Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อุโมงค์ดอยหลวงเจาะทะลุฉลุย! เร็วกว่ากำหนด 19 เดือน ความหวังใหม่เชื่อมโลก

แสงแรกแห่งล้านนา” อุโมงค์ดอยหลวงทะลุฉลุย! รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ความหวังใหม่เชื่อมไทย-ลาว-จีน

เชียงราย, 8 กรกฎาคม 2568 – “ทะลุแล้ว…อีกหนึ่งความก้าวหน้า อีกขั้นของความสำเร็จ” เสียงแห่งความยินดีดังกึกก้องที่อุโมงค์ดอยหลวง จังหวัดเชียงราย หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เมื่อการเจาะทะลุ (Breakthrough) อุโมงค์ขนาดมหึมาได้สำเร็จก่อนกำหนดถึง 19 เดือน ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชัยชนะทางวิศวกรรม แต่คือแสงแห่งความหวังที่จะฉายส่องอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือของไทย สู่การเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

อุโมงค์ดอยหลวง สัญลักษณ์แห่งศักยภาพไทย ก้าวข้ามความท้าทายทางธรณีวิทยา

อุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งมีความยาว 3,400 เมตร เป็นหนึ่งในสี่อุโมงค์หลักของโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือเส้นใหม่นี้ การก่อสร้างถือเป็นงานวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากภูมิประเทศและธรณีวิทยาบริเวณดังกล่าวเป็น หินภูเขาไฟและดินเหนียว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคนิคขั้นสูงอย่าง Drill & Blast (เจาะและระเบิด) ร่วมกับการขุดด้วยเครื่องจักร (Excavator)

เดิมที การขุดเจาะและงานคอนกรีตภายในอุโมงค์ถูกประมาณการว่าจะใช้เวลาถึง 40 เดือน (3 ปี 4 เดือน) ทว่าด้วยศักยภาพของทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญชาวไทย รวมถึงการบริหารจัดการโครงการที่มีประสิทธิภาพ ทำให้งานนี้สำเร็จได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ถึง 19 เดือน ณ เดือนมิถุนายน 2568 ความคืบหน้าโดยรวมของงานก่อสร้างอุโมงค์ดอยหลวงอยู่ที่ประมาณ 54% ซึ่งเร็วกว่าแผนที่ตั้งไว้ 7%

“การเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงได้เร็วกว่ากำหนดถึง 19 เดือน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและศักยภาพของบุคลากรไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับเมกะโปรเจกต์” นายอธิรัฐ กะตังค์ หัวหน้าโครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กล่าว “นี่คือสัญญาณที่ดีว่าโครงการจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดการในปี 2571 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจภาคเหนือสู่ประตูการค้ากับลาวและจีน”

นอกจากนี้ โครงการยังให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยและมาตรฐานสากล โดยมีการเสริมกำแพงโครงเหล็กและผนังคอนกรีต ติดตั้งแผ่นกั้นน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วม รวมถึงระบบระบายน้ำที่ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกอุโมงค์ มีการศึกษาแนวการไหลของน้ำเพื่อรองรับน้ำป่าในฤดูฝนอย่างละเอียด และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด ยังมีการจัดสร้าง ทางเชื่อมฉุกเฉิน (Cross Passages) จำนวน 14 จุด สำหรับการอพยพตามมาตรฐานสากลในทุกๆ ระยะ 240 เมตร

ความคืบหน้าภาพรวมแม้มีอุปสรรคแต่เดินหน้าไม่หยุด

จากข้อมูลล่าสุด (ณ เดือนมกราคม 2568) โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งมีระยะทางรวม 323.1 กิโลเมตร และมูลค่าโครงการรวมกว่า 1.28 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากงบประมาณอนุมัติเบื้องต้น 85,845 ล้านบาท ในปี 2561) มีความคืบหน้าโดยรวมกว่า 25% แม้ว่า ณ เดือนพฤศจิกายน 2567 กรมการขนส่งทางราง (ขร.) จะรายงานว่าภาพรวมโครงการยังล่าช้ากว่าแผนประมาณ 3.7% แต่ความสำเร็จในการเจาะอุโมงค์ดอยหลวงที่รวดเร็วกว่ากำหนดมาก แสดงให้เห็นถึงการเร่งรัดในงานโครงสร้างสำคัญที่มีความซับซ้อนสูง

สำหรับงานโครงสร้างสำคัญอื่นๆ:

  • อุโมงค์แม่กา (พะเยา): ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 มีความคืบหน้าประมาณ 17.8% และมีการจัดซ้อมแผนกรณีอุโมงค์ถล่มเพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
  • งานระบบราง: คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2569 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในปี 2571
  • สะพานและทางยกระดับ/ทางลอด: มีการนำเทคโนโลยีอย่าง Curved Precast Reinforced Concrete Railway Arch Culverts (BEBO) มาใช้ เพื่อความแข็งแรงและลดระยะเวลาการก่อสร้าง

ปมร้อนเวนคืนที่ดินโจทย์ใหญ่ที่ต้องคลี่คลาย

แม้การก่อสร้างจะคืบหน้าไปมาก แต่โครงการยังคงเผชิญกับประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ การเวนคืนที่ดิน ซึ่งคืบหน้าไปกว่า 80% แล้ว แต่ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคที่ต้องมีการประชุมหารือเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง

ปัญหาหลักคือ ข้อร้องเรียนจากชาวบ้านเกี่ยวกับการประเมินค่าชดเชยที่ไม่เป็นธรรม โดยมีการเปรียบเทียบกับราคาการเวนคืนของกรมทางหลวงและโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในการคิดราคา นอกจากนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ยังได้ลงพื้นที่ประกาศเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์อสังหาริมทรัพย์ก่อนการเวนคืนในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่พอใจและความขัดแย้งในชุมชนได้

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ท้องถิ่น ให้ความเห็นว่า “การแก้ไขปัญหาการเวนคืนที่ดินที่เหลืออยู่ด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากชุมชนในระยะยาว หากปัญหานี้ยังคงอยู่ อาจนำไปสู่ความล่าช้าในบางพื้นที่ ความท้าทายทางกฎหมาย และอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของโครงการ แม้ว่าการก่อสร้างทางกายภาพจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วในส่วนอื่นๆ ก็ตาม”

แสงสว่างทางเศรษฐกิจโอกาสมหาศาลสู่ล้านนาและภูมิภาค

โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ไม่ใช่แค่เส้นทางคมนาคม แต่คือ กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในภาคเหนือตอนบน ด้วยประโยชน์และโอกาสที่หลากหลาย

  • กระตุ้นการค้าชายแดนและโลจิสติกส์ เส้นทางนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมโยงการค้าระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ จากไทยไปยัง สปป.ลาว, เมียนมา, และจีนตอนใต้ ผ่าน ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ ซึ่งเชื่อมต่อกับเส้นทางถนน R3A (เชียงของ-โม่ฮาน-คุนหมิง) และรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรของไทย
  • ฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดเส้นทาง รถไฟจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้าถึงภาคเหนือตอนบนได้สะดวกสบายขึ้น ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเดิมและสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดรายได้และการจ้างงานในท้องถิ่น
  • ลดต้นทุนและเพิ่มขีดแข่งขัน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระยะไกล ทำให้สินค้าไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงตลาด E-commerce ขนาดใหญ่ของจีนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างงานและกระจายรายได้ การก่อสร้างและการดำเนินงานโครงการจะสร้างงานและกระจายรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างมหาศาล
  • โลจิสติกส์สีเขียว การขนส่งทางรางช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบการขนส่งอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนนถึง 6 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เชิงกลยุทธ์ปูทางสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

