Categories
NEWS UPDATE

มหาวิทยาลัยพะเยาเปิดตัว “หอม มพ. 1” ข้าวเหนียวลูกผสมต้านโรคไหม้ ผลผลิต 830 กก./ไร่ มั่นคงอาหารภาคเหนือ

พะเยาเปิดตัว “หอม มพ. 1” ข้าวเหนียวลูกผสม 3 สายพันธุ์ ผลผลิตเฉลี่ย 830 กก./ไร่ หวังยกระดับรายได้และความมั่นคงอาหารภาคเหนือ

พะเยา, 12 ธันวาคม 2568 – ท่ามกลางความผันผวนของราคาข้าวและภาวะเสี่ยงจากโรคพืชที่เกษตรกรไทยเผชิญมาหลายปี การพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียวใหม่ “หอม มพ. 1” โดยมหาวิทยาลัยพะเยา ร่วมกับเครือข่ายนักวิจัยและหน่วยงานด้านการเกษตร กำลังถูกจับตามองว่าอาจเป็น “คำตอบใหม่” ให้กับชาวนาในภาคเหนือตอนบน ทั้งในมิติของผลผลิตที่แน่นอนขึ้น ต้นทุนที่บริหารจัดการได้ดีขึ้น และโอกาสสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน

ข้าวเหนียวพันธุ์ใหม่นี้ไม่เพียงตอบโจทย์เรื่อง “กินอร่อย–ปลูกได้จริง” เท่านั้น แต่ยังสะท้อนแนวทางการทำงานวิจัยเชิงระบบ ที่พยายามเชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในขณะเดียวกันก็สร้าง “ความหวัง” ให้กับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ที่ต้องการพันธุ์ข้าวที่แข็งแรงกว่าเดิม และไม่เสี่ยงต่อความเสียหายจากโรคระบาดในแปลงนาเหมือนที่ผ่านมา

วิกฤตเงียบในท้องนา เมื่อ “กข6” ไม่ตอบโจทย์เหมือนเดิม

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา “กข6” เป็นชื่อที่คุ้นเคยในหมู่เกษตรกรภาคเหนือและอีสาน ข้าวเหนียวพันธุ์นี้ผูกพันกับวิถีชีวิตและอาหารพื้นบ้านของผู้คนจำนวนมาก แต่ในความคุ้นชินนั้น กลับซ่อนปัญหาที่สะสมเรื่อยมาจนกระทบต่อ “ความมั่นคงรายได้” ของชาวนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัญหาหลักของพันธุ์กข6 ที่เกษตรกรสะท้อนตรงกัน คือ ข้าวพันธุ์นี้ “ไวต่อช่วงแสง” ทำให้ปลูกได้จำกัดเพียงบางฤดูกาล การวางแผนเพาะปลูกจึงขาดความยืดหยุ่น และเมื่อเจอการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือฝนฟ้าไม่เป็นใจ ความเสี่ยงในการเสียหายทั้งแปลงก็เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ กข6 ยังเป็นพันธุ์ที่ “มักเป็นโรคไหม้” ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้ต้นข้าวเป็นวงกว้าง หากเกิดในช่วงสำคัญของการออกรวง ผลผลิตที่ได้อาจลดฮวบกว่าครึ่งในปีใดปีหนึ่ง

ภายใต้แรงกดดันจากทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ตลาดข้าวโลกที่แข่งขันรุนแรง และสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนบ่อยครั้ง การพึ่งพาพันธุ์ข้าวแบบเดิมเพียงไม่กี่พันธุ์ จึงเริ่มกลายเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ผลผลิตต่อไร่” แต่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเศรษฐกิจฐานรากและความมั่นคงด้านอาหารในระดับภูมิภาค

จากห้องทดลองสู่ท้องทุ่ง การเดินทางของ “หอม มพ. 1”

เพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว ทีมวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู ได้เริ่มต้นโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียวที่ “ตอบโจทย์จริง” ทั้งด้านวิชาการและชีวิตจริงของชาวนา โดยตั้งเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า ข้าวพันธุ์ใหม่ต้อง

  • ไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ยืดหยุ่นขึ้น
  • ทนทานต่อโรคสำคัญอย่างโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง
  • ให้ผลผลิตต่อไร่ในระดับที่คุ้มค่า
  • มีกลิ่นหอมและคุณภาพเมล็ดที่เหมาะกับอาหารพื้นบ้านและการแปรรูป

