Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ศูนย์จัดการน้ำส่วนหน้าลุย! เชียงรายผนึก สทนช. รับมือวิกฤตน้ำหลากแม่โขงเหนือ

เชียงราย–สทนช. เสริมแนวรับบริหารน้ำลุ่มน้ำโขงเหนือ ร่วมประชุมส่วนหน้าเตรียมพร้อมฤดูฝน เชื่อมโยงข้อมูล-ขับเคลื่อนนโยบาย ลดความเสี่ยงอุทกภัย

ศูนย์บริหารจัดการน้ำ “ส่วนหน้า” กับภารกิจฝ่าวิกฤตฤดูฝนลุ่มน้ำโขงเหนือ

เชียงราย, 15 กรกฎาคม 2568 – ท่ามกลางสภาพอากาศที่ผันผวนและภัยน้ำหลากที่มาเยือนทุกปี จังหวัดเชียงรายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ใหม่ด้วยการผนึกกำลังกับสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำ (ส่วนหน้า) เพื่อติดตามสถานการณ์และวางมาตรการเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ โดยมีศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าชั่วคราวตั้งอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงรายและเชื่อมต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์กับส่วนกลาง ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แบบบูรณาการ

ประชุมเข้ม เตรียมพร้อมทุกมิติ บูรณาการข้อมูล-นโยบาย ป้องกันอุทกภัย

ภายใต้การนำของนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมคณะทำงานส่วนหน้า พร้อมผู้แทนหน่วยงานท้องถิ่น ประชาสัมพันธ์จังหวัด และผู้เชี่ยวชาญ สทนช. โดยมีนายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. เป็นประธานการประชุมผ่านระบบออนไลน์ ร่วมถ่ายทอดนโยบายและติดตามปัญหาแบบเรียลไทม์

ในการประชุม ได้มีการทบทวนมติครั้งก่อน และรายงานสถานการณ์สำคัญจากทุกหน่วยงาน เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ที่อัปเดตข้อมูลฝนตกและคาดการณ์ล่วงหน้า ขณะที่ สทนช. รายงานสถานการณ์น้ำและคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก พร้อมกับหน่วยงานท้องถิ่นที่นำเสนอความคืบหน้าโครงการขุดลอกแม่น้ำและมาตรการรับฤดูฝน 2568

6 มาตรการเข้มข้น รับมือฤดูฝน 2568

  1. เฝ้าระวัง-เตรียมพร้อมพื้นที่เสี่ยง
    ทุกหน่วยงานต้องติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงเหนืออย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงวันที่ 15-16 และ 20-24 กรกฎาคม 2568 พร้อมปรับแผนการจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำใหญ่ให้ทันกับสถานการณ์
  2. ใช้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ขับเคลื่อน
    ใช้ข้อมูลปริมาณฝนแบบเรียลไทม์จากดาวเทียมและเรดาร์กรมอุตุนิยมวิทยา พร้อมทั้งระบบ EWS ของกรมทรัพยากรน้ำเพื่อประเมินและคาดการณ์น้ำหลาก
  3. สำรวจ-ติดตั้งสถานีโทรมาตรเพิ่ม
    สสน. ได้รับมอบหมายเร่งสำรวจและติดตั้งสถานีโทรมาตรในจุดเสี่ยงอุทกภัย และใช้ Mobile Mapping System (MMS) สำรวจภูมิประเทศลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อเก็บข้อมูลที่แม่นยำต่อการตัดสินใจ
  4. ตรวจสอบคุณภาพน้ำ-ผลผลิตการเกษตร
    กรมส่งเสริมการเกษตรต้องติดตามคุณภาพน้ำที่เกษตรกรใช้ในการเพาะปลูก พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจเรื่องสารปนเปื้อนในข้าวและพืชผล
  5. เร่งสร้างพนังป้องกันน้ำสำคัญ
    ฝ่ายเลขานุการประสานการขอรับงบประมาณก่อสร้างพนังป้องกันน้ำที่สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 อ.แม่สาย เพื่อป้องกันน้ำหลากเข้าสู่พื้นที่เศรษฐกิจ
  6. ตรวจสอบน้ำหลากจากฝั่งเมียนมา
    GISTDA ติดตามข้อมูลความชื้นและสภาพน้ำต้นน้ำกกและต้นน้ำสายจากฝั่งเมียนมา เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอุทกภัยข้ามพรมแดน

ขับเคลื่อนกลไกประจำสัปดาห์ เชื่อมโยงศูนย์-พื้นที่ ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

ที่ประชุมมีมติกำหนดประชุมประสานงานทุกวันอังคาร เวลา 13.00 น. จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อให้ข้อมูลและแผนปฏิบัติสอดรับกันในทุกระดับ ทั้งส่วนกลางและพื้นที่ ช่วยให้มาตรการรับมืออุทกภัยมีความคล่องตัวและเป็นหนึ่งเดียวกัน

เชียงรายลุ่มน้ำโขงเหนือ – เมื่อการจัดการน้ำคือ “ภารกิจชีวิต”

การประชุมคณะทำงานส่วนหน้านี้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์จากการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไปสู่การเตรียมพร้อมเชิงรุก ด้วยกลไกติดตาม วิเคราะห์ และสื่อสารข้อมูลแบบเรียลไทม์ การนำเทคโนโลยีดาวเทียม เรดาร์ และ MMS มาเสริมการบริหารจัดการ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจ

ประเด็นสำคัญที่น่าจับตา

  • การเปลี่ยนผ่านสู่การบริหารจัดการน้ำเชิงรุก:
    ระบบประชุมและศูนย์ส่วนหน้า เป็นเครื่องมือสำคัญในยุคที่ความผันผวนของอากาศและความเสี่ยงน้ำหลากสูงขึ้นทุกปี
  • การผนวกข้อมูลวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี:
    การใช้ข้อมูลดาวเทียมและระบบเรดาร์ ช่วยให้การคาดการณ์น้ำท่วมและจัดสรรน้ำมีความแม่นยำมากขึ้น
  • การเชื่อมโยงคุณภาพน้ำกับผลผลิตการเกษตร:
    การติดตามสารปนเปื้อนในข้าวและพืชผล เป็นการขยายความรับผิดชอบสู่คุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
  • การทำงานร่วมกันทุกภาคส่วน:
    จาก สทนช. ถึง กรมอุตุนิยมวิทยา กรมส่งเสริมการเกษตร สสน. กรมการทหารช่าง และ GISTDA การบูรณาการข้ามหน่วยงานและข้อมูลข้ามพรมแดนคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
  • ความท้าทาย:
    การประสานข้อมูลและมาตรการในทุกระดับ, การสื่อสารข้อมูลที่โปร่งใสกับประชาชน และการจัดการงบประมาณในโครงการระยะยาว เป็นโจทย์ที่เชียงรายและทุกหน่วยงานต้องเร่งขับเคลื่อนต่อเนื่อง