เพื่อให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และสร้างประโยชน์สูงสุด รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องดำเนินงานเชิงรุกในหลายด้าน:

  1. เร่งรัดและแก้ไขปัญหาการก่อสร้าง วิเคราะห์ความล่าช้าเชิงลึกในแต่ละสัญญา และพิจารณากลไกแรงจูงใจหรือบทลงโทษผู้รับจ้าง เพื่อกระตุ้นให้งานเดินหน้าตามแผน รวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ
  2. จัดการปัญหาเวนคืนที่ดินอย่างเป็นธรรม จัดตั้งช่องทางการสื่อสารที่โปร่งใสกับชุมชน ทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินค่าชดเชยให้สอดคล้องกับราคาตลาด และจัดทำแผนการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับผู้ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุม
  3. พัฒนาระบบป้องกันภัยธรรมชาติที่ยั่งยืน เร่งนำมาตรฐานระบบระบายน้ำและมาตรการลดความเสี่ยงภัยในระบบรางไปปฏิบัติใช้ ติดตั้งระบบ “DRT Alert” เพื่อแจ้งเตือนภัยพิบัติ และจัดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ
  4. ส่งเสริมการเชื่อมโยงโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสริม เช่น ศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าเชียงของ (Dry Port) ผลักดันการเจรจาและประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน และพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูลในห่วงโซ่อุปทาน
  5. เตรียมความพร้อมของภาคส่วนในพื้นที่ หน่วยงานท้องถิ่นควรจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ ส่งเสริมการท่องเที่ยวรอง พัฒนาทักษะแรงงานในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นในการปรับตัวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ความสำเร็จของการเจาะทะลุอุโมงค์ดอยหลวงเป็นเพียง “แสงแรก” ที่ส่องนำทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองของภาคเหนือ การสานต่อโครงการให้แล้วเสร็จตามแผน พร้อมกับการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอย่างเป็นธรรม จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงไทยสู่เวทีโลกได้อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมการขนส่งทางราง (ขร.)
  • กระทรวงคมนาคม
  • ธนารักษ์พื้นที่เชียงราย
  • TEAM GROUP
  • ผู้รับจ้างโครงการ: กิจการร่วมค้า ไอทีดี-เนาวรัตน์, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 2, กิจการร่วมค้า ซีเคเอสที-ดีซี 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง MOU ยกระดับจัดการสาธารณภัย สร้างความปลอดภัยยั่งยืน

อบจ.เชียงรายผนึกกำลัง! ลงนาม MOU บูรณาการการจัดการสาธารณภัย ยกระดับความปลอดภัยให้ชาวเชียงราย

ก้าวย่างใหม่ของระบบป้องกันภัยพิบัติในเชียงราย

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – ในบรรยากาศของวันฝนพรำที่แฝงไว้ด้วยความหวัง ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จังหวัดเชียงราย ภายใต้การนำของนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ได้เกิดปรากฏการณ์สำคัญที่สั่นสะเทือนวงการบริหารท้องถิ่น นั่นคือ การลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการบูรณาการการบริหารจัดการสาธารณภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เหตุการณ์ในวันนี้ไม่ใช่แค่พิธีการ แต่คือการเริ่มต้นของยุคใหม่ในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า “เชียงรายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

จากโต๊ะประชุมสู่ความร่วมมือในภาคสนาม

จุดเริ่มต้นของ MOU ฉบับนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากการประชุมเชิงปฏิบัติการและฝึกซ้อม Table-Top Exercise (TTX) เพื่อจำลองสถานการณ์ฉุกเฉินและเสริมสร้างทักษะการรับมือภัยพิบัติ โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแลกเปลี่ยนความรู้ การจำลองสถานการณ์ และการฝึกตัดสินใจภายใต้ความกดดัน ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าความร่วมมือแบบบูรณาการคือหัวใจสำคัญ

บรรยากาศของการประชุม TTX เปรียบเสมือน “สนามซ้อมรบ” ให้ทุกหน่วยงานได้ทดสอบความพร้อมและประสานงานจริง ตั้งแต่การเตรียมแผน การระดมทรัพยากร ไปจนถึงการตัดสินใจแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ประสบการณ์ที่ได้ถูกนำมาต่อยอดเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ในวันนี้

ทีมเชียงราย” บนเส้นทางความปลอดภัย

การลงนาม MOU ฉบับนี้ เป็นการรวมตัวของพันธมิตรหลักในระบบการบริหารสาธารณภัยของจังหวัดเชียงราย ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย
  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ. 37)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)

การหลอมรวมศักยภาพและทรัพยากรจากทุกหน่วยงาน ทำให้ระบบป้องกันภัยพิบัติของจังหวัดมีความแข็งแกร่งรอบด้าน ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมเชิงรุก การเฝ้าระวัง การสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ ไปจนถึงการฟื้นฟูหลังเกิดภัย

อบจ.เชียงราย แกนกลางของระบบความปลอดภัย

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เน้นย้ำบทบาทขององค์กรว่า “อบจ.เชียงราย คือศูนย์กลางประสานงานและขับเคลื่อนการบูรณาการทรัพยากรเพื่อประชาชน” โดยเป้าหมายคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชนเชียงรายมีภูมิคุ้มกันภัยพิบัติทุกรูปแบบ ผ่านการสนับสนุนบุคลากร อุปกรณ์ และการฝึกอบรมต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน

นายก อบจ.เชียงราย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดการภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องของ ‘หน่วยใดหน่วยหนึ่ง’ แต่เป็นภารกิจของ ‘ทุกคน’ ที่ต้องทำงานเป็นทีมอย่างแท้จริง”

มิติของความร่วมมือบูรณาการสู่มาตรฐานระดับชาติ

สาระสำคัญของ MOU ฉบับนี้ ครอบคลุมมิติหลัก ดังนี้

  1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลและบทเรียน
    การแบ่งปันข้อมูลสภาพอากาศ แนวโน้มภัยพิบัติ และประสบการณ์รับมือในอดีต จะทำให้ทุกฝ่ายวางแผนและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที
  2. การสนับสนุนกำลังพลและเครื่องมือ
    บูรณาการบุคลากร ยานพาหนะ อุปกรณ์กู้ภัย และเครื่องมือสื่อสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  3. การพัฒนาศักยภาพบุคลากร
    จัดฝึกอบรม สัมมนา และฝึกซ้อมร่วมกันเป็นประจำ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยมีทักษะและความเชี่ยวชาญที่ทันต่อเหตุการณ์
  4. กลไกการประสานงาน
    สร้างระบบประสานงานและการตัดสินใจที่รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อน และทำให้การตอบสนองต่อภัยพิบัติมีประสิทธิภาพสูงสุด

