Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายให้กำลังใจ เยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกแก่ตัวแทนเยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ

เชียงราย,26 มีนาคม 2568นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกให้แก่ ตัวแทนเยาวชนจังหวัดเชียงราย ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ รุ่นที่ 15 ประจำปี 2568ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้บริหารและคณะครูจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ พร้อมด้วยผู้แทนจากโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมในพิธี

เยาวชนต้นแบบเก่งและดี ตัวแทนจากเชียงราย

ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายส่งตัวแทนเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นเข้าร่วมแข่งขันในระดับประเทศ ได้แก่ นายกวิรัช เรือนคำจันทร์ (น้องต้าร์) และ นางสาวนาตาลี เชลโฟ (น้องนาตาลี) นักเรียนจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น เยาวชนต้นแบบเก่งและดี TO BE NUMBER ONE IDOL ผ่านเข้าสู่รอบ 40 คนสุดท้าย ของการประกวดในระดับประเทศ

การเดินทางเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันและเก็บตัวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มีนาคม 2568 – 4 พฤษภาคม 2568 โดยเยาวชนทั้งสองคนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ และร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อแสดงความสามารถในเวทีระดับประเทศ

คำกล่าวอวยพรจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรแก่เยาวชนทั้งสองคนว่า

“ขอแสดงความยินดีและชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจของเยาวชนที่ได้ผ่านการคัดเลือกมาเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงราย การที่เยาวชนสามารถก้าวสู่เวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพยายามอย่างแท้จริง ขอให้ทั้งสองคนใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำชื่อเสียงและความภาคภูมิใจกลับมาสู่จังหวัดเชียงราย”

การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน รวมถึง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 ที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เยาวชนสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในเวทีระดับประเทศ

นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ ผู้ช่วยเลขานุการโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“การที่เยาวชนของเราสามารถเข้าร่วมในเวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถและศักยภาพของเยาวชนในจังหวัดเชียงราย เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันให้พวกเขาประสบความสำเร็จ”

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: หลายฝ่ายเห็นว่าการเข้าร่วมการแข่งขันในเวทีระดับประเทศเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาเยาวชนให้มีทักษะและความมั่นใจในการแสดงออก อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในจังหวัดเชียงรายให้หันมาพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความกดดันที่เยาวชนอาจต้องเผชิญในการแข่งขันระดับประเทศ รวมถึงการรักษาสมดุลระหว่างการเรียนและการทำกิจกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีการดูแลและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2568: กว่า 1,000 คน (ที่มา: โครงการ TO BE NUMBER ONE)
  • จังหวัดเชียงรายเคยมีเยาวชนได้รับรางวัลในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2567: 2 คน (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • อัตราการมีส่วนร่วมของเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE ในจังหวัดเชียงราย: 85% ของโรงเรียนมัธยมทั้งหมด (ที่มา: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ร่วมบุญ! เชียงรายคัดแยกขยะ สร้างจังหวัดสะอาด

เชียงรายเปิดโครงการ “คัดแยกขยะ ฮอมบุญ@ศาลากลางจังหวัดเชียงราย” มุ่งสู่จังหวัดสะอาด

เชียงราย,27 มีนาคม 2568 – ลานอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดกิจกรรม Kick Off โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ@ศาลากลางจังหวัดเชียงราย” ซึ่งจัดโดยสำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

จุดมุ่งหมายของโครงการ

โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” เป็นส่วนหนึ่งของ แผนปฏิบัติการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ประจำปี 2568 ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ประชาชนและหน่วยงานราชการมีการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ เพื่อลดปริมาณขยะตั้งแต่ต้นทาง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะรีไซเคิล โดยรายได้จากการจำหน่ายขยะรีไซเคิลจะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เช่น การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ และนักเรียนที่ขาดทุนการศึกษา

คำกล่าวของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“ปัญหาขยะมูลฝอยเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะ ลดการใช้ทรัพยากร และรักษาสิ่งแวดล้อม โครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่ช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดเชียงราย”

พร้อมทั้งขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” โดยเน้นย้ำว่าความสำเร็จของโครงการนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

กิจกรรมภายในโครงการ

กิจกรรมภายใต้โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทุกเดือน ในวันประชุมกรมการจังหวัด ณ ลานอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ จะนำขยะรีไซเคิลมารวบรวมเพื่อจำหน่าย และนำรายได้เข้าสู่ กองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในพื้นที่ต่อไป

ประเภทขยะที่รับการคัดแยก ได้แก่:

  • ขวดพลาสติกและขวดแก้ว
  • กระดาษและกระดาษลัง
  • กระป๋องอลูมิเนียม
  • โลหะและเศษเหล็ก

การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยังสร้างรายได้ที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชน

เสียงสะท้อนจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • ฝ่ายสนับสนุนโครงการ: ประชาชนที่เข้าร่วมงานแสดงความชื่นชมต่อโครงการ โดยเห็นว่าการคัดแยกขยะเป็นการปลูกฝังวินัยและจิตสำนึกที่ดีในการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
  • ฝ่ายกังวล: ในขณะเดียวกัน บางฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความต่อเนื่องของโครงการ และการจัดการขยะในระยะยาว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าจะมีการติดตามผลและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ปริมาณขยะมูลฝอยในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 1,200 ตันต่อวัน (ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1)
  • อัตราการคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิลในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น 25% ภายในปีที่ผ่านมา (ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ)
  • รายได้จากการจำหน่ายขยะรีไซเคิลในโครงการนำร่องปี 2567 สูงถึง 500,000 บาท และถูกนำไปใช้ช่วยเหลือผู้สูงอายุและนักเรียนในพื้นที่ (ที่มา: สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กันน้ำท่วม” เชียงรายสำรวจ ขุดลอกแม่น้ำกกรับฝน

จังหวัดเชียงรายตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัยในฤดูฝน

เชียงราย,26 มีนาคม 2568 – ที่จุดลงเรือท่าเรือเชียงราย เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจและตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกก เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนนี้

การสำรวจครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น นายกเทศมนตรีนครเชียงราย รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย

แนวทางการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัย

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการสำรวจสภาพปัจจุบันของลำน้ำกกในเชิงลึก รวมถึงการตรวจสอบแนวป้องกันตลิ่งและสภาพการตื้นเขินของแม่น้ำ การขุดลอกแม่น้ำกกเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทัพบกและกรมชลประทาน ที่เพียงพอในการดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนจะมาถึง

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงการกำจัดซากต้นไม้ที่ยังคงตกค้างอยู่ในลำน้ำ ซึ่ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) จะสนับสนุนเครื่องจักรกลเข้ามาช่วยดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ผลกระทบจากอุทกภัยที่ผ่านมาและการป้องกันในอนาคต

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอแม่สาย ดังนั้น การขุดลอกแม่น้ำกกจะช่วยลดปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำ เพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า โครงการขุดลอกแม่น้ำกกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันอุทกภัย แต่ยังเสริมศักยภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำ และกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายโดยรวม

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายผู้บริหารและหน่วยงานรัฐ : มองว่าการขุดลอกแม่น้ำกกเป็นมาตรการเชิงรุกที่จำเป็นต่อการป้องกันอุทกภัย พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ : หลายฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงต้องการให้มีการติดตามผลและประเมินความสำเร็จของโครงการอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเดือนกันยายน 2567: กว่า 15 ตำบล ในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย (แหล่งข้อมูล: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • ความยาวของแม่น้ำกกที่มีการวางแผนขุดลอก: 12 กิโลเมตร (แหล่งข้อมูล: กรมเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หอมหัวใหญ่ถูก เชียงรายหาทางออก พยุงราคาเกษตรกร

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ จับมือพาณิชย์ดันราคาสู่ความยั่งยืน

ปัญหาหอมหัวใหญ่ราคาตกต่ำสะเทือนเกษตรกรเชียงราย

เชียงราย,วันที่ 26 มีนาคม 2568 – ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย มีการจัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรระดับจังหวัด ครั้งที่ 1/2568 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

หนึ่งในวาระหลักของการประชุมคือ การหารือแนวทางแก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรสำคัญของอำเภอเวียงป่าเป้า ที่กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวและออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก

แนวทางการแก้ไขปัญหาด้านราคาแบบเร่งด่วน

เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในปีการผลิต 2567/68 ได้ร้องเรียนเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ บริหารจัดการผลผลิตในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ด้วยการกระจายผลผลิตไปยังผู้บริโภคภายในจังหวัด

โดยกำหนดราคาขายอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมตั้งเป้าหมายกระจายผลผลิตจำนวน 271 ตัน ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะเข้ามารับซื้อเพิ่มอีก 500 ตัน รวมผลผลิตที่ได้รับการบริหารทั้งหมดอยู่ที่ 751 ตัน

การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

แผนงานดังกล่าวมุ่งหวังให้สามารถ ดึงผลผลิตออกจากระบบตลาดส่วนหนึ่ง เพื่อพยุงราคาซื้อขายของหอมหัวใหญ่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุนของเกษตรกร ช่วยลดแรงกดดันและป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำลงไปกว่านี้

ในที่ประชุมยังได้หารือการขอรับสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) โดยเสนอในโครงการเชื่อมโยงการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่แหล่งผลิต-

ขยายแผนช่วยเหลือสินค้าเกษตรอื่น

ไม่เพียงแต่หอมหัวใหญ่เท่านั้น ที่ประชุมยังได้ติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าเกษตรอื่นในพื้นที่ อาทิ ลิ้นจี่ฮงฮวย สับปะรด และลำไย ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาดในเร็ว ๆ นี้ โดยมีมติให้เร่งเสนอแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ราคาตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โครงการกระจายผลผลิตเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางระบายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่เกิดจากตลาดผันผวน

เสียงสะท้อนจากเกษตรกรในพื้นที่

ตัวแทนเกษตรกรอำเภอเวียงป่าเป้า ได้แสดงความพึงพอใจกับแผนการของจังหวัดที่มุ่งเน้นช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลผลิตหอมหัวใหญ่เริ่มทะยอยเข้าสู่ตลาดแล้ว

ในขณะเดียวกัน เกษตรกรบางรายยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และแรงงาน ซึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยาโดยตรงจากโครงการนี้

ความเห็นจากฝ่ายราชการ

ฝ่ายราชการยืนยันว่าทางจังหวัดพร้อมทำงานเชิงรุก ร่วมกับหน่วยงานระดับชาติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อเกษตรกร โดยตั้งเป้าจะประเมินผลของมาตรการในช่วง 2 สัปดาห์ เพื่อวางแผนระยะกลางและยาว

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายจะพัฒนาระบบข้อมูลการผลิตและการตลาดให้แม่นยำมากขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางวางแผนการผลิตในฤดูกาลถัดไป ลดความเสี่ยงจากปัญหาซ้ำซาก