สรุป
เชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์ของลุ่มน้ำโขงเหนือ แสดงศักยภาพในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ หากทุกฝ่ายผนึกกำลังและนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ เชื่อว่าการรับมือฤดูฝนและภัยน้ำท่วมในปีนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน สร้างความมั่นใจแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าจังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • GISTDA
  • กรมการทหารช่าง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

วช.ผนึก “เชียงราย-พะเยา” พลิกโฉมสิ่งแวดล้อมเหนือ จุดพลุ “อากาศสะอาด-น้ำมั่นคง” ด้วยวิจัย

วช. ผนึก “เชียงราย-พะเยา” พลิกโฉมสิ่งแวดล้อมเหนือ จุดพลุ “อากาศสะอาด-น้ำมั่นคง” ด้วยวิจัยและนวัตกรรม

ความร่วมมือข้ามจังหวัด จุดเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ

เชียงราย,วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 –  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ก้าวสำคัญด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับจังหวัดเชียงรายและพะเยา ขยายขอบเขตความร่วมมือไปสู่ภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายชัดเจน “อากาศสะอาด น้ำมั่นคง” ผ่านการประยุกต์ใช้งานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เป็นจริงในระดับพื้นที่ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 และความมั่นคงทางน้ำอย่างเป็นระบบ

พิธีลงนามครั้งประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนอนาคตไทย

งานลงนามจัดขึ้น ณ โรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท โดยมีบุคคลสำคัญหลากหลายสาขาร่วมพิธี นำโดย ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อน ผู้อำนวยการ วช. นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภูธนะ ชมภูมิ่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ตัวแทนสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) อบจ.เชียงราย อบจ.พะเยา สภาเกษตรกร สภาลมหายใจ สภาวัฒนธรรม และหน่วยงานพันธมิตรจากสองจังหวัด ขานรับยุทธศาสตร์วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) สู่ภารกิจจัดการฝุ่น PM2.5 ใน 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน และจัดการน้ำใน 10 จังหวัดเสี่ยงภัยแล้งและน้ำท่วม ภายใต้แนวคิด “มุ่งเป้าอนาคตประเทศไทย เพื่ออากาศสะอาด น้ำมั่นคง”

พลังความร่วมมือหลากมิติ รัฐ-วิชาการ-ประชาชน

ข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นการรวมพลังของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ สถาบันวิชาการ ภาคประชาชน และภาคีเครือข่าย เพื่อขับเคลื่อนองค์ความรู้สู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่ โดยผู้แทนจังหวัดเชียงรายและพะเยาได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นของความร่วมมือแบบบูรณาการ “การจัดการฝุ่น PM2.5 และน้ำ ต้องใช้เครือข่ายและองค์ความรู้ทุกภาคส่วน มิใช่ภาครัฐเพียงลำพัง” นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าว

เชียงราย กลไกหลัก ขับเคลื่อนการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงระบบ

จังหวัดเชียงรายแสดงเจตจำนงชัดเจนในการรับบท “กลไกหลัก” สนับสนุนงานวิจัยให้สอดคล้องกับความต้องการจริงในพื้นที่ โดยเฉพาะประเด็นฝุ่น PM2.5 และการบริหารน้ำ ที่ต้องใช้ฐานข้อมูลและนวัตกรรมปรับใช้กับความหลากหลายของแต่ละชุมชน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ จะช่วยประสานความร่วมมืออย่างเป็นระบบ มีการติดตามผลที่ชัดเจน และขยายผลสู่จังหวัดอื่นในอนาคต

อบจ.เชียงราย ดัน “วิจัยสู่พื้นที่จริง” สร้างต้นแบบเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เน้นย้ำแนวทาง “การทำงานเชิงพื้นที่” ผสานงานกับชุมชนและวิชาการเพื่อต่อยอดการจัดการฝุ่น PM2.5 และน้ำ โดยอบจ.เชียงรายผลักดันโครงการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ (PDOSS) เพื่อเป็นฐานข้อมูล แผนฟื้นฟู และเครือข่ายความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมทั้งระบบ

ขับเคลื่อนนวัตกรรมสู่ชุมชน Knowledge to Action

การเชื่อมโยงงานวิจัยของ วช. กับชุมชนท้องถิ่น ช่วยให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม “พร้อมใช้” ไปถึงพื้นที่เป้าหมายจริง ลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงองค์ความรู้และเครื่องมือที่ทันสมัย จังหวัดเชียงรายยังสนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วมเลือกพื้นที่ทดลองและขยายผล รวมถึงสนับสนุนการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ พัฒนาการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่เสี่ยงไฟป่า และวางระบบบริหารจัดการน้ำให้ตอบโจทย์ “น้ำมั่นคง ไม่ท่วม ไม่แล้ง” ตามเป้าหมาย

ประชาชน-ท้องถิ่น คือฟันเฟืองสำคัญของความสำเร็จ

อบจ.เชียงรายเน้นย้ำบทบาทองค์กรปกครองท้องถิ่น และเครือข่ายประชาชน ว่าเป็นหัวใจในการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลงทุกขั้นตอน สร้างความยั่งยืนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พร้อมผลักดันกลไกประเมินผลและรายงานความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกโครงการเกิดผลสัมฤทธิ์ในระยะยาว

วิทยาศาสตร์เปลี่ยนชีวิต จากห้องวิจัยสู่มือประชาชน

ความสำเร็จของ MOU ครั้งนี้ คือการพา “วิทยาศาสตร์” และ “นวัตกรรม” ลงจากห้องวิจัย สู่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดในชีวิตประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการลดฝุ่น PM2.5 หรือการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนที่เหมาะสมกับบริบทแต่ละพื้นที่

จุดเด่นสำคัญของความร่วมมือ คือ

  • การจัดการปัญหาแบบเชื่อมโยงข้ามหน่วยงาน ข้ามจังหวัด
  • การนำองค์ความรู้ไปสู่การปฏิบัติที่วัดผลได้จริง
  • การดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน
  • การวางแผนแก้ปัญหาระยะยาว สร้างความยั่งยืนแท้จริง

จากนโยบายสู่ผลลัพธ์จับต้องได้

การดำเนินงานจะประสบผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยการประเมินผลที่ต่อเนื่อง การจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรที่เหมาะสม และการส่งเสริมให้ประชาชนมีบทบาทนำในพื้นที่ ความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างรัฐ วิชาการ และประชาชน คือกุญแจไปสู่ “อากาศสะอาด น้ำมั่นคง” ที่แท้จริงสำหรับชาวเชียงรายและพะเยา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สภาเกษตรกร, สภาลมหายใจ, สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายและพะเยา
  • รายงานพิธีลงนาม MOU 15 กรกฎาคม 2568
  • ข้อมูลจากผู้แทนและผู้อำนวยการ วช.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สหรัฐฯ กดดันเปิดตลาด! ภาษี 36% เขย่าหมูไทย เชียงรายเสี่ยงขาดทุนมหาศาล

