Categories
ECONOMY

CP พุ่ง! รวยอันดับ 2 เอเชีย ตระกูลไทยติด 3 อันดับ

ตระกูลเจียรวนนท์ ขึ้นแท่นเศรษฐีอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากอัมบานีแห่งอินเดีย

กรุงเทพฯ, 13 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักข่าว Bloomberg เผย ทำเนียบตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ประจำปี 2025” โดยตระกูล เจียรวนนท์ เจ้าของกลุ่มธุรกิจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ขยับขึ้นมาครอง อันดับที่ 2 ของเอเชีย ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท เป็นรองเพียงตระกูล อัมบานี แห่ง Reliance Industries ของอินเดีย ซึ่งครองอันดับ 1 ติดต่อกันหลายปี

การติดอันดับของตระกูลเศรษฐีไทยในปีนี้ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มทุนไทยในเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก นอกจากนี้ยังมี 2 ตระกูลมหาเศรษฐีไทย ที่ติดอันดับในรายงานของ Bloomberg ได้แก่:

  • ตระกูลอยู่วิทยา เจ้าของ TCP Group หรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ผลิตเครื่องดื่ม กระทิงแดง (Red Bull) ครอง อันดับที่ 8 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 860,000 ล้านบาท
  • ตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของ เครือเซ็นทรัล ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกชั้นนำของไทย ติด อันดับที่ 17 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 527,000 ล้านบาท

อิทธิพลของเศรษฐีเอเชียในเศรษฐกิจโลก

รายงานของ Bloomberg ระบุว่า ในช่วงที่ Donald Trump เริ่มต้นวาระที่สองของการเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มหาเศรษฐีเอเชียต้องเตรียมรับมือกับแนวนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็น ภาษีนำเข้า การเปลี่ยนแปลงด้านการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในเอเชีย

นักวิเคราะห์จาก Singapore Management University มองว่า ทศวรรษใหม่ของเศรษฐกิจโลกอาจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมหาเศรษฐีที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับตลาดโลกโดยตรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน และพลังงาน

ตระกูลเศรษฐีที่ติดอันดับสูงสุดในเอเชีย

  1. ตระกูลอัมบานี – เจ้าของ Reliance Industries (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 90.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  2. ตระกูลเจียรวนนท์ – เจ้าของ CP Group (ไทย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  3. ตระกูลฮาร์โตโน – เจ้าของ Djarum & Bank Central Asia (อินโดนีเซีย) มูลค่าทรัพย์สิน 42.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  4. ตระกูลมิสรา – เจ้าของ Shapoorji Pallonji Group (อินเดีย) มูลค่าทรัพย์สิน 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  5. ตระกูลกว็อก – เจ้าของ Sun Hung Kai Properties (ฮ่องกง) มูลค่าทรัพย์สิน 35.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กลยุทธ์ความมั่งคั่งของตระกูลเจียรวนนท์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ก่อตั้งขึ้นในปี 1921 โดย เจีย เอ็กชอ ซึ่งเป็นผู้อพยพจากจีนมาค้าเมล็ดพันธุ์ผักในไทย ปัจจุบันกลุ่ม CP ขยายธุรกิจครอบคลุม อุตสาหกรรมอาหาร ปศุสัตว์ ค้าปลีก โทรคมนาคม และพลังงาน โดยมีเครือข่ายอยู่ในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก

การลงทุนที่สำคัญของ CP Group

  • ธุรกิจค้าปลีก: เครือ CP All ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven และ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกไทย
  • ธุรกิจโทรคมนาคม: True Corporation หนึ่งในผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือรายใหญ่ของไทย
  • ธุรกิจเกษตรและอาหาร: CPF (Charoen Pokphand Foods) ผู้ผลิตอาหารสัตว์และอาหารแปรรูปรายใหญ่ที่สุดในโลก
  • การขยายตลาดระดับโลก: CP Group มีการลงทุนขยายธุรกิจไปยัง จีน เวียดนาม อินเดีย และยุโรป รวมถึงการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงาน

ทิศทางอนาคตของมหาเศรษฐีเอเชีย

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจชี้ว่า แม้ว่า CP Group และกลุ่มทุนไทยอื่น ๆ จะมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แต่ยังต้องเผชิญกับความท้าทายด้านนโยบายภาษีและการแข่งขันระดับโลก อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการปรับตัวและการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ จะช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตได้อย่างมั่นคง

การขึ้นอันดับของตระกูลเจียรวนนท์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนไทยในระดับโลก และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพสูงในการแข่งขันในตลาดโลกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
NEWS UPDATE

