Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มรภ.เชียงรายเปิดศักราชใหม่! ทุ่ม 78 ล้าน สร้างอาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ พร้อมให้บริการปี 69

มรภ.เชียงราย เปิดศักราชใหม่! อาคารคณะมนุษยศาสตร์ฯ หลังใหม่ มูลค่ากว่า 78 ล้าน พร้อมให้บริการปี 2569

เชียงราย, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.ชร.) กำลังเขียนบทใหม่แห่งความก้าวหน้า ด้วยโครงการก่อสร้าง “อาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่” สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 78.39 ล้านบาท

เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อาคารหมายเลข 1 ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้น เป็นสักขีพยานแห่งการเรียนรู้ของนักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่เวลาที่ผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ ได้ทิ้งร่องรอยแห่งความเก่าแก่ไว้บนผนังและโครงสร้างของอาคารแห่งนี้ จนถึงจุดที่ไม่สามารถรองรับภารกิจทางการศึกษาในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม

วันนี้ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.ชร. ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตการเรียนรู้ของผู้คนมากกว่า 2,400 คน ประกอบด้วยนักศึกษาไทยมากกว่า 2,100 คน นักศึกษาต่างชาติมากกว่า 200 คน คณาจารย์มากกว่า 78 คน และบุคลากรสนับสนุนมากกว่า 11 คน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของมหาวิทยาลัยฯ โดยเฉพาะในด้านการรับนักศึกษาต่างชาติที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“อาคารเดิมที่มีอายุการใช้งาน 50 ปี มีสภาพทรุดโทรมอย่างมีนัยสำคัญ และมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ใช้งานจริง” ดังที่ปรากฏในรายงานการประเมินสภาพอาคาร สถานการณ์นี้ไม่เพียงส่งผลต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอน แต่ยังเป็นอุปสรรคโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของคณะฯ

ปัจจุบันคณะฯ เปิดสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรีถึงมากกว่า 11 หลักสูตร และระดับบัณฑิตศึกษามากกว่า 3 หลักสูตร การขยายตัวของหลักสูตรเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอและทันสมัย เพื่อให้สามารถส่งมอบการศึกษาที่มีคุณภาพแก่นักศึกษาได้อย่างเต็มศักยภาพ

วิสัยทัศน์สู่ “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ”

โครงการก่อสร้างอาคารใหม่นี้ไม่ใช่เพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยฯ สู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ในกรอบนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี

มหาวิทยาลัยฯ มองเห็นโอกาสสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม และเสริมสร้างศักยภาพในการดึงดูดนักศึกษาต่างชาติจำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาคใต้ของประเทศจีน อาคารใหม่นี้ถูกกำหนดให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางสำหรับนักศึกษาที่ศึกษาด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์

ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนี้เป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยฯ ไปสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยอัจฉริยะ” ซึ่งหมายถึงการบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงและวิธีการเรียนรู้เชิงนวัตกรรมภายในสิ่งอำนวยความสะดวกแห่งใหม่

กระบวนการที่โปร่งใสและตรวจสอบได้

ความน่าเชื่อถือของโครงการนี้สะท้อนได้จากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใสและเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยแบ่งออกเป็นสองระยะที่ชัดเจน ได้แก่ การจ้างบริการออกแบบ และการจ้างก่อสร้าง

การจัดซื้อจัดจ้างทั้งสองระยะดำเนินการผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement: e-GP) ซึ่งเป็นการรับรองความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

สำหรับงบประมาณค่าจ้างบริการออกแบบ มีมูลค่าประมาณ 2,283,167.77 บาท โดยใช้เงินสำรองของมหาวิทยาลัยฯ ในปีงบประมาณ 2566 ส่วนงบประมาณค่าก่อสร้างมีมูลค่าประมาณ 76,105,592.39 บาท ซึ่งจะมีการลงนามสัญญาเมื่อได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายได้ประจำปีงบประมาณ 2567

มหาวิทยาลัยฯ ได้ยึดหลักเกณฑ์คุณสมบัติและการประเมินที่เข้มงวด ทั้งผู้ให้บริการออกแบบและก่อสร้างจะต้องมีคุณสมบัติตามกฎหมาย มีความมั่นคงทางการเงิน และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการออกแบบ จะต้องมีประสบการณ์ในการออกแบบอาคารสาธารณะมูลค่าไม่น้อยกว่า 38 ล้านบาท

ผลกระทบที่คาดหวังต่อชุมชนและสังคม

เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จและเปิดให้บริการในปี 2569 ประชาชนทั่วไปจะได้รับประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม

ในด้านการศึกษา อาคารใหม่จะช่วยยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และสร้างโอกาสให้นักศึกษาได้เข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย สิ่งนี้จะส่งผลต่อคุณภาพบัณฑิตที่จบออกไป ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป

ในด้านเศรษฐกิจ การดึงดูดนักศึกษาต่างชาติมากขึ้นจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น ทั้งจากค่าใช้จ่ายในการครองชีพ ที่พัก และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังจะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงราย

ในด้านสังคม มหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างกรุงเทพฯ และภูมิภาค ทำให้เยาวชนในพื้นที่ได้เข้าถึงการศึกษาที่มีมาตรฐานสากลโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปศึกษายังเมืองใหญ่

การคลี่คลายปมปัญหาและการก้าวไปข้างหน้า

ปมปัญหาหลักที่โครงการนี้มาแก้ไขคือการขาดแคลนพื้นที่การเรียนรู้ที่เหมาะสมและทันสมัย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การแก้ไขปัญหานี้ไม่ใช่เพียงการสร้างอาคารใหม่ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ที่ครบครัน

อาคารใหม่จะไม่เพียงแต่ทดแทนพื้นที่เดิมที่ไม่เพียงพอ แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับการเติบโตในอนาคต สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในยุคที่การศึกษาต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ

การเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ “ประเทศไทย 4.0” ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวที่มองเห็นความสำคัญของการศึกษาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างบัณฑิตที่มีทักษะในศตวรรษที่ 21 รวมถึงการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของภูมิภาคอาเซียน

มิติการพัฒนาที่ยั่งยืน

โครงการนี้ไม่เพียงแต่แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว การออกแบบอาคารที่คำนึงถึงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สิ่งแวดล้อม และความยืดหยุ่นในการใช้งาน จะช่วยให้อาคารนี้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านภาษาศาสตร์และวิจิตรศิลป์ยังสอดคล้องกับแนวโน้มโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์และการอนุรักษ์วัฒนธรรม สิ่งนี้จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นและเสริมสร้างอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของภาคเหนือ

โครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์หลังใหม่สำหรับคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จึงเป็นมากกว่าการสร้างอาคาร แต่เป็นการสร้างอนาคตที่สดใสให้กับการศึกษาไทย การลงทุนกว่า 78 ล้านบาทนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาภูมิภาคและความก้าวหน้าทางปัญญาอย่างยั่งยืนต่อไป

เมื่อปี 2569 อาคารแห่งใหม่นี้จะเปิดประตูต้อนรับนักศึกษารุ่นใหม่ ในฐานะสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าของการศึกษาไทย สร้างความหวังใหม่ให้กับเยาวชนที่จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคตที่เจริญรุ่งเรือง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประเมินสภาพอาคาร คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  • ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ระบบ e-Government Procurement (e-GP)
  • รายละเอียดโครงการก่อสร้างอาคารการศึกษาและอเนกประสงค์ มรภ.เชียงราย
  • แผนยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ปีงบประมาณ 2566-2570
  • นโยบาย “ประเทศไทย 4.0” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ไทย 2568 เศรษฐกิจยั่งยืนหรือแค่พยุง? รัฐบาลใหม่เผชิญบทพิสูจน์

รัฐบาลใหม่กับการแก้โจทย์เศรษฐกิจไทย ปี 2568 สู่การเติบโตที่ยั่งยืนหรือแค่พยุงระยะสั้น?

ประเทศไทย, 7 กรกฎาคม 2568 – ปี 2568 กลายเป็นปีแห่งการจับตา “บทพิสูจน์ศักยภาพรัฐบาลใหม่” ที่ต้องเผชิญกับคลื่นเศรษฐกิจโลก ปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน และโจทย์หนี้ครัวเรือนที่สั่งสมมานาน ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” รัฐบาลประกาศเดินหน้าด้วยนโยบายเชิงรุก และงบประมาณลงทุนสูงสุดในรอบ 17 ปี หวังปลุกเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นกับดักการเติบโตต่ำ แต่นโยบายเหล่านี้จะนำไทยสู่ความยั่งยืน หรือเพียงแค่สร้างคลื่นกระเพื่อมชั่วคราวในระบบเศรษฐกิจ?

เปิดฉากปีแห่งบททดสอบ เศรษฐกิจไทยในพายุความไม่แน่นอน

แม้รัฐบาลจะจุดพลุสร้างความหวังด้วยนโยบายขับเคลื่อนการลงทุนและมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่ แต่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางจากปัจจัยภายนอกที่ยากคาดเดา ขณะที่ในประเทศเองก็เผชิญปัญหาโครงสร้างเช่น หนี้ครัวเรือนสูง สังคมสูงวัย และผลิตภาพแรงงานที่ถดถอย ด้านสถาบันวิจัยและนักวิเคราะห์ชั้นนำสะท้อนภาพเศรษฐกิจปี 2568 ด้วยคาดการณ์ GDP ที่ “แตกต่างสุดขั้ว” ตั้งแต่ 1.4% ถึง 2.6% โดยมองปัจจัยเสี่ยงหลักทั้งการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และแรงกระแทกจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ตารางที่ 1การคาดการณ์ GDP ไทย ปี 2568 (หน่วย: %)

หน่วยงาน

คาดการณ์ (%)

ข้อสังเกต

สศค.