ผลลัพธ์ของความร่วมมือจะทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทุกรูปแบบ ลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

วิเคราะห์ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

การลงนาม MOU ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการก้าวข้ามข้อจำกัดเดิม ๆ สู่การบริหารจัดการที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลที่คาดหวังในระยะสั้นและระยะยาว ได้แก่

  • ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย: ระบบเตือนภัยและแผนรับมือภัยพิบัติจะมีความชัดเจน รวดเร็ว และเทียบเท่ามาตรฐานสากล
  • สร้างความมั่นใจให้ประชาชน: ประชาชนเชียงรายจะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจมากขึ้น ทราบวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติและได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  • พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น: การอบรมและฝึกซ้อมร่วมกันจะเสริมสร้างความรู้ความสามารถให้เจ้าหน้าที่ในทุกระดับ
  • ลดผลกระทบและความสูญเสีย: การประสานงานที่ดีจะช่วยลดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ต้นแบบความร่วมมือ: เชียงรายจะกลายเป็นต้นแบบในการจัดการสาธารณภัยของประเทศ

ในอนาคต เราจะได้เห็นโครงการอบรมร่วม การพัฒนาเทคโนโลยีเตือนภัยอัจฉริยะ และแผนเผชิญเหตุใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่นเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายปลอดภัย มั่นใจ สู่อนาคตที่เข้มแข็ง

“เชียงรายจะเป็นจังหวัดที่ประชาชนใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจ ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และพร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกสถานการณ์” คือวิสัยทัศน์ใหม่ที่เกิดจากความร่วมมือในวันนี้

การลงนาม MOU ไม่ใช่แค่พิธีกรรม แต่เป็นการเริ่มต้นของระบบความปลอดภัยที่บูรณาการอย่างแท้จริง “เชียงรายโมเดล” กำลังถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่น ๆ ได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง(ภา) สภากาชาดไทย
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • รายงานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงฯ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายเปิดเส้นทางธรรมครูบาศรีวิชัย

เชียงรายเปิดกิจกรรม “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” เดินหน้าส่งเสริมศรัทธา ยกระดับวัดและชุมชนสู่แหล่งเรียนรู้ทางศาสนา

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมกับกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เดินหน้าเปิดกิจกรรม “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” ภายใต้โครงการจาริกเส้นทางบุญในมิติทางศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการยกระดับวัด ชุมชน และศาสนสถานให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างแรงศรัทธาในรูปแบบที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น

พิธีเปิด ณ วัดพระธาตุแม่เจดีย์ สะท้อนความร่วมมือของทุกภาคส่วน

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม 2568 ณ วัดพระธาตุแม่เจดีย์ ตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยนายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว นายอำเภอเวียงป่าเป้า เป็นประธานในพิธี ตามคำสั่งมอบหมายจากนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้ด้วยตนเอง โดยมีนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นผู้กล่าวรายงาน และได้รับเกียรติจากพระครูไพบูลย์พัฒนาภิรักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุแม่เจดีย์ เป็นผู้กล่าวสัมโมทนียกถา

ภายในพิธี มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านจากชุมชน เช่น การฟ้อนแม่ขะจานที่รัก ฟ้อนเวียงป่าเป้าดี้ดี และฟ้อนบุบผานารีแม่เจดีย์อวยชัย สะท้อนถึงความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากหัวหน้าส่วนราชการ สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ที่เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง

FAM Trip ตามรอยศรัทธา เสริมการเรียนรู้-ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น

กิจกรรมไฮไลต์ของงาน คือ “FAM Trip: One Day Trip” ซึ่งจัดนำร่องขึ้นใน 4 วัด ได้แก่

  1. วัดพระธาตุแม่เจดีย์ ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า
  2. วัดศรีคำเวียง ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า
  3. วัดศรีสุทธาวาส ต.เวียง อ.เวียงป่าเป้า
  4. วัดเจดีย์หลวง ต.เจดีย์หลวง อ.แม่สรวย

โดยมีพระภิกษุผู้ดูแลวัดแต่ละแห่งให้เกียรติเป็นวิทยากรนำชมสถานที่ พร้อมบรรยายประวัติศาสตร์และความสำคัญของแต่ละวัด โดยเฉพาะในบริบทที่เกี่ยวข้องกับ “ครูบาศรีวิชัย” นักบุญแห่งล้านนา ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการจาริกแสวงบุญในภาคเหนือ

ในช่วงบ่าย ได้จัดการบรรยายเสวนาเกี่ยวกับประวัติครูบาศรีวิชัย โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ดร.เพ็ญสุภา สุขคตะ จากจังหวัดลำพูน และนายอภิชิต ศิริชัย นักวิชาการอิสระจากเชียงราย ร่วมถ่ายทอดแง่มุมเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และบทบาทของครูบาศรีวิชัยต่อการพัฒนาสังคมล้านนา

วัด – ศาสนสถาน – ชุมชน: การยกระดับอย่างบูรณาการ

นายพงศ์ศักดิ์ เพชรคงแก้ว กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการว่า “การส่งเสริมให้วัดและศาสนสถานเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ควบคู่กับการยกระดับชุมชนให้เข้มแข็ง เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของจังหวัดในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน”

นอกจาก 4 วัดนำร่องที่เข้าร่วม FAM Trip ในครั้งนี้ ยังมีอีก 2 วัดที่อยู่ในโครงการ คือ

  1. วัดพระธาตุจอมแว่ ต.เมืองพาน อ.พาน
  2. วัดพระธาตุดอยตุง ต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย

เส้นทางทั้งหมดนี้ถูกออกแบบให้กลายเป็นเครือข่าย “เส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” ซึ่งไม่เพียงสะท้อนพุทธศาสนา แต่ยังสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น วิถีชีวิต และเศรษฐกิจของชุมชน โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนที่จะขยายผลโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่อื่น ๆ ในอนาคต

เชียงรายกับการเป็น “เมืองแห่งจิตวิญญาณ”

เชียงรายในปัจจุบัน กำลังขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในมิติใหม่ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นด้านธรรมชาติหรือศิลปวัฒนธรรมเท่านั้น หากแต่กำลังพัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ (Spiritual Tourism) โดยใช้ศรัทธาและเรื่องราวของบุคคลสำคัญทางศาสนา เช่น ครูบาศรีวิชัย มาเป็นจุดศูนย์กลางในการออกแบบเส้นทาง

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเชื่อมโยงวัด ชุมชน และนักท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมสร้างการรับรู้เชิงบวกต่อบทบาทของวัดในฐานะ “ศูนย์กลางทางจิตใจ” และ “ศูนย์กลางการเรียนรู้” ของสังคมไทยยุคใหม่

จากกิจกรรมสู่ระบบนิเวศการเรียนรู้ในระยะยาว

ภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมเปิดตัว สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนในการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ ทั้งวิดิทัศน์ แผ่นพับ และป้ายแนะนำเส้นทาง เพื่อเผยแพร่ไปยังศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวและเครือข่ายโรงเรียนในพื้นที่ พร้อมส่งเสริมให้วัดที่เข้าร่วมโครงการสามารถจัดกิจกรรมต้อนรับนักเรียนและนักท่องเที่ยวได้อย่างมีระบบ