ไทยปลดล็อกเซ็นเซอร์เทศกาลหนังฉายได้เสรี

ปลดล็อกกฎหมายภาพยนตร์ เทศกาลหนังนานาชาติฉายได้โดยไม่ต้องเซ็นเซอร์

กรุงเทพฯม,12 กุมภาพันธ์ 2568  –การปฏิรูปกฎหมายภาพยนตร์ไทยก้าวหน้าไปอีกขั้น หลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศให้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศสามารถฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่ต้องผ่านกองเซ็นเซอร์ ถือเป็นการเปิดเสรีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ครั้งสำคัญของประเทศ

การแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์

สมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย (THACCA) ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรมและคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้ผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการจัดแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย จนนำไปสู่การออกประกาศปลดล็อกภายใต้ ประกาศคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เรื่อง เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศตามมาตรา 27(4) พ.ศ. 2568” ซึ่งประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568

ตามประกาศฉบับนี้ เทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศในไทยที่ได้รับการรับรอง สามารถฉายภาพยนตร์ได้โดย ไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาต จากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติอีกต่อไป ซึ่งช่วยลดภาระให้กับผู้จัดงานและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เปลี่ยนแปลงกระบวนการขออนุมัติเทศกาลภาพยนตร์

ตามกฎใหม่ ผู้จัดงานที่ต้องการให้เทศกาลของตนได้รับการรับรองเป็นเทศกาลภาพยนตร์ระหว่างประเทศ สามารถ ยื่นคำขอต่อกรมส่งเสริมวัฒนธรรมอย่างน้อย 15 วันก่อนจัดงาน แทนที่จะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 60 วันล่วงหน้าตามระเบียบเดิม

การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้การจัดเทศกาลมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและสามารถรองรับการเข้าร่วมของเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกที่ต้องการนำเสนอภาพยนตร์ในประเทศไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

ความพยายามในการปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมาย

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 มกราคม 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ได้กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2566 ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย ให้ทันกับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม

กฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ พ.ศ. 2552 ซึ่งใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ถูกพิจารณาว่าควรปรับปรุงให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการบริโภคสื่อที่เปลี่ยนไป ปัจจุบันประชาชนสามารถรับชมภาพยนตร์ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ นอกเหนือจากโรงภาพยนตร์ อีกทั้งอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์ผลงาน

การขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม

การปลดล็อกเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสะท้อนถึงการขยายเสรีภาพทางศิลปะและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยกลายเป็น ศูนย์กลางด้านภาพยนตร์” ที่สำคัญของโลก

นายปานปรีย์ กล่าวว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นไปตาม แนวทางของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ และ การเพิ่มขีดความสามารถของภาพยนตร์ไทยในเวทีโลก

การลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียม

คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติยังได้อนุมัติให้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) พิจารณาปรับลดภาระทางกฎหมายและค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ โดยมีมาตรการสำคัญ ได้แก่

  • ลดค่าธรรมเนียมตรวจพิจารณาสื่อโฆษณา
  • ลดค่าออกใบแทนใบอนุญาต
  • ลดการเรียกสำเนาบัตรประชาชนและเอกสารประกอบ
  • ยกเลิกข้อกำหนดการแจ้งเปลี่ยนกรรมการผู้จัดการและผู้มีอำนาจลงนาม
  • เพิ่มช่องทางการยื่นขออนุญาตแบบอิเล็กทรอนิกส์

การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเพิ่มจาก 6 คณะเป็น 10 คณะ แบ่งเป็น

  • คณะพิจารณาภาพยนตร์ 8 คณะ
  • คณะพิจารณาวีดิทัศน์ 2 คณะ

นอกจากนี้ยังมีการปรับสัดส่วนคณะกรรมการให้ภาคเอกชนมีบทบาทมากขึ้น โดยเพิ่มตัวแทนจากภาคเอกชน 3 คน และภาครัฐ 2 คน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการตรวจพิจารณา และให้เอกชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการกำหนดแนวทางของอุตสาหกรรม

มาตรการสนับสนุนผู้กำกับและโรงภาพยนตร์

ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอของ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ซึ่งต้องการให้มีการกำหนดรอบฉายที่เป็นธรรมสำหรับภาพยนตร์ไทย คณะกรรมการฯ จึงมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมไปหารือกับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม และนำเสนอต่อที่ประชุมในครั้งถัดไป

อนาคตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย

การปลดล็อกครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้เทศกาลภาพยนตร์สามารถจัดฉายภาพยนตร์ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านการตรวจสอบจากภาครัฐ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยไปสู่ระดับนานาชาติ ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการสร้างสรรค์และเสรีภาพทางศิลปะ ที่มีมาตรฐานระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : THACCA-Thailand Creative Culture Agency

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS TOP STORIES

ปฏิบัติการฟ้าสางเมืองพญาเม็งราย กวาดล้างอาวุธปืนก่อนเลือกตั้ง อบจ.