2.5

เสถียรภาพในประเทศ, เงินเฟ้อต่ำ

ธปท.

2.3

Q1 ดีกว่าคาด, Q2 ดีขึ้น

KResearch

1.4 – 2.4

ส่งออก-ท่องเที่ยวต่ำ, หนี้เสียสูง

World Bank/IMF

1.8

ผลกระทบสงครามการค้า, หนี้สูง

SCB EIC

1.5

การค้าโลก, ข้อจำกัดการคลัง

TDRI

2.5-3.0

FDI/ลงทุนรัฐ, สินค้าจีนเข้า

กกร.

2.4-2.9

ท่องเที่ยว, รัฐอัดมาตรการ

ขณะที่ “เงินเฟ้อทั่วไป” ยังคงต่ำ (0.8%) อันเป็นผลจากพลังงานราคาตกและอุปสงค์อ่อนแรง มิได้สะท้อนเศรษฐกิจแข็งแรง แต่กลับชี้ถึงกำลังซื้อที่ถดถอย

เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสัญญาณเปราะบางใต้ตัวเลขบวก

  • การท่องเที่ยว คือความหวังหลัก คาดนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน แต่การใช้จ่ายต่อหัวต่ำกว่าระดับก่อนโควิด สะท้อนโครงสร้างรายได้ประเทศที่เปราะบาง
  • การลงทุนภาคเอกชน ได้แรงหนุนจาก FDI ย้ายฐานหนีสงครามการค้า แต่หนี้ครัวเรือนและเกณฑ์สินเชื่อเข้มข้นยังฉุดกำลังซื้อและศักยภาพลงทุน
  • การบริโภคในประเทศ โต 2-3% จากรายได้และเงินโอนภาครัฐผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ทว่า “หนี้ครัวเรือน” 16.2 ล้านล้านบาท (เกือบ 90% ของ GDP) กลับเป็นเงาทะมึนที่กัดกินกำลังซื้อ
  • การส่งออก ไตรมาส 1 โตจากการเร่งระบายสินค้าก่อนภาษีใหม่สหรัฐฯ ทว่าระยะยาวอ่อนแรงจากสงครามการค้าและสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าสู่ตลาดไทย

ความท้าทายเชิงโครงสร้างหนี้ครัวเรือนสูง-สังคมสูงวัย-ขีดจำกัดการคลัง

รัฐบาลต้องเผชิญโจทย์ “หนี้ครัวเรือนสูงสุดประวัติการณ์” ที่กัดกินศักยภาพการบริโภคและสร้าง NPL เพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายนอกอย่างสงครามการค้าทำให้สินค้าจีนเบี่ยงเบนเข้าไทย-กดดันตลาดในประเทศให้แข่งขันรุนแรง สังคมไทยเองก็เร่งเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” แรงงานขาดแคลน ผลิตภาพตกต่ำ ทุนมนุษย์ด้อยประสิทธิภาพ ระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ดิจิทัล หนี้สาธารณะ 63.3% ของ GDP ขยับขึ้นทุกปีจนพื้นที่การคลังเหลือน้อยลง และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคุกคามความเชื่อมั่นนักลงทุน

รัฐบาลใหม่ภายใต้ ‘แพทองธาร’ปรับยุทธศาสตร์-ตั้งทัพขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

การตั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยมี “นายพิชัย ชุณหวชิร” เป็นแม่ทัพคลัง ประสานกับนายกรัฐมนตรี มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” โดยเน้น 5 ยุทธศาสตร์หลักที่รวมการลงทุนภาครัฐ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมใหม่ ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และสร้างสังคมเสมอภาค

จุดเปลี่ยนสำคัญธนาคารแห่งประเทศไทยกับทิศทางดอกเบี้ยและเสถียรภาพ

ปี 2568 ยังเป็น “จุดเปลี่ยนผู้นำ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่การเลือกผู้ว่าฯ คนใหม่ระหว่าง “ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส” (เน้นเสถียรภาพการเงิน) และ “นายวิทัย รัตนากร” (แก้ปัญหาฐานราก) จะเป็นตัวแปรสำคัญต่อทิศทางนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสถูกปรับลดอย่างน้อย 1-2 ครั้ง เพื่อประคองเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน แม้จะกังวลความเสี่ยงเงินเฟ้อและคุณภาพสินเชื่อ

