศเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาเยาวชนให้มีทักษะและความมั่นใจในการแสดงออก อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในจังหวัดเชียงรายให้หันมาพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความกดดันที่เยาวชนอาจต้องเผชิญในการแข่งขันระดับประเทศ รวมถึงการรักษาสมดุลระหว่างการเรียนและการทำกิจกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีการดูแลและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2568: กว่า 1,000 คน (ที่มา: โครงการ TO BE NUMBER ONE)
  • จังหวัดเชียงรายเคยมีเยาวชนได้รับรางวัลในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2567: 2 คน (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • อัตราการมีส่วนร่วมของเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE ในจังหวัดเชียงราย: 85% ของโรงเรียนมัธยมทั้งหมด (ที่มา: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ร่วมบุญ! เชียงรายคัดแยกขยะ สร้างจังหวัดสะอาด

เชียงรายเปิดโครงการ “คัดแยกขยะ ฮอมบุญ@ศาลากลางจังหวัดเชียงราย” มุ่งสู่จังหวัดสะอาด

เชียงราย,27 มีนาคม 2568 – ลานอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดกิจกรรม Kick Off โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ@ศาลากลางจังหวัดเชียงราย” ซึ่งจัดโดยสำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

จุดมุ่งหมายของโครงการ

โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” เป็นส่วนหนึ่งของ แผนปฏิบัติการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ประจำปี 2568 ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ประชาชนและหน่วยงานราชการมีการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ เพื่อลดปริมาณขยะตั้งแต่ต้นทาง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะรีไซเคิล โดยรายได้จากการจำหน่ายขยะรีไซเคิลจะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เช่น การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ และนักเรียนที่ขาดทุนการศึกษา

คำกล่าวของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“ปัญหาขยะมูลฝอยเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะ ลดการใช้ทรัพยากร และรักษาสิ่งแวดล้อม โครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่ช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดเชียงราย”

พร้อมทั้งขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” โดยเน้นย้ำว่าความสำเร็จของโครงการนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

กิจกรรมภายในโครงการ

กิจกรรมภายใต้โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทุกเดือน ในวันประชุมกรมการจังหวัด ณ ลานอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ จะนำขยะรีไซเคิลมารวบรวมเพื่อจำหน่าย และนำรายได้เข้าสู่ กองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในพื้นที่ต่อไป

ประเภทขยะที่รับการคัดแยก ได้แก่:

  • ขวดพลาสติกและขวดแก้ว
  • กระดาษและกระดาษลัง
  • กระป๋องอลูมิเนียม
  • โลหะและเศษเหล็ก

การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยังสร้างรายได้ที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชน

เสียงสะท้อนจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • ฝ่ายสนับสนุนโครงการ: ประชาชนที่เข้าร่วมงานแสดงความชื่นชมต่อโครงการ โดยเห็นว่าการคัดแยกขยะเป็นการปลูกฝังวินัยและจิตสำนึกที่ดีในการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
  • ฝ่ายกังวล: ในขณะเดียวกัน บางฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความต่อเนื่องของโครงการ และการจัดการขยะในระยะยาว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าจะมีการติดตามผลและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ปริมาณขยะมูลฝอยในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 1,200 ตันต่อวัน (ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1)
  • อัตราการคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิลในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น 25% ภายในปีที่ผ่านมา (ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ)
  • รายได้จากการจำหน่ายขยะรีไซเคิลในโครงการนำร่องปี 2567 สูงถึง 500,000 บาท และถูกนำไปใช้ช่วยเหลือผู้สูงอายุและนักเรียนในพื้นที่ (ที่มา: สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กันน้ำท่วม” เชียงรายสำรวจ ขุดลอกแม่น้ำกกรับฝน

จังหวัดเชียงรายตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัยในฤดูฝน

เชียงราย,26 มีนาคม 2568 – ที่จุดลงเรือท่าเรือเชียงราย เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจและตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกก เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนนี้

การสำรวจครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น นายกเทศมนตรีนครเชียงราย รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย

แนวทางการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัย

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการสำรวจสภาพปัจจุบันของลำน้ำกกในเชิงลึก รวมถึงการตรวจสอบแนวป้องกันตลิ่งและสภาพการตื้นเขินของแม่น้ำ การขุดลอกแม่น้ำกกเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทัพบกและกรมชลประทาน ที่เพียงพอในการดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนจะมาถึง

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงการกำจัดซากต้นไม้ที่ยังคงตกค้างอยู่ในลำน้ำ ซึ่ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) จะสนับสนุนเครื่องจักรกลเข้ามาช่วยดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ผลกระทบจากอุทกภัยที่ผ่านมาและการป้องกันในอนาคต

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอแม่สาย ดังนั้น การขุดลอกแม่น้ำกกจะช่วยลดปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำ เพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า โครงการขุดลอกแม่น้ำกกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันอุทกภัย แต่ยังเสริมศักยภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำ และกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายโดยรวม

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายผู้บริหารและหน่วยงานรัฐ : มองว่าการขุดลอกแม่น้ำกกเป็นมาตรการเชิงรุกที่จำเป็นต่อการป้องกันอุทกภัย พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ : หลายฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงต้องการให้มีการติดตามผลและประเมินความสำเร็จของโครงการอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเดือนกันยายน 2567: กว่า 15 ตำบล ในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย (แหล่งข้อมูล: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • ความยาวของแม่น้ำกกที่มีการวางแผนขุดลอก: 12 กิโลเมตร (แหล่งข้อมูล: กรมเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หอมหัวใหญ่ถูก เชียงรายหาทางออก พยุงราคาเกษตรกร

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ จับมือพาณิชย์ดันราคาสู่ความยั่งยืน

ปัญหาหอมหัวใหญ่ราคาตกต่ำสะเทือนเกษตรกรเชียงราย

เชียงราย,วันที่ 26 มีนาคม 2568 – ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย มีการจัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรระดับจังหวัด ครั้งที่ 1/2568 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

หนึ่งในวาระหลักของการประชุมคือ การหารือแนวทางแก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรสำคัญของอำเภอเวียงป่าเป้า ที่กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวและออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก

แนวทางการแก้ไขปัญหาด้านราคาแบบเร่งด่วน

เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในปีการผลิต 2567/68 ได้ร้องเรียนเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ บริหารจัดการผลผลิตในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ด้วยการกระจายผลผลิตไปยังผู้บริโภคภายในจังหวัด

โดยกำหนดราคาขายอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมตั้งเป้าหมายกระจายผลผลิตจำนวน 271 ตัน ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะเข้ามารับซื้อเพิ่มอีก 500 ตัน รวมผลผลิตที่ได้รับการบริหารทั้งหมดอยู่ที่ 751 ตัน

การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

แผนงานดังกล่าวมุ่งหวังให้สามารถ ดึงผลผลิตออกจากระบบตลาดส่วนหนึ่ง เพื่อพยุงราคาซื้อขายของหอมหัวใหญ่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุนของเกษตรกร ช่วยลดแรงกดดันและป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำลงไปกว่านี้

ในที่ประชุมยังได้หารือการขอรับสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) โดยเสนอในโครงการเชื่อมโยงการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่แหล่งผลิต-

ขยายแผนช่วยเหลือสินค้าเกษตรอื่น

ไม่เพียงแต่หอมหัวใหญ่เท่านั้น ที่ประชุมยังได้ติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าเกษตรอื่นในพื้นที่ อาทิ ลิ้นจี่ฮงฮวย สับปะรด และลำไย ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาดในเร็ว ๆ นี้ โดยมีมติให้เร่งเสนอแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ราคาตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โครงการกระจายผลผลิตเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางระบายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่เกิดจากตลาดผันผวน

เสียงสะท้อนจากเกษตรกรในพื้นที่

ตัวแทนเกษตรกรอำเภอเวียงป่าเป้า ได้แสดงความพึงพอใจกับแผนการของจังหวัดที่มุ่งเน้นช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลผลิตหอมหัวใหญ่เริ่มทะยอยเข้าสู่ตลาดแล้ว

ในขณะเดียวกัน เกษตรกรบางรายยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และแรงงาน ซึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยาโดยตรงจากโครงการนี้

ความเห็นจากฝ่ายราชการ

ฝ่ายราชการยืนยันว่าทางจังหวัดพร้อมทำงานเชิงรุก ร่วมกับหน่วยงานระดับชาติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อเกษตรกร โดยตั้งเป้าจะประเมินผลของมาตรการในช่วง 2 สัปดาห์ เพื่อวางแผนระยะกลางและยาว

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายจะพัฒนาระบบข้อมูลการผลิตและการตลาดให้แม่นยำมากขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางวางแผนการผลิตในฤดูกาลถัดไป ลดความเสี่ยงจากปัญหาซ้ำซาก

สรุปภาพรวมสถานการณ์และทิศทางในอนาคต

สถานการณ์ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำในปี 2568 ถือเป็น บททดสอบสำคัญ ของทั้งเกษตรกรและหน่วยงานภาครัฐในการทำงานเชิงระบบ โดยการบริหารจัดการผลผลิตในระยะสั้นร่วมกับแผนระยะยาวน่าจะเป็นคำตอบที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างเสถียรภาพให้กับภาคเกษตรต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบายการค้า การเงิน และการส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกร

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ราคาหอมหัวใหญ่ ณ เดือนมีนาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 6-8 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: กรมการค้าภายใน)
  • ต้นทุนเฉลี่ยของการปลูกหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือ อยู่ที่ประมาณ 7.50 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)
  • ผลผลิตหอมหัวใหญ่จังหวัดเชียงราย ปี 2567/68 คาดการณ์ไว้ที่กว่า 10,000 ตัน (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย)

ทัศนคติที่เป็นกลางจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่ามาตรการช่วยเหลือที่ออกมายังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริง แต่ก็เป็นก้าวแรกที่น่ายินดี ขณะที่ ฝ่ายภาครัฐ เห็นว่าต้องอาศัยเวลาปรับตัว และย้ำว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้งเกษตรกร พร้อมเดินหน้าสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อมี การรับฟังซึ่งกันและกัน และดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรับมือ PM2.5 คุมเผา-แล้งเข้ม สั่งปิดป่าบางพื้นที่

เชียงรายประชุมคณะกรรมการป้องกันภัย ยกระดับมาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5 และภัยแล้ง เตรียมการเชิงรุกปกป้องสุขภาพประชาชน

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ครั้งที่ 1/2568 เพื่อยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และภัยแล้งที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 แบบเข้มข้น

การประชุมได้เน้นย้ำแผนการป้องกันไฟป่าและฝุ่นละออง โดยมีมาตรการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร หรือชุมชนเมือง รวมถึงการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น โรงงาน เตาเผาถ่าน และเตาเผาขยะ พร้อมตั้งจุดตรวจวัดมลพิษจากยานพาหนะในจุดเสี่ยงสำคัญ

ดูแลสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง – แจกหน้ากาก N95 ครอบคลุม

ในด้านสุขภาพประชาชน จังหวัดได้ดำเนินมาตรการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย N95 และยาขยายหลอดลมให้กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และเด็กในสถานศึกษา พร้อมทั้งจัดบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และจัดระบบส่งยาถึงบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทาง

หากค่าฝุ่น PM 2.5 เกินระดับ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อเนื่อง 2 วัน จะมีการพิจารณาปรับรูปแบบการเรียนการสอน หรือปิดสถานศึกษาชั่วคราว พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) และลดกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมแพทย์ 3 หมอ และ อสม. เคลื่อนที่เร็ว ออกตรวจเยี่ยมบ้านประชาชน พร้อมแจกหน้ากากและมุ้งสู้ฝุ่นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง

การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์จังหวัด ได้รับมอบหมายให้เร่งกระจายข่าวสารผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และแนวทางการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย พร้อมรณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องผลกระทบจากการเผาในที่โล่งที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาฝุ่นในภาคเหนือ

ปิดป่า คุมเข้มบุคคลเข้าออก พร้อมวิจัยทางเลือกการเกษตร

เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดมีนโยบาย “ปิดป่า” ชั่วคราว ยกเว้นแหล่งท่องเที่ยว โดยพื้นที่ป่าสงวนจะมีการควบคุมบุคคลเข้าออกอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมีการประสานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อคิดค้นสารอินทรีย์ย่อยสลายเศษวัสดุทางการเกษตร ใช้แทนการเผาในพื้นที่สูง

