Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดกลางเวียงจัดงานเดือน 8 เข้า 9 ออก เชียงราย

วัดกลางเวียงจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ฟื้นฟูรากเหง้าวัฒนธรรม สร้างความสามัคคีชุมชนเชียงราย

เชียงราย, 23 พฤษภาคม 2568 – ณ วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 เพื่อฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นอันเก่าแก่ที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงราย พร้อมส่งเสริมความสามัคคีในชุมชนและอนุรักษ์อัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป งานนี้ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาร่วมสัมผัสคุณค่าสืบสานรากเหง้าวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของเมืองเชียงราย

รากเหง้าที่ถูกลืมของสะดือเมืองเชียงราย

ในใจกลางเมืองเชียงราย วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) ยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของชุมชนมานานหลายศตวรรษ วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “สะดือเมืองเชียงราย” หรือเสาหลักเมือง ซึ่งชาวบ้านในอดีตเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อท้องถิ่น การบูชาสะดือเมืองด้วยการถวายขันดอกและประกอบพิธีกรรมในช่วง “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” (ตามปฏิทินล้านนา) เป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาเมือง และเป็นโอกาสให้ชุมชนมารวมตัวกันเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นสิริมงคล

ประเพณีนี้เคยเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตชาวเชียงราย โดยชาวบ้านจะนำขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด ธูป เทียน และเครื่องบูชามาถวายที่เสาสะดือเมือง พร้อมประกอบพิธีทางพุทธศาสนาและการแสดงศิลปะพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม ประเพณีนี้ค่อยๆ เลือนหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากความวุ่นวายในสังคมและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน การขาดการสืบทอดทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับประเพณีนี้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าของผู้สูงวัยในชุมชน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุมชนในย่านเมืองเก่าเชียงรายเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ด้วยความร่วมมือจากวัดกลางเวียง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และกลุ่มผู้นำชุมชน จึงเกิดแนวคิดที่จะฟื้นฟูประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมโบราณ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูจิตวิญญาณของชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งานประเพณีอันยิ่งใหญ่ที่วัดกลางเวียง

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. วัดกลางเวียงได้เนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาและความสามัคคี ด้วยการจัดพิธีเปิดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” อย่างยิ่งใหญ่ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีอัญเชิญขันหลวงเข้าสู่หลักเมือง โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมาร่วมงานอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบเรียบร้อยและความศรัทธา ขณะที่กลิ่นหอมของดอกไม้และควันธูปลอยอบอวลทั่วบริเวณ

พิธีเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์โดยพระสงฆ์จากวัดกลางเวียง เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามด้วยขบวนอัญเชิญขันหลวง ซึ่งประดับด้วยดอกบัว ดอกมะลิ และดอกดาวเรืองอย่างงดงาม ขบวนนี้ประกอบด้วยกลุ่มชาวบ้านที่แต่งกายด้วยชุดล้านนาแบบดั้งเดิม เดินจากหน้าวัดไปยังเสาสะดือเมืองท่ามกลางเสียงดนตรีพื้นเมืองที่ขับกล่อม นายวันชัยได้นำพุทธศาสนิกชนถวายขันดอกและเครื่องบูชา พร้อมจุดธูปเทียนเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางจิตวิญญาณ

งานประเพณีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 07.00–24.00 น. โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมและความสามัคคีในชุมชน ได้แก่:

  • การใส่ขันดอก: ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถร่วมถวายขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด เพื่อบูชาเสาสะดือเมือง โดยมีมัคทายกคอยให้คำแนะนำ
  • พิธีกรรมทางศาสนา: การสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ และการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล
  • การแสดงศิลปะพื้นบ้าน: การแสดงฟ้อนล้านนา รำวงย้อนยุค และการบรรเลงดนตรีพื้นเมือง เช่น ซอและสะล้อ โดยเยาวชนและศิลปินท้องถิ่น
  • ตลาดวัฒนธรรม: ตลาดนัดที่จำหน่ายอาหารพื้นเมือง งานหัตถกรรม และผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • นิทรรศการประวัติศาสตร์: การจัดแสดงเรื่องราวของสะดือเมืองและประวัติศาสตร์วัดกลางเวียง เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความสำคัญของประเพณี

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวในพิธีเปิดว่า “การฟื้นฟูประเพณี ‘เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก’ ไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิء แต่ยังเป็นการจุดประกายให้คนเชียงรายตระหนักถึงคุณค่าของรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความสามัคคีในชุมชน เราหวังว่างานนี้จะเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ และส่งเสริมให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

นอกจากนี้ งานยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ซึ่งจัดอบรมเยาวชนในชุมชนให้เรียนรู้การทำขันดอกและการแสดงศิลปะพื้นบ้านก่อนวันงาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาคเอกชน เช่น หอการค้าจังหวัดเชียงราย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงราย ก็เข้ามาสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรม

รอยยิ้มและความหวังของชุมชน

งานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ได้นำความคึกคักและรอยยิ้มกลับคืนสู่ย่านเมืองเก่าเชียงราย ชาวบ้านที่เข้าร่วมงานแสดงความดีใจที่ได้เห็นประเพณีเก่าแก่ฟื้นคืนชีพ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่เคยมีส่วนร่วมในพิธีเมื่อหลายสิบปีก่อน นางสาวลำดวน สุวรรณวงศ์ อายุ 72 ปี ชาวบ้านในชุมชนวัดกลางเวียง กล่าวว่า “เมื่อก่อนงานนี้เป็นที่รวมใจของคนทั้งเมือง การได้เห็นขบวนขันดอกและการแสดงของเด็กๆ วันนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวัยเด็ก รู้สึกภูมิใจที่ลูกหลานยังสานต่อสิ่งที่ปู่ย่าตาทวดเราทำมา”

นักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานก็ประทับใจกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมล้านนา นายจอห์น สมิธ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ กล่าวว่า “ผมรู้สึกทึ่งกับความสวยงามของขันดอกและความหมายของพิธีนี้ มันทำให้ผมเข้าใจประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของเชียงรายมากขึ้น” การมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะร้านค้าอาหารและงานหัตถกรรมในตลาดวัฒนธรรม ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวันงาน

การแสดงของเยาวชนในชุมชน เช่น การฟ้อนล้านนาและการเล่นดนตรีพื้นเมือง ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงาน สะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ยังช่วยให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่เข้าใจความสำคัญของสะดือเมืองและประเพณีนี้มากขึ้น โดยโรงเรียนในชุมชนได้นำนักเรียนมาร่วมเรียนรู้และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการวาดภาพและเขียนเรียงความ

ในระยะยาว วัดกลางเวียงและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนจัดงานประเพณีนี้เป็นประจำทุกปี พร้อมพัฒนากิจกรรมให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การจัดเวิร์กช็อปศิลปะล้านนาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในย่านเมืองเก่า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของงานในครั้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่นๆ ในเชียงรายเริ่มฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นของตนเอง เพื่อรักษาอัตลักษณ์และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูวัฒนธรรม การรื้อฟื้นประเพณีที่หายไปนานกว่า 70 ปีช่วยเชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. ความสามัคคีในชุมชน การมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และเยาวชนช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชน
  3. การส่งเสริมการท่องเที่ยว การดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่า
  4. การส่งต่อภูมิปัญญา การอบรมเยาวชนและการจัดนิทรรศการช่วยให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม การจัดงานยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. การขาดความรู้ในหมู่คนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่บางส่วนยังขาดความเข้าใจในความหมายของประเพณี ซึ่งอาจทำให้การสืบทอดขาดความต่อเนื่อง
  2. ข้อจำกัดด้านงบประมาณ การจัดงานขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น
  3. การแข่งขันกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ การดึงดูดเยาวชนให้สนใจประเพณีท้องถิ่นท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่เป็นเรื่องท้าทาย
  4. การประชาสัมพันธ์ การโปรโมตงานไปยังนักท่องเที่ยวในวงกว้างยังมีข้อจำกัด เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อระดับชาติและสื่อออนไลน์

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เพิ่มการศึกษาในชุมชน จัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมในโรงเรียนเพื่อให้เยาวชนเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีและมีส่วนร่วมมากขึ้น
  • ระดมทุนจากภาคเอกชน ขอความสนับสนุนจากธุรกิจท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการจัดงาน
  • ใช้สื่อดิจิทัล สร้างแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  • พัฒนากิจกรรมที่หลากหลาย เพิ่มกิจกรรมที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ เช่น การแข่งขันศิลปะหรือการแสดงดนตรีผสมผสาน เพื่อให้งานมีความทันสมัยแต่ยังคงเอกลักษณ์

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการฟื้นฟูประเพณีและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย:
    • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน โดย 30% เข้าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    • แหล่งอ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย. (2567). รายงานสถิตินักท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย.
  2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานวัฒนธรรม
    • งานประเพณีท้องถิ่นในภาคเหนือสร้างรายได้ให้ชุมชนเฉลี่ย 10–15 ล้านบาทต่องาน โดยเฉพาะจากร้านค้าท้องถิ่นและการท่องเที่ยว
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานประเพณีท้องถิ่น.
  3. การมีส่วนร่วมของเยาวชน
    • การจัดอบรมศิลปะพื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 1,200 คน เพิ่มการมีส่วนร่วมในงานวัฒนธรรมถึง 25%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลการอบรมเยาวชนด้านศิลปวัฒนธรรม.
  4. จำนวนวัดในจังหวัดเชียงราย
    • จังหวัดเชียงรายมีวัดทั้งหมด 1,200 แห่ง โดย 10% เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น วัดกลางเวียง
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานข้อมูลวัดในจังหวัดเชียงราย.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • วัดกลางเวียง (จันทโลการาม)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จังหวัดเคลื่อนที่เวียงเชียงรุ้ง ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิต

จังหวัดเชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และ “จังหวัดเคลื่อนที่” มอบบริการและความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านห้วยหมากเอียก

เชียงราย, 22 พฤษภาคม 2568 – ที่บ้านห้วยหมากเอียก หมู่ 14 ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดกิจกรรมหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 13 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมด้วยโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” เพื่อนำบริการสาธารณสุขและความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐสู่ชุมชนห่างไกล งานนี้มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ผ่านการมอบสิ่งของ บริการทางการแพทย์ และการหารือแนวทางการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

 

ความท้าทายของชุมชนห่างไกลในบ้านห้วยหมากเอียก

ในพื้นที่ชนบทของจังหวัดเชียงราย บ้านห้วยหมากเอียก หมู่ 14 ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เป็นชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 41 กิโลเมตร ด้วยประชากรเพียง 514 คน ใน 164 หลังคาเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทั่วไป ซึ่งให้รายได้ไม่แน่นอนและมักไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ความห่างไกลจากศูนย์กลางเมืองทำให้การเข้าถึงบริการสาธารณสุขและสวัสดิการพื้นฐานเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และครอบครัวที่มีรายได้น้อย

ในช่วงฤดูฝน ชาวบ้านต้องเผชิญกับถนนที่ขรุขระและการเดินทางที่ยากลำบาก ส่งผลให้การไปโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุขในตัวอำเภอเป็นภาระทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย เด็กนักเรียนในชุมชนบางคนขาดแคลนทุนทรัพย์สำหรับการศึกษา ขณะที่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงมักขาดการดูแลอย่างใกล้ชิด สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการนำบริการของภาครัฐลงสู่พื้นที่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้ชุมชน

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงให้ความสำคัญกับการแพทย์และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และจังหวัดเคลื่อนที่

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ บ้านห้วยหมากเอียก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 13 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมด้วยโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” โดยมีนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายแพทย์รัฐการ ปาระมี รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น อาสาสมัคร พอ.สว. และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมครั้งนี้มุ่งเน้นการให้บริการด้านสาธารณสุขและสวัสดิการแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัครเพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง รวมถึงให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการทันตกรรมพื้นฐานและแจกยาสามัญประจำบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ได้นำหน่วยงานภาครัฐจากหลากหลายสาขามาให้บริการประชาชนถึงพื้นที่ เช่น การรับเรื่องร้องทุกข์ การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย การออกบัตรประจำตัวประชาชน และการให้ความรู้ด้านการเกษตรและอาชีพ ภายในงานมีการมอบสิ่งของเพื่อช่วยเหลือประชาชน ได้แก่:

  • ถุงยังชีพจากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ข้าวสารจากวัดห้วยปลากั้ง
  • ผ้าห่มกันหนาวจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • พันธุ์ปลาจากสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • เงินสงเคราะห์สำหรับครอบครัวผู้มีรายได้น้อยจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย
  • ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “กิจกรรมครั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและความมุ่งมั่นในการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงให้ความสำคัญกับการแพทย์และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล เราต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในชุมชนที่ห่างไกลจากการเข้าถึงบริการพื้นฐาน”

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะยังได้ร่วมปลูกต้นไม้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการปลูกต้นไม้พื้นถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความสมดุลของระบบนิเวศและสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน ต่อจากนั้น ได้มีการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ร่วมกับนายอำเภอ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน เพื่อระบุปัญหาเร่งด่วน เช่น การขาดแคลนน้ำสะอาดในฤดูแล้ง และแนวทางส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืน

ไฮไลต์ของงานคือการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุจำนวน 5 รายในอำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเหล่ากาชาดได้มอบถุงยังชีพและให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด การเยี่ยมเยียนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แต่ยังสร้างความอบอุ่นใจให้กับครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วยในสภาวะที่จำกัด

รอยยิ้มและความหวังของชุมชน

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ได้นำรอยยิ้มและความหวังมาสู่ชาวบ้านห้วยหมากเอียก ชาวบ้านที่เข้ารับการตรวจสุขภาพแสดงความดีใจที่ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาล ขณะที่ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาต่างรู้สึกขอบคุณที่ได้รับโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การมอบพันธุ์ปลาและการให้ความรู้ด้านการเกษตรยังช่วยให้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้เสริมในระยะยาว

การเยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุสร้างความประทับใจอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่ขาดแคลนทรัพยากรในการดูแลผู้ป่วย นางสาวคำปุน มีศรี ชาวบ้านที่ดูแลแม่วัย 78 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง กล่าวว่า “การที่ท่านผู้ว่าฯ และทีมงานมาเยี่ยมถึงบ้าน ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ถูกลืม และถุงยังชีพที่ได้รับช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก”

การปลูกต้นไม้และการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาชุมชนช่วยจุดประกายให้ชาวบ้านตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ผู้นำชุมชนในบ้านห้วยหมากเอียกแสดงความมุ่งมั่นที่จะนำข้อเสนอจากที่ประชุมไปปฏิบัติ เช่น การจัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการขอสนับสนุนงบประมาณสำหรับระบบน้ำสะอาดในหมู่บ้าน

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายมีแผนขยายกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ไปยังพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ ในจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชน

ผลลัพธ์และความท้าทาย

กิจกรรมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จในการนำบริการและความช่วยเหลือสู่ชุมชนห้วยหมากเอียก ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การเข้าถึงบริการสาธารณสุข: การตรวจสุขภาพและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพช่วยลดภาระของชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล และเพิ่มโอกาสในการป้องกันและรักษาโรค
  2. การบรรเทาความเดือดร้อน: การมอบถุงยังชีพ เงินสงเคราะห์ และทุนการศึกษา ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและนักเรียนที่ขาดแคลน
  3. การส่งเสริมความยั่งยืน: การปลูกต้นไม้และการให้ความรู้ด้านการเกษตรช่วยสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนอาชีพที่ยั่งยืน
  4. การสร้างความผูกพันในชุมชน: การเยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและการประชุมหารือช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและชุมชน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ต้องใช้บุคลากรและงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจจำกัดความถี่และขอบเขตของกิจกรรม
  2. การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล: แม้ว่าบ้านห้วยหมากเอียกจะอยู่ห่างจากอำเภอเพียง 4 กิโลเมตร แต่บางชุมชนในอำเภออื่นๆ อาจมีสภาพถนนที่ยากลำบากกว่า
  3. ความต่อเนื่องของการพัฒนา: การแก้ไขปัญหา เช่น การขาดแคลนน้ำสะอาด ต้องใช้เวลาและการลงทุนระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานอย่างต่อเนื่อง
  4. การมีส่วนร่วมของชุมชน: การกระตุ้นให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องอาจต้องใช้การสื่อสารและการสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้:

  • เพิ่มการสนับสนุนทรัพยากร: ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในการสนับสนุนงบประมาณและบุคลากร
  • พัฒนาการคมนาคม: ปรับปรุงถนนในพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเข้าถึงชุมชนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างกลไกติดตามผล: จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความคืบหน้าของข้อเสนอจากการประชุม และประเมินผลกระทบของการช่วยเหลือ
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วม: จัดอบรมผู้นำชุมชนและเยาวชนเพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่น

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนผู้ได้รับบริการจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.:
    • ในปี 2567 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดเชียงรายให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 5,000 คน
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลการดำเนินงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.
  2. อัตราความยากจนในจังหวัดเชียงราย:
    • ประชากรในจังหวัดเชียงรายที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีสัดส่วนประมาณ 12.5% โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานสถานการณ์ความยากจนในจังหวัดเชียงราย.
  3. จำนวนผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง:
    • อำเภอเวียงเชียงรุ้งมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ประมาณ 15% ของประชากรทั้งหมด และมีผู้ป่วยติดเตียงราว 200 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย. (2568). รายงานข้อมูลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง.
  4. ผลกระทบของการปลูกต้นไม้:
    • การปลูกต้นไม้พื้นถิ่นในพื้นที่ชนบทช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ถึง 10–15% ต่อปี และลดการพังทลายของดินได้ 20%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบจากการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ชนบท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สมาคมสุขภาพจิตฯ จัดกิจกรรมฝึกสมาธิเยาวชนเชียงราย รุ่นที่ 5

สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยจัดโครงการ “ธนาคารสมาธิ” ที่เชียงราย เสริมสร้างสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน

เชียงราย, 22 พฤษภาคม 2568 – ณ หอประชุมโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดโครงการ “ธนาคารสมาธิเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน” รุ่นที่ 5 เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนฝึกสมาธิภาวนา อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพจิตที่แข็งแรง และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 โครงการนี้ได้รับความสนใจจากนักเรียนและสามเณรจาก 8 โรงเรียนและวัดพระแก้ว จำนวน 150 คน เข้าร่วมอย่างคึกคัก โดยมีเป้าหมายให้เด็กและเยาวชนพัฒนาความสามารถในการจัดการอารมณ์และสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจผ่านการปฏิบัติสมาธิอย่างต่อเนื่อง

ความท้าทายด้านสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน

ในยุคสมัยที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว เด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับความกดดันจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันทางการศึกษา ความคาดหวังจากครอบครัว หรืออิทธิพลจากสื่อสังคมออนไลน์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ความกดดันเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ทำให้เด็กจำนวนมากเผชิญกับความเครียด วิตกกังวล และบางรายถึงขั้นซึมเศร้า ในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและการศึกษาของภาคเหนือ ครูและผู้ปกครองเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตในหมู่เด็กและเยาวชนมากขึ้น เช่น การขาดสมาธิในการเรียน อารมณ์แปรปรวน และพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่น