วิกฤตหมูไทย 2568 เชียงรายกับมหันตภัยราคาดิ่ง โดมิโนเศรษฐกิจปศุสัตว์จากแรงกดดันสหรัฐฯ

สถานการณ์ล่าสุดไทยเจอแรงกดดันสหรัฐฯ เปิดตลาดเนื้อหมู

เชียงราย, 12  กรกฎาคม 2568  – อุตสาหกรรมเนื้อหมูไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังสหรัฐอเมริกาประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้า 36% กับเนื้อหมูไทย เริ่ม 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ไทยถูกกดดันให้นำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐฯ มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุชัด ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและประสิทธิภาพการผลิตสูงของหมูสหรัฐฯ ส่งผลต่อการแข่งขันและราคาหมูในประเทศโดยตรง

หมูสหรัฐฯ ราคาแรง ผลิตถูกกว่าไทย

ราคาหมูสหรัฐฯ เฉลี่ยเพียง 1.7 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูไทยแตะ 2.3 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม หมูสหรัฐฯ ถูกกว่าไทยถึง 1.3 เท่า ทำให้ยากต่อการแข่งขัน หากตลาดเปิดเสรี หมูราคาถูกจากสหรัฐฯ จะทะลักเข้าสู่ประเทศไทย สร้างแรงกดดันหนักต่อห่วงโซ่ปศุสัตว์

โดมิโนเอฟเฟกต์ผลกระทบครอบคลุมทุกภาคส่วน

เมื่อหมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า จะเกิด Domino Effect ต่อทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมดังนี้

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู: ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกว่า 1.49 แสนราย เสี่ยงขาดรายได้หรือเลิกกิจการ
  • ผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์: 5 ล้านครัวเรือน ผลิตภัณฑ์หลักอย่างรำสด ข้าวโพด จะราคาตกต่ำ
  • โรงชำแหละและเขียงหมู: อาจถูกกดดันให้ต้องเลิกกิจการ หรือรายได้ลดลงจากการแข่งขันกับหมูแปรรูปนำเข้า
  • ผู้บริโภค: แม้ราคาหมูถูกลง แต่เสี่ยงต่อสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดงในหมูสหรัฐฯ
    คาดการณ์ความสูญเสียตลาดหมูไทยสูงถึง 112,330 ล้านบาท หากไทยเปิดตลาดเต็มรูปแบบ

เชียงรายจังหวัดยุทธศาสตร์การค้าปศุสัตว์ชายแดน

เชียงรายคือประตูสำคัญของการส่งออกปศุสัตว์ไปยัง สปป.ลาว เมียนมา และจีน จุดผ่านแดนเช่น ด่านกักกันสัตว์เชียงของ และท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน มีบทบาทสูงในการขับเคลื่อนตลาดสุกรมีชีวิตและเนื้อสัตว์แปรรูป ข้อมูลล่าสุดระบุ เชียงรายมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร 3,722 ราย สุกร 95,268 ตัว ผลผลิตสุกรรวม 23,817 ตัน

ต้นทุนพุ่ง-อุปทานลดความท้าทายของอุตสาหกรรมหมู

แม้การผลิตสุกรปี 2567 ฟื้นตัวจากโรค ASF รวม 21.723 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 6.19% แต่ปี 2568 คาดผลิตลดเหลือ 21.370 ล้านตัว (-1.63%) เนื่องจากมาตรการควบคุมโรคและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าอาหารสัตว์ที่ผันผวน
โครงสร้างผู้ผลิตเปลี่ยนไป ฟาร์มขนาดกลางและใหญ่เพิ่มเป็น 74% ในปี 2567 เกษตรกรรายย่อยลดลง 22.6%
ราคาหมูหน้าฟาร์มเพิ่มสูงสุดในรอบ 2 ปี เฉลี่ย 75 บาทต่อกิโลกรัม (+14.1%)

ความท้าทายจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ปี 2567 อุปสงค์เนื้อสุกรในประเทศขยายตัว 2.5% จากราคาที่ลดลงและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ปี 2568 อุปสงค์คาดว่าจะลดลง 1.7% เพราะราคาสูงขึ้น ตลาดโลกเองก็มีแรงกดดันจากการลดการบริโภคในจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคหลัก
อีกทั้ง สังคมผู้สูงอายุในไทย ส่งผลให้การบริโภคเนื้อหมูมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว

กลยุทธ์ปกป้องอุตสาหกรรมสุกรไทย

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแนะรัฐบาล “อย่าเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ” ไม่ว่ากรณีใด เพื่อรักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานและความอยู่รอดของเกษตรกรไทย

สำหรับผู้ประกอบการ

  • บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
  • สร้างจุดขายด้วยคุณภาพสินค้า เน้นหมูปลอดสาร
  • ใช้ประโยชน์การค้าชายแดน เชื่อมตลาดเพื่อนบ้าน

สำหรับภาครัฐ

  • สนับสนุนวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำ
  • พัฒนาการค้าชายแดนให้ได้มาตรฐาน
  • รักษาเสถียรภาพราคา โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด
  • เจรจาการค้าด้วยความรอบคอบ
  • สนับสนุนการวิจัยสินค้าสำหรับสังคมสูงวัย

เชียงรายต้องปรับตัวอย่างไรในยุคตลาดหมูเสรี

คำถามสำคัญ หากแรงกดดันจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เชียงรายซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนและจุดยุทธศาสตร์การค้าหมู จะต้องวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และสร้างความอยู่รอดให้กับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่
สถานการณ์นี้จึงเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของทั้งผู้ประกอบการและรัฐ หากไม่เตรียมพร้อม ปัญหาอาจลุกลามเป็นวิกฤตระดับชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กรมปศุสัตว์
  • รายงานข่าวตลาดการค้าชายแดนจังหวัดเชียงราย ปี 2567-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

วิกฤตรายได้ท่องเที่ยว! เมืองรองดึงคนได้ แต่ค่าใช้จ่ายต่ำ เชียงรายต้องเร่งสร้างมูลค่า

ท่องเที่ยวในประเทศครึ่งปีแรก 2568 โตชะลอตัว คนไทยเมินเมืองหลัก แห่เที่ยวเมืองรอง เชียงรายเนื้อหอม แต่รายได้ยังไม่ปัง!