ทีมวิจัยใช้ทั้ง “การปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิม” และ “เทคโนโลยีดีเอ็นเอสมัยใหม่” มาช่วยคัดเลือกต้นที่มีศักยภาพดีที่สุดอย่างเป็นระบบ ข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” จึงเป็นผลลัพธ์จากการผสมข้ามระหว่าง 3 สายพันธุ์ ได้แก่

  • สันป่าตอง 1 – พันธุ์พื้นบ้านที่ชาวเหนือคุ้นเคยในเรื่องกลิ่นหอม
  • กข6 – พันธุ์หลักเก่าแก่ที่ต้องการนำข้อดีบางประการมาปรับใช้
  • สายพันธุ์วิจัย RGD07585-5-B-MAS-12-1-MAS-14 – สายพันธุ์วิจัยที่นำมาเสริมเรื่องความทนทานต่อโรค

การคัดเลือกทีละรุ่นผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ได้ต้นแบบที่มีคุณสมบัติตามเป้าหมาย ทั้งด้านพันธุกรรมและลักษณะทางการเกษตร ก่อนจะได้รับการประเมินในแปลงทดลองและแปลงเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง

ตัวเลขที่เล่าเรื่องได้ ผลผลิต 830 กิโลกรัมต่อไร่ และความแข็งแรงของต้นข้าว

หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ทำให้ “หอม มพ. 1” ถูกจับตามอง คือ ผลผลิตเฉลี่ยที่ประมาณ 830 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “ดีมาก” เมื่อเทียบกับข้าวเหนียวพันธุ์ดั้งเดิมในหลายพื้นที่ที่มักเผชิญปัญหาโรคและสภาพอากาศจนผลผลิตแกว่งไปมา

ข้าวพันธุ์นี้มีลำต้นแข็งแรง ความสูงเฉลี่ยประมาณ 126 เซนติเมตร รวงยาว เมล็ดใหญ่ ช่วยให้การเก็บเกี่ยวเป็นไปอย่างสะดวก และลดความเสี่ยงจากการหักล้มในช่วงปลายฤดู นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติสำคัญคือ “ไม่ไวต่อช่วงแสง” ทำให้เกษตรกรวางแผนการปลูกได้ยืดหยุ่นกว่าเดิม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่มีความหลากหลายของระบบนาชลประทานและนาปี

ระยะเวลาตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวอยู่ที่ประมาณ 140–150 วัน เหมาะอย่างยิ่งกับ “นาปี” ในพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอ ขณะเดียวกัน ข้อจำกัดด้านการใช้น้ำที่ยังจำเป็นในระบบ “นาปรัง” ก็อยู่ระหว่างการศึกษาต่อยอดของทีมวิจัย เพื่อให้สามารถปรับตัวพันธุ์ให้สอดคล้องกับสภาพน้ำในบางพื้นที่ได้มากขึ้นในอนาคต

ต้านโรคไหม้–ขอบใบแห้ง ลดต้นทุน ลดความเสี่ยง

โรคไหม้และโรคขอบใบแห้งเป็น “ฝันร้าย” ของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวในหลายจังหวัดภาคเหนือ เมื่อเกิดการระบาดขึ้นในช่วงวิกฤตของวงจรการเจริญเติบโต ผลผลิตทั้งแปลงอาจเสียหายอย่างรวดเร็ว และต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายด้านสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่สูงขึ้น

การที่ “หอม มพ. 1” ถูกออกแบบให้มีความต้านทานโรคไหม้ และทนโรคขอบใบแห้งได้ดี จึงมีนัยสำคัญมากกว่าตัวเลขเชิงวิชาการ เพราะหมายถึง

  • ความเสี่ยงจากการสูญเสียผลผลิตลดลง
  • ภาระต้นทุนด้านสารเคมีลดลง
  • ภาระงานดูแลรักษาแปลงนาลดลงในภาพรวม

เมื่อข้าวในนาแข็งแรงกว่าเดิม เกษตรกรย่อมมี “พื้นที่หายใจ” ในการวางแผนการผลิตมากขึ้น ไม่ต้องเดิมพันทั้งฤดูกาลกับโรคระบาดเพียงอย่างเดียว และเมื่อผลผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น การวางแผนขาย การต่อรองราคา ตลอดจนการวางแผนแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้นตามไปด้วย

กลิ่นหอม–เมล็ดสวย จากหม้อข้าวในครัวสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชน

นอกจากความแข็งแรงในแปลงนา จุดเด่นอีกด้านของ “หอม มพ. 1” คือ “กลิ่นหอมและเนื้อสัมผัส” หลังการนึ่งที่ได้รับการเปรียบเทียบว่า “หอมชัด” กว่าสันป่าตอง 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่คนเหนือคุ้นเคยมานาน