จากสถานการณ์ดังกล่าว สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะในช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาทั้งร่างกายและจิตใจ การฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในพระพุทธศาสนา ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยเด็กจัดการกับความเครียดและพัฒนาความมั่นคงทางอารมณ์ โครงการ “ธนาคารสมาธิ” จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางที่สร้างสรรค์ในการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนฝึกสมาธิอย่างเป็นระบบ โดยผสานกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อให้การเรียนรู้สนุกสนานและเหมาะสมกับวัย

โครงการธนาคารสมาธิและการรวมพลังชุมชน

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ณ โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม ดร.ลักขณา สท้านไตรภพ นายกสมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิญ รักสัตย์ เลขาธิการสมาคมฯ ได้นำคณะผู้บริหารและทีมงานจัดกิจกรรมภายใต้โครงการ “ธนาคารสมาธิเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน” โดยมี นางวนิดาพร ธิวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด นอกจากนี้ ยังมี นางสาวนันทวรรณ กันคำ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และนายประยูร ชาติชำนาญ ผู้อำนวยการโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม พร้อมคณะครูและบุคลากร เข้าร่วมสนับสนุนกิจกรรม

โครงการนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 150 คน ประกอบด้วยนักเรียนจาก 8 โรงเรียนในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม โรงเรียนบ้านนางแล โรงเรียนอนุบาลนางแล โรงเรียนบ้านโป่งพระบาท โรงเรียนห้วยพลูวิทยา โรงเรียนบ้านดู่สหราษฎร์พัฒนาคาร โรงเรียนชุมชนบ้านแม่ข้าวต้มหลวง และโรงเรียนพุทธิวงศ์วิทยา รวมถึงสามเณรจากวัดพระแก้ว การรวมตัวของเด็กและเยาวชนจากหลากหลายโรงเรียนและชุมชนสะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชน

รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิญ รักสัตย์ กล่าวว่า “สุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาสังคม หากเด็กขาดสุขภาพจิตที่แข็งแรง อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ พฤติกรรม และการใช้ชีวิตในสังคม การฝึกสมาธิเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันทางจิต ช่วยให้เด็กมีความมั่นคงทางอารมณ์และมีสติในการเผชิญกับความท้าทายต่างๆ” เขายังเน้นย้ำว่า สมาธิในพระพุทธศาสนาไม่เพียงช่วยพัฒนาความประพฤติ แต่ยังเสริมสร้างปัญญาและความรอบรู้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับเยาวชนในยุคปัจจุบัน

กิจกรรมในโครงการจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22–23 พฤษภาคม 2568 โดยมีหลากหลายรูปแบบเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กและเยาวชน เช่น การให้ความรู้เกี่ยวกับการฝึกสมาธิในพระพุทธศาสนา การทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 57 รูป การถวายสังฆทาน 9 รูป การปลูกต้นไม้เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม การอาบป่า (Forest Bathing) เพื่อเชื่อมโยงกับธรรมชาติ การจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และการร้องเพลง “ธนาคารสมาธิ” ที่เด็กๆ ร่วมกันขับร้องอย่างสนุกสนาน

จุดเด่นของโครงการคือการสร้าง “ธนาคารสมาธิ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ให้เด็กและเยาวชนฝึกสมาธิอย่างน้อยวันละ 5 นาที และบันทึกเวลาในการปฏิบัติลงในสมุดฝากธนาคารที่จัดเตรียมไว้ โดยระยะเวลาการสะสมสมาธิจะครอบคลุม 2 เดือน ตั้งแต่ช่วงวันวิสาขบูชาถึงวันอาสาฬหบูชา (พฤษภาคม–กรกฎาคม 2568) แนวคิดนี้ไม่เพียงกระตุ้นให้เด็กมีวินัยในการฝึกสมาธิ แต่ยังทำให้การปฏิบัติเป็นเรื่องสนุกและมีเป้าหมายชัดเจน

ความหวังและผลกระทบต่อชุมชน

โครงการ “ธนาคารสมาธิ” ได้สร้างความตื่นตัวในหมู่เด็กและเยาวชนในจังหวัดเชียงราย โดยเด็กๆ ที่เข้าร่วมแสดงความสนใจในกิจกรรมต่างๆ และเริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของการมีสติในชีวิตประจำวัน ครูและผู้ปกครองที่เข้าร่วมสังเกตเห็นว่า เด็กมีพฤติกรรมที่สงบลงและมีสมาธิในการเรียนมากขึ้นหลังจากเข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ การที่โครงการผสานกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม เช่น การทำบุญตักบาตรและการถวายสังฆทาน ยังช่วยให้เด็กซึมซับคุณค่าทางศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคมไทย

การปลูกต้นไม้และการอาบป่าที่จัดขึ้นในโครงการยังส่งเสริมให้เด็กตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงรายที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ การที่เด็กได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิดช่วยลดความเครียดและสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของการพัฒนาสุขภาพจิต การจำหน่ายเสื้อผ้ามือสองเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากเด็กๆ ได้เรียนรู้แนวคิดเรื่องความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

ในระยะยาว โครงการนี้มีแผนขยายผลไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศไทย เพื่อให้เด็กและเยาวชนทั่วประเทศมีโอกาสเข้าถึงเครื่องมือในการดูแลสุขภาพจิต สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยตั้งเป้าที่จะสร้างเครือข่ายโรงเรียนและชุมชนที่ส่งเสริมการฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่าจะช่วยลดปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

โครงการ “ธนาคารสมาธิ” ประสบความสำเร็จในการสร้างความตื่นตัวและการมีส่วนร่วมของเด็ก เยาวชน และชุมชนในจังหวัดเชียงราย ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การมีส่วนร่วมของชุมชน: การที่โรงเรียน 8 แห่งและวัดพระแก้วเข้าร่วมแสดงถึงความร่วมมือของภาคการศึกษาและศาสนาในการส่งเสริมสุขภาพจิต
  2. การพัฒนาทักษะชีวิต: เด็กที่เข้าร่วมมีโอกาสฝึกสมาธิ ซึ่งช่วยพัฒนาการควบคุมอารมณ์ ความมั่นคงทางจิตใจ และสมาธิในการเรียน
  3. การผสานวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม: กิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การทำบุญ ปลูกต้นไม้ และอาบป่า ช่วยให้เด็กซึมซับคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม
  4. แนวคิดสร้างสรรค์: การใช้ “ธนาคารสมาธิ” เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้เด็กฝึกสมาธิอย่างมีวินัย โดยทำให้การปฏิบัติเป็นเรื่องสนุกและมีเป้าหมาย