สถานการณ์ตลาดท่องเที่ยวในประเทศ โตแต่ชะลอตัว เหตุปัจจัยลบหลายด้าน

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 – ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยระบุว่าการท่องเที่ยวในประเทศยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจำนวนการเดินทาง 101 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และสร้างรายได้รวม 574,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% (YoY) อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตเริ่มแผ่วลงกว่าที่คาดไว้ และยังคงเผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวในบางพื้นที่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และพฤติกรรมของคนไทยที่นิยมเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกัน กำลังซื้อของผู้บริโภคบางกลุ่มยังคงอ่อนแอจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น

เมืองหลักซบเซา เมืองรองรับอานิสงส์แต่รายได้ยังห่าง

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า หลายจังหวัดท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ กระบี่ อยุธยา และจันทบุรี กลับมีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยลดลงในครึ่งปีแรก 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนแรงฉุดจากปัจจัยภายนอกทั้งเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นและรายได้ของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้เมืองหลักไม่สามารถรักษาฐานลูกค้าภายในประเทศได้เหมือนเดิม

ขณะเดียวกัน “เมืองรอง” หรือจังหวัดท่องเที่ยวรอง อาทิ เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และอุบลราชธานี กลับได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเชียงรายที่กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับคนไทยที่ต้องการหลีกหนีความแออัดและแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ

ตลาดท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง ยังโตแต่โตช้าลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่าการเดินทางในประเทศครึ่งปีหลังจะเติบโตเพียง 1.4% (YoY) แม้มีมาตรการส่งเสริมจากรัฐ เช่น โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่รัฐบาลสนับสนุนค่าโรงแรมและคูปองดิจิทัล แต่ผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว และปัจจัยการเมือง ยังคงฉุดกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในวงกว้าง

เที่ยวต่างประเทศฮิต แพ็กเกจคุ้มค่า – “วีซ่าฟรี” ดึงคนไทยออกนอก

หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเติบโตของท่องเที่ยวในประเทศชะลอตัว คือแนวโน้มที่คนไทยนิยมเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น สืบเนื่องจากมาตรการวีซ่าฟรีของหลายประเทศและกลยุทธ์ของบริษัทนำเที่ยวที่เสนอแพ็กเกจราคาถูกและคุ้มค่า ตัวอย่างเช่น ทริปเกาหลีใต้ 4 วัน 2 คืน ราคาเฉลี่ยเพียง 6,000 บาท หรือเวียดนาม 7,000 บาท ซึ่งมีราคาดึงดูดใจเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายการเที่ยวในประเทศที่สูงขึ้นทุกปี

เชียงรายขึ้นแท่นเมืองรองยอดนิยม แต่รายได้ยังน้อยกว่าเมืองหลัก

แนวโน้มใหม่ของตลาดท่องเที่ยวไทย คือการเที่ยว “เมืองรอง” ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเชียงรายที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักท่องเที่ยวไทย สาเหตุสำคัญคือความต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดในเมืองหลัก การค้นหาสถานที่เที่ยวใหม่ ๆ และการรีวิวผ่านโซเชียลมีเดียที่ช่วยผลักดันกระแส

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนคนไทยเที่ยวเมืองรองปีนี้จะอยู่ที่ 41.4% เพิ่มจาก 41.3% ใน 5 เดือนแรก และเติบโตขึ้นถึง 32.3% เทียบกับก่อนโควิด-19 หลายจังหวัดเมืองรองมีนักท่องเที่ยวเกิน 2 ล้านคน อาทิ เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และอุบลราชธานี ตัวเลขนี้สูงกว่าเมืองหลักบางแห่ง เช่น สงขลา หรือพังงา

อย่างไรก็ตาม รายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองยังน้อยกว่าเมืองหลักมาก โดยรายได้จากเมืองรองอยู่ที่ 28% ของรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะที่เมืองหลักคิดเป็น 72% ของรายได้ทั้งหมด

ค่าใช้จ่ายต่อทริปต่ำกว่าก่อนโควิด พฤติกรรมเปลี่ยน “ไปเช้า-เย็นกลับ”

แม้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเมืองรองจะสูงขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อครั้งยังไม่ฟื้นตัวเท่าช่วงก่อนโควิด-19 ข้อมูลคาดว่าการใช้จ่ายในประเทศตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท เติบโต 2% ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 4,100 บาท/คน/ครั้ง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2562 อย่างมีนัยสำคัญ

สาเหตุหลัก ได้แก่ เศรษฐกิจชะลอตัว พฤติกรรมการท่องเที่ยวแบบ “ไปเช้า-เย็นกลับ” ที่เพิ่มขึ้นจนคิดเป็น 51% ของการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในเมืองรองก็ต่ำกว่ามาก เฉลี่ย 2,800 บาท/คน/ครั้ง เมื่อเทียบกับเมืองหลักที่ 5,000 บาท/คน/ครั้ง ค่าที่พักในเมืองรอง เช่น เชียงราย เฉลี่ย 1,850 บาทต่อคืน ต่ำกว่ากรุงเทพฯ หรือภูเก็ตที่ 3,500 บาทต่อคืน ขณะที่ค่าอาหารและของที่ระลึกก็ถูกกว่า

โอกาสและความท้าทาย เมืองรองดึงคนได้ แต่รายได้ต้องเร่งสร้างมูลค่าเพิ่ม

สถานการณ์นี้สะท้อนทั้งโอกาสและความท้าทายใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะเมืองรองอย่างเชียงรายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่ยังไม่สามารถสร้างรายได้ต่อหัวได้เท่าเมืองหลัก

ความท้าทายสำคัญคือการออกแบบแคมเปญและประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนไทย พร้อมกับส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่นมากขึ้น ทั้งจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ การยกระดับที่พัก อาหาร การบริการ และการส่งเสริมอัตลักษณ์ท้องถิ่น ควบคู่กับมาตรการของรัฐที่ช่วยจูงใจให้คนไทย “อยู่เที่ยว” เมืองรองนานขึ้นและใช้จ่ายมากขึ้น

เชียงรายกับเส้นทางการท่องเที่ยวไทยใหม่

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทย เมืองรองอย่างเชียงรายยิ่งกลายเป็นจุดหมายที่ได้รับความสนใจสูง แต่ยังต้องเน้นพัฒนา “มูลค่า” ไม่ใช่แค่ “จำนวน” เพื่อเปลี่ยนการเติบโตเชิงปริมาณให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจของพื้นที่อย่างยั่งยืน การสร้างกิจกรรมพิเศษ เทศกาล วัฒนธรรมท้องถิ่น และแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ จะเป็นหัวใจของกลยุทธ์ในอนาคตของ “เมืองรอง” เพื่อให้สมดุลทั้งจำนวนและรายได้ที่ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2568
  • ข้อมูลจากผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสื่อเศรษฐกิจไทย
  • หลงฮักเขาแคมป์ปิ้ง ภูชี้ฟ้า
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อุโมงค์ดอยหลวงเจาะทะลุฉลุย! เร็วกว่ากำหนด 19 เดือน ความหวังใหม่เชื่อมโลก

แสงแรกแห่งล้านนา” อุโมงค์ดอยหลวงทะลุฉลุย! รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ความหวังใหม่เชื่อมไทย-ลาว-จีน

เชียงราย, 8 กรกฎาคม 2568 – “ทะลุแล้ว…อีกหนึ่งความก้าวหน้า อีกขั้นของความสำเร็จ” เสียงแห่งความยินดีดังกึกก้องที่อุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เมื่อการเจาะทะลุ (Breakthrough) อุโมงค์ขนาดมหึมาได้สำเร็จก่อนกำหนดถึง 19 เดือน ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะทางวิศวกรรม แต่คือแสงแห่งความหวังที่จะฉายส่องอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือของไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