ในระยะยาว โครงการ “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” มีเป้าหมายในการเป็นต้นแบบของการยกระดับศาสนสถานให้เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงคุณธรรม ที่สามารถเป็นจุดดึงดูดทั้งคนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา และนักท่องเที่ยวทั่วไป ด้วยรูปแบบการเรียนรู้ที่สร้างแรงบันดาลใจมากกว่าการสวดมนต์และไหว้พระ

สรุป

การจัดกิจกรรม “ตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธาครูบาศรีวิชัย” ในจังหวัดเชียงราย ไม่เพียงแต่เป็นการรำลึกถึงบุคคลสำคัญทางศาสนาเท่านั้น หากยังเป็นการขับเคลื่อนโมเดลใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เชื่อมโยงวัด ชุมชน และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน พร้อมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และศรัทธาที่ลึกซึ้งต่อรากเหง้าแห่งล้านนาอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
  • สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายเข้ม รับมือน้ำท่วม-น้ำโขงล้น

เชียงรายวางมาตรการเข้มรับมือสถานการณ์น้ำ – ประชุมใหญ่ติดตามและเสริมแผนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย รับมือฝนตกหนัก-น้ำโขงล้นตลิ่งกลางปี 2568

เชียงราย, 2 กรกฎาคม 2568 – ที่ห้องประชุมอูหลง ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ร่วมประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นการประชุมสำคัญท่ามกลางสถานการณ์ฝนตกหนักที่เริ่มส่งผลกระทบหลายพื้นที่ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

วางแผนรับมือสถานการณ์น้ำ – เสริมกำลังและอุปกรณ์ 24 ชั่วโมง

การประชุมครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้รายงานภาพรวมสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ พร้อมชี้แจงแนวทางการแก้ไขปัญหาและแผนการเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 จังหวัดได้จัดเตรียมกำลังพล อุปกรณ์ เครื่องจักรกล และเครื่องมือสาธารณภัยให้พร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงกำหนดพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังพิเศษ เช่น โรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สถานีผลิตไฟฟ้า-ประปา เพื่อให้การดำเนินงานสำคัญของจังหวัดไม่สะดุดในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน

พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนซ้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัยร่วมกับศูนย์เฝ้าระวังและตอบโต้ภัยพิบัติเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ระหว่างวันที่ 7–10 กรกฎาคม 2568 เพื่อเสริมสร้างความพร้อมและความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน

รัฐบาลสั่งการเข้ม – เน้นป้องกันล่วงหน้า แจ้งเตือนรวดเร็ว ครอบคลุมทุกมิติ

ในการประชุมระดับประเทศวันนี้ (2 กรกฎาคม 2568) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคติดตามสถานการณ์น้ำและความเสี่ยงอุทกภัยอย่างใกล้ชิด เตรียมกำลังพลและทรัพยากรพร้อมรองรับเหตุฉุกเฉินทุกมิติ พร้อมกับให้ความสำคัญกับการแจ้งเตือนประชาชนให้ทันเหตุการณ์และเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีเมื่อเกิดเหตุ โดยได้สั่งการให้จังหวัดเสี่ยงต้องมีแผนรองรับสถานการณ์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการป้องกัน รับมือ ฟื้นฟู และเยียวยา

นายประเสริฐได้เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองทัพไทย กรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมชลประทาน ฯลฯ กับพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย น่าน หนองคาย สกลนคร บึงกาฬ นครพนม และมุกดาหาร ที่มีความเสี่ยงสูงจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำโขงล้นตลิ่ง

มาตรการใหม่และแนวโน้มภัยพิบัติปี 2568

ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงมาตรการสำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าโดย สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อประสานข้อมูลพายุ ฝน และภัยพิบัติต่าง ๆ และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน ตรวจสอบและทดสอบระบบเตือนภัย รวมถึงใช้เทคโนโลยี Cell Broadcast (CB) ซึ่งเริ่มใช้งานในหลายพื้นที่เพื่อแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว ขยายพื้นที่บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติและแนวทางการรับมือให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ด้านการจัดการในพื้นที่ ได้มีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน เช่น การแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกลำคลอง เตรียมเครื่องจักรกล อุปกรณ์ อากาศยาน เรือ และจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ รวมถึงพื้นที่อพยพ ศูนย์พักพิง อาหาร น้ำดื่ม และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน

วิเคราะห์สถานการณ์น้ำโขง – การเตรียมพร้อมของลุ่มน้ำสำคัญ

จากข้อมูลของ สทนช. และกรมชลประทาน ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำหลักยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ เพราะมีการพร่องน้ำไว้ล่วงหน้าเพื่อลดผลกระทบ อย่างไรก็ตาม การประชุมได้รับทราบการคาดการณ์ว่าช่วงกรกฎาคม – สิงหาคม 2568 อาจเกิดสถานการณ์น้ำโขงล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตอนบนของภาคเหนือ จึงมีการบูรณาการกับหน่วยงานลุ่มน้ำโขงทั้งไทยและ สปป.ลาว เพื่อบริหารจัดการน้ำร่วมกัน ลดผลกระทบและเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า

สาระสำคัญและข้อสั่งการ – มุ่งฟื้นฟู เยียวยา และป้องกันความเสียหายซ้ำซ้อน

รองนายกรัฐมนตรีสั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจความเสียหายของบ้านเรือนและทรัพย์สิน เพื่อเร่งดำเนินการจ่ายเงินชดเชยให้เร็วที่สุด พร้อมตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วให้ความช่วยเหลือพื้นที่ห่างไกล โดยเน้นการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนทั้งรัฐ เอกชน จิตอาสา และมูลนิธิอย่างมีประสิทธิภาพ

นางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช. กล่าวเสริมว่า สภาพอากาศโดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 2-6 กรกฎาคม และ 10-14 กรกฎาคม จะมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะในบางพื้นที่ภาคเหนือและอีสานตอนบน สทนช. จะตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ที่จังหวัดหนองคายในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และเตรียมประชุมเฉพาะกิจกับ สปป.ลาว เพื่อลดผลกระทบจากน้ำโขงล้นตลิ่งในฤดูฝนนี้

บทสรุป

สถานการณ์น้ำในปี 2568 แม้จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น แต่จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเป็นระบบ การผนึกกำลังกันระหว่างจังหวัด หน่วยงานกลาง และเครือข่ายภาคี จึงเป็นหัวใจของการป้องกันและเยียวยาอุทกภัยในทุกมิติ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและระบบแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลอย่างทันท่วงที เสริมความมั่นใจให้กับประชาชนทั่วประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

หน่วยงานรัฐผนึกกำลัง เก็บตัวอย่างดินแม่น้ำ 3 สาย ตรวจโลหะหนัก

ภาครัฐลุยตรวจตะกอนดิน 3 แม่น้ำใหญ่ ตรวจหาสารโลหะหนัก ยกระดับมาตรการสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน

เชียงราย, 17 มิถุนายน 2568 – ในห้วงเวลาที่ประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำภาคเหนือเผชิญความกังวลต่อปัญหามลพิษและสารปนเปื้อนข้ามพรมแดน หน่วยงานภาครัฐได้เร่งเดินหน้าดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยเฉพาะการตรวจสอบตะกอนดินจากลำน้ำสายสำคัญของพื้นที่