เมื่อนึ่งเป็นข้าวเหนียวแล้วให้เนื้อสัมผัสที่นุ่ม เหมาะกับเมนูพื้นบ้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวหลาม เมนูหมกข้าว หรืออาหารร้านทั่วไป ขณะเดียวกัน เมล็ดข้าวที่มีขนาดใหญ่และเรียงตัวสวย ยังเหมาะอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเป็น “สินค้าเพิ่มมูลค่า” เช่น ขนมพื้นบ้านบรรจุแพ็กเกจ, ชุดของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์ชุมชน

เมื่อมองผ่านเลนส์เศรษฐกิจฐานราก คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยเปิดทางให้ไม่เพียง “ขายข้าวเปลือก” แต่ยังต่อยอดไปสู่การขายข้าวสารบรรจุถุง ข้าวเหนียวแปรรูป หรือผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวชุมชนในอนาคตได้อย่างชัดเจน

มากกว่าพันธุ์พืชใหม่ เศรษฐกิจหมุนเวียนในหมู่บ้าน

เมื่อข้าวพันธุ์หนึ่งสามารถให้ผลผลิตสม่ำเสมอ ลดต้นทุน ลดความเสี่ยงจากโรค และมีคุณภาพเมล็ดที่ดี ก็ย่อมส่งผลต่อ “ระบบเศรษฐกิจในหมู่บ้าน” อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่โรงสีที่มีเมล็ดข้าวคุณภาพดีสำหรับแปรรูป ร้านอาหารท้องถิ่นที่มีวัตถุดิบมาตรฐาน ไปจนถึงกลุ่มแม่บ้านที่สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากข้าวพันธุ์เดียวกัน

การที่ “หอม มพ. 1” ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรอย่างเป็นทางการ และอยู่ระหว่างการผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อกระจายสู่เกษตรกร จึงไม่ใช่เพียงก้าวย่างของงานวิจัยในมหาวิทยาลัย แต่เป็นการ “วางเมล็ดพันธุ์ทางเศรษฐกิจ” ให้กับหลายชุมชนในภาคเหนือตอนบน

สำหรับเกษตรกรรายย่อย ผลผลิตเฉลี่ยราว 830 กิโลกรัมต่อไร่ หากบริหารจัดการด้านต้นทุนและตลาดได้ดี ย่อมมีโอกาสสร้างรายได้ที่มั่นคงกว่าเดิม และเมื่อรายได้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้น เงินก็หมุนเวียนกลับเข้าสู่ร้านค้า โรงสี กลุ่มแปรรูป และธุรกิจบริการในหมู่บ้านมากขึ้น เป็นวงจรเศรษฐกิจที่มี “ข้าว” เป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง

 

พลังของเครือข่ายวิจัย จาก ม.พะเยา สู่ศูนย์วิจัยข้าวในภูมิภาค

เบื้องหลัง “หอม มพ. 1” ไม่ได้เป็นเพียงผลงานของมหาวิทยาลัยพะเยาเท่านั้น แต่เกิดจากความร่วมมือของหลายหน่วยงาน นักวิจัย และศูนย์วิจัยในพื้นที่

โครงการนี้มี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู เป็นหัวหน้า ร่วมกับ อาจารย์วราวุฒิ โล๊ะสุข จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน, นางสาวศิริพร กออินทร์ศักดิ์ และ ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) รวมทั้งทีมผู้ช่วยวิจัยในพื้นที่ ขณะเดียวกัน ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย และศูนย์วิจัยข้าวแพร่ ภายใต้กรมการข้าว ก็มีบทบาทสำคัญในการทดสอบพันธุ์ในสภาพแวดล้อมจริงของภาคเหนือตอนบน

ด้านงบประมาณและกรอบการวิจัย ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก. – องค์การมหาชน) ทำให้สามารถเดินหน้าทดลอง คัดเลือก และประเมินผลในระยะยาวจนได้พันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่จริง ไม่ใช่เพียงในแปลงทดลองในรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น

เครือข่ายดังกล่าวสะท้อนให้เห็นรูปแบบความร่วมมือ “ห่วงโซ่คุณค่า” ตั้งแต่ห้องทดลอง ไปจนถึงแปลงนาและโรงสีในชุมชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการวิจัยด้านเกษตรสมัยใหม่ ที่ต้องเชื่อมองค์ความรู้กับข้อเท็จจริงในภาคสนามให้ได้มากที่สุด