อุโมงค์ดอยหลวง สัญลักษณ์แห่งศักยภาพไทย ก้าวข้ามความท้าทายทางธรณีวิทยา

อุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งมีความยาว 3,400 เมตร เป็นหนึ่งในสี่อุโมงค์หลักของโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือเส้นใหม่นี้ การก่อสร้างถือเป็นงานวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากภูมิประเทศและธรณีวิทยาบริเวณดังกล่าวเป็น หินภูเขาไฟและดินเหนียว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคนิคขั้นสูงอย่าง Drill & Blast (เจาะและระเบิด) ร่วมกับการขุดด้วยเครื่องจักร (Excavator)

เดิมที การขุดเจาะและงานคอนกรีตภายในอุโมงค์ถูกประมาณการว่าจะใช้เวลาถึง 40 เดือน (3 ปี 4 เดือน) ทว่าด้วยศักยภาพของทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญชาวไทย รวมถึงการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้งานนี้สำเร็จได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ถึง 19 เดือน ณ เดือนมิถุนายน 2568 ความคืบหน้าโดยรวมของงานก่อสร้างอุโมงค์ดอยหลวงอยู่ที่ประมาณ 54% ซึ่งเร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ 7%

“การเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงได้เร็วกว่ากำหนดถึง 19 เดือน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของบุคลากรไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์” นายอธิรัฐ กะตังค์ หัวหน้าโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กล่าว “นี่คือสัญญาณที่ดีว่าโครงการจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการในปี 2571 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคเหนือสู่ประตูการค้ากับลาวและจีน”

นอกจากนี้ โครงการยังให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและมาตรฐานสากล โดยมีการเสริมกำแพงโครงเหล็กและผนังคอนกรีต ติดตั้งแผ่นกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม รวมถึงระบบระบายน้ำที่ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกอุโมงค์ มีการศึกษาแนวการไหลของน้ำเพื่อรองรับน้ำป่าในฤดูฝนอย่างละเอียด และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ยังมีการจัดสร้าง ทางเชื่อมฉุกเฉิน (Cross Passages) จำนวน 14 จุด สำหรับการอพยพตามมาตรฐานสากลในทุกๆ ระยะ 240 เมตร

ความคืบหน้าภาพรวมแม้มีอุปสรรคแต่เดินหน้าไม่หยุด

จากข้อมูลล่าสุด (ณ เดือนมกราคม 2568) โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งมีระยะทางรวม 323.1 กิโลเมตร และมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.28 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากงบประมาณอนุมัติเบื้องต้น 85,845 ล้านบาท ในปี 2561) มีความคืบหน้าโดยรวมกว่า 25% แม้ว่า ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จะรายงานว่าภาพรวมโครงการยังล่าช้ากว่าแผนประมาณ 3.7% แต่ความสำเร็จในการเจาะอุโมงค์ดอยหลวงที่รวดเร็วกว่ากำหนดมาก แสดงให้เห็นถึงการเร่งรัดในงานโครงสร้างสำคัญที่มีความซับซ้อนสูง

สำหรับงานโครงสร้างสำคัญอื่นๆ:

  • อุโมงค์แม่กา (พะเยา): ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีความคืบหน้าประมาณ 17.8% และมีการจัดซ้อมแผนกรณีอุโมงค์ถล่มเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
  • งานระบบราง: คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2569 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571
  • สะพานและทางยกระดับ/ทางลอด: มีการนำเทคโนโลยีอย่าง Curved Precast Reinforced Concrete Railway Arch Culverts (BEBO) มาใช้ เพื่อความแข็งแรงและลดระยะเวลาการก่อสร้าง

ปมร้อนเวนคืนที่ดินโจทย์ใหญ่ที่ต้องคลี่คลาย

แม้การก่อสร้างจะคืบหน้าไปมาก แต่โครงการยังคงเผชิญกับประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การเวนคืนที่ดิน ซึ่งคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องมีการประชุมหารือเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาหลักคือ ข้อร้องเรียนจากชาวบ้านเกี่ยวกับการประเมินค่าชดเชยที่ไม่เป็นธรรม โดยมีการเปรียบเทียบกับราคาการเวนคืนของกรมทางหลวงและโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการคิดราคา นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังได้ลงพื้นที่ประกาศเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ก่อนการเวนคืนในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งในชุมชนได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ท้องถิ่น ให้ความเห็นว่า “การแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินที่เหลืออยู่ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากชุมชนในระยะยาว หากปัญหานี้ยังคงอยู่ อาจนำไปสู่ความล่าช้าในบางพื้นที่ ความท้าทายทางกฎหมาย และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ แม้ว่าการก่อสร้างทางกายภาพจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วในส่วนอื่นๆ ก็ตาม”

แสงสว่างทางเศรษฐกิจโอกาสมหาศาลสู่ล้านนาและภูมิภาค

โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ไม่ใช่แค่เส้นทางคมนาคม แต่คือ กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาคเหนือตอนบน ด้วยประโยชน์และโอกาสที่หลากหลาย

  • กระตุ้นการค้าชายแดนและโลจิสติกส์ เส้นทางนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ จากไทยไปยัง สปป.ลาว, เมียนมา, และจีนตอนใต้ ผ่าน ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ ซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางถนน R3A (เชียงของ-โม่ฮาน-คุนหมิง) และรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรของไทย
  • ฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดเส้นทาง รถไฟจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้าถึงภาคเหนือตอนบนได้สะดวกสบายขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิมและสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดรายได้และการจ้างงานในท้องถิ่น
  • ลดต้นทุนและเพิ่มขีดแข่งขัน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระยะไกล ทำให้สินค้าไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาด E-commerce ขนาดใหญ่ของจีนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างงานและกระจายรายได้ การก่อสร้างและการดำเนินงานโครงการจะสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างมหาศาล
  • โลจิสติกส์สีเขียว การขนส่งทางรางช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนถึง 6 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เชิงกลยุทธ์ปูทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

เพื่อให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และสร้างประโยชน์สูงสุด รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องดำเนินงานเชิงรุกในหลายด้าน:

  1. เร่งรัดและแก้ไขปัญหาการก่อสร้าง วิเคราะห์ความล่าช้าเชิงลึกในแต่ละสัญญา และพิจารณากลไกแรงจูงใจหรือบทลงโทษผู้รับจ้าง เพื่อกระตุ้นให้งานเดินหน้าตามแผน รวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ
  2. จัดการปัญหาเวนคืนที่ดินอย่างเป็นธรรม จัดตั้งช่องทางการสื่อสารที่โปร่งใสกับชุมชน ทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินค่าชดเชยให้สอดคล้องกับราคาตลาด และจัดทำแผนการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุม
  3. พัฒนาระบบป้องกันภัยธรรมชาติที่ยั่งยืน เร่งนำมาตรฐานระบบระบายน้ำและมาตรการลดความเสี่ยงภัยในระบบรางไปปฏิบัติใช้ ติดตั้งระบบ “DRT Alert” เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ และจัดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ
  4. ส่งเสริมการเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสริม เช่น ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ (Dry Port) ผลักดันการเจรจาและประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลในห่วงโซ่อุปทาน
  5. เตรียมความพร้อมของภาคส่วนในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่นควรจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ ส่งเสริมการท่องเที่ยวรอง พัฒนาทักษะแรงงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นในการปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ความสำเร็จของการเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงเป็นเพียง “แสงแรก” ที่ส่องนำทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองของภาคเหนือ การสานต่อโครงการให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมกับการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอย่างเป็นธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงไทยสู่เวทีโลกได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย
  • TEAM GROUP
  • ผู้รับจ้างโครงการ: กิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 2, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง MOU ยกระดับจัดการสาธารณภัย สร้างความปลอดภัยยั่งยืน

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง! ลงนาม MOU บูรณาการการจัดการสาธารณภัย ยกระดับความปลอดภัยให้ชาวเชียงราย

ก้าวย่างใหม่ของระบบป้องกันภัยพิบัติในเชียงราย

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – ในบรรยากาศของวันฝนพรำที่แฝงไว้ด้วยความหวัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนวงการบริหารท้องถิ่น นั่นคือ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการบูรณาการการบริหารจัดการสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่คือการเริ่มต้นของยุคใหม่ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า “เชียงรายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

จากโต๊ะประชุมสู่ความร่วมมือในภาคสนาม

จุดเริ่มต้นของ MOU ฉบับนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการและฝึกซ้อม Table-Top Exercise (TTX) เพื่อจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินและเสริมสร้างทักษะการรับมือภัยพิบัติ โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแลกเปลี่ยนความรู้ การจำลองสถานการณ์ และการฝึกตัดสินใจภายใต้ความกดดัน ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าความร่วมมือแบบบูรณาการคือหัวใจสำคัญ

บรรยากาศของการประชุม TTX เปรียบเสมือน “สนามซ้อมรบ” ให้ทุกหน่วยงานได้ทดสอบความพร้อมและประสานงานจริง ตั้งแต่การเตรียมแผน การระดมทรัพยากร ไปจนถึงการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประสบการณ์ที่ได้ถูกนำมาต่อยอดเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ในวันนี้

ทีมเชียงราย” บนเส้นทางความปลอดภัย

การลงนาม MOU ฉบับนี้ เป็นการรวมตัวของพันธมิตรหลักในระบบการบริหารสาธารณภัยของจังหวัดเชียงราย ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ. 37)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)

การหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากรจากทุกหน่วยงาน ทำให้ระบบป้องกันภัยพิบัติของจังหวัดมีความแข็งแกร่งรอบด้าน ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมเชิงรุก การเฝ้าระวัง การสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังเกิดภัย

อบจ.เชียงราย แกนกลางของระบบความปลอดภัย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เน้นย้ำบทบาทขององค์กรว่า “อบจ.เชียงราย คือศูนย์กลางประสานงานและขับเคลื่อนการบูรณาการทรัพยากรเพื่อประชาชน” โดยเป้าหมายคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนเชียงรายมีภูมิคุ้มกันภัยพิบัติทุกรูปแบบ ผ่านการสนับสนุนบุคลากร อุปกรณ์ และการฝึกอบรมต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดการภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของ ‘หน่วยใดหน่วยหนึ่ง’ แต่เป็นภารกิจของ ‘ทุกคน’ ที่ต้องทำงานเป็นทีมอย่างแท้จริง”

มิติของความร่วมมือบูรณาการสู่มาตรฐานระดับชาติ

สาระสำคัญของ MOU ฉบับนี้ ครอบคลุมมิติหลัก ดังนี้

  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและบทเรียน
    การแบ่งปันข้อมูลสภาพอากาศ แนวโน้มภัยพิบัติ และประสบการณ์รับมือในอดีต จะทำให้ทุกฝ่ายวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
  2. การสนับสนุนกำลังพลและเครื่องมือ
    บูรณาการบุคลากร ยานพาหนะ อุปกรณ์กู้ภัย และเครื่องมือสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  3. การพัฒนาศักยภาพบุคลากร
    จัดฝึกอบรม สัมมนา และฝึกซ้อมร่วมกันเป็นประจำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่ทันต่อเหตุการณ์
  4. กลไกการประสานงาน
    สร้างระบบประสานงานและการตัดสินใจที่รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อน และทำให้การตอบสนองต่อภัยพิบัติมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผลลัพธ์ของความร่วมมือจะทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

วิเคราะห์ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

การลงนาม MOU ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ สู่การบริหารจัดการที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลที่คาดหวังในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่

  • ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย: ระบบเตือนภัยและแผนรับมือภัยพิบัติจะมีความชัดเจน รวดเร็ว และเทียบเท่ามาตรฐานสากล
  • สร้างความมั่นใจให้ประชาชน: ประชาชนเชียงรายจะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น ทราบวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติและได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  • พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น: การอบรมและฝึกซ้อมร่วมกันจะเสริมสร้างความรู้ความสามารถให้เจ้าหน้าที่ในทุกระดับ
  • ลดผลกระทบและความสูญเสีย: การประสานงานที่ดีจะช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ต้นแบบความร่วมมือ: เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ

ในอนาคต เราจะได้เห็นโครงการอบรมร่วม การพัฒนาเทคโนโลยีเตือนภัยอัจฉริยะ และแผนเผชิญเหตุใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายปลอดภัย มั่นใจ สู่อนาคตที่เข้มแข็ง

“เชียงรายจะเป็นจังหวัดที่ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และพร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์” คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือในวันนี้

การลงนาม MOU ไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นการเริ่มต้นของระบบความปลอดภัยที่บูรณาการอย่างแท้จริง “เชียงรายโมเดล” กำลังถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่น ๆ ได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • รายงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายเปิดเส้นทางธรรมครูบาศรีวิชัย

เชียงรายเปิดกิจกรรม “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” เดินหน้าส่งเสริมศรัทธา ยกระดับวัดและชุมชนสู่แหล่งเรียนรู้ทางศาสนา

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมกับกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เดินหน้าเปิดกิจกรรม “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” ภายใต้โครงการจาริกเส้นทางบุญในมิติทางศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับวัด ชุมชน และศาสนสถานให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างแรงศรัทธาในรูปแบบที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น

พิธีเปิด ณ วัดพระธาตุแม่เจดีย์ สะท้อนความร่วมมือของทุกภาคส่วน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2568 ณ วัดพระธาตุแม่เจดีย์ ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยนายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า เป็นประธานในพิธี ตามคำสั่งมอบหมายจากนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้ด้วยตนเอง โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจากพระครูไพบูลย์พัฒนาภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแม่เจดีย์ เป็นผู้กล่าวสัมโมทนียกถา