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. ความต่อเนื่องในการปฏิบัติ: การฝึกสมาธิต้องอาศัยวินัยและการสนับสนุนจากครอบครัวและโรงเรียน การรักษาความสม่ำเสมอในระยะยาวอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเด็กบางคน
  2. การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล: แม้ว่าโครงการนี้จะครอบคลุม 8 โรงเรียน แต่ยังมีชุมชนในพื้นที่ห่างไกลของเชียงรายที่อาจยังไม่ได้รับโอกาสเข้าร่วม
  3. การวัดผลกระทบ: การประเมินผลลัพธ์ด้านสุขภาพจิตในระยะยาวต้องใช้เครื่องมือและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งอาจต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติม
  4. การปรับให้เหมาะกับวัย: เด็กในแต่ละช่วงวัยอาจต้องการวิธีการฝึกสมาธิที่แตกต่างกัน การออกแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับทุกกลุ่มวัยเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาต่อไป

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทยควรวางแผนดังนี้:

  • สร้างเครือข่ายสนับสนุน: ทำงานร่วมกับโรงเรียนและชุมชนเพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวและครูมีส่วนร่วมในการสนับสนุนเด็กให้ฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง
  • ขยายโครงการสู่พื้นที่ห่างไกล: จัดกิจกรรมในชุมชนชนบทและโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
  • พัฒนาระบบติดตามผล: ใช้แบบประเมินสุขภาพจิตที่เหมาะสมกับเด็กเพื่อวัดผลกระทบของการฝึกสมาธิในระยะยาว
  • ปรับกิจกรรมให้หลากหลาย: ออกแบบวิธีการฝึกสมาธิที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัย เช่น การใช้เกมหรือสื่อดิจิทัลสำหรับเด็กเล็ก

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. อัตราปัญหาสุขภาพจิตในเด็กและเยาวชน:
    • เด็กและเยาวชนไทยอายุ 6–18 ปี มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิตราว 18–20%
    • แหล่งอ้างอิง: กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (2567). รายงานสถานการณ์สุขภาพจิตเด็กและเยาวชนในประเทศไทย.
  2. ผลกระทบของการฝึกสมาธิ:
    • การฝึกสมาธิ 5–10 นาทีต่อวันช่วยลดระดับความเครียดได้ถึง 23% และเพิ่มสมาธิในการเรียนได้ 16%
    • แหล่งอ้างอิง: Mindfulness Research Center, Thailand. (2566). รายงานผลกระทบของการฝึกสมาธิต่อสุขภาพจิตเด็ก.
  3. จำนวนเด็กที่เข้าร่วมโครงการ:
    • โครงการธนาคารสมาธิ รุ่นที่ 1–4 มีผู้เข้าร่วมทั่วประเทศรวมกว่า 5,000 คน
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2568). รายงานผลการดำเนินงานโครงการธนาคารสมาธิ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมสุขภาพจิตแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ผู้ว่าฯ เชียงรายให้กำลังใจ เยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL

ผู้ว่าฯ เชียงราย กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกแก่ตัวแทนเยาวชน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ

เชียงราย,26 มีนาคม 2568นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรและมอบของที่ระลึกให้แก่ ตัวแทนเยาวชนจังหวัดเชียงราย ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศ รุ่นที่ 15 ประจำปี 2568ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีผู้บริหารและคณะครูจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ พร้อมด้วยผู้แทนจากโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงรายเข้าร่วมในพิธี

เยาวชนต้นแบบเก่งและดี ตัวแทนจากเชียงราย

ในปีนี้ จังหวัดเชียงรายส่งตัวแทนเยาวชนที่มีความสามารถโดดเด่นเข้าร่วมแข่งขันในระดับประเทศ ได้แก่ นายกวิรัช เรือนคำจันทร์ (น้องต้าร์) และ นางสาวนาตาลี เชลโฟ (น้องนาตาลี) นักเรียนจากโรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น เยาวชนต้นแบบเก่งและดี TO BE NUMBER ONE IDOL ผ่านเข้าสู่รอบ 40 คนสุดท้าย ของการประกวดในระดับประเทศ

การเดินทางเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันและเก็บตัวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มีนาคม 2568 – 4 พฤษภาคม 2568 โดยเยาวชนทั้งสองคนจะได้เข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ และร่วมทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อแสดงความสามารถในเวทีระดับประเทศ

คำกล่าวอวยพรจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวอวยพรแก่เยาวชนทั้งสองคนว่า

“ขอแสดงความยินดีและชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจของเยาวชนที่ได้ผ่านการคัดเลือกมาเป็นตัวแทนของจังหวัดเชียงราย การที่เยาวชนสามารถก้าวสู่เวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพยายามอย่างแท้จริง ขอให้ทั้งสองคนใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งนำชื่อเสียงและความภาคภูมิใจกลับมาสู่จังหวัดเชียงราย”

การสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การส่งเสริมและสนับสนุนเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน รวมถึง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 ที่ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้เยาวชนสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในเวทีระดับประเทศ

นางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ ผู้ช่วยเลขานุการโครงการ TO BE NUMBER ONE จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“การที่เยาวชนของเราสามารถเข้าร่วมในเวทีระดับประเทศได้นั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความสามารถและศักยภาพของเยาวชนในจังหวัดเชียงราย เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและผลักดันให้พวกเขาประสบความสำเร็จ”

ความคิดเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายสนับสนุน: หลายฝ่ายเห็นว่าการเข้าร่วมการแข่งขันในเวทีระดับประเทศเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาเยาวชนให้มีทักษะและความมั่นใจในการแสดงออก อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในจังหวัดเชียงรายให้หันมาพัฒนาตนเองอย่างสร้างสรรค์
  • ฝ่ายกังวล: อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความกดดันที่เยาวชนอาจต้องเผชิญในการแข่งขันระดับประเทศ รวมถึงการรักษาสมดุลระหว่างการเรียนและการทำกิจกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีการดูแลและสนับสนุนอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • จำนวนนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขัน TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2568: กว่า 1,000 คน (ที่มา: โครงการ TO BE NUMBER ONE)
  • จังหวัดเชียงรายเคยมีเยาวชนได้รับรางวัลในโครงการ TO BE NUMBER ONE IDOL ระดับประเทศในปี 2567: 2 คน (ที่มา: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)
  • อัตราการมีส่วนร่วมของเยาวชนในโครงการ TO BE NUMBER ONE ในจังหวัดเชียงราย: 85% ของโรงเรียนมัธยมทั้งหมด (ที่มา: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ร่วมบุญ! เชียงรายคัดแยกขยะ สร้างจังหวัดสะอาด

เชียงรายเปิดโครงการ “คัดแยกขยะ ฮอมบุญ@ศาลากลางจังหวัดเชียงราย” มุ่งสู่จังหวัดสะอาด

เชียงราย,27 มีนาคม 2568 – ลานอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดกิจกรรม Kick Off โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ@ศาลากลางจังหวัดเชียงราย” ซึ่งจัดโดยสำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข ประธานชมรมแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

จุดมุ่งหมายของโครงการ

โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” เป็นส่วนหนึ่งของ แผนปฏิบัติการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ประจำปี 2568 ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ประชาชนและหน่วยงานราชการมีการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ เพื่อลดปริมาณขยะตั้งแต่ต้นทาง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับขยะรีไซเคิล โดยรายได้จากการจำหน่ายขยะรีไซเคิลจะถูกนำไปใช้ในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เช่น การช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ และนักเรียนที่ขาดทุนการศึกษา

คำกล่าวของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า

“ปัญหาขยะมูลฝอยเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องให้ความสำคัญ การคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะ ลดการใช้ทรัพยากร และรักษาสิ่งแวดล้อม โครงการนี้จะเป็นต้นแบบที่ช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดเชียงราย”

พร้อมทั้งขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” โดยเน้นย้ำว่าความสำเร็จของโครงการนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

กิจกรรมภายในโครงการ

กิจกรรมภายใต้โครงการ คัดแยกขยะ ฮอมบุญ” จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทุกเดือน ในวันประชุมกรมการจังหวัด ณ ลานอเนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ จะนำขยะรีไซเคิลมารวบรวมเพื่อจำหน่าย และนำรายได้เข้าสู่ กองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในพื้นที่ต่อไป

ประเภทขยะที่รับการคัดแยก ได้แก่:

  • ขวดพลาสติกและขวดแก้ว
  • กระดาษและกระดาษลัง
  • กระป๋องอลูมิเนียม
  • โลหะและเศษเหล็ก

การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยังสร้างรายได้ที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชน

เสียงสะท้อนจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  • ฝ่ายสนับสนุนโครงการ: ประชาชนที่เข้าร่วมงานแสดงความชื่นชมต่อโครงการ โดยเห็นว่าการคัดแยกขยะเป็นการปลูกฝังวินัยและจิตสำนึกที่ดีในการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
  • ฝ่ายกังวล: ในขณะเดียวกัน บางฝ่ายยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความต่อเนื่องของโครงการ และการจัดการขยะในระยะยาว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าจะมีการติดตามผลและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • ปริมาณขยะมูลฝอยในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 1,200 ตันต่อวัน (ที่มา: สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1)
  • อัตราการคัดแยกขยะเพื่อรีไซเคิลในจังหวัดเชียงรายเพิ่มขึ้น 25% ภายในปีที่ผ่านมา (ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ)
  • รายได้จากการจำหน่ายขยะรีไซเคิลในโครงการนำร่องปี 2567 สูงถึง 500,000 บาท และถูกนำไปใช้ช่วยเหลือผู้สูงอายุและนักเรียนในพื้นที่ (ที่มา: สำนักงานท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กันน้ำท่วม” เชียงรายสำรวจ ขุดลอกแม่น้ำกกรับฝน

จังหวัดเชียงรายตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัยในฤดูฝน

เชียงราย,26 มีนาคม 2568 – ที่จุดลงเรือท่าเรือเชียงราย เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจและตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกก เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนนี้

การสำรวจครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น นายกเทศมนตรีนครเชียงราย รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย

แนวทางการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัย

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการสำรวจสภาพปัจจุบันของลำน้ำกกในเชิงลึก รวมถึงการตรวจสอบแนวป้องกันตลิ่งและสภาพการตื้นเขินของแม่น้ำ การขุดลอกแม่น้ำกกเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทัพบกและกรมชลประทาน ที่เพียงพอในการดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนจะมาถึง

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงการกำจัดซากต้นไม้ที่ยังคงตกค้างอยู่ในลำน้ำ ซึ่ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) จะสนับสนุนเครื่องจักรกลเข้ามาช่วยดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ผลกระทบจากอุทกภัยที่ผ่านมาและการป้องกันในอนาคต

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอแม่สาย ดังนั้น การขุดลอกแม่น้ำกกจะช่วยลดปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำ เพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า โครงการขุดลอกแม่น้ำกกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันอุทกภัย แต่ยังเสริมศักยภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำ และกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายโดยรวม

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายผู้บริหารและหน่วยงานรัฐ : มองว่าการขุดลอกแม่น้ำกกเป็นมาตรการเชิงรุกที่จำเป็นต่อการป้องกันอุทกภัย พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ : หลายฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงต้องการให้มีการติดตามผลและประเมินความสำเร็จของโครงการอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเดือนกันยายน 2567: กว่า 15 ตำบล ในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย (แหล่งข้อมูล: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • ความยาวของแม่น้ำกกที่มีการวางแผนขุดลอก: 12 กิโลเมตร (แหล่งข้อมูล: กรมเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายจ่ายแล้วเงินล้างโคลนท่วม ครัวเรือนละหมื่น

จังหวัดเชียงรายจ่ายเงินค่าล้างโคลนให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม หลังคาเรือนละ 10,000 บาท

เชียงราย – 26 มีนาคม 2568 ที่อาคารเจียงแสน ศูนย์ประชุมนครเชียงราย (GMS) นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางมาตรวจความเรียบร้อยและร่วมแจกจ่ายเงินค่าล้างโคลนจำนวนครอบครัวละ 10,000 บาท ให้แก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในเขตเทศบาลนครเชียงราย โดยมีผู้ได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้น 7,483 ครัวเรือน

การสนับสนุนงบประมาณเพื่อการฟื้นฟู

จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2567 จังหวัดเชียงรายได้ยื่นขอการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งได้รับการอนุมัติเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด วงเงินรวม 300 ล้านบาท สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ และค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน รวมถึงซากวัสดุในที่อยู่อาศัย

ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณแบ่งเป็น 134,776,273 บาท สำหรับอำเภอแม่สาย และ 157,370,976 บาท สำหรับอำเภอเมืองเชียงราย รวมทั้งสิ้น 292,143,249 บาท โดยจะดำเนินการแจกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 2 เมษายน 2568

เสียงจากฝ่ายปกครองและการดำเนินการต่อเนื่อง

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าการช่วยเหลือครั้งนี้ถือเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น แม้ว่าจังหวัดเชียงรายจะได้รับงบประมาณช่วยเหลือก่อนหน้านี้แล้วกว่า 100 ล้านบาท แต่ยังไม่เพียงพอเนื่องจากมีจำนวนผู้ได้รับผลกระทบมาก