เชื่อมวิชาการกับวิถีชุมชน “เกี่ยวข้าว ตีข้าว วิถีชาวล้านนา”

อีกหนึ่งภาพสะท้อนที่น่าสนใจ คือกิจกรรม “วิถีวัฒนธรรมแห่งท้องทุ่ง เกี่ยวข้าว ตีข้าว วิถีชาวล้านนา” ที่มหาวิทยาลัยพะเยาจัดขึ้น ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา เป็นประธานนำคณาจารย์ บุคลากร และนิสิต ร่วมลงแขกเกี่ยวข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ในแปลงสาธิต

กิจกรรมดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการ “ทดลองเก็บเกี่ยว” พันธุ์ข้าวใหม่ แต่ยังเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสกระบวนการทำนาแบบดั้งเดิม ตั้งแต่การเกี่ยวข้าว การตีข้าว ไปจนถึงการคัดแยกเมล็ด เป็นประสบการณ์ตรงที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการ เข้ากับภูมิปัญญาชาวบ้านอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับชุมชนในพื้นที่ การได้เห็นมหาวิทยาลัยไม่ยืนอยู่ห่างจากแปลงนา แต่ลงมาร่วมมือกับเกษตรกรในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ การทดลองปลูก ไปจนถึงการจัดกิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน ย่อมสร้าง “ความเชื่อมั่น” ว่า งานวิจัยที่เกิดขึ้นไม่ได้จบลงแค่ในรายงานหรือวารสารวิชาการ แต่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่จริง

อนาคตของ “หอม มพ. 1” จากพันธุ์ข้าวสู่ความมั่นคงทางอาหาร

แม้ “หอม มพ. 1” จะเพิ่งผ่านการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรและอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตเมล็ดพันธุ์เชิงระบบ แต่ในมุมมองเชิงนโยบายด้านเกษตรและความมั่นคงอาหาร พันธุ์ข้าวเหนียวชนิดนี้สะท้อนภาพที่ใหญ่กว่านั้นอย่างชัดเจน

ประการแรก ข้าวพันธุ์ที่ทนโรค ต้านโรคไหม้ และทนโรคขอบใบแห้งได้ดี ช่วยลดการพึ่งพาสารเคมีและลดต้นทุนของเกษตรกร ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางเกษตรยั่งยืนและเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

ประการที่สอง การที่พันธุ์นี้ไม่ไวต่อช่วงแสง ทำให้มีความยืดหยุ่นในการปลูกมากขึ้น สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย และช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกในการวางแผนรอบการปลูกตามปริมาณน้ำและสภาพพื้นที่

ประการที่สาม กลิ่นหอมและคุณภาพเมล็ดที่เหมาะกับการแปรรูป ช่วยเปิดประตูสู่ “ห่วงโซ่มูลค่าเพิ่ม” ในระดับชุมชน ตั้งแต่การขายข้าวสารบรรจุถุงภายใต้แบรนด์ท้องถิ่น ไปจนถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ในหลายจังหวัดภาคเหนือ

ท้ายที่สุด การที่งานวิจัยนี้เกิดจากความร่วมมือของมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัย ภาควิชาการ และศูนย์วิจัยข้าวในภูมิภาค แสดงให้เห็นว่า “ความมั่นคงทางอาหาร” ไม่ได้เป็นโจทย์ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นโจทย์ร่วมของทั้งระบบ ที่ต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการอย่างต่อเนื่อง

ภาพปลายทุ่ง เมื่อเมล็ดพันธุ์ใหม่กำลังจะถึงมือชาวนา

เมื่อแปลงสาธิตเริ่มให้ผลผลิตจริง กิจกรรมเกี่ยวข้าวและตีข้าวถูกจัดขึ้น ท่ามกลางนิสิต นักวิจัย และเกษตรกรที่ยืนมองเมล็ดข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ที่ร่วงหล่นจากฟ่อนข้าวลงสู่ลานนวด หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าตัวเลข 830 กิโลกรัมต่อไร่ หรือชื่อสายพันธุ์ RGD07585-5-B-MAS-12-1-MAS-14 หมายถึงอะไรในเชิงวิชาการ

แต่สำหรับชาวนา สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือคำตอบง่าย ๆ ว่า “ปลูกแล้วได้ผลไหม เสี่ยงน้อยลงหรือเปล่า และขายได้หรือไม่”