ขยายผลเก็บตัวอย่าง “ตะกอนดิน” บนลำน้ำหลัก

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ปลัดอำเภอแม่สาย และเจ้าหน้าที่กรมการทหารช่าง ลงพื้นที่ดำเนินการเก็บตัวอย่างตะกอนดินในสามลำน้ำหลัก ได้แก่ แม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำกก จุดมุ่งหมายเพื่อประเมินความปลอดภัยจากการขุดลอกลำน้ำ รวมถึงตรวจสอบการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารอันตรายต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชน

พื้นที่แรกที่เจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบคือบริเวณบ้านวังลาว ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน ซึ่งเป็นจุดท้ายของโครงการขุดลอกแม่น้ำรวกและเชื่อมต่อกับอำเภอแม่สาย เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างดินทรายโดยบรรจุถุงพลาสติก ถุงละราว 1 กิโลกรัม เพื่อนำส่งวิเคราะห์ที่ห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษและกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผลการวิเคราะห์คาดว่าจะได้ภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินความเหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์จากดินดังกล่าวในอนาคต

การขุดลอกแม่น้ำสาย ความร่วมมือข้ามแดนไทย-เมียนมา

สำหรับลำน้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำหลักที่พาดผ่านชายแดนไทย-เมียนมา การขุดลอกและวางแนวพนังกั้นน้ำดำเนินการโดยกรมการทหารช่างของไทย โดยตะกอนดินทรายที่ขุดขึ้นมาก็มีการบรรจุในถุงบิ๊กแบ็คอย่างรัดกุม ไม่ก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายออกสู่ภายนอก ขณะที่ฝั่งเมียนมา รัฐบาลเมียนมารับผิดชอบนำตะกอนไปทิ้งในพื้นที่ที่กำหนดไว้อย่างเป็นระบบในฝั่งตนเอง ลดผลกระทบต่อประชาชนสองฝั่งแดน

หาดเชียงราย” กับการขุดลอกแม่น้ำกก – สะท้อนความห่วงใยต่อสุขภาพประชาชน

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังบริเวณ “หาดเชียงราย” ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนริมแม่น้ำกกที่ได้รับผลกระทบจากการขุดลอกแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างตะกอนดินจากบริเวณนี้ก็ถูกรวบรวมส่งตรวจในห้องปฏิบัติการเช่นเดียวกัน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

มาตรฐานวิชาการและความร่วมมือหลากหลายภาคส่วน

การตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินแบ่งออกเป็น 2 แนวทางสำคัญ

  1. ตรวจมาตรฐานคุณภาพดิน เพื่อประเมินว่าสามารถนำตะกอนที่ได้ไปใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมหรือเป็นพื้นที่อยู่อาศัยได้หรือไม่ กระบวนการนี้จะดำเนินการในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ
  2. ตรวจสอบความเป็นของเสียอันตราย ด้วยกระบวนการ Leaching Test, TTLC และ STLC ตามมาตรฐานประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566 โดยประสานกับศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคเหนือ เพื่อให้ได้ผลวิเคราะห์ที่แม่นยำและรอบด้าน

ยกระดับความเชื่อมั่นประชาชน

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่า การขุดลอกลำน้ำที่ดำเนินอยู่ในเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงมีการเฝ้าระวังผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ข้อมูลที่ได้จะถูกนำมาใช้วางแผนการใช้ประโยชน์จากตะกอนดินในอนาคต และป้องกันปัญหาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตรกรรมหรือพื้นที่ชุมชน

ก้าวสู่การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน

เมื่อผลการตรวจวิเคราะห์ตะกอนดินแล้วเสร็จ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสรุปข้อมูลและเผยแพร่ให้ประชาชนรับทราบอย่างโปร่งใส หากพบการปนเปื้อนในระดับที่ต้องเฝ้าระวัง ก็จะมีมาตรการจำกัดการใช้ประโยชน์ รวมถึงกำหนดแนวทางฟื้นฟูพื้นที่ให้เหมาะสมในระยะยาว ทั้งนี้ อาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น วิชาการ และประชาชนอย่างใกล้ชิด เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมโรงงานอุตสาหกรรม
  • ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงราย รับมือน้ำท่วมปี 68 ผู้ว่าฯ นำทัพเตรียมพร้อมเต็มสูบ

ผู้ว่าฯ เชียงราย นำทีมร่วมประชุม บกปภ.ช. เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยฤดูฝน 2568 และติดตามแผนฝึกซ้อมเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายเรื่องภัยพิบัติทางน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุทกภัยที่มีโอกาสเกิดขึ้นซ้ำรอยในหลายพื้นที่ ตามประวัติศาสตร์เหตุการณ์น้ำหลากและน้ำท่วมใหญ่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ได้ขับเคลื่อนการประชุมระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน

วางโครงสร้างบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติ – มาตรการเชิงรุก

การประชุมครั้งสำคัญนี้ จัดขึ้นในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 โดยมีนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหัวหน้าส่วนราชการจากส่วนกลางและภูมิภาคร่วมประชุมผ่านระบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปยังจังหวัดที่มีความเสี่ยงอุทกภัยทั่วประเทศ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้นำทีมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมจากห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย รายงานสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างละเอียด โดยจังหวัดเชียงรายมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก 126 แห่ง ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเฉลี่ย 53.29% ของความจุรวม 190.842 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งยังบริหารจัดการได้ตามแผน Rule Curve นอกจากนี้ จังหวัดยังเร่งดำเนินโครงการขุดลอกตะกอนดินในอ่างเก็บน้ำ แก้มลิง และหน้าฝายทดน้ำ เพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำหลาก มีปริมาณดินขุดรวมกว่า 5 ล้านลูกบาศก์เมตร

ยกระดับระบบเตือนภัย–เครือข่ายภาคประชาชน

เชียงรายได้ลงทุนติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติ 4 จุด ในพื้นที่แม่สาย และมีแผนติดตั้งอุปกรณ์วัดระดับน้ำ (STAFF GAUGE) อีก 21 จุด ตลอดแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ควบคู่กับการอบรมเครือข่ายประชาชนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมศักยภาพการแจ้งเตือนภัยและประสานข้อมูลในภาวะฉุกเฉินอย่างทั่วถึง

สำหรับการฝึกซ้อมตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน จังหวัดเชียงรายร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดจัดการฝึก Table Top Exercise (TTX) และฝึกปฏิบัติจริง (Field Exercise) ในพื้นที่แม่สายและชุมชนริมแม่น้ำกก รวม 3 กิจกรรมใหญ่ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ตลอดจนเตรียมความพร้อมเครื่องจักรกลหนัก รถดูดเลน เครื่องสูบน้ำ และกำลังพลประจำจุดเสี่ยงทุกอำเภอ รวมถึงจัดลำดับความสำคัญเฝ้าระวังพื้นที่สำคัญอย่างโรงพยาบาล ท่าอากาศยาน สนามบิน และสถานีผลิตไฟฟ้า