ด้าน นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า เทศบาลนครเชียงรายได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในหลายด้าน ทั้งการฟื้นฟูและการเยียวยาเบื้องต้น แต่เนื่องจากงบประมาณท้องถิ่นมีจำกัด การได้รับการสนับสนุนเงินจากจังหวัดครั้งนี้จะช่วยให้การฟื้นฟูดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้ เทศบาลยังมีแผนการป้องกันระยะยาว โดยเตรียมโครงการก่อสร้างแนวตลิ่งตลอดแม่น้ำกก ระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วมในอนาคต

ขั้นตอนการขอรับเงินค่าล้างโคลน

ประชาชนที่ได้รับสิทธิ์สามารถยื่นขอรับเงินได้โดยใช้เอกสารดังนี้:

  • บัตรประชาชนตัวจริงและสำเนาบัตรประชาชนที่รับรองสำเนาถูกต้อง
  • กรณีมอบอำนาจ ต้องมีสำเนาบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิ์และผู้รับมอบอำนาจ พร้อมหนังสือมอบอำนาจที่ลงลายมือชื่อครบถ้วน
  • เอกสารทั้งหมดต้องยื่นต่อเจ้าหน้าที่ ณ จุดบริการที่กำหนด

ความเห็นที่เป็นกลางจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ : ประชาชนส่วนใหญ่แสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนจากภาครัฐที่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ทันเวลา อย่างไรก็ตาม หลายครัวเรือนยังคงกังวลเกี่ยวกับการฟื้นฟูในระยะยาว เนื่องจากการทำความสะอาดบ้านเรือนและการซ่อมแซมโครงสร้างยังคงต้องใช้เวลาและทรัพยากรเพิ่มเติม
  • ฝ่ายหน่วยงานรัฐ : ฝ่ายราชการยืนยันว่าพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งด้านการฟื้นฟูที่อยู่อาศัยและการเตรียมโครงการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต นอกจากนี้ ยังเตรียมการขอรับงบประมาณเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดหาเครื่องใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์จำเป็นให้แก่ผู้ประสบภัยต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งข้อมูล

  • จำนวนผู้ได้รับการช่วยเหลือในเขตเทศบาลนครเชียงราย: 7,483 ครัวเรือน (สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • งบประมาณที่ใช้ในการช่วยเหลือ: 292,143,249 บาท (สำนักงบประมาณจังหวัดเชียงราย)
  • ความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย: มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 500 ล้านบาท (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หอมหัวใหญ่ถูก เชียงรายหาทางออก พยุงราคาเกษตรกร

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ จับมือพาณิชย์ดันราคาสู่ความยั่งยืน

ปัญหาหอมหัวใหญ่ราคาตกต่ำสะเทือนเกษตรกรเชียงราย

เชียงราย,วันที่ 26 มีนาคม 2568 – ห้องประชุมเวียงกาหลง ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย มีการจัดประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเกษตรกรระดับจังหวัด ครั้งที่ 1/2568 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย นำโดย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม

หนึ่งในวาระหลักของการประชุมคือ การหารือแนวทางแก้ไขปัญหาราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ ซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรสำคัญของอำเภอเวียงป่าเป้า ที่กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวและออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก

แนวทางการแก้ไขปัญหาด้านราคาแบบเร่งด่วน

เกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ในปีการผลิต 2567/68 ได้ร้องเรียนเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้ภาครัฐเร่งหามาตรการช่วยเหลือ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ บริหารจัดการผลผลิตในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่ผลผลิตออกสู่ตลาด ด้วยการกระจายผลผลิตไปยังผู้บริโภคภายในจังหวัด

โดยกำหนดราคาขายอยู่ที่ 12 บาทต่อกิโลกรัม พร้อมตั้งเป้าหมายกระจายผลผลิตจำนวน 271 ตัน ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะเข้ามารับซื้อเพิ่มอีก 500 ตัน รวมผลผลิตที่ได้รับการบริหารทั้งหมดอยู่ที่ 751 ตัน

การสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา

แผนงานดังกล่าวมุ่งหวังให้สามารถ ดึงผลผลิตออกจากระบบตลาดส่วนหนึ่ง เพื่อพยุงราคาซื้อขายของหอมหัวใหญ่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุนของเกษตรกร ช่วยลดแรงกดดันและป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำลงไปกว่านี้

ในที่ประชุมยังได้หารือการขอรับสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) โดยเสนอในโครงการเชื่อมโยงการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่แหล่งผลิต-

ขยายแผนช่วยเหลือสินค้าเกษตรอื่น

ไม่เพียงแต่หอมหัวใหญ่เท่านั้น ที่ประชุมยังได้ติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้าเกษตรอื่นในพื้นที่ อาทิ ลิ้นจี่ฮงฮวย สับปะรด และลำไย ซึ่งกำลังจะออกสู่ตลาดในเร็ว ๆ นี้ โดยมีมติให้เร่งเสนอแผนเพื่อรองรับสถานการณ์ราคาตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โครงการกระจายผลผลิตเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางระบายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่เกิดจากตลาดผันผวน

เสียงสะท้อนจากเกษตรกรในพื้นที่

ตัวแทนเกษตรกรอำเภอเวียงป่าเป้า ได้แสดงความพึงพอใจกับแผนการของจังหวัดที่มุ่งเน้นช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผลผลิตหอมหัวใหญ่เริ่มทะยอยเข้าสู่ตลาดแล้ว

ในขณะเดียวกัน เกษตรกรบางรายยังมีความกังวลเรื่องต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และแรงงาน ซึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยาโดยตรงจากโครงการนี้

ความเห็นจากฝ่ายราชการ

ฝ่ายราชการยืนยันว่าทางจังหวัดพร้อมทำงานเชิงรุก ร่วมกับหน่วยงานระดับชาติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อเกษตรกร โดยตั้งเป้าจะประเมินผลของมาตรการในช่วง 2 สัปดาห์ เพื่อวางแผนระยะกลางและยาว

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายจะพัฒนาระบบข้อมูลการผลิตและการตลาดให้แม่นยำมากขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางวางแผนการผลิตในฤดูกาลถัดไป ลดความเสี่ยงจากปัญหาซ้ำซาก

สรุปภาพรวมสถานการณ์และทิศทางในอนาคต

สถานการณ์ราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำในปี 2568 ถือเป็น บททดสอบสำคัญ ของทั้งเกษตรกรและหน่วยงานภาครัฐในการทำงานเชิงระบบ โดยการบริหารจัดการผลผลิตในระยะสั้นร่วมกับแผนระยะยาวน่าจะเป็นคำตอบที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจฐานรากได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างเสถียรภาพให้กับภาคเกษตรต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งด้านนโยบายการค้า การเงิน และการส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกร

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ราคาหอมหัวใหญ่ ณ เดือนมีนาคม 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 6-8 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: กรมการค้าภายใน)
  • ต้นทุนเฉลี่ยของการปลูกหอมหัวใหญ่ในภาคเหนือ อยู่ที่ประมาณ 7.50 บาท/กิโลกรัม (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร)
  • ผลผลิตหอมหัวใหญ่จังหวัดเชียงราย ปี 2567/68 คาดการณ์ไว้ที่กว่า 10,000 ตัน (แหล่งข้อมูล: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย)

ทัศนคติที่เป็นกลางจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายเกษตรกร มองว่ามาตรการช่วยเหลือที่ออกมายังไม่ครอบคลุมต้นทุนที่แท้จริง แต่ก็เป็นก้าวแรกที่น่ายินดี ขณะที่ ฝ่ายภาครัฐ เห็นว่าต้องอาศัยเวลาปรับตัว และย้ำว่ารัฐบาลไม่ทอดทิ้งเกษตรกร พร้อมเดินหน้าสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

ความร่วมมือที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อมี การรับฟังซึ่งกันและกัน และดำเนินการอย่างต่อเนื่องโดยยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรับมือ PM2.5 คุมเผา-แล้งเข้ม สั่งปิดป่าบางพื้นที่

เชียงรายประชุมคณะกรรมการป้องกันภัย ยกระดับมาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5 และภัยแล้ง เตรียมการเชิงรุกปกป้องสุขภาพประชาชน

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ครั้งที่ 1/2568 เพื่อยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และภัยแล้งที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 แบบเข้มข้น

การประชุมได้เน้นย้ำแผนการป้องกันไฟป่าและฝุ่นละออง โดยมีมาตรการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร หรือชุมชนเมือง รวมถึงการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น โรงงาน เตาเผาถ่าน และเตาเผาขยะ พร้อมตั้งจุดตรวจวัดมลพิษจากยานพาหนะในจุดเสี่ยงสำคัญ

ดูแลสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง – แจกหน้ากาก N95 ครอบคลุม

ในด้านสุขภาพประชาชน จังหวัดได้ดำเนินมาตรการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย N95 และยาขยายหลอดลมให้กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และเด็กในสถานศึกษา พร้อมทั้งจัดบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และจัดระบบส่งยาถึงบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทาง

หากค่าฝุ่น PM 2.5 เกินระดับ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อเนื่อง 2 วัน จะมีการพิจารณาปรับรูปแบบการเรียนการสอน หรือปิดสถานศึกษาชั่วคราว พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) และลดกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมแพทย์ 3 หมอ และ อสม. เคลื่อนที่เร็ว ออกตรวจเยี่ยมบ้านประชาชน พร้อมแจกหน้ากากและมุ้งสู้ฝุ่นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง

การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์จังหวัด ได้รับมอบหมายให้เร่งกระจายข่าวสารผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และแนวทางการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย พร้อมรณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องผลกระทบจากการเผาในที่โล่งที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาฝุ่นในภาคเหนือ

ปิดป่า คุมเข้มบุคคลเข้าออก พร้อมวิจัยทางเลือกการเกษตร

เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดมีนโยบาย “ปิดป่า” ชั่วคราว ยกเว้นแหล่งท่องเที่ยว โดยพื้นที่ป่าสงวนจะมีการควบคุมบุคคลเข้าออกอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมีการประสานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อคิดค้นสารอินทรีย์ย่อยสลายเศษวัสดุทางการเกษตร ใช้แทนการเผาในพื้นที่สูง

ด้านการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร มีการผลักดันให้เปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรมูลค่าสูง เพื่อลดการเผาเศษพืชที่ก่อฝุ่นอย่างยั่งยืน

รับมือภัยแล้ง – จัดการน้ำ บูรณาการข้อมูลภาคเกษตร

โครงการชลประทานเชียงรายและการประปาส่วนภูมิภาค ได้รับมอบหมายให้ติดตามระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างใกล้ชิด หากพบว่าน้ำมีแนวโน้มต่ำกว่า 50% ต้องแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าและจัดแผนสำรองน้ำให้เพียงพอ

สำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมสำรวจพื้นที่เพาะปลูก แยกตามการใช้น้ำฝนและน้ำชลประทาน เพื่อใช้ในการวางแผนส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้ง

สำหรับแหล่งน้ำที่ตื้นเขิน มีการเตรียมแผนขุดลอกเร่งด่วน ได้แก่

  • หนองฮ่าง ตำบลทานตะวัน
  • อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว อำเภอพาน
  • ท้ายอ่างเก็บน้ำแม่ฉางข้าว อำเภอเวียงป่าเป้า

สร้างแรงจูงใจชุมชนต้นแบบ – ให้รางวัลหมู่บ้านไร้หมอกควัน

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหาหมอกควัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอแนวทาง “หมู่บ้านต้นแบบไร้หมอกควัน” โดยให้รางวัลกับหมู่บ้านที่สามารถจัดการปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้สำเร็จ สร้างแรงจูงใจและต้นแบบให้กับชุมชนอื่นในพื้นที่

ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน – เส้นทางสู่การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

นอกจากการประสานภายในจังหวัด เชียงรายยังดำเนินการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและหน่วยงานระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเพาะปลูก การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และส่งเสริมเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการเตรียมความพร้อมระยะยาวในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ
มองว่าการยกระดับมาตรการของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข เกษตร ไปจนถึงงานชลประทาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการจัดการวิกฤติอย่างรอบด้าน การแจกจ่ายหน้ากากและบริการแพทย์ทางไกลยังแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นหลัก

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
ชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ แม้จะมีความรัดกุม แต่หากขาดการบังคับใช้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือเขตภูเขา จะไม่สามารถลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องงบประมาณสนับสนุนที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินการอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียงในชนบท

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต 25 มีนาคม 2568)

  • ค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายวัน (พื้นที่เมืองเชียงราย): 78–92 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำค่ามาตรฐาน PM 2.5: ไม่เกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงไฟป่าและฝุ่นละออง: อำเภอแม่สรวย, เวียงป่าเป้า, แม่ฟ้าหลวง
  • จำนวนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในระดับน้ำต่ำกว่า 50%: 3 แห่ง (ข้อมูลจากโครงการชลประทานเชียงราย)
  • จำนวนหมู่บ้านเป้าหมายในการแจกมุ้งสู้ฝุ่นและหน้ากาก N95: 67 หมู่บ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศกรมควบคุมมลพิษ
  • รายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News