คำตอบเบื้องต้นจากการทดลองและการรับรองพันธุ์ คือ “หอม มพ. 1” มีศักยภาพที่จะช่วยให้คำถามเหล่านี้มีคำตอบที่ชัดเจนขึ้น ทั้งในแง่ของผลผลิตที่แน่นอน คุณภาพข้าวที่ดี และโอกาสในการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เมื่อเมล็ดพันธุ์ถูกผลิตในปริมาณที่เพียงพอและกระจายไปถึงมือชาวนาในภาคเหนือตอนบน วิถีของชุมชนหลายแห่งอาจค่อย ๆ เปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ แต่มั่นคง

ในวันที่ราคาข้าวโลกยังผันผวน และสภาพอากาศยังคาดเดายาก เมล็ดพันธุ์ที่แข็งแรงหนึ่งเมล็ดจึงไม่ใช่แค่เรื่องของพันธุกรรมในต้นข้าว แต่คือ “โอกาสใหม่” ของครอบครัวหนึ่งครอบครัว และของชุมชนหนึ่งชุมชน ที่จะยืนหยัดอยู่บนผืนดินของตนเองต่อไปอย่างมีศักดิ์ศรี

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา
  • ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยพะเยา
  • โครงการวิจัยพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) (องค์การมหาชน)
  • สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
  • ศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย และศูนย์วิจัยข้าวแพร่ กรมการข้าว
  • กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก-เข้มเครื่องชั่ง ปิดช่องกดราคา

พาณิชย์เร่งคุมเกม “ข้าวเหนียวเชียงราย” ช่วยเกษตรกรขายได้เป็นธรรม เปิดตลาดนัดข้าวเปลือก–เข้มเครื่องชั่ง–ชูกรอบกฎหมาย ปิดช่องกดราคา

เชียงราย,23 ตุลาคม 2568 – สัญญาณเตือนจากทุ่งนา และแผนตอบสนองที่ต้องทันเวลา เสียงสะท้อนจากชาวนาอำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย ในช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยวปีนี้ ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวปลายไร่” อีกต่อไป เมื่อความกังวลเรื่องระบายผลผลิตและแรงกดราคาหวนกลับมาในจังหวะผลผลิตเริ่มเทลงตลาด รัฐจึงขยับทันที กรมการค้าภายในประสานสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย สหกรณ์การเกษตร และโรงสีในพื้นที่ เพื่อยืนยัน “ช่องทางขายมีจริง–รับซื้อมีต่อเนื่อง–การซื้อขายต้องโปร่งใส” พร้อมเปิดแผน “ตลาดนัดข้าวเปลือก” สองระลอกในเดือนพฤศจิกายน และส่งทีมชั่งตวงวัดลงพื้นที่ ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และป้ายราคารับซื้อให้ชัดเจนตามกฎหมายที่บังคับใช้ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา เพื่อปิดทางเอาเปรียบเกษตรกรอย่างเด็ดขาด

ภาพรวมสถานการณ์ข้าวเหนียวครองสัดส่วน 62%—ตัวเลขที่บอกทั้ง “โอกาส” และ “แรงกดดัน”

ข้อมูล ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2568 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดแล้ว 24% หรือ 202,854 ตัน จากประมาณการผลผลิตทั้งหมด 845,225 ตัน โดยเป็นข้าวเหนียวมากที่สุด 539,977 ตัน คิดเป็น 62% ข้าวเจ้า 22% ข้าวหอมมะลิ 14% และข้าวหอมปทุม 2% ด้านราคารับซื้อ “ข้าวเหนียว” ความชื้น 25–30% อยู่ที่ 6.70–7.30 บาทต่อกิโลกรัม ตัวเลขเหล่านี้ชี้ชัดว่าความเข้มข้นของข้าวเหนียวในโครงสร้างผลผลิตปีนี้ คือ “ฐานรายได้หลัก” ของครัวเรือนนาในพื้นที่ แต่ก็คือ “แรงกดดันราคา” หากกลไกตลาดไม่โปร่งใสพอหรือการแข่งขันไม่เป็นธรรม

ปฏิบัติการเชิงรุก “ตลาดนัดข้าวเปลือก” + “เข้มงวดเครื่องมือวัด” + “กฎหมายเอาผิด”

เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้เกษตรกรและผ่อนแรงกดดันด้านราคา กรมการค้าภายในร่วมกับจังหวัดกำหนด “ตลาดนัดข้าวเปลือก” จำนวน 2 ครั้ง

  • ระหว่าง 11–13 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรป่าแดด จำกัด อำเภอป่าแดด
  • และ 18–20 พฤศจิกายน 2568 ที่สหกรณ์การเกษตรแม่สาย จำกัด อำเภอแม่สาย