ชูบทบาทการสื่อสารข้อมูลจริง – คลายกังวลปัญหาสารปนเปื้อนน้ำกก

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่า จังหวัดเชียงรายยังต้องเผชิญปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำ ซึ่งเป็นผลกระทบจากกิจกรรมเหมืองแร่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) ที่ไหลลงสู่แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) ได้ประสานเจรจากับรัฐบาลเมียนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกเชิงระบบและลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว พร้อมเน้นการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ให้ประชาชนได้รับข่าวสารอย่างชัดเจนและครบถ้วน เพื่อลดความตื่นตระหนกและสร้างศักยภาพในการป้องกันตนเองจากสารปนเปื้อน

การมีส่วนร่วมของชุมชน–กุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืน

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความพร้อมด้านบริหารจัดการภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างข้อมูล สาธารณูปโภค หรือเครือข่ายความร่วมมือจากภาคประชาชน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนไปจนถึงระดับจังหวัด ทั้งยังได้เน้นย้ำเรื่องแผนซ้อมและการกระจายข้อมูลจริงที่มีคุณภาพ เพื่อเสริมศักยภาพในการเผชิญเหตุและลดความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้ได้มากที่สุด

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

จากมาตรการต่าง ๆ ที่จังหวัดเชียงรายร่วมกับส่วนกลางกำลังดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำ เตรียมพื้นที่เสี่ยง การเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัย การบูรณาการข้อมูล และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ล้วนเป็นรากฐานสำคัญในการปกป้องประชาชนจากภัยธรรมชาติและสร้างความมั่นใจในคุณภาพชีวิตในระยะยาว หากทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าทำงานอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถลดผลกระทบและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพในฤดูฝนนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.)
  • ศูนย์ข้อมูลข่าวสารจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำและแผนบริหารจัดการน้ำจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สารหนูแม่น้ำกกยังสูง เชียงรายเร่งตรวจน้ำ-ปลา ประชาชนวอนขอผลชัดเจน

จังหวัดเชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำและพร้อมรับมืออุทกภัย บูรณาการหน่วยงานรัฐ-ชุมชนสร้างความเชื่อมั่นประชาชน

เชียงราย, 16 มิถุนายน 2568 – ในช่วงฤดูฝนปี 2568 จังหวัดเชียงรายต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทั้งด้านคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญและความเสี่ยงต่ออุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน

ประชุมเร่งด่วนบูรณาการทุกภาคส่วน


วันที่ 16 มิถุนายน 2568 ที่ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมผ่าน VDO Conference กับจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน เพื่อรายงานและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ และการป้องกันอุทกภัย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายรายงานว่า ผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง โดยเฉพาะในช่วงหลังฝายเชียงรายที่ค่าความเข้มข้นของสารหนูเกินมาตรฐานในระยะนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเปิดประตูน้ำช่วงน้ำหลากและการขุดลอกลำน้ำที่ทำให้ตะกอนสารหนูลอยขึ้นปะปนในน้ำ อย่างไรก็ตาม ระดับสารหนูหลังฝายยังต่ำกว่าช่วงต้นน้ำกก

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง-ลงพื้นที่ตรวจเข้ม


จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3 จุดหลัก คือ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย สะพานมิตรภาพแห่งที่ 1 และสามเหลี่ยมทองคำ พร้อมเสนอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทีมตรวจสอบเคลื่อนที่เข้าสู่หมู่บ้าน/ชุมชน และเพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปา โดยผลตรวจล่าสุดพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

ขณะเดียวกัน สำนักงานประมงจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างสัตว์น้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย เพื่อตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในตัวปลาอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง เช่นเดียวกับการเก็บตัวอย่างพืชผักที่ใช้น้ำจากแม่น้ำสายส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย ซึ่งยังไม่พบว่ามีค่าปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

ด้านสุขภาพประชาชน สาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเร่งดำเนินการเชิงรุก ทั้งตรวจร่างกาย เฝ้าระวังอาการผิดปกติ และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิด รพ.สต. ให้เป็นจุดเฝ้าระวังและรับแจ้งอาการผิดปกติที่อาจเกิดจากการบริโภคน้ำหรือสัตว์น้ำปนเปื้อน

แผนรับมืออุทกภัย เครื่องมือ-เครื่องจักรพร้อมรับสถานการณ์


ในด้านการรับมืออุทกภัย จังหวัดได้ทบทวนแผนและพื้นที่เสี่ยงทั่วลุ่มน้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง และแม่น้ำรวก โดยติดตั้งโทรมาตร (อุปกรณ์วัดระดับน้ำ) กว่า 21 จุดตลอดแม่น้ำกก และพร้อมจัดซ้อมแผนรับมือภัยในเดือนมิถุนายน 2568 มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น แม่สาย เทิง แม่จัน พร้อมทั้งบริหารจัดการข้อมูล 24 ชั่วโมงผ่านศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด

หน่วยงานกรมการทหารช่างได้สร้างแนวป้องกันน้ำในแม่สายและขุดลอกแม่น้ำรวก รวมถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการขุดลอกแม่น้ำสายเพื่อป้องกันน้ำท่วมข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ยังวางแผนสำรองเผชิญเหตุในระดับหมู่บ้านเพื่อดูแลพื้นที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ สนามบิน และสถานีผลิตน้ำประปา

ภาคประชาชน-ชุมชนร่วมมือ สร้างความมั่นใจในแหล่งอาหาร


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย พร้อมเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมหาวัน ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างปลาจากแม่น้ำกกเพื่อตรวจหาสารปนเปื้อน สะท้อนถึงความห่วงใยของชาวบ้านต่อแหล่งอาหารหลัก ซึ่งมีรายได้เสริมจากการจับปลาขาย แต่ต้องหยุดชะงักไปช่วงหนึ่งจากกระแสข่าวสารปนเปื้อนในน้ำ โดยชาวบ้านเรียกร้องให้หน่วยงานเร่งประกาศผลตรวจอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของชุมชน

วิเคราะห์แนวโน้ม-สร้างเสถียรภาพระยะยาว


การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการภัยพิบัติในจังหวัดเชียงรายในขณะนี้ สะท้อนถึงความพยายามของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และชุมชน ในการสร้างระบบเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ภารกิจที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง คือการสื่อสารสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับประชาชนให้รู้เท่าทันต่อสถานการณ์ อาศัยกลไกวิทยาศาสตร์การแพทย์และการควบคุมคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงระยะยาวต่อสุขภาพของประชาชนและความมั่นคงด้านอาหารในจังหวัด

สรุป


แม้สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจะยังคงน่าห่วง แต่จากการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ควบคู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใส ถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า จ.เชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายยันชัด! แม่น้ำกกใช้เกษตรได้ แนะจัดการดิน-สุขอนามัย

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่เวียงชัย สร้างความเชื่อมั่นให้เกษตรกร – ย้ำ “น้ำกกยังใช้ทำเกษตรได้” ภายใต้เงื่อนไขการจัดการดินและสุขอนามัย

เชียงราย,11 มิถุนายน 2568 –  นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายบดินทร์ เทียมภักดี นายอำเภอเวียงชัย นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจเกษตรกรผู้ทำนา ณ หมู่ที่ 8 บ้านไตรแก้ว ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางความกังวลของประชาชนในประเด็นคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก หลังมีรายงานการตรวจพบสารหนูในบางจุด จนเกิดกระแสข่าวและความวิตกกังวลในวงกว้าง