ภายในพิธี มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านจากชุมชน เช่น การฟ้อนแม่ขะจานที่รัก ฟ้อนเวียงป่าเป้าดี้ดี และฟ้อนบุบผานารีแม่เจดีย์อวยชัย สะท้อนถึงความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากหัวหน้าส่วนราชการ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง

FAM Trip ตามรอยศรัทธา เสริมการเรียนรู้-ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

กิจกรรมไฮไลต์ของงาน คือ “FAM Trip: One Day Trip” ซึ่งจัดนำร่องขึ้นใน 4 วัด ได้แก่

  1. วัดพระธาตุแม่เจดีย์ ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า
  2. วัดศรีคำเวียง ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า
  3. วัดศรีสุทธาวาส ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า
  4. วัดเจดีย์หลวง ต.เจดีย์หลวง อ.แม่สรวย

โดยมีพระภิกษุผู้ดูแลวัดแต่ละแห่งให้เกียรติเป็นวิทยากรนำชมสถานที่ พร้อมบรรยายประวัติศาสตร์และความสำคัญของแต่ละวัด โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับ “ครูบาศรีวิชัย” นักบุญแห่งล้านนา ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการจาริกแสวงบุญในภาคเหนือ

ในช่วงบ่าย ได้จัดการบรรยายเสวนาเกี่ยวกับประวัติครูบาศรีวิชัย โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ จากจังหวัดลำพูน และนายอภิชิต ศิริชัย นักวิชาการอิสระจากเชียงราย ร่วมถ่ายทอดแง่มุมเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และบทบาทของครูบาศรีวิชัยต่อการพัฒนาสังคมล้านนา

วัด – ศาสนสถาน – ชุมชน: การยกระดับอย่างบูรณาการ

นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการว่า “การส่งเสริมให้วัดและศาสนสถานเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ควบคู่กับการยกระดับชุมชนให้เข้มแข็ง เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัดในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน”

นอกจาก 4 วัดนำร่องที่เข้าร่วม FAM Trip ในครั้งนี้ ยังมีอีก 2 วัดที่อยู่ในโครงการ คือ

  1. วัดพระธาตุจอมแว่ ต.เมืองพาน อ.พาน
  2. วัดพระธาตุดอยตุง ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย

เส้นทางทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้กลายเป็นเครือข่าย “เส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” ซึ่งไม่เพียงสะท้อนพุทธศาสนา แต่ยังสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น วิถีชีวิต และเศรษฐกิจของชุมชน โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนที่จะขยายผลโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่อื่น ๆ ในอนาคต

เชียงรายกับการเป็น “เมืองแห่งจิตวิญญาณ”

เชียงรายในปัจจุบัน กำลังขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในมิติใหม่ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นด้านธรรมชาติหรือศิลปวัฒนธรรมเท่านั้น หากแต่กำลังพัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Tourism) โดยใช้ศรัทธาและเรื่องราวของบุคคลสำคัญทางศาสนา เช่น ครูบาศรีวิชัย มาเป็นจุดศูนย์กลางในการออกแบบเส้นทาง

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเชื่อมโยงวัด ชุมชน และนักท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมสร้างการรับรู้เชิงบวกต่อบทบาทของวัดในฐานะ “ศูนย์กลางทางจิตใจ” และ “ศูนย์กลางการเรียนรู้” ของสังคมไทยยุคใหม่

จากกิจกรรมสู่ระบบนิเวศการเรียนรู้ในระยะยาว

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมเปิดตัว สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนในการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งวิดิทัศน์ แผ่นพับ และป้ายแนะนำเส้นทาง เพื่อเผยแพร่ไปยังศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวและเครือข่ายโรงเรียนในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมให้วัดที่เข้าร่วมโครงการสามารถจัดกิจกรรมต้อนรับนักเรียนและนักท่องเที่ยวได้อย่างมีระบบ

ในระยะยาว โครงการ “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” มีเป้าหมายในการเป็นต้นแบบของการยกระดับศาสนสถานให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงคุณธรรม ที่สามารถเป็นจุดดึงดูดทั้งคนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา และนักท่องเที่ยวทั่วไป ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ที่สร้างแรงบันดาลใจมากกว่าการสวดมนต์และไหว้พระ

สรุป

การจัดกิจกรรม “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” ในจังหวัดเชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นการรำลึกถึงบุคคลสำคัญทางศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นการขับเคลื่อนโมเดลใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เชื่อมโยงวัด ชุมชน และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน พร้อมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และศรัทธาที่ลึกซึ้งต่อรากเหง้าแห่งล้านนาอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
  • สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเข้ม รับมือน้ำท่วม-น้ำโขงล้น

เชียงรายวางมาตรการเข้มรับมือสถานการณ์น้ำ – ประชุมใหญ่ติดตามและเสริมแผนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รับมือฝนตกหนัก-น้ำโขงล้นตลิ่งกลางปี 2568

เชียงราย, 2 กรกฎาคม 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ร่วมประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นการประชุมสำคัญท่ามกลางสถานการณ์ฝนตกหนักที่เริ่มส่งผลกระทบหลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

วางแผนรับมือสถานการณ์น้ำ – เสริมกำลังและอุปกรณ์ 24 ชั่วโมง

การประชุมครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รายงานภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ พร้อมชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาและแผนการเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 จังหวัดได้จัดเตรียมกำลังพล อุปกรณ์ เครื่องจักรกล และเครื่องมือสาธารณภัยให้พร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงกำหนดพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังพิเศษ เช่น โรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สถานีผลิตไฟฟ้า-ประปา เพื่อให้การดำเนินงานสำคัญของจังหวัดไม่สะดุดในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน

พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนซ้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระหว่างวันที่ 7–10 กรกฎาคม 2568 เพื่อเสริมสร้างความพร้อมและความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน

รัฐบาลสั่งการเข้ม – เน้นป้องกันล่วงหน้า แจ้งเตือนรวดเร็ว ครอบคลุมทุกมิติ

ในการประชุมระดับประเทศวันนี้ (2 กรกฎาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคติดตามสถานการณ์น้ำและความเสี่ยงอุทกภัยอย่างใกล้ชิด เตรียมกำลังพลและทรัพยากรพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินทุกมิติ พร้อมกับให้ความสำคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนให้ทันเหตุการณ์และเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีเมื่อเกิดเหตุ โดยได้สั่งการให้จังหวัดเสี่ยงต้องมีแผนรองรับสถานการณ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการป้องกัน รับมือ ฟื้นฟู และเยียวยา

นายประเสริฐได้เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองทัพไทย กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน ฯลฯ กับพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย น่าน หนองคาย สกลนคร บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร ที่มีความเสี่ยงสูงจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำโขงล้นตลิ่ง