สรุปภาพรวมสถานการณ์และทิศทางในอนาคต

สถานการณ์ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำในปี 2568 ถือเป็น บททดสอบสำคัญ ของทั้งเกษตรกรและหน่วยงานภาครัฐในการทำงานเชิงระบบ โดยการบริหารจัดการผลผลิตในระยะสั้นร่วมกับแผนระยะยาวน่าจะเป็นคำตอบที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างเสถียรภาพให้กับภาคเกษตรต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบายการค้า การเงิน และการส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกร

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ราคาหอมหัวใหญ่ ณ เดือนมีนาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 6-8 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: กรมการค้าภายใน)
  • ต้นทุนเฉลี่ยของการปลูกหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือ อยู่ที่ประมาณ 7.50 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)
  • ผลผลิตหอมหัวใหญ่จังหวัดเชียงราย ปี 2567/68 คาดการณ์ไว้ที่กว่า 10,000 ตัน (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย)

ทัศนคติที่เป็นกลางจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่ามาตรการช่วยเหลือที่ออกมายังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริง แต่ก็เป็นก้าวแรกที่น่ายินดี ขณะที่ ฝ่ายภาครัฐ เห็นว่าต้องอาศัยเวลาปรับตัว และย้ำว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้งเกษตรกร พร้อมเดินหน้าสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อมี การรับฟังซึ่งกันและกัน และดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรับมือ PM2.5 คุมเผา-แล้งเข้ม สั่งปิดป่าบางพื้นที่

เชียงรายประชุมคณะกรรมการป้องกันภัย ยกระดับมาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5 และภัยแล้ง เตรียมการเชิงรุกปกป้องสุขภาพประชาชน

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ครั้งที่ 1/2568 เพื่อยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และภัยแล้งที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 แบบเข้มข้น

การประชุมได้เน้นย้ำแผนการป้องกันไฟป่าและฝุ่นละออง โดยมีมาตรการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร หรือชุมชนเมือง รวมถึงการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น โรงงาน เตาเผาถ่าน และเตาเผาขยะ พร้อมตั้งจุดตรวจวัดมลพิษจากยานพาหนะในจุดเสี่ยงสำคัญ

ดูแลสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง – แจกหน้ากาก N95 ครอบคลุม

ในด้านสุขภาพประชาชน จังหวัดได้ดำเนินมาตรการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย N95 และยาขยายหลอดลมให้กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และเด็กในสถานศึกษา พร้อมทั้งจัดบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และจัดระบบส่งยาถึงบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทาง

หากค่าฝุ่น PM 2.5 เกินระดับ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อเนื่อง 2 วัน จะมีการพิจารณาปรับรูปแบบการเรียนการสอน หรือปิดสถานศึกษาชั่วคราว พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) และลดกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมแพทย์ 3 หมอ และ อสม. เคลื่อนที่เร็ว ออกตรวจเยี่ยมบ้านประชาชน พร้อมแจกหน้ากากและมุ้งสู้ฝุ่นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง

การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์จังหวัด ได้รับมอบหมายให้เร่งกระจายข่าวสารผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และแนวทางการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย พร้อมรณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องผลกระทบจากการเผาในที่โล่งที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาฝุ่นในภาคเหนือ

ปิดป่า คุมเข้มบุคคลเข้าออก พร้อมวิจัยทางเลือกการเกษตร

เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดมีนโยบาย “ปิดป่า” ชั่วคราว ยกเว้นแหล่งท่องเที่ยว โดยพื้นที่ป่าสงวนจะมีการควบคุมบุคคลเข้าออกอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมีการประสานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อคิดค้นสารอินทรีย์ย่อยสลายเศษวัสดุทางการเกษตร ใช้แทนการเผาในพื้นที่สูง

ด้านการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร มีการผลักดันให้เปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรมูลค่าสูง เพื่อลดการเผาเศษพืชที่ก่อฝุ่นอย่างยั่งยืน

รับมือภัยแล้ง – จัดการน้ำ บูรณาการข้อมูลภาคเกษตร

โครงการชลประทานเชียงรายและการประปาส่วนภูมิภาค ได้รับมอบหมายให้ติดตามระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างใกล้ชิด หากพบว่าน้ำมีแนวโน้มต่ำกว่า 50% ต้องแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าและจัดแผนสำรองน้ำให้เพียงพอ

สำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมสำรวจพื้นที่เพาะปลูก แยกตามการใช้น้ำฝนและน้ำชลประทาน เพื่อใช้ในการวางแผนส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้ง

สำหรับแหล่งน้ำที่ตื้นเขิน มีการเตรียมแผนขุดลอกเร่งด่วน ได้แก่

  • หนองฮ่าง ตำบลทานตะวัน
  • อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว อำเภอพาน
  • ท้ายอ่างเก็บน้ำแม่ฉางข้าว อำเภอเวียงป่าเป้า

สร้างแรงจูงใจชุมชนต้นแบบ – ให้รางวัลหมู่บ้านไร้หมอกควัน

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหาหมอกควัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอแนวทาง “หมู่บ้านต้นแบบไร้หมอกควัน” โดยให้รางวัลกับหมู่บ้านที่สามารถจัดการปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้สำเร็จ สร้างแรงจูงใจและต้นแบบให้กับชุมชนอื่นในพื้นที่

ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน – เส้นทางสู่การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

นอกจากการประสานภายในจังหวัด เชียงรายยังดำเนินการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและหน่วยงานระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเพาะปลูก การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และส่งเสริมเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการเตรียมความพร้อมระยะยาวในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ
มองว่าการยกระดับมาตรการของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข เกษตร ไปจนถึงงานชลประทาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการจัดการวิกฤติอย่างรอบด้าน การแจกจ่ายหน้ากากและบริการแพทย์ทางไกลยังแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นหลัก