ด้านการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร มีการผลักดันให้เปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรมูลค่าสูง เพื่อลดการเผาเศษพืชที่ก่อฝุ่นอย่างยั่งยืน

รับมือภัยแล้ง – จัดการน้ำ บูรณาการข้อมูลภาคเกษตร

โครงการชลประทานเชียงรายและการประปาส่วนภูมิภาค ได้รับมอบหมายให้ติดตามระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างใกล้ชิด หากพบว่าน้ำมีแนวโน้มต่ำกว่า 50% ต้องแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าและจัดแผนสำรองน้ำให้เพียงพอ

สำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมสำรวจพื้นที่เพาะปลูก แยกตามการใช้น้ำฝนและน้ำชลประทาน เพื่อใช้ในการวางแผนส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้ง

สำหรับแหล่งน้ำที่ตื้นเขิน มีการเตรียมแผนขุดลอกเร่งด่วน ได้แก่

  • หนองฮ่าง ตำบลทานตะวัน
  • อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว อำเภอพาน
  • ท้ายอ่างเก็บน้ำแม่ฉางข้าว อำเภอเวียงป่าเป้า

สร้างแรงจูงใจชุมชนต้นแบบ – ให้รางวัลหมู่บ้านไร้หมอกควัน

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหาหมอกควัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอแนวทาง “หมู่บ้านต้นแบบไร้หมอกควัน” โดยให้รางวัลกับหมู่บ้านที่สามารถจัดการปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้สำเร็จ สร้างแรงจูงใจและต้นแบบให้กับชุมชนอื่นในพื้นที่

ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน – เส้นทางสู่การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

นอกจากการประสานภายในจังหวัด เชียงรายยังดำเนินการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและหน่วยงานระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเพาะปลูก การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และส่งเสริมเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการเตรียมความพร้อมระยะยาวในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ
มองว่าการยกระดับมาตรการของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข เกษตร ไปจนถึงงานชลประทาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการจัดการวิกฤติอย่างรอบด้าน การแจกจ่ายหน้ากากและบริการแพทย์ทางไกลยังแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นหลัก

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
ชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ แม้จะมีความรัดกุม แต่หากขาดการบังคับใช้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือเขตภูเขา จะไม่สามารถลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องงบประมาณสนับสนุนที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินการอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียงในชนบท

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต 25 มีนาคม 2568)

  • ค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายวัน (พื้นที่เมืองเชียงราย): 78–92 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำค่ามาตรฐาน PM 2.5: ไม่เกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงไฟป่าและฝุ่นละออง: อำเภอแม่สรวย, เวียงป่าเป้า, แม่ฟ้าหลวง
  • จำนวนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในระดับน้ำต่ำกว่า 50%: 3 แห่ง (ข้อมูลจากโครงการชลประทานเชียงราย)
  • จำนวนหมู่บ้านเป้าหมายในการแจกมุ้งสู้ฝุ่นและหน้ากาก N95: 67 หมู่บ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศกรมควบคุมมลพิษ
  • รายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งช่วย พายุถล่ม 300 หลัง ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน หลังพายุฤดูร้อนถล่มเสียหายกว่า 300 ครัวเรือน

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และนายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้นำคณะผู้แทนจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานด้านการบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยม ติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยมีการเดินทางไปยังอาคารอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้าน หมู่ที่ 17 บ้านแม่แก้วพัฒนา ซึ่งเป็นจุดรวบรวมข้อมูลและศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นให้แก่ครัวเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุพายุฤดูร้อนในครั้งนี้

บ้านเรือนเสียหายกว่า 300 ครัวเรือนในตำบลแม่อ้อ

จากรายงานขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ พบว่าผลกระทบจากพายุฤดูร้อนซึ่งมีลมกระโชกแรงในช่วงค่ำวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ตำบลแม่อ้อได้รับความเสียหายอย่างหนัก รวมจำนวนกว่า 300 ครัวเรือน กระจายอยู่ในหลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตบ้านแม่แก้วพัฒนา บ้านใหม่สามัคคี และบ้านใหม่ห้วยทราย ซึ่งมีบ้านเรือนที่หลังคาถูกลมพัดปลิว ไม้กระเบื้องและอุปกรณ์ภายในบ้านได้รับความเสียหาย บางหลังเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