มาตรการใหม่และแนวโน้มภัยพิบัติปี 2568

ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงมาตรการสำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าโดย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อประสานข้อมูลพายุ ฝน และภัยพิบัติต่าง ๆ และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน ตรวจสอบและทดสอบระบบเตือนภัย รวมถึงใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast (CB) ซึ่งเริ่มใช้งานในหลายพื้นที่เพื่อแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว ขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติและแนวทางการรับมือให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ด้านการจัดการในพื้นที่ ได้มีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน เช่น การแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกลำคลอง เตรียมเครื่องจักรกล อุปกรณ์ อากาศยาน เรือ และจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ รวมถึงพื้นที่อพยพ ศูนย์พักพิง อาหาร น้ำดื่ม และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน

วิเคราะห์สถานการณ์น้ำโขง – การเตรียมพร้อมของลุ่มน้ำสำคัญ

จากข้อมูลของ สทนช. และกรมชลประทาน ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลักยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ เพราะมีการพร่องน้ำไว้ล่วงหน้าเพื่อลดผลกระทบ อย่างไรก็ตาม การประชุมได้รับทราบการคาดการณ์ว่าช่วงกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 อาจเกิดสถานการณ์น้ำโขงล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตอนบนของภาคเหนือ จึงมีการบูรณาการกับหน่วยงานลุ่มน้ำโขงทั้งไทยและ สปป.ลาว เพื่อบริหารจัดการน้ำร่วมกัน ลดผลกระทบและเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า

สาระสำคัญและข้อสั่งการ – มุ่งฟื้นฟู เยียวยา และป้องกันความเสียหายซ้ำซ้อน

รองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนและทรัพย์สิน เพื่อเร่งดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้เร็วที่สุด พร้อมตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วให้ความช่วยเหลือพื้นที่ห่างไกล โดยเน้นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน จิตอาสา และมูลนิธิอย่างมีประสิทธิภาพ

นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเสริมว่า สภาพอากาศโดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 2-6 กรกฎาคม และ 10-14 กรกฎาคม จะมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะในบางพื้นที่ภาคเหนือและอีสานตอนบน สทนช. จะตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ที่จังหวัดหนองคายในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และเตรียมประชุมเฉพาะกิจกับ สปป.ลาว เพื่อลดผลกระทบจากน้ำโขงล้นตลิ่งในฤดูฝนนี้

บทสรุป

สถานการณ์น้ำในปี 2568 แม้จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเป็นระบบ การผนึกกำลังกันระหว่างจังหวัด หน่วยงานกลาง และเครือข่ายภาคี จึงเป็นหัวใจของการป้องกันและเยียวยาอุทกภัยในทุกมิติ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างทันท่วงที เสริมความมั่นใจให้กับประชาชนทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

หน่วยงานรัฐผนึกกำลัง เก็บตัวอย่างดินแม่น้ำ 3 สาย ตรวจโลหะหนัก

ภาครัฐลุยตรวจตะกอนดิน 3 แม่น้ำใหญ่ ตรวจหาสารโลหะหนัก ยกระดับมาตรการสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

เชียงราย, 17 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่ประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำภาคเหนือเผชิญความกังวลต่อปัญหามลพิษและสารปนเปื้อนข้ามพรมแดน หน่วยงานภาครัฐได้เร่งเดินหน้าดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจสอบตะกอนดินจากลำน้ำสายสำคัญของพื้นที่

ขยายผลเก็บตัวอย่าง “ตะกอนดิน” บนลำน้ำหลัก

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปลัดอำเภอแม่สาย และเจ้าหน้าที่กรมการทหารช่าง ลงพื้นที่ดำเนินการเก็บตัวอย่างตะกอนดินในสามลำน้ำหลัก ได้แก่ แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำกก จุดมุ่งหมายเพื่อประเมินความปลอดภัยจากการขุดลอกลำน้ำ รวมถึงตรวจสอบการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารอันตรายต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน

พื้นที่แรกที่เจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบคือบริเวณบ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน ซึ่งเป็นจุดท้ายของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกและเชื่อมต่อกับอำเภอแม่สาย เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดินทรายโดยบรรจุถุงพลาสติก ถุงละราว 1 กิโลกรัม เพื่อนำส่งวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผลการวิเคราะห์คาดว่าจะได้ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์จากดินดังกล่าวในอนาคต

การขุดลอกแม่น้ำสาย ความร่วมมือข้ามแดนไทย-เมียนมา

สำหรับลำน้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำหลักที่พาดผ่านชายแดนไทย-เมียนมา การขุดลอกและวางแนวพนังกั้นน้ำดำเนินการโดยกรมการทหารช่างของไทย โดยตะกอนดินทรายที่ขุดขึ้นมาก็มีการบรรจุในถุงบิ๊กแบ็คอย่างรัดกุม ไม่ก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายออกสู่ภายนอก ขณะที่ฝั่งเมียนมา รัฐบาลเมียนมารับผิดชอบนำตะกอนไปทิ้งในพื้นที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นระบบในฝั่งตนเอง ลดผลกระทบต่อประชาชนสองฝั่งแดน

หาดเชียงราย” กับการขุดลอกแม่น้ำกก – สะท้อนความห่วงใยต่อสุขภาพประชาชน

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังบริเวณ “หาดเชียงราย” ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำกกที่ได้รับผลกระทบจากการขุดลอกแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างตะกอนดินจากบริเวณนี้ก็ถูกรวบรวมส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเช่นเดียวกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

มาตรฐานวิชาการและความร่วมมือหลากหลายภาคส่วน

การตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินแบ่งออกเป็น 2 แนวทางสำคัญ

  1. ตรวจมาตรฐานคุณภาพดิน เพื่อประเมินว่าสามารถนำตะกอนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมหรือเป็นพื้นที่อยู่อาศัยได้หรือไม่ กระบวนการนี้จะดำเนินการในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ
  2. ตรวจสอบความเป็นของเสียอันตราย ด้วยกระบวนการ Leaching Test, TTLC และ STLC ตามมาตรฐานประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566 โดยประสานกับศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคเหนือ เพื่อให้ได้ผลวิเคราะห์ที่แม่นยำและรอบด้าน

ยกระดับความเชื่อมั่นประชาชน

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า การขุดลอกลำน้ำที่ดำเนินอยู่ในเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงมีการเฝ้าระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาใช้วางแผนการใช้ประโยชน์จากตะกอนดินในอนาคต และป้องกันปัญหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่ชุมชน

ก้าวสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

เมื่อผลการตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินแล้วเสร็จ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสรุปข้อมูลและเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบอย่างโปร่งใส หากพบการปนเปื้อนในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง ก็จะมีมาตรการจำกัดการใช้ประโยชน์ รวมถึงกำหนดแนวทางฟื้นฟูพื้นที่ให้เหมาะสมในระยะยาว ทั้งนี้ อาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น วิชาการ และประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมโรงงานอุตสาหกรรม
  • ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News