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
ชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ แม้จะมีความรัดกุม แต่หากขาดการบังคับใช้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือเขตภูเขา จะไม่สามารถลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องงบประมาณสนับสนุนที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินการอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียงในชนบท

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต 25 มีนาคม 2568)

  • ค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายวัน (พื้นที่เมืองเชียงราย): 78–92 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำค่ามาตรฐาน PM 2.5: ไม่เกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงไฟป่าและฝุ่นละออง: อำเภอแม่สรวย, เวียงป่าเป้า, แม่ฟ้าหลวง
  • จำนวนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในระดับน้ำต่ำกว่า 50%: 3 แห่ง (ข้อมูลจากโครงการชลประทานเชียงราย)
  • จำนวนหมู่บ้านเป้าหมายในการแจกมุ้งสู้ฝุ่นและหน้ากาก N95: 67 หมู่บ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศกรมควบคุมมลพิษ
  • รายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเร่งช่วย พายุถล่ม 300 หลัง ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบวาตภัยตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน หลังพายุฤดูร้อนถล่มเสียหายกว่า 300 ครัวเรือน

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย/ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย และนายสุรเชษฐ์ พุ้ยน้อย นายอำเภอพาน ได้นำคณะผู้แทนจากหน่วยงานราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานด้านการบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เพื่อตรวจเยี่ยม ติดตามสถานการณ์ และให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 18 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยมีการเดินทางไปยังอาคารอเนกประสงค์ประจำหมู่บ้าน หมู่ที่ 17 บ้านแม่แก้วพัฒนา ซึ่งเป็นจุดรวบรวมข้อมูลและศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัย เพื่อรับฟังรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพและสิ่งของจำเป็นให้แก่ครัวเรือนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุพายุฤดูร้อนในครั้งนี้

บ้านเรือนเสียหายกว่า 300 ครัวเรือนในตำบลแม่อ้อ

จากรายงานขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ พบว่าผลกระทบจากพายุฤดูร้อนซึ่งมีลมกระโชกแรงในช่วงค่ำวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้บ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ตำบลแม่อ้อได้รับความเสียหายอย่างหนัก รวมจำนวนกว่า 300 ครัวเรือน กระจายอยู่ในหลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะในเขตบ้านแม่แก้วพัฒนา บ้านใหม่สามัคคี และบ้านใหม่ห้วยทราย ซึ่งมีบ้านเรือนที่หลังคาถูกลมพัดปลิว ไม้กระเบื้องและอุปกรณ์ภายในบ้านได้รับความเสียหาย บางหลังเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้

ขณะเดียวกันยังมีรายงานความเสียหายด้านสาธารณูปโภค เช่น สายไฟฟ้าหลุดขาด เสาไฟฟ้าหักโค่น ถนนบางเส้นมีต้นไม้ล้มขวางทางจราจร รวมถึงมีโรงเรือนเกษตรและแปลงเพาะปลูกที่ถูกกระแสลมทำลายจำนวนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติมโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจและฟื้นฟูความเสียหายอย่างเร่งด่วน

ในเบื้องต้น หน่วยงานท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ ได้ประสานกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เพื่อเร่งจัดส่งกำลังพลและเครื่องมือเข้าเคลียร์พื้นที่ซากปรักหักพัง และจัดหาที่พักชั่วคราวให้กับครัวเรือนที่ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ พร้อมเร่งประเมินความเสียหายรายครัวเรือนเพื่อให้ความช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบของทางราชการ

ขณะเดียวกันเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และเครือข่ายภาคประชาชน ได้ลงพื้นที่นำถุงยังชีพ ซึ่งประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยโดยตรง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงวิกฤต

ผู้ว่าฯ ย้ำความห่วงใย พร้อมสั่งการให้ช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและรวดเร็ว

ในการพบปะประชาชน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวให้กำลังใจชาวบ้านที่ได้รับความเสียหาย พร้อมเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมโดยไม่ตกหล่น

“เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่เราต้องร่วมกันฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการทำงานที่โปร่งใส ทันต่อสถานการณ์ และเข้าถึงประชาชนในทุกครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ผู้ป่วยติดเตียง และผู้พิการ” นายชรินทร์กล่าว

ภัยพิบัติกับแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในเขตภาคเหนือ

จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่าช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี คือช่วงฤดูเปลี่ยนผ่าน ซึ่งมักเกิดพายุฤดูร้อนในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเสี่ยงสูงจากกระแสลมร้อนและกระแสลมเย็นปะทะกัน ส่งผลให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้

กรณีตำบลแม่อ้อ อำเภอพาน ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศอย่างฉับพลันในช่วงต้นปี 2568 โดยเหตุวาตภัยครั้งนี้นับเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี หลังจากเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งทำให้บ้านเรือนเสียหายกว่า 250 หลังคาเรือน

ความคิดเห็นจาก 2 มุมมอง: บทบาทรัฐและความเข้มแข็งของชุมชน

ฝ่ายสนับสนุนภาครัฐ มองว่า การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการแสดงความห่วงใยต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยอมรับว่าในภาวะวิกฤต รัฐมีบทบาทสำคัญในการระดมสรรพกำลังและงบประมาณเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันเวลา ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติของไทยในระดับหนึ่ง

ขณะที่ฝ่ายวิจารณ์ ชี้ให้เห็นว่าการช่วยเหลือผู้ประสบภัยยังคงเผชิญปัญหาการสำรวจที่ล่าช้า การขาดแคลนเครื่องมือหนักและบุคลากรในพื้นที่ และบางรายที่ยังตกหล่นจากการได้รับความช่วยเหลือในระยะเริ่มต้น จึงเสนอให้มีการวางระบบสำรองฉุกเฉินแบบถาวร เช่น การจัดตั้งคลังยังชีพในแต่ละตำบล การฝึกอบรมอาสาสมัครให้สามารถช่วยเหลือเบื้องต้นได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง

เสียงสะท้อนจากทั้งสองฝ่ายชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้าง “ความพร้อมเชิงระบบ” ทั้งในเชิงโครงสร้าง การสื่อสาร และกลไกความร่วมมือระหว่างรัฐกับชุมชน เพื่อให้การจัดการภัยพิบัติในอนาคตมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

สถิติและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากวาตภัยในตำบลแม่อ้อ ครั้งล่าสุด (มีนาคม 2568): กว่า 300 ครัวเรือน
    ที่มา: องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, รายงานสถานการณ์ ณ วันที่ 20 มีนาคม 2568
  • เหตุวาตภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอพาน ปี 2566 มีบ้านเรือนเสียหายรวม 251 ครัวเรือน
    ที่มา: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย), รายงานภัยพิบัติประจำปี 2566
  • ช่วงเวลาที่เกิดพายุฤดูร้อนในประเทศไทยส่วนใหญ่: เดือนมีนาคม–เมษายน ของทุกปี
    ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา, รายงานแนวโน้มสภาพอากาศประจำปี 2567
  • จังหวัดเชียงรายมีครัวเรือนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงวาตภัยกว่า 12,000 ครัวเรือน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, ฐานข้อมูลแผนที่ภัยพิบัติแห่งชาติ พ.ศ. 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย,สำนักงานจังหวัดเชียงราย, สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย, องค์การบริหารส่วนตำบลแม่อ้อ, กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“อปพร.” ฮีโร่ ‘เชียงราย’ จัดงาน ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ

เชียงรายจัดกิจกรรมวัน อปพร. ประจำปี 2568 ยกย่องอาสาสมัครผู้เสียสละ สร้างขวัญกำลังใจ พร้อมเดินหน้าพัฒนาเครือข่ายเพื่อรองรับภัยพิบัติในอนาคต

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – ศูนย์อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) จังหวัดเชียงราย ได้จัดกิจกรรมเนื่องใน “วัน อปพร.” ประจำปี 2568 อย่างเป็นทางการ ณ โดมศูนย์พักพิง ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 15 เชียงราย ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และผู้อำนวยการศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมาชิก อปพร. และภาคีเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง

เพื่อรำลึกถึงความเสียสละ และเสริมพลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้า

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติแก่เหล่าอาสาสมัคร อปพร. ที่ปฏิบัติภารกิจด้วยความเสียสละในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในยามเกิดภัยพิบัติ รวมถึงการสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับชุมชนและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และหลังจากเกิดภัย

ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ได้อ่านสารจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวัน อปพร. ประจำปี 2568 ซึ่งกล่าวถึงความสำคัญของบทบาท อปพร. ในการเสริมสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยให้กับสังคม พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

มอบรางวัลเชิดชูเกียรติอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567–2568

ในงานมีพิธีมอบรางวัลเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีการมอบรางวัลในประเภทต่าง ๆ ได้แก่

  • ศูนย์ อปพร. ดีเด่น ประเภทเทศบาลนคร ได้แก่ ศูนย์ อปพร. เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งได้รับเงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่รางวัล โดยมีนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นผู้แทนรับมอบ
  • รางวัล อปพร. ดีเด่น จำนวน 3 ราย ได้แก่
    1. นายอนุสรณ์ อินทวงศ์ (เทศบาลนครเชียงราย)
    2. นายมนัส ปินตา (เทศบาลตำบลดอนศิลา อำเภอเวียงชัย)
    3. นายบุญมี สีใจสา (องค์การบริหารส่วนตำบลสันกลาง อำเภอพาน)
  • รางวัลอาสาสมัครดีเด่น ประจำปี 2567 ได้แก่ นายนพพล ทาเนตร จากองค์การบริหารส่วนตำบลต้า อำเภอขุนตาล

การมอบรางวัลดังกล่าวไม่เพียงเป็นการแสดงความขอบคุณต่อผู้มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ แต่ยังเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก อปพร. ทั่วทั้งจังหวัด

สานต่อความเข้มแข็ง สู่อนาคตการบริหารจัดการภัยพิบัติ

ในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดงาน นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวยกย่องบทบาทของ อปพร. ว่าเป็น “กลไกสำคัญของสังคมไทย” ที่ได้อุทิศตนในการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 46 ปี พร้อมกล่าวว่า “สิ่งสำคัญในวันนี้คือ การสร้างความพร้อมให้กับ อปพร. ทุกระดับ ให้มีทักษะความรู้ที่ทันสมัย มีระบบการฝึกอบรมที่ตอบโจทย์สถานการณ์ และสามารถปรับตัวได้ทันต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติหรือภัยที่เกิดจากมนุษย์”

เขาเน้นย้ำว่า “อปพร. ไม่ใช่เพียงผู้ช่วยเหลือยามเกิดภัย แต่ยังเป็นผู้สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน และเป็นสะพานเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน”

บทบาท อปพร. ต่อระบบความมั่นคงในระดับท้องถิ่น

ศูนย์ อปพร. นับเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการบริหารจัดการภัยพิบัติในระดับท้องถิ่น โดยปฏิบัติหน้าที่ทั้งการเฝ้าระวัง แจ้งเตือนภัย ให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น จัดตั้งศูนย์พักพิง และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐในการฟื้นฟูพื้นที่หลังเกิดเหตุ

ในระดับประเทศ มีอาสาสมัคร อปพร. ทั่วประเทศกว่า 1.2 ล้านคน (อ้างอิงจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, พ.ศ. 2566) โดยในจังหวัดเชียงรายมีสมาชิก อปพร. อยู่ทั้งสิ้นกว่า 7,500 คน ซึ่งถูกกระจายตัวตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในเขตเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อดูแลและคุ้มครองชีวิตประชาชนในพื้นที่ห่างไกลที่มักจะเป็นจุดเสี่ยงภัยพิบัติ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม ไฟป่า และอุทกภัยซ้ำซาก

ความเห็นจากสองมุมมอง: สนับสนุน-ท้าทายการดำเนินงาน

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า อปพร. เป็นพลังอาสาสมัครที่มีคุณค่าต่อสังคม โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤต อปพร. สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และมีความใกล้ชิดกับประชาชนในชุมชน จึงสามารถดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานภาครัฐที่อาจใช้เวลานานกว่าในการจัดกำลังลงพื้นที่

ขณะที่ฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ ชี้ว่า การบริหารจัดการ อปพร. ในหลายพื้นที่ยังขาดระบบสนับสนุนด้านงบประมาณและอุปกรณ์ปฏิบัติงานที่เพียงพอ ทำให้อาสาสมัครต้องใช้ทรัพยากรส่วนตัวในการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงบางพื้นที่ยังขาดการฝึกอบรมต่อเนื่อง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชนลดลง

ข้อเสนอจากทั้งสองฝ่ายสะท้อนถึงความจำเป็นในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการวางแผนพัฒนาศักยภาพของ อปพร. ให้ทันสมัยและมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในระยะยาว

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนสมาชิก อปพร. ทั่วประเทศ: 1.2 ล้านคน
    ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย, รายงานประจำปี พ.ศ. 2566
  • จำนวนสมาชิก อปพร. จังหวัดเชียงราย: ประมาณ 7,500 คน
    ที่มา: ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย, สถิติ ณ วันที่ 1 มีนาคม 2568
  • ระยะเวลาดำเนินงานของ อปพร. ทั่วประเทศ: มากกว่า 46 ปี
    ที่มา: พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย  / ศูนย์ อปพร. จังหวัดเชียงราย / กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายพายุถล่ม เสียหายหนัก เร่งช่วยด่วน

พายุฤดูร้อนถล่มเชียงราย หลายอำเภอเสียหายหนัก ผู้ว่าฯ เร่งสั่งการช่วยเหลือด่วน

เชียงราย, 18 มีนาคม 2568 – พายุฤดูร้อนสร้างความเสียหายในหลายพื้นที่

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18.00-19.30 น. เกิดพายุฝนและลมกระโชกแรงจาก พายุฤดูร้อน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงรายได้รับความเสียหายหนัก โดยเฉพาะใน 2 อำเภอ 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี, ตำบลดงมะดะ อำเภอแม่ลาว และตำบลธารทอง อำเภอพาน ขณะที่ฝนตกกระจายไปทั่ว 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย, อำเภอแม่จัน, อำเภอเทิง, อำเภอพาน, อำเภอแม่ลาว, อำเภอเวียงชัย และอำเภอพญาเม็งราย

อำเภอแม่ลาวได้รับผลกระทบหนักสุด

นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว เปิดเผยว่า พายุฤดูร้อนที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงและกินเวลานานประมาณ 30 นาที ส่งผลให้ 15 หมู่บ้านใน 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี และตำบลดงมะดะ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ ตำบลจอมหมอกแก้วและตำบลป่าก่อดำ ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด

สถานที่ราชการที่ได้รับความเสียหาย ได้แก่:

  • โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว
  • โรงเรียนป่าก่อดำ
  • โรงพยาบาลแม่ลาว
  • วัดห้วยส้านดอนจั่น ได้รับผลกระทบจากหลังคาพังเสียหาย

ผู้บาดเจ็บและผลกระทบต่อโรงพยาบาลแม่ลาว

มีรายงาน ผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย โดยมี 1 รายแขนหัก และ 1 รายได้รับบาดเจ็บจากหน้าต่างพัดใส่จนหมดสติ ต้องส่งตัวเข้ารักษาที่ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

นอกจากนี้ ตึกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลแม่ลาว ได้รับความเสียหายจากพายุจนไม่สามารถให้บริการประชาชนได้ โดยต้องใช้เวลาปรับปรุงฟื้นฟู ประมาณ 3-5 วัน ส่งผลให้ต้องมีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยัง โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์และโรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร ที่อำเภอเวียงชัย

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งการเร่งด่วนให้หน่วยงานเร่งช่วยเหลือ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้สั่งการให้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ประสานกับฝ่ายปกครองอำเภอต่าง ๆ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ให้เร่งดำเนินการ สำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยเร็วที่สุด

เบื้องต้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเครื่องจักรเข้าฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการแจกจ่ายถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และผู้ที่ไม่สามารถซ่อมแซมบ้านเรือนได้ด้วยตนเอง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในภาคเหนือ

ข้อมูลจาก กรมอุตุนิยมวิทยา ปี 2567 ระบุว่า:

  • พายุฤดูร้อนในภาคเหนือมีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี
  • เชียงรายเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยครั้ง โดยเฉลี่ย 5-7 ครั้งต่อปี
  • ในปี 2567 พายุฤดูร้อนทำให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ภาคเหนือ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท

สรุป

พายุฤดูร้อนที่พัดถล่มจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายให้กับหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่ลาวและอำเภอพาน ซึ่งมีบ้านเรือนพังเสียหาย รวมถึงสถานที่ราชการ โรงเรียน และโรงพยาบาลได้รับผลกระทบ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กรมอุตุนิยมวิทยา, 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายปั้น “โคก หนอง นา“ ผู้ว่าฯ หนุนสร้าง เศรษฐกิจพอเพียง

ผู้ว่าฯ เชียงราย เยี่ยมศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง สร้างต้นแบบการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เรียนรู้ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา”บ้านสันธาตุ หมู่ที่ 9 ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย โดยมี นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอแม่จัน พร้อมด้วย หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ร่วมลงพื้นที่

แนวคิดและเป้าหมายของศูนย์เรียนรู้

ศูนย์เรียนรู้ต้นแบบฯ ดำเนินการโดย นายธนกร โชคชัดชาญพัฒนา ครัวเรือนต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นผู้ที่นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ โดยยึดหลัก โคก หนอง นา” ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารจัดการดิน น้ำ และป่า ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพึ่งพาตนเองและพัฒนาชุมชน โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถ จัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีแหล่งอาหารที่ยั่งยืน และสร้างอาชีพในพื้นที่

กลุ่มอาชีพที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของศูนย์ ได้แก่:

  • กลุ่มข้าวอินทรีย์ – ผลิตข้าวที่ปลอดสารเคมีเพื่อการบริโภคและส่งออก
  • กลุ่มผักผลไม้อินทรีย์ – ส่งเสริมการปลูกพืชปลอดสารเคมี และจัดจำหน่ายให้กับตลาดชุมชนและเมืองใหญ่
  • กลุ่มกล้วยตาก – เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรด้วยการแปรรูป
  • กลุ่มพริกลาบ – สร้างผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบท้องถิ่น ส่งออกสู่ตลาดทั้งในและต่างจังหวัด

ข้อเสนอแนะจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ได้ให้แนวทางเพิ่มเติมในการพัฒนา ศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” ให้สามารถขยายผลสู่ชุมชนอื่น ๆ ได้ โดยเน้นเรื่อง การบริหารจัดการน้ำ การจัดการขยะ และการสร้างเครือข่ายเกษตรกร

  1. การบริหารจัดการน้ำ
  • ส่งเสริมการขุดหนองน้ำและทำธนาคารน้ำใต้ดิน เพื่อให้เกษตรกรมีแหล่งน้ำสำรองในฤดูแล้ง
  • สร้างระบบคลองไส้ไก่และหลุมขนมครก เพื่อช่วยกระจายน้ำไปทั่วพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
  1. การจัดการขยะและการเพิ่มมูลค่าทรัพยากร
  • ใช้ขยะเปียกเป็นอาหารสัตว์หรือปุ๋ยหมัก ลดปริมาณขยะในชุมชน
  • ส่งเสริมการรีไซเคิลและแปรรูปขยะ ให้กลายเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์และสร้างรายได้
  1. การสร้างเครือข่ายเกษตรกรและตลาดรองรับผลผลิต
  • สร้างเครือข่ายเกษตรกรเพื่อกำหนดราคาผลผลิตได้อย่างเป็นธรรม
  • ส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนและตลาดกลาง เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตได้ในราคาที่เหมาะสม

ศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” เป็นต้นแบบการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม

ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้ เป็นต้นแบบของการจัดการพื้นที่การเกษตรแบบยั่งยืน โดยเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า เช่น การขุดหนองน้ำ 4 บ่อ ระบบคลองไส้ไก่ และการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งทำให้สามารถ เชื่อมโยงผลผลิตเข้าสู่ตลาดทั้งในและต่างจังหวัด รวมถึงการเป็น คู่ค้ากับบริษัทรายใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • จำนวนศูนย์เรียนรู้ “โคก หนอง นา” ในประเทศไทย: กว่า 3,500 แห่ง (ข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน ปี 2568)
  • งบประมาณสนับสนุนการพัฒนาโครงการ: 2,500 ล้านบาท (ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2568)
  • พื้นที่ที่มีการนำหลักการ “โคก หนอง นา” ไปใช้ในเชียงราย: มากกว่า 2,000 ไร่ (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ปี 2568)
  • อัตราการเติบโตของเกษตรอินทรีย์ในเชียงราย: เพิ่มขึ้น 18% ต่อปี (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย ปี 2568)

สรุป

ศูนย์เรียนรู้ โคก หนอง นา” เป็นหนึ่งในโครงการที่ส่งเสริมแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง และ การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะ การจัดการน้ำและขยะในชุมชน ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองและพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม การนำหลักการนี้ไปขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ ยังต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการจัดสรรเงินทุนและการอบรมความรู้เพิ่มเติม เพื่อให้เกษตรกรสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโครงการได้อย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาชุมชน (ปี 2568) / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ปี 2568) / สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย (ปี 2568) / สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย (ปี 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รถไฟเด่นชัย-เชียงของ เคลียร์ปัญหา เวนคืนที่ดิน

เชียงรายประชุมความคืบหน้ารถไฟเด่นชัย-เชียงของ พร้อมถกปัญหาค่าเวนคืนที่ดิน

เชียงราย, 17 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ การรถไฟแห่งประเทศไทย, สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย, สำนักงานธนารักษ์พื้นที่เชียงราย และหน่วยงานในจังหวัดเชียงราย

ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางรถไฟ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2563 มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในจังหวัดเชียงราย ครอบคลุม อำเภอป่าแดด, อำเภอเทิง, อำเภอเมืองเชียงราย, อำเภอเวียงชัย, อำเภอเวียงเชียงรุ้ง, อำเภอดอยหลวง และอำเภอเชียงของ เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของภาคเหนือ โดย มีระยะทาง 323.1 กิโลเมตร ครอบคลุม 59 ตำบล 17 อำเภอ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่, ลำปาง, พะเยา และเชียงราย มี 26 สถานี แบ่งเป็น 4 สถานีขนาดใหญ่, 9 สถานีขนาดเล็ก และ 13 ป้ายหยุดรถ ใช้งบประมาณ 85,345 ล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จภายใน 7 ปี โครงการนี้ยังรวมถึง ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าชายแดนเชียงของ บนพื้นที่ 150 ไร่ ใกล้พรมแดน สปป.ลาว เพื่อรองรับการเชื่อมต่อสู่จีน

ข้อกังวลเรื่องการเวนคืนที่ดิน

ขณะนี้มีความคืบหน้าในการเวนคืนที่ดินไปแล้ว 87% (550 แปลง จากทั้งหมด 634 แปลง) แต่ยังเหลืออีก 84 แปลง ที่อยู่ระหว่างการเจรจา โดยมีกรณีปัญหาการคัดค้านจากเจ้าของที่ดินบางส่วน โดยเฉพาะ พื้นที่ ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย ซึ่งมีประชาชนร้องเรียนว่าค่าเวนคืนต่ำและไม่เพียงพอสำหรับซื้อที่ดินใหม่

เสียงสะท้อนจากประชาชน

  • นายศรัณย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี และ น.ส.ณัฐภา (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี เจ้าของร้านค้าของเก่าใน อ.เวียงชัย กล่าวว่า ตนได้รับค่าเวนคืน ตารางวาละ 19,000 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 7.5 ล้านบาท แต่ราคาตลาดที่ดินในพื้นที่สูงกว่า ไร่ละ 8-9 ล้านบาท ทำให้เงินเวนคืนไม่พอซื้อที่ดินใหม่
  • นางพิศมัย ชัยสิทธิ์ ชาวบ้าน อ.เชียงของ ระบุว่า ตนได้รับแจ้งว่าที่ดินของตนจะได้เวนคืนเพียง ไร่ละ 400,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าการประเมินในพื้นที่ที่อยู่ที่ 2.5-3.5 ล้านบาทต่อไร่
  • กลุ่มตัวแทนชาวบ้านร้องขอให้ รฟท. ปรับเพิ่มค่าเวนคืน หรือ จัดสรรที่ดินทดแทนในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากพื้นที่เดิม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก

จุดยืนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

นายจักรี วิสุทธิพนัง พนักงานเทคนิค 8 ฝ่ายโครงการพิเศษและก่อสร้าง รฟท. ระบุว่า ราคาค่าเวนคืนที่ดินคำนวณตามเกณฑ์ของกรมธนารักษ์ และเป็นไปตาม พ.ร.บ.เวนคืนที่ดินและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 เจ้าของที่ดินที่ไม่พอใจราคาสามารถ ยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 ปี

นอกจากนี้ รฟท. ยังเสนอซื้อที่ดินส่วนที่เหลือเพิ่มเติม อีก 1 งาน เป็นเงิน 11 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเจ้าของร้านค้าของเก่า แต่เจ้าของเรียกร้อง 79 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาประเมิน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามข้อเรียกร้องได้

มาตรการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ

ที่ประชุมมีมติให้ สำนักงานจังหวัดเชียงราย, กรมที่ดิน และธนารักษ์พื้นที่เชียงราย ร่วมกันตรวจสอบราคาเวนคืนที่ดินใหม่ เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม ขณะเดียวกัน ให้ รฟท. เร่งรัดการจ่ายค่าชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

สำหรับ ผู้ที่ต้องการอุทธรณ์การประเมินราคาเวนคืน สามารถยื่นเรื่องต่อ สำนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ศาลปกครอง เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ความคืบหน้าการเวนคืนที่ดิน: เวนคืนแล้ว 87% (ข้อมูลจาก รฟท. ปี 2568)
  • งบประมาณโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย – เชียงของ: 85,345 ล้านบาท (ข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม ปี 2568)
  • จำนวนสถานีและระยะทาง: 323.1 กิโลเมตร, 26 สถานี (ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางราง ปี 2568)
  • ราคาค่าเวนคืนที่ดินในพื้นที่: ตารางวาละ 19,000 บาท (ข้อมูลจากกรมธนารักษ์ ปี 2568)

สรุป

การประชุมหารือแนวทางแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินเพื่อก่อสร้างทางรถไฟสายเด่นชัย – เชียงของ สะท้อนถึงความก้าวหน้าของโครงการและอุปสรรคที่ต้องแก้ไข โดยฝ่ายรัฐยืนยันว่าค่าเวนคืนเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ กรมธนารักษ์และกฎหมายเวนคืนที่ดิน ในขณะที่ประชาชนบางส่วนยังคงเห็นว่าราคาที่ได้รับต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้เกิดข้อเรียกร้องให้ทบทวน

แนวทางแก้ไขในขณะนี้คือ การตรวจสอบราคาประเมินใหม่ และเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ไม่พอใจยื่นอุทธรณ์ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะที่โครงการเดินหน้าต่อไป เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของภาคเหนือเกิดขึ้นตามแผนที่วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) / กระทรวงคมนาคม / กรมธนารักษ์ / กรมการขนส่งทางราง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News