ขณะเดียวกันยังมีรายงานความเสียหายด้านสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าหลุดขาด เสาไฟฟ้าหักโค่น ถนนบางเส้นมีต้นไม้ล้มขวางทางจราจร รวมถึงมีโรงเรือนเกษตรและแปลงเพาะปลูกที่ถูกกระแสลมทำลายจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจและฟื้นฟูความเสียหายอย่างเร่งด่วน

ในเบื้องต้น หน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ ได้ประสานกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เพื่อเร่งจัดส่งกำลังพลและเครื่องมือเข้าเคลียร์พื้นที่ซากปรักหักพัง และจัดหาที่พักชั่วคราวให้กับครัวเรือนที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ พร้อมเร่งประเมินความเสียหายรายครัวเรือนเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ

ขณะเดียวกันเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และเครือข่ายภาคประชาชน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยโดยตรง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

ผู้ว่าฯ ย้ำความห่วงใย พร้อมสั่งการให้ช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

ในการพบปะประชาชน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวให้กำลังใจชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมโดยไม่ตกหล่น

“เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่เราต้องร่วมกันฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการทำงานที่โปร่งใส ทันต่อสถานการณ์ และเข้าถึงประชาชนในทุกครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยติดเตียง และผู้พิการ” นายชรินทร์กล่าว

ภัยพิบัติกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในเขตภาคเหนือ

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี คือช่วงฤดูเปลี่ยนผ่าน ซึ่งมักเกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเสี่ยงสูงจากกระแสลมร้อนและกระแสลมเย็นปะทะกัน ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้

กรณีตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศอย่างฉับพลันในช่วงต้นปี 2568 โดยเหตุวาตภัยครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งทำให้บ้านเรือนเสียหายกว่า 250 หลังคาเรือน

ความคิดเห็นจาก 2 มุมมอง: บทบาทรัฐและความเข้มแข็งของชุมชน

ฝ่ายสนับสนุนภาครัฐ มองว่า การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการแสดงความห่วงใยต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยอมรับว่าในภาวะวิกฤต รัฐมีบทบาทสำคัญในการระดมสรรพกำลังและงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันเวลา ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยในระดับหนึ่ง

ขณะที่ฝ่ายวิจารณ์ ชี้ให้เห็นว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังคงเผชิญปัญหาการสำรวจที่ล่าช้า การขาดแคลนเครื่องมือหนักและบุคลากรในพื้นที่ และบางรายที่ยังตกหล่นจากการได้รับความช่วยเหลือในระยะเริ่มต้น จึงเสนอให้มีการวางระบบสำรองฉุกเฉินแบบถาวร เช่น การจัดตั้งคลังยังชีพในแต่ละตำบล การฝึกอบรมอาสาสมัครให้สามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่ายชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้าง “ความพร้อมเชิงระบบ” ทั้งในเชิงโครงสร้าง การสื่อสาร และกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชน เพื่อให้การจัดการภัยพิบัติในอนาคตมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยในตำบลแม่อ้อ ครั้งล่าสุด (มีนาคม 2568): กว่า 300 ครัวเรือน
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, รายงานสถานการณ์ ณ วันที่ 20 มีนาคม 2568
  • เหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอพาน ปี 2566 มีบ้านเรือนเสียหายรวม 251 ครัวเรือน
    ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย), รายงานภัยพิบัติประจำปี 2566
  • ช่วงเวลาที่เกิดพายุฤดูร้อนในประเทศไทยส่วนใหญ่: เดือนมีนาคม–เมษายน ของทุกปี
    ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานแนวโน้มสภาพอากาศประจำปี 2567
  • จังหวัดเชียงรายมีครัวเรือนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงวาตภัยกว่า 12,000 ครัวเรือน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, ฐานข้อมูลแผนที่ภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย,สำนักงานจังหวัดเชียงราย, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE