Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โพลชี้! คนไทยเอือมโกงเลือกตั้งท้องถิ่นหวังโปร่งใส

ผลสำรวจเลือกตั้งเทศบาลสะท้อนปัญหาทุจริต ประชาชนต้องการผู้นำโปร่งใส

ผลสำรวจล่าสุดจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ประเทศไทย,2 พฤษภาคม 2568 – มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เปิดผลสำรวจการเลือกตั้งระดับเทศบาล วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 โดยสำรวจประชาชน 1,020 คน ทั่วประเทศ ช่วงวันที่ 16-25 เมษายน 2568 กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 711 คน เยาวชนอายุ 15 ปี จำนวน 309 คน

ประชาชนย้ำชัด “ไม่เลือกคนโกง”

จากผลสำรวจ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการคอร์รัปชันคือปัญหาใหญ่ ต้องการผู้นำที่โปร่งใส ผลสำรวจระบุชัดเจน หากรู้ว่าผู้สมัครทุจริตหรือมีประวัติไม่ดี ประชาชนจะปฏิเสธทันที แม้ในอดีตมีการซื้อเสียงอย่างหนัก พบการซื้อเสียงขั้นต่ำ 1,100 บาท สูงสุดถึง 2,000 บาทต่อคนในบางพื้นที่

เยาวชนไทยเน้นความโปร่งใสเป็นอันดับหนึ่ง

เยาวชนอายุ 15-17 ปี ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสมากที่สุด กลุ่มนี้ถือเป็นความหวังสำคัญของการเมืองไทยในอนาคต ขณะที่ประชาชนวัยผู้ใหญ่ยังมองความโปร่งใสเป็นเรื่องรอง

ทุจริตท้องถิ่นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชาติ

ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า ปัญหาคอร์รัปชันในระดับท้องถิ่น ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมาก ดัชนีการคอร์รัปชันของไทย (CPI) อยู่ที่อันดับ 108 ได้คะแนนเพียง 34 คะแนนเท่านั้น ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่เคยทำได้เกิน 40 คะแนนเลย ต่างจากเวียดนามที่คะแนนสูงกว่าอย่างชัดเจน

ประชาชนต้องการร่วมตรวจสอบการทุจริต

นายวิเชียร พงศธร ประธานมูลนิธิเพื่อคนไทย ระบุชัดจากผลสำรวจ ประชาชนไม่ยอมรับการโกง แม้จะมีการซื้อเสียงอยู่ แต่ประชาชนยืนยันว่าจะไม่เลือกคนโกง ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจต่อการบริหารของผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านมา มีประชาชนพอใจผลงานเพียง 10% เท่านั้น

เม็ดเงินสะพัดในการซื้อเสียงสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท

ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า เม็ดเงินที่หมุนเวียนในการเลือกตั้งเทศบาลอยู่ที่ประมาณ 2-4 หมื่นล้านบาท เทียบได้กับการเลือกตั้ง อบจ. และใกล้เคียงกับระดับประเทศที่ 3-5 หมื่นล้านบาท หากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงหลังเดือนพฤษภาคม เงินสะพัดอาจสูงขึ้นอีก

ท้องถิ่นเข้มข้นขึ้นกับการต่อต้านคอร์รัปชัน

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เผยว่า ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่จริง การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก หากประชาชนปฏิเสธเงินซื้อเสียง และตัดสินใจเลือกผู้นำด้วยความโปร่งใส การเมืองระดับท้องถิ่นจะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างแน่นอน

กกต. ถูกตั้งคำถามกับบทบาทจับทุจริต

การดำเนินคดีจากการซื้อเสียงที่ผ่านมา มีการจับกุมน้อยมาก หน่วยงาน กกต. ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้มากนัก ประชาชนจึงต้องการให้ กกต. ทำงานเชิงรุกมากขึ้น พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนช่วยเฝ้าระวังผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นหลักฐานในการจัดการกับปัญหานี้

แนวทางอนาคตของประชาธิปไตยไทย

ผู้ร่วมแถลงข่าวเห็นร่วมกันว่า คนรุ่นใหม่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประชาธิปไตยไทย เยาวชนอายุ 15-17 ปี จะเป็นกลุ่มที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการเมือง แม้ผลลัพธ์อาจไม่ทันใจ แต่พัฒนาการด้านประชาธิปไตยไทยจะดีขึ้นแน่นอน

ข้อเสนอแนะสำคัญจากผลสำรวจ

ประชาชนเสนอให้ กกต. ปรับปรุงกระบวนการคัดกรองผู้สมัครให้เข้มงวดขึ้น และมีมาตรการติดตามตรวจสอบที่โปร่งใสมากขึ้น เพื่อให้ได้ผู้นำท้องถิ่นที่ดีในอนาคต ประชาชนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แม้บางพื้นที่จะไม่มีตัวเลือกที่ถูกใจ แต่ประชาชนยังพร้อมออกไปเลือก “โนโหวต” แทนที่จะสนับสนุนคนโกง

สรุปทิศทางการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น

ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนชัดว่าประชาชนไทยต้องการเปลี่ยนแปลงจริงจังในระดับท้องถิ่น มองการทุจริตเป็นปัญหาสำคัญที่สุด หากแก้ไขปัญหานี้ได้ เศรษฐกิจและการเมืองไทยจะมั่นคงและโปร่งใสมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

  • Transparency International (Corruption Perception Index – CPI 2024)

  • สถิติการซื้อเสียงจาก กกต. และ ACT Ai (องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ตึก สตง. ถล่ม ACT ชี้พิรุธ ชนะประมูลแต่ทำไมไร้ชื่อ

ACT เรียกร้องรัฐเร่งปฏิรูปความโปร่งใส หลังพบข้อพิรุธประมูลก่อสร้างอาคาร สตง. ที่พังถล่มจากแผ่นดินไหว

เชียงราย, 4 เมษายน 2568 – องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT นำโดยนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กร ได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อความไม่ชอบมาพากลในโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังเกิดเหตุอาคารถล่มจากแรงแผ่นดินไหวในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและความเชื่อมั่นของประชาชนเป็นอย่างมาก

ข้อพิรุธสำคัญที่ ACT เปิดเผยต่อสื่อมวลชน คือ การตรวจสอบข้อมูลจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) พบว่า บริษัท ITD-EREC ซึ่งปรากฏชื่อเป็นผู้ชนะการประมูลในโครงการก่อสร้างอาคาร สตง. ไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ยื่นเสนอราคาหรือรายชื่อบริษัทที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติและเทคนิคในระบบ แต่กลับมีชื่อในประกาศผลผู้ชนะอย่างเป็นทางการ

ข้อสงสัยต่อระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

นายมานะระบุว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล อย่างไรก็ตาม รัฐจำเป็นต้องชี้แจงต่อสาธารณะโดยเร็ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความสูญเสียของภาครัฐ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

ทั้งนี้ ยังมีข้อสังเกตต่อระบบเว็บไซต์ e-GP ซึ่งเป็นช่องทางหลักของการเปิดเผยข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ว่ายังคงมีความซับซ้อน ข้อมูลไม่ครบถ้วน และยากต่อการเข้าถึงสำหรับประชาชนทั่วไป

ACT Ai ระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงการตรวจสอบสาธารณะ

ACT ยังได้นำเสนอระบบ ACT Ai หรือ “ระบบฐานข้อมูลจับโกงจัดซื้อจัดจ้าง” ซึ่งพัฒนาโดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อรวบรวมข้อมูลกว่า 42 ล้านโครงการจัดซื้อจัดจ้าง และข้อมูลผู้ค้า 1.5 ล้านราย โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐกับนิติบุคคลในรูปแบบที่สามารถตรวจสอบและวิเคราะห์ได้

ที่ผ่านมา ระบบ ACT Ai มีบทบาทในการสนับสนุนภาคประชาชนและสื่อมวลชนให้สามารถสืบค้นข้อมูลในหลายกรณี เช่น คดีกำนันนก, กรณีเสาไฟกินรี, โครงการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์สาธารณะ เช่น เครื่องกรองน้ำและโซล่าเซลล์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงโครงการที่ถูกปล่อยทิ้งร้างหลังงบประมาณถูกเบิกจ่าย

ข้อเสนอ 3 มาตรการปฏิรูปความโปร่งใส

เพื่อแก้ไขปัญหาในเชิงระบบ นายมานะ ได้เสนอแนวทางปฏิรูปกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ผ่าน 3 มาตรการหลักดังนี้

  1. กำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูล – รัฐและผู้รับเหมาต้องเปิดเผยข้อมูลโครงการให้ชัดเจน ครบถ้วน ตรวจสอบได้ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย พร้อมเปิดเผยทันทีเมื่อต้องการใช้ข้อมูล
  2. บังคับใช้ข้อตกลงคุณธรรมในทุกโครงการ – ให้นำหลักการข้อตกลงคุณธรรมที่มีมาตรฐานสากลมาใช้กับทุกโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการตาม พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง หรือโครงการพิเศษ เช่น โครงการ PPP และ EEC โดยไม่ยกเว้น
  3. เพิ่มจำนวนโครงการที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงคุณธรรม – โดยเฉพาะโครงการเมกะโปรเจคที่ใช้เงินภาษีจำนวนมาก และมีผลกระทบต่อประชาชน ควรมีหน่วยงานอิสระเข้าร่วมสังเกตการณ์ตลอดทุกขั้นตอน