เวทีนี้เปิดให้ชาวนานำผลผลิตมาพบผู้ซื้อหลากรายมากขึ้น เกิดการแข่งขันราคา โปร่งใส และตรวจสอบได้ ขนาบด้วยมาตรการ “คุมเข้ม” การชั่งตวงวัด ลงพื้นที่ตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และกำกับให้สถานประกอบการติดป้ายราคารับซื้ออย่างชัดเจนตามกฎหมาย ซึ่งหากพบการฝ่าฝืน เช่น ไม่ติดป้ายราคา ติดป้ายไม่ถูกต้อง หรือใช้อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน จะมีโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่เพิ่งประกาศใช้ในปีนี้

“กรมฯ ติดตามสถานการณ์รับซื้ออย่างใกล้ชิด และย้ำให้มั่นใจว่าการรับซื้อเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม หากพบการเอาเปรียบเกษตรกร จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด” — นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน (สรุปสาระคำให้สัมภาษณ์)

กรอบกฎหมายที่ “ฟันได้จริง” จากป้ายราคา–เครื่องชั่ง สู่บทลงโทษจำคุก

เครื่องมือทางกฎหมายคือฐานความเชื่อมั่นที่ทำให้มาตรการภาคสนาม “กัดได้จริง” โดยเฉพาะ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 69 พ.ศ. 2568 เรื่องการแสดง “ราคารับซื้อสินค้าเกษตร” ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ 2 กรกฎาคม 2568 กำหนดให้ผู้รับซื้อในห่วงโซ่ต้องแสดงราคารับซื้อให้ชัดเจน โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ หาก “ไม่ปิดป้ายราคา” หรือ “แสดงราคาไม่ถูกต้อง” มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และหาก “กดราคา” หรือ “เอาเปรียบเกษตรกร” เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นสัญญาณ “แดงก้าวข้ามเหลือง” ให้ผู้เล่นในตลาดต้องยึดกติกาอย่างเคร่งครัด

พญาเม็งราย จุดเริ่ม “เสียงกังวล” ที่กลายเป็น “แผนปฏิบัติการ”

กรณีเกษตรกรในอำเภอพญาเม็งรายสะท้อนความห่วงใยเรื่องการขายผลผลิต คือเหตุปัจจัยที่ทำให้หน่วยงานรัฐ “ลงมือทันที” สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเชิญสหกรณ์–โรงสี–ตัวแทนเกษตรกร ประชุมคลี่สถานการณ์ เร่งยืนยัน “สหกรณ์รับซื้อได้ต่อเนื่อง” ไม่มีการหยุดหรือปฏิเสธรับซื้อ และระดมโรงสีในจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงเข้ารับซื้อเพิ่มในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงราคาถูกกด และทำให้ตลาดแข่งขันอย่างเป็นธรรมมากขึ้น

ตลาดนัดข้าวเปลือก” เวทีแข่งขันราคาที่เห็นผลเร็ว

ตลาดนัดข้าวเปลือกมิใช่เพียง “อีเวนต์ขายข้าว” แต่เป็นการสร้าง แพลตฟอร์มแข่งขันราคา ในระยะสั้น ให้ชาวนาพบผู้ซื้อได้โดยตรงมากขึ้น รัฐ–สหกรณ์–โรงสี–ผู้ซื้อจากนอกพื้นที่จึงมารวมกันในจุดเดียว ขยายจำนวน “ผู้เสนอราคา” ให้มากกว่าโครงสร้างปกติที่มีผู้ซื้อจำกัด และหากเชื่อมโยงกับระบบตรวจเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคาในพื้นที่ จะทำให้การประกาศราคาในตลาดนัดกลายเป็น “จุดอ้างอิง” ที่กดแรงฮั้วหรือการบิดเบือนราคาได้ในทางปฏิบัติ. ขณะเดียวกัน การรวมผู้ซื้อจำนวนมากไว้ในที่เดียว ยังลดต้นทุนธุรกรรมของชาวนา ทั้งเรื่องการเดินทางและเวลา เป็นผลบวกทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่สะท้อนในกระเป๋าเงินอย่างชัดเจน

 “โครงสร้างผลผลิต” และ “กรอบราคารับซื้อ”

  • ผลผลิตออกสู่ตลาด: 24% หรือ 202,854 ตัน จากรวม 845,225 ตัน (ณ 19 ต.ค. 2568)
  • สัดส่วนข้าวเหนียว: 62% หรือ 539,977 ตัน (ฐานหลักรายได้เกษตรกรนาในพื้นที่)
  • ราคารับซื้อข้าวเหนียว (ความชื้น 25–30%): 6.70–7.30 บาท/กก.

ตัวเลขทั้งสามเส้นนี้สะท้อน “โจทย์กำกับตลาด” ที่ต้องเร่งจัดการ เพราะยิ่งส่วนแบ่งข้าวเหนียวสูง แรงกดดันด้านราคายิ่งมีแนวโน้มชัด หากการแข่งขันไม่เปิดกว้างพอหรือมาตรฐานการซื้อขายขาดความโปร่งใส

พันธุ์ “กข 22” กับปัญหากลายพันธุ์ จากข้อร้องเรียนสู่กระบวนการพิสูจน์

อีกประเด็นที่รัฐต้องเร่งขานรับ คือข้อเรียกร้องเรื่องพันธุ์ กข 22 ที่เกษตรกรบางส่วนระบุว่า “ไม่ได้คุณภาพ” เพราะเกิดปัญหากลายพันธุ์ จนทำให้ขายได้ราคาไม่ดีดังเดิม กรมการค้าภายในจึงประสานหน่วยงานในพื้นที่และ กรมการข้าว เพื่อ “ลงพื้นที่พิสูจน์พันธุ์” แยกให้ชัดว่าความผิดปกติเกิดที่ใด—เมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูก หรือกระบวนการหลังเก็บเกี่ยว—ก่อนจะกำหนดมาตรการแก้ไขที่ตรงจุดต่อไป นี่คือตัวอย่างของ “ลูปข้อมูล–วิทยาศาสตร์–นโยบาย” ที่ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อไม่ให้ “ราคา” เป็นคำตอบสุดท้ายของปัญหาเชิงโครงสร้าง

ภูมิทัศน์การแข่งขัน บทบาท “โรงสี–สหกรณ์” และเครือข่ายนอกพื้นที่

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายได้ประสาน ชมรมโรงสีข้าวจังหวัด และเครือข่ายโรงสีในพื้นที่ใกล้เคียง ให้เข้าร่วมรับซื้อในช่วงผลผลิตออกมาก เพื่อเพิ่มคู่แข่งด้านราคาและดึง “ราคาอ้างอิง” ให้สะท้อนอุปสงค์–อุปทานจริงมากขึ้น ขณะเดียวกัน “สหกรณ์การเกษตร” ในจังหวัดยังทำหน้าที่เป็น “กลไกหลัก” ด้านการรับซื้อ–รวบรวม–เชื่อมต่อกับผู้ซื้อปลายน้ำ ซึ่งในหลายพื้นที่ได้ขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่าน MOU รับซื้อข้าวในราคายุติธรรม เพื่อถัก “เสถียรภาพตลาด” ให้แน่นขึ้นในระยะกลาง

ชุดมาตรการ “รักษาเสถียรภาพราคาข้าว” ระดับประเทศ

ควบคู่ปฏิบัติการภาคสนาม รัฐบาลยังเดินนโยบายเชิงระบบ อาทิ โครงการสินเชื่อชะลอการขายและมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวนาปี 2568/69 เพื่อเสริมสภาพคล่อง–ยืดการขาย และลดแรงเทขายเมื่อผลผลิตออกกระจุกตัว มาตรการชุดนี้ช่วย “คาน” แรงกดราคาจากฝั่งอุปทาน และเชื่อมโยงกับตลาดในระดับจังหวัดอย่างเชียงรายที่กำลังเดินหน้ามาตรการคุมเกมการซื้อขายอย่างใกล้ชิด

กรณีศึกษา “การคุ้มครองเชิงรุก”  เมื่อกฎหมาย + การตรวจสอบ ณ จุดซื้อ ทำงานร่วมกัน

หัวใจสำคัญของการคุ้มครองเกษตรกรคือ “การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก” ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาจึงค่อยแก้ การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดไปยังจุดรับซื้อ ทำให้ “มาตรฐานการซื้อขาย” ถูกยกขึ้นในระดับเดียวกัน ไม่ว่าผู้ซื้อจะเป็นโรงสีรายใหญ่ ผู้รวบรวม หรือผู้ค้ารายย่อย การตรวจเครื่องชั่ง–เครื่องวัดความชื้น และการบังคับ “ป้ายราคารับซื้อ” ตามประกาศ กกร. ทำให้การเอาเปรียบทำได้ยากขึ้น และหากมีการกดราคาโดยไม่เป็นธรรม ก็จะมี “หลักฐาน” สำหรับดำเนินคดีได้ทันที ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่ข้อพิพาทมักจบเพียง “คำต่อคำ”

เสียงจากกรมการค้าภายใน

สาระสำคัญจากคำชี้แจงของ นางสาวญาณี ศรีมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน สะท้อน 3 ประเด็นหลัก

  1. ความต่อเนื่องของการรับซื้อ—สหกรณ์ในพื้นที่ไม่ได้หยุดหรือปฏิเสธการรับซื้อ เพื่อให้ชาวนามั่นใจว่าขายได้จริง
  2. ตลาดนัดข้าวเปลือก—เป็นเครื่องมือเพิ่มอำนาจต่อรอง และสร้างสภาพแข่งขันราคาในช่วงผลผลิตล้น
  3. การคุ้มครองตามกฎหมาย—ส่งเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มเครื่องชั่ง–วัดความชื้น–ป้ายราคา และพร้อมดำเนินคดีหากพบการเอาเปรียบ

แม้ข้อความที่สื่อออกมาจะกระชับ แต่หาก “แปลความ” สู่งานภาคสนาม นี่คือการส่งสัญญาณ “รัฐอยู่ตรงหน้าไซโล” ไม่ใช่อยู่แค่หลังโต๊ะ

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติสำหรับเกษตรกร ใช้สิทธิ–ลดความเสี่ยง–เพิ่มอำนาจต่อรอง

  • ตรวจสภาพความชื้น ให้ใกล้มาตรฐานที่ตลาดยอมรับ เพื่อไม่ถูกกดราคาระหว่างชั่ง
  • ชั่งน้ำหนักก่อนขาย ที่จุดชั่งอิสระของสหกรณ์ในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
  • บันทึกภาพป้ายราคา ณ จุดรับซื้อ พร้อมวัน–เวลา เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิง
  • ขายผ่านตลาดนัดข้าวเปลือก ในวันที่กำหนด เพื่อเปิดเวทีแข่งขันราคาหลายราย
  • ร้องเรียน 1569 เมื่อพบพฤติกรรมเอาเปรียบ หรือพบเครื่องมือชั่ง–วัดไม่ได้มาตรฐาน

ข้อปฏิบัติเหล่านี้สอดรับกับกรอบกฎหมายและมาตรการของรัฐ และสำคัญที่สุดคือ “เกษตรกรต้องมีข้อมูลในมือ” ทุกครั้งก่อนตัดสินใจ

จากฤดูเก็บเกี่ยวนี้ สู่ “ระเบียบวินัยตลาด” ระยะยาว

ปฏิบัติการในเชียงรายวันนี้ คือภาพจำลองของ “วินัยตลาดสินค้าเกษตร” ที่ควรเกิดทั่วประเทศ—ข้อมูลราคาเปิดเผย ตรวจสอบได้ เครื่องมือวัดได้มาตรฐาน ผู้ซื้อ–ผู้ขายรู้สิทธิ–รู้หน้าที่ และรัฐ “เปิดไฟหน้า–ยืนอยู่ในตลาดจริง” เมื่อทั้งห่วงโซ่ทำงานบนกติกาเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นย่อมมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะจะกลายเป็น “ความคาดหวังใหม่” ของผู้เล่นในตลาด—กติกาที่ชัดเจน ยุติธรรม และทำให้รายได้ของครัวเรือนเกษตร คาดเดาได้มากขึ้น ในทุกฤดูกาล.

 “ขายได้ เป็นธรรม ตรวจสอบได้” ต้องเกิดพร้อมกัน

เรื่องเล่าจากพญาเม็งรายอาจเริ่มจากความกังวลของชาวนา แต่วันนี้กำลังขยายผลเป็นชุดปฏิบัติการเต็มรูปแบบ—สหกรณ์รับซื้อต่อเนื่อง ตลาดนัดข้าวเปลือก 2 ระลอก โรงสีใน–นอกจังหวัดเข้าร่วมแข่งราคา เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดลงพื้นที่ และ “กรอบกฎหมายใหม่” ที่บังคับให้แสดงราคารับซื้อ ตอกย้ำความโปร่งใส พร้อมบทลงโทษชัดเจน การขับเคลื่อนเช่นนี้ไม่ได้หมายถึงการ “แก้ข่าว” แต่คือการ “แก้ตลาด” ให้เดินได้ด้วยตัวเอง และที่สุดแล้ว “ขายได้–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้” จะไม่ใช่แค่สโลแกน หากทุกข้อกำหนดและการบังคับใช้ดำเนินไปอย่างจริงจังในทุกจุดรับซื้อของจังหวัด.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าภายใน
  • สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News