Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครูบา-จิตอาสาสานพลัง! มทบ.37 จัดกิจกรรม “วันดินโลก” วางโครงสร้างนิเวศดักตะกอนดิน สร้างความมั่นคงด้านน้ำ

วันดินโลก” ที่บ้านร่องเบ้อ มทบ.37 นำจิตอาสาสร้างฝาย Gabion ฟื้นป่าต้นน้ำ–รับมือไฟป่าเชียงราย

เชียงราย – วันที่ 10 ธันวาคม 2568 ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.37) จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา “น้อมรำลึก เนื่องในวันพ่อแห่งชาติและวันดินโลก” ณ บ้านร่องเบ้อ ตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย โดยมีเป้าหมายสำคัญในการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ ฟื้นฟูระบบนิเวศ และสร้างแหล่งน้ำต้นทุนให้ชุมชน ผ่านการสร้างฝายชะลอน้ำแบบกล่องลวดตาข่าย Gabion ควบคู่กับการปลูกต้นไม้และปล่อยพันธุ์ปลาในแหล่งน้ำชุมชน

กิจกรรมครั้งนี้มี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดเชียงราย (ฝ่ายพลเรือน) เป็นประธานในพิธี โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 400 คน ประกอบด้วยกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน มทบ.37 หน่วยงานรัฐ ภาคธุรกิจ เยาวชน และชุมชนในพื้นที่บ้านร่องเบ้อ สะท้อนรูปธรรมของการบูรณาการทุกภาคส่วนในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน

วันดินโลก–จากพระราชดำริสู่การลงมือในป่าต้นน้ำเชียงราย

การจัดกิจกรรม “วันดินโลก” ในประเทศไทยมีความหมายลึกซึ้งเป็นพิเศษ เนื่องจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็น “World Soil Day” เพื่อรณรงค์ให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญของดิน ต่อความมั่นคงทางอาหารและระบบนิเวศ โดยอ้างอิงพระราชดำริด้านการจัดการดินและน้ำของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ซึ่งทรงริเริ่มโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ด้านอนุรักษ์ดินและน้ำอย่างต่อเนื่องยาวนาน

กิจกรรมที่บ้านร่องเบ้อในวันที่ 10 ธันวาคม 2568 จึงเป็นทั้งการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และการต่อยอดหลักคิด “พัฒนาควบคู่อนุรักษ์” สู่การปฏิบัติในพื้นที่จริง โดยเลือกป่าต้นน้ำและลำห้วยของชุมชนเป็นสมรภูมิหลักในการทำงานเชิงจิตอาสา

พลังจิตอาสา 400 ชีวิต เครือข่ายที่เกินกว่า “งานวันเดียว”

หัวใจสำคัญของกิจกรรม คือ การรวมพลังภาคีเครือข่ายจากหลากหลายสาขา ทั้งด้านความมั่นคง หน่วยงานด้านสังคม เศรษฐกิจ และเยาวชนในพื้นที่

ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย

  • กำลังพลจิตอาสาพระราชทานจากมณฑลทหารบกที่ 37
  • สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย (พม.จว.ช.ร.)
  • จิตอาสากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย (กอ.รมน.จังหวัด ช.ร.)
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • คณะศูนย์ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจจังหวัดเชียงราย (CSR เชียงราย)
  • ตัวแทนวิทยาลัยอาชีวศึกษา เยาวชนสภาลมหายใจจังหวัดเชียงราย และกลุ่มเยาวชนไทยหัวใจอาสา
  • ผู้นำท้องถิ่นและประชาชนจิตอาสาบ้านร่องเบ้อ

การมีส่วนร่วมที่หลากหลายเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำและการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่หน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากแต่ต้องอาศัย “ทุนทางสังคม” ของชุมชนในวงกว้าง ทั้งในมิติความรู้ กำลังคน ทุน และเครือข่าย

นอกจากนี้ กิจกรรมยังได้รับเมตตาจาก “ครูบาศรีจอมหมอกฟ้างำเมือง” พระเกจิจากจังหวัดลำปาง เดินทางมาร่วมให้กำลังใจจิตอาสาและชาวบ้านที่ลงมือฟื้นฟูป่าต้นน้ำร่วมกันในพื้นที่บ้านร่องเบ้อ ช่วยเสริมมิติทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณให้กับการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ ซึ่งมักจะต้องใช้ความต่อเนื่องและความศรัทธาในระยะยาว

ฝาย Gabion วิศวกรรมเรียบง่ายที่เปลี่ยนภูเขาแห้งให้กลายเป็น “ป่าเปียก”

ภารกิจหลักของกิจกรรมครั้งนี้ คือ การสร้าง “ฝายชะลอน้ำแบบกล่องลวดตาข่าย Gabion” บริเวณลำห้วยในพื้นที่ป่าต้นน้ำของบ้านร่องเบ้อ

ฝาย Gabion เป็นโครงสร้างชะลอน้ำที่สร้างจากกล่องลวดตาข่ายบรรจุก้อนหิน มีข้อดีคือแข็งแรง ปรับตัวตามสภาพพื้นที่ได้ดี และปล่อยให้กระแสน้ำไหลผ่านได้ แต่ถูกชะลอความเร็วลง ทำให้ตะกอนดินหยาบตกค้างอยู่ด้านเหนือฝาย พร้อมทั้งกักเก็บความชุ่มชื้นให้พื้นที่โดยรอบ เมื่อเวลาผ่านไป ตะกอนที่สะสมจะกลายเป็นแหล่งดินอุดมสมบูรณ์ที่เอื้อต่อการเติบโตของพืชพรรณรอบลำห้วย

สำหรับบ้านร่องเบ้อ ฝาย Gabion ที่สร้างขึ้นถูกออกแบบให้ทำหน้าที่หลายประการพร้อมกัน ได้แก่

  1. ดักตะกอนป้องกันการพังทลายของดินในพื้นที่ลาดชัน
  2. เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ป่าต้นน้ำ สร้าง “ระบบนิเวศป่าเปียก” ที่ช่วยลดโอกาสเกิดไฟป่า
  3. เป็นแหล่งกักเก็บน้ำต้นทุนสำหรับระบบประปาภูเขาของชุมชน
  4. ทำหน้าที่เป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับทีมดับไฟป่าชุมชนในช่วงฤดูแล้ง

เมื่อผนวกรวมกับกิจกรรมปล่อยปลาลงสู่แหล่งน้ำและปลูกต้นไม้ลดภาวะโลกร้อน กิจกรรมในวันเดียวจึงไม่ได้สร้างเพียง “ฝายหนึ่งตัว” หากแต่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานทางนิเวศและสังคมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีส่วนร่วมในระยะยาว

เชียงราย–เมืองหน้าด่านปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ

ทุกปีในช่วงฤดูแล้ง จังหวัดเชียงรายและจังหวัดในภาคเหนือเผชิญปัญหาไฟป่าและหมอกควัน PM2.5 อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากจุดความร้อนในประเทศและหมอกควันข้ามแดน โดยข้อมูลจากหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่า จุดความร้อนจำนวนมากที่เกิดจากไฟป่ามีแนวโน้มสัมพันธ์กับระดับฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ โดยเฉพาะแนวชายแดนที่รับอิทธิพลจากกระแสลมพัดพาควันไฟจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา

รายงานสถานการณ์ไฟป่าและฝุ่นละอองในจังหวัดเชียงรายในช่วงฤดูหมอกควันระบุว่า หลายวันค่าฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง

ในบริบทนี้ การสร้าง “ป่าเปียก” ด้วยฝายชะลอน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูความชุ่มชื้นของผืนป่าและลดการแพร่กระจายของไฟป่า แต่ยังช่วยลดโอกาสที่ไฟจะลุกลามกลายเป็นจุดความร้อนขนาดใหญ่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเกิดหมอกควัน PM2.5 ในระดับภูมิภาค

กิจกรรมที่บ้านร่องเบ้อจึงสะท้อนให้เห็นแนวคิด “คิดระดับภูมิภาค–ลงมือระดับหมู่บ้าน” กล่าวคือ แม้ฝายหนึ่งตัวในลำห้วยเล็ก ๆ จะดูเป็นเรื่องเล็กในสายตาคนนอกพื้นที่ แต่เมื่อเชื่อมโยงกับระบบฝายชะลอน้ำจำนวนมากในลุ่มน้ำเดียวกัน ก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบนิเวศและคุณภาพอากาศของทั้งจังหวัดได้

หนองหลวง–ร่องเบ้อ แหล่งน้ำชุมชนที่มากกว่า “สระน้ำสำหรับทำการเกษตร”

พื้นที่บ้านร่องเบ้อ–หนองหลวง ที่จัดกิจกรรมครั้งนี้ มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตของประชาชนในหลายมิติ เป็นทั้งแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร แหล่งประมงพื้นบ้าน และพื้นที่สีเขียวที่ช่วยรองรับกิจกรรมนันทนาการของชุมชน

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการกำจัดผักตบชวาและวัชพืชบริเวณหนองหลวงร่วมกับหลายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ อำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเวียงชัย เทศบาลตำบลห้วยสัก เทศบาลตำบลสิริเวียงชัย เทศบาลตำบลเมืองชุม และเทศบาลตำบลดอยศิลา เพื่อฟื้นฟูคุณภาพแหล่งน้ำให้กลับมาใสสะอาดและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ

ปัจจุบัน หนองหลวงได้รับการปรับปรุงสภาพแวดล้อมจนกลับมามีคุณภาพน้ำที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมรองรับการเป็นหนึ่งในโซนจัดกิจกรรม “มหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025” ในเขตอำเภอเวียงชัย กำหนดจัดระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2568 ถึง 7 มกราคม 2569 ซึ่งจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาสัมผัสความงดงามของแหล่งน้ำและภูมิทัศน์ในพื้นที่

การสร้างฝาย Gabion ในลำห้วยต้นน้ำที่เกี่ยวเนื่องกับหนองหลวง จึงเป็นเหมือนการเสริม “หลังบ้านด้านนิเวศ” ให้มั่นคง เพื่อรองรับ “หน้าบ้านด้านการท่องเที่ยว” ที่กำลังได้รับการผลักดันอย่างจริงจังจากจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

จิตอาสาพระราชทาน กับสมการ “ความมั่นคง–สิ่งแวดล้อม–ชุมชนเข้มแข็ง”

การขับเคลื่อนกิจกรรมจิตอาสาโดยมณฑลทหารบกที่ 37 ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการระดมกำลังพลไปช่วยงานชุมชนระยะสั้น หากแต่สะท้อนบทบาทของกองทัพในมิติ “ความมั่นคงมนุษย์” ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติให้กับประชาชนในระยะยาว

ภายใต้กรอบแนวคิดจิตอาสาพระราชทาน กิจกรรมอนุรักษ์ป่าและการสร้างฝายชะลอน้ำจึงทำหน้าที่เป็น “สะพาน” เชื่อมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานความมั่นคงกับเครือข่ายภาคประชาชน เยาวชน และภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการป้องกันไฟป่า ลดหมอกควัน และสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับชุมชน

การบูรณาการดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ไปจนถึงการดูแลรักษาโครงสร้าง เช่น ฝายชะลอน้ำและแนวกันไฟ เพื่อให้ชุมชนรู้สึกเป็นเจ้าของและพร้อมดูแลต่อเนื่องในระยะยาว

จาก “วันเดียว” สู่ “แผนระยะยาว” ความท้าทายและข้อเสนอเชิงนโยบาย

แม้กิจกรรมในวันดินโลกที่บ้านร่องเบ้อจะประสบความสำเร็จในแง่การระดมพลังจิตอาสาและผลลัพธ์เชิงรูปธรรมในพื้นที่ แต่ความท้าทายสำคัญคือ การต่อยอดให้โครงการลักษณะนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “แผนจัดการลุ่มน้ำและป่าต้นน้ำเชียงราย” ที่มีความชัดเจนและต่อเนื่อง

ประเด็นที่ควรพิจารณาในเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่

  1. การสำรวจศักยภาพลำห้วยและป่าต้นน้ำรอบบ้านร่องเบ้อ–หนองหลวง
    เพื่อต่อยอดการสร้างฝายชะลอน้ำและแนวป่าเปียกให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงต่อไฟป่า โดยอาศัยฐานข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) และข้อมูลไฟป่าที่หน่วยงานด้านภูมิสารสนเทศและสิ่งแวดล้อมรวบรวมไว้
  2. การเชื่อมโยงข้อมูลกิจกรรมจิตอาสากับฐานข้อมูลการจัดการไฟป่าและ PM2.5
    หากสามารถบันทึกตำแหน่งฝายชะลอน้ำ แนวกันไฟ และพื้นที่ปลูกป่าที่เกิดจากโครงการจิตอาสาเข้าสู่ระบบข้อมูลกลาง ก็จะช่วยให้จังหวัดเชียงรายสามารถประเมินผลเชิงนโยบายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าการลงทุนด้านจิตอาสาและโครงสร้างนิเวศมีส่วนช่วยลดความรุนแรงของไฟป่าและหมอกควันได้มากน้อยเพียงใด
  3. การเสริมบทบาทเยาวชนในฐานะ “ผู้พิทักษ์ต้นน้ำรุ่นใหม่”
    การมีส่วนร่วมของเยาวชนจากสภาลมหายใจและกลุ่มเยาวชนไทยหัวใจอาสาในกิจกรรมครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม หากได้รับการออกแบบโครงการต่อเนื่อง เช่น หลักสูตรเยาวชนเฝ้าระวังไฟป่า หรือโครงการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ฝายและลำห้วย ก็จะช่วยให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นวาระของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
  4. การเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025
    หนองหลวงในฐานะหนึ่งในโซนจัดกิจกรรมของงานมหกรรมไม้ดอกอาเซียนเชียงราย 2025 มีศักยภาพสูงในการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เล่าถึงความสำคัญของป่าต้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ และตำนานท้องถิ่น หากสามารถออกแบบเส้นทางเรียนรู้ที่เชื่อมระหว่างจุดชมดอกไม้กับพื้นที่ป่าต้นน้ำบ้านร่องเบ้อ ก็จะช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าใจว่า “ความสวยงามของดอกไม้ในงานมหกรรม” เชื่อมโยงกับ “ความชุ่มชื้นของป่าต้นน้ำ” อย่างไร

วันดินโลกที่บ้านร่องเบ้อ – เรื่องเล่าของดิน น้ำ ป่า และผู้คน

กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาที่บ้านร่องเบ้อในโอกาสน้อมรำลึกวันพ่อแห่งชาติและวันดินโลก ไม่ได้เป็นเพียงภาพของผู้คนที่ช่วยกันแบกหิน ใส่กล่องลวดตาข่าย ปลูกต้นไม้ และปล่อยปลาเท่านั้น หากแต่เป็น “ฉากย่อย” ของเรื่องเล่าขนาดใหญ่เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายในศตวรรษที่ต้องเผชิญทั้งวิกฤตภูมิอากาศ ไฟป่า หมอกควัน และความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มสูงขึ้น

ฝาย Gabion หนึ่งตัวอาจไม่สามารถหยุดไฟป่าทั้งจังหวัด หรือทำให้ค่า PM2.5 ลดลงในทันที แต่เมื่อมองในมิติของระบบนิเวศและความร่วมมือของผู้คน การมีฝายจำนวนมากขึ้นในพื้นที่ต้นน้ำ การมีเยาวชนและชุมชนที่เข้าใจบทบาทของตนเอง การมีหน่วยงานรัฐ–ทหาร–เอกชน–ภาคศาสนาร่วมขับเคลื่อน ล้วนเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการสร้าง “เมืองปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม” อย่างยั่งยืน

ในมุมหนึ่ง วันดินโลกที่บ้านร่องเบ้อจึงเป็นการย้ำเตือนว่าดิน น้ำ ป่า และผู้คน ไม่ใช่เรื่องที่แยกขาดจากกัน การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำไม่ใช่เพียงการปกป้องต้นไม้ แต่เป็นการปกป้องชีวิตของผู้คนทั้งในวันนี้และอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)
  • กรมชลประทาน
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” แปลงนาสาธิต ทหารพันธุ์ดี สืบสาน ศาสตร์พระราชา

เชียงราย – มทบ.37 สืบสาน “ศาสตร์พระราชา” ผ่านกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” แปลงนาสาธิตทหารพันธุ์ดี เชื่อมจิตอาสา–ชุมชน สร้างพื้นที่เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงราย,4 ธันวาคม 2568 – เสียงหัวเราะของเด็กนักเรียน เสียงทักทายของทหารผ่านศึก และจังหวะก้าวย่ำลงผืนนาอย่างพร้อมเพรียงของกำลังพลจิตอาสา คือภาพแรกที่ปรากฏขึ้น ณ แปลงนาสาธิต โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช เมื่อบ่ายวันที่ 2 ธันวาคม 2568

ภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตรงกับวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2568

เบื้องหลังเพียงครึ่งวันของกิจกรรม คือ “เรื่องเล่า” ของการสืบสานพระราชปณิธานด้านการพัฒนา การยืนหยัดบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และความพยายามเปลี่ยน “ผืนนาในค่ายทหาร” ให้เป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ของคนทั้งชุมชน

พลังจิตอาสาหลากหลายรุ่น จากทหาร ถึงนักเรียนอนุบาล

หัวใจสำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือ “การรวมพลัง” ของเครือข่ายจิตอาสาหลายภาคส่วน ภายใต้การนำของ พล.ต. จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีและนำกำลังพลลงแปลงนาอย่างเป็นตัวอย่าง

กิจกรรมได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลากหลาย ได้แก่

  • กำลังพลจิตอาสา 904
  • กำลังพลมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช
  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช
  • หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร
  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย–พะเยา
  • โรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์ บริบูรณ์ธนวัฒน์

การที่ “ทหารแนวหน้า – ทหารผ่านศึก – เยาวชน – บุคลากรทางการแพทย์ – ครูและนักเรียน” ลงมือทำนาเคียงบ่าเคียงไหล่กันในกิจกรรมเดียว ไม่ได้เป็นเพียงภาพเชิงสัญลักษณ์ หากยังสะท้อนแนวคิดสำคัญของงานครั้งนี้ คือ “การเรียนรู้ร่วมกัน” และ “การสืบสานวิถีเกษตรกรรมไทยอย่างมีส่วนร่วม”

แม้กิจกรรมจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมแปลงนา การลงแขกดำนา ไปจนถึงการอธิบายขั้นตอนจัดการน้ำ ดิน และเมล็ดพันธุ์ ล้วนถูกออกแบบให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสทั้ง “วิธีคิด” และ “วิธีปฏิบัติ” ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และศาสตร์พระราชาอย่างเป็นระบบ

ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” วงจรเวลาที่ผูกหัวใจคนกับผืนนา

ชื่อกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เป็นวลีที่คนไทยคุ้นหูมาหลายปี แต่ในบริบทของ มทบ.37 วลีนี้ถูกทำให้ “จับต้องได้จริง” ผ่านแปลงนาสาธิตของโครงการทหารพันธุ์ดี

แนวคิดหลักคือการใช้ “วงจรเวลา” จากเดือนสิงหาคม (วันแม่แห่งชาติ) จนถึงเดือนธันวาคม (วันพ่อแห่งชาติ) เป็นกรอบการเรียนรู้เรื่องข้าวและวิถีเกษตรกรรมแบบครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมดิน ดำนา ดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว

แม้ในปีนี้กิจกรรมที่รายงานจะจัดขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงใกล้วันพ่อแห่งชาติ แต่การลงแขกดำนาในแปลงนาสาธิตครั้งนี้ก็ถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับการ “เก็บเกี่ยวในอนาคต” อย่างชัดเจน

ข้าวที่ผู้เข้าร่วมปลูกร่วมกันในวันนี้ จะกลายเป็นผลผลิตที่สะท้อนให้เห็นว่า “การทำตามศาสตร์พระราชา” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ หากคือกระบวนการเรียนรู้ระยะยาว ที่ต้องอาศัยความเพียร ความร่วมมือ และการวางแผนอย่างรอบคอบ

แปลงนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี ห้องเรียน “ศาสตร์พระราชา” ในค่ายทหาร

กิจกรรมทั้งหมดจัดขึ้น ณ แปลงนาสาธิต โครงการทหารพันธุ์ดี มณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช” ทำหน้าที่เป็นแหล่งสาธิตและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับกำลังพล ส่วนราชการ นักเรียน และประชาชนทั่วไป

หน่วยได้ประกาศชัดว่า การดำเนินงานทั้งหมดอยู่ภายใต้ความคิด

“เรียนรู้จากผืนนา ในศาสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และการพัฒนาที่ตั้งอยู่บน “ความพอประมาณ เหตุผล และภูมิคุ้มกัน” โดยอาศัยเงื่อนไขความรู้และคุณธรรมเป็นฐาน เพื่อให้ครอบครัว ชุมชน และประเทศสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

เมื่อหลักคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดลงสู่ “ผืนนาในค่ายทหาร” แปลงนี้จึงไม่ได้มีบทบาทเพียงเป็นพื้นที่ปลูกข้าว แต่กลายเป็น “สื่อการเรียนรู้” ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นภาพจริงของการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างสมดุล ทั้งน้ำ ดิน พืช และแรงงานคน

เกษตรทฤษฎีใหม่ จากแนวพระราชดำริ สู่ผังการจัดการพื้นที่ของ มทบ.37

หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการทหารพันธุ์ดี คือการน้อมนำ “เกษตรทฤษฎีใหม่” มาปรับใช้ในพื้นที่ของหน่วย เพื่อให้เกิดต้นแบบการจัดการพื้นที่เกษตรขนาดเล็กที่เหมาะสมกับสภาพของเกษตรกรไทย

เอกสารแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของสำนักงาน กปร. ระบุว่า ทฤษฎีใหม่นี้เสนอให้เกษตรกรที่มีที่ดินเฉลี่ยประมาณ 10–15 ไร่ แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ เช่น แหล่งน้ำ พื้นที่ปลูกข้าว พื้นที่ปลูกพืชผสมผสาน และพื้นที่อยู่อาศัยหรือเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตอาหาร การกักเก็บน้ำ และการสร้างรายได้เสริมอย่างยั่งยืน

การที่มณฑลทหารบกที่ 37 นำแนวทางนี้มาปรับใช้ในแปลงนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี ไม่เพียงช่วยให้กำลังพลเข้าใจระบบเกษตรแบบบูรณาการ แต่ยังทำให้พื้นที่นี้ทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบภาคปฏิบัติ” ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถมาศึกษา เรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้ในแปลงของตนเองได้

ในมุมของการสร้างความมั่นคงทางอาหาร แปลงทดสอบที่มีข้าวเป็นศูนย์กลาง และมีพืชอาหารอื่น ๆ รวมถึงการเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชเศรษฐกิจเสริม ย่อมมีศักยภาพในการช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ตลอดจนรองรับสถานการณ์วิกฤตในอนาคตได้ดีกว่าระบบเกษตรเชิงเดี่ยว

จาก “หน้าที่ทหาร” สู่ “บทบาทครู” กองทัพกับภารกิจใหม่ในชุมชน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กองทัพบกได้พยายามขยายบทบาทจาก “หน่วยงานด้านความมั่นคง” ไปสู่การเป็น “หุ้นส่วนการพัฒนา” กับชุมชน ผ่านโครงการด้านเกษตรและจิตอาสาต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ “โครงการทหารพันธุ์ดี” ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ในคราวเดียวกัน

กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นการปรับบทบาทดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อกำลังพลไม่ได้ทำหน้าที่เพียงป้องกันประเทศ แต่ยังลงมาสวมบท “ครู” ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านการจัดการแปลงนา การอนุรักษ์น้ำดิน และการวางแผนปลูกข้าวตามฤดูกาลให้กับเยาวชนและประชาชน

ขณะเดียวกัน การมีส่วนร่วมของหน่วยงานอย่างโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช และสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย–พะเยา ยังช่วยให้ภาพของกิจกรรมครั้งนี้เชื่อมโยงกับการดูแล “คนในระบบ” อย่างครบวงจร ทั้งทหารประจำการ ทหารผ่านศึก และครอบครัว

กล่าวได้ว่า แปลงนาสาธิตแปลงเล็ก ๆ แห่งนี้ กลายเป็นพื้นที่ที่ “ภารกิจการพัฒนา คุณภาพชีวิต และการปลูกฝังคุณค่าจิตอาสา” เดินไปพร้อม ๆ กับภารกิจหลักด้านความมั่นคงของกองทัพ

เมื่อเด็ก ๆ ลงนา การปลูกเมล็ดพันธุ์ “คนรุ่นใหม่” ไปพร้อมกับเมล็ดข้าว

หนึ่งในภาพที่โดดเด่นของกิจกรรม คือการที่นักเรียนจากโรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์ บริบูรณ์ธนวัฒน์ ได้มีโอกาสลงแปลงนา เรียนรู้ขั้นตอนการปลูกข้าว รู้จักอุปกรณ์การทำนา และฟังคำอธิบายเรื่อง “ศาสตร์พระราชา” ในภาษาที่เข้าใจง่าย

สำหรับเด็กในยุคดิจิทัลที่คุ้นเคยกับหน้าจอมากกว่าผืนนา การได้สัมผัสดินโคลนด้วยตนเอง ถือเป็นประสบการณ์สำคัญที่ช่วยเชื่อมโยง “อาหารในจาน” กับ “แรงงานของชาวนาและระบบนิเวศในท้องนา” อย่างจับต้องได้

เมื่อมองในระยะยาว การเปิดพื้นที่เช่นนี้ให้เด็กและเยาวชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ย่อมช่วยปลูกฝังทัศนคติด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การเห็นคุณค่าของแรงงานเกษตร และการเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถประยุกต์ใช้ได้ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับชาติ

ความหมายเชิงสังคม ข้าวหนึ่งรวง สะท้อนเครือข่าย “จิตอาสา – เกษตร – ชุมชน”

แม้กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายกิจกรรมของศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มทบ.37 แต่ความหมายในเชิงสังคมของกิจกรรมนี้มีความน่าสนใจในหลายมิติ

  1. มิติด้านจิตอาสา
    การรวมตัวของกำลังพลจิตอาสา 904 หน่วยทหาร หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร และเครือข่ายทหารผ่านศึก สะท้อนให้เห็นว่าจิตอาสาในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการบรรเทาทุกข์ในภาวะวิกฤต แต่ยังขยายสู่ “การสร้างภูมิคุ้มกันเชิงโครงสร้าง” ผ่านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางอาหารของชุมชน
  2. มิติด้านเศรษฐกิจฐานราก
    การส่งเสริมให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปเข้ามาเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ช่วยให้ครัวเรือนมีโอกาสปรับรูปแบบการเพาะปลูก ให้พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรผันผวน และสร้างรายได้เสริมจากพืชผสมผสานตามแนวทางที่สำนักงาน กปร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันมายาวนาน
  3. มิติด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
    ข้าวและผืนนาไม่ใช่เพียงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชุมชนไทย โดยเฉพาะในภาคเหนืออย่างจังหวัดเชียงราย ที่มีทั้งชาวไทยพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายอาศัยอยู่ วิถีเกษตรที่เชื่อมโยงกับ “ศาสตร์พระราชา” จึงเท่ากับการรักษาทั้งภูมิปัญญาและความทรงจำร่วมของชุมชน

 

จากผืนนาสู่อนาคต พื้นที่ต้นแบบที่ขยายผลได้จริง

จุดแข็งของกิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้เข้าร่วม แต่อยู่ที่การวาง “โจทย์ระยะยาว” ให้แปลงนาสาธิตของโครงการทหารพันธุ์ดีทำหน้าที่ต่อไปในฐานะ “ต้นแบบการเรียนรู้” ที่ขยายผลไปยังครอบครัวและชุมชนอื่น ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อเกษตรกรตัวจริงในพื้นที่ นักเรียน และประชาชนทั่วไป เห็นตัวอย่างของการจัดสรรพื้นที่ตามทฤษฎีใหม่ การวางระบบน้ำ การปลูกพืชระบบหมุนเวียน และการเชื่อมโยงกับตลาดอย่างพอเหมาะ พวกเขาสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้ตามบริบทของตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ การที่ มทบ.37 วางศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ให้เปิดรับส่วนราชการ สถานศึกษา และภาคประชาชน ยังช่วยให้ “องค์ความรู้จากศาสตร์พระราชา” ไม่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในกรม กอง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ถูกส่งต่อในรูปแบบความร่วมมือข้ามองค์กรอย่างแท้จริง

เมื่อ “ผืนนาในค่ายทหาร” กลายเป็นเวทีสืบสานศาสตร์พระราชา

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ของศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 อาจถูกมองว่าเป็นเพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในช่วงวันสำคัญของชาติ

แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นว่า

  • ผืนนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี คือ “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ที่แปลงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ให้จับต้องได้จริง
  • การผนึกกำลังของทหาร จิตอาสา นักเรียน ทหารผ่านศึก และหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ คือ “รูปธรรมของความสามัคคี” ที่สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาชุมชนไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยลำพังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • วงจรเวลา “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมเห็นคุณค่าของการวางแผนระยะยาว ความเพียร และการเรียนรู้จากธรรมชาติ ซึ่งล้วนเป็นแก่นสำคัญของศาสตร์พระราชา

ในโลกที่เผชิญทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภัยพิบัติด้านสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำทางโอกาส การมี “แปลงนาสาธิต” ที่ขับเคลื่อนบนหลักคิด “พอเพียง มั่นคง ยั่งยืน” ในทุกมณฑลทหารบก อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่ย่อมเป็น “จุดตั้งต้นที่สำคัญ” ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชนไทยยืนหยัดได้ด้วยตนเอง

สำหรับจังหวัดเชียงราย กิจกรรมในวันนั้นจึงไม่ได้ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าบนผืนนา หากยังทิ้ง “เมล็ดพันธุ์ความคิด” ไว้ในหัวใจของผู้เข้าร่วม ว่าการเคารพสถาบันหลักของชาติ การรักถิ่นฐานบ้านเกิด และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างกลมกลืน

และทุกครั้งที่ชาวบ้าน หรือเด็ก ๆ ได้กลับมาเห็นรวงข้าวที่เคยร่วมกันปลูกค่อย ๆ ตั้งท้องและสุกเหลืองพร้อมเก็บเกี่ยว พวกเขาย่อมตระหนักได้ว่า “วันที่เราลงนา” ไม่ได้เป็นเพียงภาพในอดีต แต่คือบทเรียนที่ต่อยอดไปสู่การตัดสินใจและการใช้ชีวิตในอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารเชียงราย ช่วยเก็บข้าวโพด ลดรายจ่ายให้ประชาชน

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกิจกรรมช่วยประชาชนเก็บข้าวโพด ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้

ทหารจิตอาสาเข้าช่วยเหลือเกษตรกรเชียงแสน

เชียงราย, 14 มีนาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จัดกิจกรรม “ช่วยด้วยใจ ลดรายจ่าย สร้างรายได้” ด้วยการช่วยประชาชนเก็บข้าวโพดเพื่อใช้ทำอาหารสัตว์และเพื่อจำหน่าย ณ บ้านไร่ หมู่ 7 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งนำโดย ร้อยตรี ณัฐพล บุญทับ หัวหน้าชุดประสานงานสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านธารทอง พร้อมกำลังพล เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เกษตรกรได้รับการช่วยเหลือ ลดต้นทุนแรงงาน

หนึ่งในผู้ได้รับการช่วยเหลือคือ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง อายุ 73 ปี เจ้าของไร่ข้าวโพดพื้นที่กว่า 20 ไร่ ซึ่งทหารเข้ามาช่วยเก็บเกี่ยวเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงาน และช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน กิจกรรมนี้ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนในพื้นที่

มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 15 คน ซึ่งต่างร่วมมือกันทำงานอย่างเข้มแข็งเพื่อสนับสนุนชุมชน

รณรงค์ลดปัญหาหมอกควันและไฟป่า

นอกจากการช่วยเก็บข้าวโพดแล้ว หน่วยทหารยังได้ ประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ให้กับประชาชน โดยให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย” ซึ่งกำหนดห้ามเผาในที่โล่งทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 เพื่อลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในพื้นที่

แนวทางการลดปัญหาหมอกควันที่เผยแพร่ให้ประชาชน ได้แก่:

  • การไม่เผาขยะ ตอซังข้าว ข้าวโพด หญ้าแห้ง วัชพืช กิ่งไม้
  • การทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกอง
  • การทำแนวกันไฟในพื้นที่เพื่อลดการเกิดไฟป่า

ชุมชนซาบซึ้งในความช่วยเหลือของทหาร

ครอบครัวของ นายเสาร์ ยาวิชัยป้อง และชาวบ้านในพื้นที่ได้กล่าวขอบคุณทหารที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และเป็นที่พึ่งพาในทุกโอกาส การปฏิบัติงานครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกฝ่าย

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่เก็บเกี่ยวข้าวโพดในตำบลแม่เงิน: กว่า 5,000 ไร่
  • อัตราการเผาทำลายวัชพืชในเชียงรายก่อนมีมาตรการควบคุม: มากกว่า 70%
  • ค่า PM 2.5 เฉลี่ยในช่วงเดือนมีนาคม 2567: สูงถึง 150 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • ค่า PM 2.5 หลังเริ่มมาตรการ “92 วัน ปลอดการเผา” ในปี 2567: ลดลงกว่า 35%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มณฑลทหารบกที่ 37 / สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตั้งโรงครัวจิตอาสา ช่วยผู้ประสบภัย น้ำท่วมที่แม่สาย จ.เชียงราย

ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3 ตั้งโรงครัวช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่แม่สาย จ.เชียงราย

เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3 (ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3) ร่วมกับกองบัญชาการควบคุมบริหารสถานการณ์ จ.เชียงราย ภายใต้การนำของ พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) และผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มทบ.37 ได้จัดตั้งโรงครัวเพื่อประกอบอาหารแจกจ่ายให้กับกำลังพลและจิตอาสาที่ปฏิบัติภารกิจฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย

โรงครัวนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามแผนการฟื้นฟูของรัฐบาล โดยในแต่ละมื้อจะประกอบอาหารแจกจ่ายมากถึง 2,800 – 3,000 กล่องต่อมื้อ และจะดำเนินการแจกจ่ายจนกว่าภารกิจการฟื้นฟูจะแล้วเสร็จ โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์และป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย อ.แม่สาย จ.เชียงราย

ร.ท. ธวัช เขื่อนขันติ์ รักษาราชการพลาธิการ มทบ.37 เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดกำลังพลและรถครัวสนาม เพื่อทำหน้าที่ประกอบอาหารสำหรับแจกจ่าย โดยมีจิตอาสาร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันทีมงานได้ปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามแผนงานฟื้นฟูของรัฐบาล

ความช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์

การจัดตั้งโรงครัวครั้งนี้นอกจากจะช่วยให้ผู้ประสบภัยได้รับอาหารอย่างเพียงพอแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกำลังพลและจิตอาสาที่ปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ของ อ.แม่สาย ซึ่งถูกน้ำท่วมและเกิดความเสียหายอย่างหนัก

แผนฟื้นฟูของรัฐบาล


การช่วยเหลือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานจากส่วนกลางที่เน้นให้ความช่วยเหลือในทุกด้าน ทั้งด้านที่อยู่อาศัย อาหาร และการฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้ประสบภัย

การดำเนินงานของ ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3 สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วนและครบถ้วน โดยมีแผนที่จะดำเนินการจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และพื้นที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

การปฏิบัติภารกิจนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าพื้นที่ต่าง ๆ จะได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งส่งมอบความช่วยเหลือที่จำเป็นให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วมในครั้งนี้

สรุป

ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3 ตั้งโรงครัวประกอบอาหารช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย โดยแจกจ่ายอาหาร 2,800 – 3,000 กล่องต่อมื้อให้กับกำลังพลและจิตอาสาที่ปฏิบัติภารกิจฟื้นฟู ตามแผนของรัฐบาลในการบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ประสบภัย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ใช้พื้นที่ ‘ค่ายเม็งรายมหาราช’ รองรับดินโคลนหลังน้ำท่วม ฟื้นฟูเมืองเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานภาค 3 หรือ ศอ.จอส. ภาค 3 ร่วมกับหน่วยบัญชาการควบคุมบริหารสถานการณ์ จ.เชียงราย ได้เปิดเผยว่า ทางมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้เข้ามาสนับสนุนการฟื้นฟูเมืองเชียงราย หลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ โดยการอนุมัติให้ใช้พื้นที่ค่ายเม็งรายมหาราช รองรับดินโคลน เศษวัชพืช และกิ่งไม้ที่ถูกพัดพามาจากน้ำท่วม เพื่อบรรเทาปัญหาขยะน้ำท่วมที่กองสะสมจำนวนมาก

พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้อำนวยการ ศอ.จอส. พระราชทาน มทบ.37 และผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เปิดเผยว่า มณฑลทหารบกที่ 37 ได้รับการประสานจาก นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ให้เข้าช่วยเหลือในการจัดการขยะและเศษวัสดุจากน้ำท่วมในพื้นที่เทศบาลนครเชียงราย เนื่องจากพื้นที่ที่ทางเทศบาลเตรียมไว้ไม่เพียงพอต่อการรองรับดินโคลนและกิ่งไม้จำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นหลังน้ำลด