งบประมาณ 2568การลงทุนภาครัฐสูงสุดในรอบ 17 ปี – หวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

งบประมาณปี 2568 อยู่ที่ 3.75 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุนสูงถึง 24.2% หรือ 908,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน เน้นยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก และพัฒนาโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกัน “งบกู้ขาดดุล” กว่า 865,000 ล้านบาท ก็เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ

มาตรการเรือธงดิจิทัลวอลเล็ตกับข้อกังขาเรื่องความยั่งยืน

  • ดิจิทัลวอลเล็ต เป็นมาตรการเรือธง เติมเงินให้ประชาชนกลุ่มเปราะบาง 14 ล้านคนในระยะแรก และเตรียมขยายไปยังผู้สูงวัย 4 ล้านคน รวมถึงประชาชนทั่วไปต่อไป คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในระยะสั้น
  • บ้านเพื่อคนไทย – โครงการคอนโดมิเนียมรัฐให้ผ่อนต่ำยาว 30 ปี หวังเพิ่มโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยในเมือง
  • มาตรการแก้หนี้ครัวเรือน – เดินหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” “จ่ายตรง คงทรัพย์” และ “จ่ายตัดต้น” ช่วยกลุ่มหนี้ไม่มีหลักประกันและสินเชื่อบ้าน/รถ

แต่เสียงสะท้อนจากสื่อและนักวิชาการ เตือนถึง “วินัยการคลัง” ที่อาจถูกกระทบจากการกู้เงินอัดฉีด โดยเฉพาะเมื่อภาระหนี้สาธารณะและหนี้รัฐวิสาหกิจยังสูง หากการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเพียงการ “ดึงกำลังซื้ออนาคต” มาใช้ปัจจุบัน อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจซบเซาในภายหลัง

นโยบายโครงสร้างจุดเปลี่ยนแท้จริงของเศรษฐกิจไทย

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การเติบโตยั่งยืนต้องมาจากการ “ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” ไม่ใช่แค่กระตุ้นระยะสั้น รัฐบาลใหม่ต้องเร่งยกระดับทุนมนุษย์ แก้ช่องว่างทักษะดิจิทัล ส่งเสริมอุตสาหกรรมมูลค่าสูง ขยายตลาดการส่งออกและสร้างความสามารถแข่งขันใหม่ รวมถึงปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัย โปร่งใส และลดทุจริต

เส้นทางเศรษฐกิจไทยระหว่างโอกาสและกับดัก

ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2568 เปรียบเสมือนการขับเรือกลางมรสุม แม้มี “คลื่นบวก” จากนโยบายรัฐและมาตรการลงทุน แต่รากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึก และแรงกระแทกจากเศรษฐกิจโลกยังคงสร้างความเปราะบางสูง นโยบายรัฐจะยั่งยืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเด็ดขาด-รอบคอบในการปฏิรูป สร้างโอกาสใหม่ และรักษาวินัยการคลังในระยะยาว

 

ข้อเสนอเชิงนโยบาย

  1. เน้นลงทุนที่สร้างผลิตภาพระยะยาว เช่น ดิจิทัล-โครงสร้างพื้นฐาน-ทุนมนุษย์ มากกว่าการอัดฉีดชั่วคราว
  2. รักษาวินัยการคลัง พร้อมบริหารหนี้สาธารณะอย่างยั่งยืน วางแผนงบประมาณระยะปานกลางชัดเจน
  3. ส่งเสริมการปฏิรูปโครงสร้าง เร่งพัฒนาทุนมนุษย์ ระบบการศึกษา และอุตสาหกรรมใหม่ สร้างความสามารถแข่งขัน
  4. ลดอุปสรรคการลงทุน-เพิ่มความโปร่งใส สร้างกลไกติดตาม-ประเมินผลนโยบายแบบเรียลไทม์
  5. พัฒนานโยบายการเงินและบริหารหนี้เชิงรุก ประสานระหว่างธปท.และรัฐบาลเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงิน

บทสรุป

รัฐบาลใหม่ปี 2568 เผชิญความท้าทายที่ซับซ้อนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของไทย แม้นโยบายลงทุนและมาตรการกระตุ้นจะสร้างคลื่นหวังในระยะสั้น แต่โจทย์หลักคือการเร่งปฏิรูปโครงสร้างให้สำเร็จ สร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อการเติบโตอย่างแท้จริง ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ เพิ่มศักยภาพมนุษย์และความสามารถแข่งขันของประเทศ ไทยจะพลิกวิกฤตนี้ได้หรือไม่ ยังต้องติดตามบทพิสูจน์ต่อไปในอีก 1 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กระทรวงการคลัง (สศค.)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • ธนาคารโลก (World Bank)
  • กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ SCB EIC
  • สถาบันวิจัย TDRI
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News