ปัญหาเชิงโครงสร้างและข้อจำกัดในข้อตกลงคุณธรรม

แม้ว่าข้อตกลงคุณธรรมจะสามารถประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้แล้วกว่า 77,000 ล้านบาท แต่ยังคงมีข้อจำกัดสำคัญ ได้แก่

  • โครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมมีขนาดเล็กลงจากเดิมมาก โดยจากเดิมที่ครอบคลุมโครงการรวมมูลค่า 4-5 แสนล้านบาทต่อปี ปัจจุบันเหลือเพียง 50,000 ล้านบาท
  • หน่วยงานเจ้าของโครงการบางแห่งเลือกถอนตัวจากการเข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม หรือหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูล ด้วยการตีความกฎหมายเฉพาะ
  • โครงการ PPP และ EEC ใช้ข้อตกลงคุณธรรมในเวอร์ชันที่ตนเองกำหนด โดยไม่มีการกำกับจากหน่วยงานกลาง ทำให้ไม่สอดคล้องกับหลักสากล

เสียงสะท้อนจากสังคม ความเห็นสองด้านต่อมาตรการตรวจสอบ

ฝ่ายสนับสนุนการปฏิรูป เห็นว่า มาตรการที่ ACT เสนอมีความชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีหากรัฐมีเจตจำนงทางการเมืองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะระบบฐานข้อมูล ACT Ai ซึ่งมีศักยภาพเป็นเครื่องมือทางสาธารณะที่ทรงพลังในการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างทั่วประเทศ

ฝ่ายที่มีข้อกังวล ชี้ว่าการเปิดเผยข้อมูลมากเกินไปโดยไม่ควบคุมอาจส่งผลให้เกิดการตีความผิด หรือกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทำให้ผู้บริหารโครงการทำงานอย่างระมัดระวังจนขาดประสิทธิภาพ และอาจทำให้กระบวนการพัฒนาล่าช้า

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชน คือหลักสำคัญที่ต้องมีในทุกโครงการที่ใช้เงินภาษีประชาชน

ข้อเท็จจริงและสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่บันทึกในระบบ ACT Ai: มากกว่า 42,000,000 โครงการ
  • จำนวนผู้ค้าหรือนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบ: มากกว่า 1,500,000 ราย
  • มูลค่างบประมาณที่ข้อตกลงคุณธรรมช่วยประหยัดได้: 77,000 ล้านบาท (ข้อมูลจาก ACT ณ ปี 2567)
  • มูลค่าโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐโดยรวมในแต่ละปี (เฉลี่ย): 4.5-5 แสนล้านบาท
  • จำนวนโครงการที่เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรมในปีล่าสุด: ไม่ถึง 50,000 ล้านบาท

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) – www.anticorruption.in.th
  • เว็บไซต์โครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) – www.gprocurement.go.th
  • ระบบ ACT Ai – www.actai.co
  • รายงานประจำปี 2567 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)
  • รายงานติดตามการใช้งบประมาณรัฐ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

กองบัญชาการตำรวจสั่งย้ายข้าราชการเอี่ยวบ่อนชายแดนเมียนมา

ผบ.ตร. สั่งช่วยราชการนายพลตำรวจ 2 นาย เซ่นปมเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน

กรุงเทพฯ, วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ปมร้อน! นายพลตำรวจพัวพันธุรกิจสีเทา-ค้ามนุษย์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 63/2568 และ 64/2568 ให้ข้าราชการตำรวจระดับนายพล 2 นาย ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ

คำสั่งที่ 63/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนคาสิโน รวมถึงเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีดังกล่าว และเพื่อความโปร่งใสจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือประการใด เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้างซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าการกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

พล.ต.ต. สัมฤทธิ์ เอมกมล

คำสั่งที่ 64/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาร์ อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาดและสถานีตำรวจภูธรพบพระ จังหวัดตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล

เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีที่เป็นสงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบกับระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

การรักษาราชการแทน

ในส่วนของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.วีรพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตากอีกหนึ่งหน้าที่

คำสั่งมีผลบังคับใช้ทันที

คำสั่งทั้งสองฉบับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ความโปร่งใสและการตรวจสอบ

การดำเนินการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความโปร่งใสและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS TOP STORIES

พบทั่วโลกติดสินบน 2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2567 ที่โรงแรมสวิสโซเทล สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย พร้อมจัดเสวนาหัวข้อ “การต่อต้านการทุจริตในภาคเอกชนและบทบาทของภาคเอกชนไทย” 

นายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ รองเลขาธิการ ป.ป ช. กล่าวตอนหนึ่งว่า การคอร์รัปชัน ติดสินบนพนักงานของรัฐเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับการทำธุรกิจ ธนาคารโลกประมาณการว่าในแต่ละปีมีค่าใช้จ่ายสำหรับติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วน world economic forum ประมาณการตัวเลขความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตอยู่ที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5% ของจีดีพีโลก

 

สำหรับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ป.ป.ช. ได้ประสานการทำงานร่วมกับบริษัทต่างชาติ และทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกัน เมื่อเข้ามาแล้วต้องปฏิบัติตามมาตรฐานอนุสัญญาต่อต้านการทุจริต กำหนดให้รัฐภาคีจะต้องออกมาตรการส่งเสริมและป้องกันการทุจริต ส่งเสริมคุณธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กรไม่ยอมรับการทุจริต ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงความรับผิดทางอาญากรณีการทุจริตทั้งจากเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงนิติบุคคลที่มีส่วนร่วมในการทุจริต และให้สัญญาเป็นโมฆะ ทั้งนี้ ป.ป.ช. พยายามแก้ไขกฎหมายให้สามารถเอาผิดซ้ำใน 2 ประเทศอีกด้วย ขณะนี้ไทยมุ่งหวังจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการติดสินบน ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 44 ประเทศ

 

ด้าน นางวีเบกเกอ เลอเซนด์ เลอแวก (Mrs.Vibeke Lyssand Leivag ) ประธานหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าต่างประเทศฯ ทำงานในประเทศไทยมา 48 ปีแล้ว มีสมาชิก 36 บริษัท มีเครือข่าย 8,000 – 9,000 บริษัท เพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคบริการที่เติบโตและยังมีโอกาสในการลงทุนมากมาย ประเทศไทยยังอยู่ในพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถนำไปสู่ตลาดอาเซียนได้ มีมาตรการจูงใจการลงทุนจำนวนมาก แต่โอกาสมาพร้อมกับความท้าทาย ทั้งการแข่งขันในภาคธุรกิจ และระบบราชการไทยที่ซับซ้อน เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาจะมีการประท้วง มีการรัฐประหาร ที่จริงรัฐบาลปัจจุบันให้การส่งเสริมการลงทุนจำนวนไม่น้อย แต่สิ่งที่ต้องทำเพิ่มคือการปรับปรุงระบบการศึกษา เพิ่มทักษะการทำงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ นวัตกรรมใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน โลจิสติกส์และสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจ

 

เหตุผลที่กล่าวมาเหล่านี้ มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและประกอบธุรกิจในประเทศไทย รวมถึงการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งมีความเสี่ยงต่อชื่อเสียงไม่น้อย จะเห็นว่าดัชนีการทุจริตไม่ได้มีการพัฒนาขึ้น จากปี 2018 ตกลงจากอันดับที่ 99 มาอยู่ที่ลำดับ 108 จะเห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชันทำให้เกิดปัญหาในการประกอบธุรกิจ เกิดความไม่ยุติธรรมหากไม่มีการจ่ายค่าน้ำชา เราอยากมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความยุติธรรม เป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาครัฐ เอกชน และภาควิชาการจะต้องทำงานร่วมกัน

 

นางกุลภัทรา สิโรดม ประธานกรรมการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย กล่าวว่า ถ้าบริษัทมีกรรมการที่ดี เราสามารถลดการติดสินบนและการทุจริตลงได้ทั้งในบริษัทและนอกบริษัท รวมถึงทั้งในประเทศและนอกประเทศด้วย ซึ่งสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2010 เพื่อป้องกันการคอร์รัปชันโดยสมัครใจ มีการจัดทำหลักสูตรการศึกษาเพื่อต่อต้านการทุจริต อิงตามมาตรฐานนานาชาติ ทำการอบรมการวิเคราะห์และควบคุมลดปัญหาการทุจริตภายในองค์กรของตัวเอง และยังมีโปรแกรมผู้นำจริยธรรมที่พยายามจะช่วยผู้บริหารให้ตัดสินใจเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ได้

 

ขณะที่นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ กรรมการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เห็นว่า การสร้างคุณธรรมและค่านิยมต่อเยาวชนไทยในการต่อต้านการทุจริตถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะลดโอกาสการทุจริตในประเทศไทยลงได้ รวมถึงร่วมกับภาครัฐในการส่งเสริมการเปิดเผยการทุจริตทุกประเภท โดยเฉพาะการจัดจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐ การสนับสนุนการผลักดันการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ จะทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น.

  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

 NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAMกองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News

MOST POPULAR
FOLLOW ME


Facebook


Times


Instagram


Youtube


Line

NEWS UPDATE
BREAKING NEWS


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566

xemeaino