การแก้ไขปัญหาด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย

หลังจากการสำรวจและพิจารณาพื้นที่ที่เหมาะสม ทาง มทบ.37 ได้อนุญาตให้ใช้พื้นที่ขนาด 5 ไร่ภายในค่ายเม็งรายมหาราช ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโครงการทหารพันธุ์ดี เพื่อใช้ในการฝังกลบดินโคลนและเศษวัชพืช โดยมีการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดจากกองทัพบกและหน่วยงานท้องถิ่น พร้อมทั้งประสานการปฏิบัติงานกับเทศบาลนครเชียงรายอย่างต่อเนื่อง

พื้นที่ 5 ไร่นี้ถูกจัดสรรให้เป็นพื้นที่ฝังกลบเศษวัชพืช ดินโคลน และกิ่งไม้จากบ้านเรือนประชาชน เพื่อไม่ให้ขยะเหล่านี้สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นการเคลียร์พื้นที่ให้ชาวบ้านสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติเร็วที่สุด นอกจากนี้ การจัดการขยะและดินโคลนในพื้นที่น้ำท่วมครั้งนี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการเตรียมพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูเมืองเชียงรายในระยะยาว

แนวทางฟื้นฟูเมืองหลังน้ำท่วม

มณฑลทหารบกที่ 37 ยังคงร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นและชุมชนในการวางแผนการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงแต่การจัดการขยะ แต่ยังรวมถึงการพัฒนาพื้นที่ใหม่ เช่น การปลูกต้นไม้ ฟื้นฟูดินในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยและสะดวก

นอกจากนี้ หน่วยงานยังมีการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือชุมชนชั่วคราว เพื่อให้คำปรึกษาและจัดหาทรัพยากรต่างๆ ในการฟื้นฟูบ้านเรือนและฟื้นฟูจิตใจผู้ประสบภัยให้กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง การร่วมมือของทั้งภาครัฐ ทหาร และประชาชนในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามัคคีและการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความมั่นคงและความสุขให้กับประชาชนในพื้นที่

ความสำคัญของการจัดการหลังน้ำท่วม

การจัดการขยะและดินโคลนหลังน้ำท่วมถือเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันการเกิดมลพิษและความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ น้ำท่วมครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อเมืองเชียงรายอย่างมาก ทำให้ข้าวของเครื่องใช้และพื้นที่การเกษตรต้องถูกทิ้งและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป

การฟื้นฟูเมืองเชียงรายครั้งนี้ ไม่ได้เพียงแค่การจัดการขยะ

การฟื้นฟูเมืองยังรวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของกองทัพบกและหน่วยงานท้องถิ่นในการดูแลประชาชนและชุมชนอย่างครบวงจร โดยทุกฝ่ายต่างทุ่มเททรัพยากรและความรู้ความสามารถเพื่อให้การฟื้นฟูครั้งนี้สำเร็จและประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ศอ.จอส.พระราชทาน มอบสิ่งของช่วยผู้ประสบภัย แม่สาย-เชียงราย ฟื้นฟูต่อเนื่อง

 

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 เวลา 09.00 น. ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาค 3 (ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3) ร่วมกับกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์จังหวัดเชียงราย โดยมี พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้อำนวยการศูนย์จิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) และผู้บัญชาการศูนย์บรรเทาสาธารณภัย มทบ.37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์และเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม จำนวน 1,000 ราย ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

การมอบสิ่งของในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และสมาคมฮงสุนแห่งประเทศไทย โดยมีการถ่ายทอดสดการรับมอบสิ่งของไปยังประเทศจีนผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ ณ มูลนิธิกวงเม้ง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่จำนวนมาก

หลังจากนั้น เวลา 10.30 น. พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมหน่วยซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยกองฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือ ฝ่ายอาชีวสงเคราะห์ ร่วมกับสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย และวิทยาลัยการอาชีพเวียงเชียงรุ้ง ที่ได้จัดหน่วยซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือทางการเกษตร และรถจักรยานยนต์ให้แก่ทหารผ่านศึก ครอบครัวทหารผ่านศึก และประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ระหว่างวันที่ 5 – 29 ตุลาคม 2567 ณ สนามฝึกยุววรรณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

การออกหน่วยซ่อมบำรุงเคลื่อนที่ครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากทหารผ่านศึกและประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องมือทางการเกษตรแล้ว ยังมีการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน

ต่อมา เวลา 11.00 – 15.30 น. พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่บ้านไม้ลุงขน ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามความคืบหน้าในการฟื้นฟูและให้กำลังใจกำลังพลที่ปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งขณะนี้การฟื้นฟูในบางพื้นที่ยังคงต้องการอุปกรณ์และกำลังเสริมเพื่อเร่งแก้ไขความเสียหาย

นอกจากนี้ ศอ.จอส.พระราชทาน ภาค 3 ยังได้จัดการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่อำเภอแม่สาย เวลา 17.30 น. โดยมี พล.ต. บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน และ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ณ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย

การประชุมในครั้งนี้มีการแบ่งความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานในการฟื้นฟูพื้นที่ พร้อมวางแผนการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่อำเภอแม่สายยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างเต็มกำลัง และพร้อมที่จะบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ ทางมูลนิธิกวงเม้ง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ได้ประกาศเชิญชวนผู้ที่ต้องการร่วมบริจาคสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่จำเป็น สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานมูลนิธิฯ หรือศูนย์ประสานงานการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ณ ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นฟูและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่อไป.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News