ผลตรวจชี้ “สารหนูในน้ำกก” มีผลต่างกันแต่ควบคุมได้ – ย้ำรัฐโปร่งใส

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายระบุว่า ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่ ยืนยันว่า ในน้ำแม่น้ำกกมีการตรวจพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในบางจุดจริง โดยระดับการปนเปื้อนมีความแตกต่างกันตามพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดไม่ได้ปิดบังข้อมูล มีการเปิดเผยผลตรวจคุณภาพน้ำจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องทุกเดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากแหล่งทางการโดยตรง

ผู้ว่าฯ ยังย้ำว่า ประชาชนควรรับข้อมูลจากหน่วยงานรัฐที่มีผลแล็บมาตรฐาน และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ทั้งนี้ ข้อมูลคุณภาพน้ำและผลตรวจต่าง ๆ จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านเว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

น้ำประปา “ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน” ใช้อุปโภคบริโภคได้ปลอดภัย

หนึ่งในข้อกังวลสำคัญคือคุณภาพน้ำประปาทั้งระดับการประปาภูมิภาคสาขาเชียงรายและประปาหมู่บ้านในพื้นที่ ซึ่งใช้น้ำดิบจากแม่น้ำกกเป็นต้นทุน จากการลงพื้นที่ตรวจสอบและผลการวิเคราะห์ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย และการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงราย พบว่า น้ำประปาผ่านกระบวนการตกตะกอน กรอง และบำบัดตามหลักวิชาการ ได้คุณภาพปลอดภัยตามมาตรฐาน สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้อย่างมั่นใจ

เกษตรจังหวัดเชียงราย นายเสน่ห์ แสงคำ กล่าวเสริมว่า ในประเด็นความปลอดภัยของน้ำเพื่อการเกษตร ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดการสะสมของโลหะหนักในพืช คือ “การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ที่เหมาะสม” หากค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ที่ 6.5 ขึ้นไป จะช่วยจำกัดการดูดซึมของสารหนูและโลหะหนักเข้าสู่พืชผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลแล็บ “พืช-สัตว์น้ำ” ในพื้นที่แม่น้ำกกยังไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน

ข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 จังหวัดเชียงราย ระบุว่าการเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกก รวมถึงชนิดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำโดยตรงส่งตรวจในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน พบว่าปริมาณสารหนูในตัวอย่าง “ไม่เกินค่ามาตรฐาน” สะท้อนว่ายังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกเพื่อการเกษตรในพื้นที่ได้ตามปกติ

สร้างภูมิคุ้มกันข้อมูล – เน้นรับข่าวสารจากหน่วยงานรัฐ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ประชาชนควรติดตามข้อมูลจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย มีผลแล็บและเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน ทั้งนี้ขอให้ระวังข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ชัดเจน เพราะอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลโดยไม่จำเป็น

เน้นสุขอนามัยและแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกร

นอกจากประเด็นเรื่องคุณภาพน้ำแล้ว เกษตรจังหวัดเชียงรายยังแนะนำเกษตรกรควรป้องกันตัวเองในระหว่างปฏิบัติงานในพื้นที่น้ำธรรมชาติ เช่น สวมรองเท้าบูทและเสื้อผ้าที่ปกปิดร่างกายให้มิดชิดระหว่างลงแปลงนา เพื่อลดความเสี่ยงจากการสัมผัสหรือสะสมสารเคมีหรือโลหะหนักบนผิวหนังในระยะยาว

เสียงสะท้อนจากชาวนาเวียงชัย – รัฐต้องแก้ปัญหาที่ต้นทาง

เกษตรกรในเวียงชัยยังคงติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นในผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เป็นทางการ อย่างไรก็ดี มีข้อเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษในพื้นที่ต้นน้ำ และวางแนวทางบรรเทาผลกระทบอย่างยั่งยืน

สร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจและมาตรการเชิงรุก

สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความจำเป็นของการสื่อสารข้อมูลวิชาการอย่างต่อเนื่อง และการสร้างสมดุลระหว่างความมั่นใจในการประกอบอาชีพของเกษตรกรกับมาตรการควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รัฐจำเป็นต้องเร่งมือแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง ควบคู่กับการให้ข้อมูลที่โปร่งใสเพื่อสร้างความเข้าใจและความมั่นใจในหมู่ประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) จังหวัดเชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 จังหวัดเชียงราย
  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาเชียงราย
    (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดกลางเวียงจัดงานเดือน 8 เข้า 9 ออก เชียงราย

วัดกลางเวียงจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ฟื้นฟูรากเหง้าวัฒนธรรม สร้างความสามัคคีชุมชนเชียงราย

เชียงราย, 23 พฤษภาคม 2568 – ณ วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 เพื่อฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นอันเก่าแก่ที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงราย พร้อมส่งเสริมความสามัคคีในชุมชนและอนุรักษ์อัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป งานนี้ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาร่วมสัมผัสคุณค่าสืบสานรากเหง้าวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของเมืองเชียงราย

รากเหง้าที่ถูกลืมของสะดือเมืองเชียงราย

ในใจกลางเมืองเชียงราย วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) ยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของชุมชนมานานหลายศตวรรษ วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “สะดือเมืองเชียงราย” หรือเสาหลักเมือง ซึ่งชาวบ้านในอดีตเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อท้องถิ่น การบูชาสะดือเมืองด้วยการถวายขันดอกและประกอบพิธีกรรมในช่วง “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” (ตามปฏิทินล้านนา) เป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาเมือง และเป็นโอกาสให้ชุมชนมารวมตัวกันเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นสิริมงคล

ประเพณีนี้เคยเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตชาวเชียงราย โดยชาวบ้านจะนำขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด ธูป เทียน และเครื่องบูชามาถวายที่เสาสะดือเมือง พร้อมประกอบพิธีทางพุทธศาสนาและการแสดงศิลปะพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม ประเพณีนี้ค่อยๆ เลือนหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากความวุ่นวายในสังคมและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน การขาดการสืบทอดทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับประเพณีนี้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าของผู้สูงวัยในชุมชน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุมชนในย่านเมืองเก่าเชียงรายเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ด้วยความร่วมมือจากวัดกลางเวียง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และกลุ่มผู้นำชุมชน จึงเกิดแนวคิดที่จะฟื้นฟูประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมโบราณ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูจิตวิญญาณของชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งานประเพณีอันยิ่งใหญ่ที่วัดกลางเวียง

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. วัดกลางเวียงได้เนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาและความสามัคคี ด้วยการจัดพิธีเปิดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” อย่างยิ่งใหญ่ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีอัญเชิญขันหลวงเข้าสู่หลักเมือง โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมาร่วมงานอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบเรียบร้อยและความศรัทธา ขณะที่กลิ่นหอมของดอกไม้และควันธูปลอยอบอวลทั่วบริเวณ

พิธีเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์โดยพระสงฆ์จากวัดกลางเวียง เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามด้วยขบวนอัญเชิญขันหลวง ซึ่งประดับด้วยดอกบัว ดอกมะลิ และดอกดาวเรืองอย่างงดงาม ขบวนนี้ประกอบด้วยกลุ่มชาวบ้านที่แต่งกายด้วยชุดล้านนาแบบดั้งเดิม เดินจากหน้าวัดไปยังเสาสะดือเมืองท่ามกลางเสียงดนตรีพื้นเมืองที่ขับกล่อม นายวันชัยได้นำพุทธศาสนิกชนถวายขันดอกและเครื่องบูชา พร้อมจุดธูปเทียนเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางจิตวิญญาณ

งานประเพณีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 07.00–24.00 น. โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมและความสามัคคีในชุมชน ได้แก่:

  • การใส่ขันดอก: ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถร่วมถวายขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด เพื่อบูชาเสาสะดือเมือง โดยมีมัคทายกคอยให้คำแนะนำ
  • พิธีกรรมทางศาสนา: การสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ และการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล
  • การแสดงศิลปะพื้นบ้าน: การแสดงฟ้อนล้านนา รำวงย้อนยุค และการบรรเลงดนตรีพื้นเมือง เช่น ซอและสะล้อ โดยเยาวชนและศิลปินท้องถิ่น
  • ตลาดวัฒนธรรม: ตลาดนัดที่จำหน่ายอาหารพื้นเมือง งานหัตถกรรม และผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • นิทรรศการประวัติศาสตร์: การจัดแสดงเรื่องราวของสะดือเมืองและประวัติศาสตร์วัดกลางเวียง เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความสำคัญของประเพณี

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวในพิธีเปิดว่า “การฟื้นฟูประเพณี ‘เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก’ ไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิء แต่ยังเป็นการจุดประกายให้คนเชียงรายตระหนักถึงคุณค่าของรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความสามัคคีในชุมชน เราหวังว่างานนี้จะเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ และส่งเสริมให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

นอกจากนี้ งานยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ซึ่งจัดอบรมเยาวชนในชุมชนให้เรียนรู้การทำขันดอกและการแสดงศิลปะพื้นบ้านก่อนวันงาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาคเอกชน เช่น หอการค้าจังหวัดเชียงราย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงราย ก็เข้ามาสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรม

รอยยิ้มและความหวังของชุมชน

งานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ได้นำความคึกคักและรอยยิ้มกลับคืนสู่ย่านเมืองเก่าเชียงราย ชาวบ้านที่เข้าร่วมงานแสดงความดีใจที่ได้เห็นประเพณีเก่าแก่ฟื้นคืนชีพ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่เคยมีส่วนร่วมในพิธีเมื่อหลายสิบปีก่อน นางสาวลำดวน สุวรรณวงศ์ อายุ 72 ปี ชาวบ้านในชุมชนวัดกลางเวียง กล่าวว่า “เมื่อก่อนงานนี้เป็นที่รวมใจของคนทั้งเมือง การได้เห็นขบวนขันดอกและการแสดงของเด็กๆ วันนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวัยเด็ก รู้สึกภูมิใจที่ลูกหลานยังสานต่อสิ่งที่ปู่ย่าตาทวดเราทำมา”

นักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานก็ประทับใจกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมล้านนา นายจอห์น สมิธ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ กล่าวว่า “ผมรู้สึกทึ่งกับความสวยงามของขันดอกและความหมายของพิธีนี้ มันทำให้ผมเข้าใจประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของเชียงรายมากขึ้น” การมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะร้านค้าอาหารและงานหัตถกรรมในตลาดวัฒนธรรม ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวันงาน

การแสดงของเยาวชนในชุมชน เช่น การฟ้อนล้านนาและการเล่นดนตรีพื้นเมือง ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงาน สะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ยังช่วยให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่เข้าใจความสำคัญของสะดือเมืองและประเพณีนี้มากขึ้น โดยโรงเรียนในชุมชนได้นำนักเรียนมาร่วมเรียนรู้และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการวาดภาพและเขียนเรียงความ

ในระยะยาว วัดกลางเวียงและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนจัดงานประเพณีนี้เป็นประจำทุกปี พร้อมพัฒนากิจกรรมให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การจัดเวิร์กช็อปศิลปะล้านนาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในย่านเมืองเก่า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของงานในครั้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่นๆ ในเชียงรายเริ่มฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นของตนเอง เพื่อรักษาอัตลักษณ์และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูวัฒนธรรม การรื้อฟื้นประเพณีที่หายไปนานกว่า 70 ปีช่วยเชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. ความสามัคคีในชุมชน การมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และเยาวชนช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชน
  3. การส่งเสริมการท่องเที่ยว การดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่า
  4. การส่งต่อภูมิปัญญา การอบรมเยาวชนและการจัดนิทรรศการช่วยให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม การจัดงานยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. การขาดความรู้ในหมู่คนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่บางส่วนยังขาดความเข้าใจในความหมายของประเพณี ซึ่งอาจทำให้การสืบทอดขาดความต่อเนื่อง
  2. ข้อจำกัดด้านงบประมาณ การจัดงานขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น
  3. การแข่งขันกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ การดึงดูดเยาวชนให้สนใจประเพณีท้องถิ่นท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่เป็นเรื่องท้าทาย
  4. การประชาสัมพันธ์ การโปรโมตงานไปยังนักท่องเที่ยวในวงกว้างยังมีข้อจำกัด เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อระดับชาติและสื่อออนไลน์

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เพิ่มการศึกษาในชุมชน จัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมในโรงเรียนเพื่อให้เยาวชนเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีและมีส่วนร่วมมากขึ้น
  • ระดมทุนจากภาคเอกชน ขอความสนับสนุนจากธุรกิจท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการจัดงาน
  • ใช้สื่อดิจิทัล สร้างแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  • พัฒนากิจกรรมที่หลากหลาย เพิ่มกิจกรรมที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ เช่น การแข่งขันศิลปะหรือการแสดงดนตรีผสมผสาน เพื่อให้งานมีความทันสมัยแต่ยังคงเอกลักษณ์

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการฟื้นฟูประเพณีและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย:
    • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน โดย 30% เข้าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    • แหล่งอ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย. (2567). รายงานสถิตินักท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย.
  2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานวัฒนธรรม
    • งานประเพณีท้องถิ่นในภาคเหนือสร้างรายได้ให้ชุมชนเฉลี่ย 10–15 ล้านบาทต่องาน โดยเฉพาะจากร้านค้าท้องถิ่นและการท่องเที่ยว
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานประเพณีท้องถิ่น.
  3. การมีส่วนร่วมของเยาวชน
    • การจัดอบรมศิลปะพื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 1,200 คน เพิ่มการมีส่วนร่วมในงานวัฒนธรรมถึง 25%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลการอบรมเยาวชนด้านศิลปวัฒนธรรม.
  4. จำนวนวัดในจังหวัดเชียงราย
    • จังหวัดเชียงรายมีวัดทั้งหมด 1,200 แห่ง โดย 10% เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น วัดกลางเวียง
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานข้อมูลวัดในจังหวัดเชียงราย.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • วัดกลางเวียง (จันทโลการาม)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News