ปฏิบัติการฟ้าสางเมืองพญาเม็งราย: ปูพรมกวาดล้างอาวุธปืนและอาชญากรรม ก่อนการเลือกตั้ง อบจ.

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ได้ระดมกำลังเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ ปฏิบัติการฟ้าสางเมืองพญาเม็งราย” เพื่อตรวจค้นและกวาดล้างอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน วัตถุระเบิด ผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้าง รวมถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในหลายจังหวัด ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

เปิดยุทธการปูพรมตรวจค้น 8 จุดทั่วเชียงราย

พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รองผู้บังคับการ บก.สอท.1 รักษาราชการแทนผู้บังคับการ บก.สอท.4 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.4 นำหมายค้นของศาลเข้าทำการตรวจค้นจำนวน 8 จุด ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

ผลการปฏิบัติสามารถตรวจยึดอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนหลายรายการ รวมถึงสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้เพิ่มเติม โดยปฏิบัติการครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อสกัดกั้นอาวุธสงครามที่อาจถูกนำมาใช้ก่อเหตุรุนแรงหรือสร้างความไม่สงบในช่วงเลือกตั้ง

ยึดอาวุธปืนและกระสุนจำนวนมากในหลายพื้นที่

จากการเข้าตรวจค้น จุดที่ 1 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ 52/2568 และหมายจับของศาลจังหวัดเชียงราย ที่ 42/2568 ซึ่งออกเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 โดยสามารถจับกุมชายต้องสงสัยได้จำนวน 2 คน พร้อมของกลาง ได้แก่

  • อาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์ 1 กระบอก
  • เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 5 นัด

ในพื้นที่ อำเภอแม่สาย เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดของกลางเพิ่มเติม ได้แก่

  • อาวุธปืนสั้นขนาด 9 มม. จำนวน 2 กระบอก
  • อาวุธปืนลูกซองขนาด เบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอก
  • อาวุธปืนยาวขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก
  • สิ่งเทียมอาวุธปืน (blank gun) 1 กระบอก
  • กระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 25 นัด
  • กระสุนปืนลูกซอง 20 นัด
  • กระสุนปืน blank gun 50 นัด
  • กระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 200 นัด

นอกจากนี้ ยังสามารถจับกุมชายต้องสงสัยเพิ่มอีก 1 คน โดยพบว่าผู้ต้องหามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนหรือช่วยเหลือนักการเมืองท้องถิ่นในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

จับกุมผู้ต้องหาคดีการพนันออนไลน์และโพสต์ชักชวนเล่นพนัน

ที่ อำเภอเวียงแก่น เจ้าหน้าที่พบว่ามีการโพสต์ข้อความทางสื่อสาธารณะและโซเชียลมีเดียเพื่อชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมการพนัน ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนและอุปกรณ์อื่น ๆ ได้แก่

  • อาวุธปืนพกสั้นกึ่งอัตโนมัติ ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก
  • ซองบรรจุกระสุน (แม็กกาซีน) 1 อัน
  • เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 19 นัด
  • กระเป๋าใส่อาวุธปืน สีชมพู จำนวน 1 ใบ
  • โทรศัพท์มือถือ iPhone 5 สีเทา จำนวน 1 เครื่อง
  • เอกสารโฆษณาชักชวนเล่นการพนัน จำนวน 3 แผ่น

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังขยายผลไปถึงเครือข่ายการพนันออนไลน์ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาเพิ่ม 2 ราย จาก 5 หมายจับ ที่ออกมาก่อนหน้านี้

ตำรวจไซเบอร์เดินหน้ากวาดล้างทั่วประเทศ

สำหรับปฏิบัติการปราบปรามอาชญากรรมทั่วประเทศ ตำรวจไซเบอร์ (บช.สอท.) ได้เร่งดำเนินการสืบสวน ตรวจค้น และจับกุมเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อาวุธปืน และการพนันออนไลน์ โดยขณะนี้สามารถรวบรวมเป้าหมายได้แล้วกว่า 1,000 ราย ก่อนดำเนินการนำกำลังเข้าตรวจค้น

ปฏิบัติการครั้งนี้ช่วยลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงในช่วงเลือกตั้ง

ปฏิบัติการ “ฟ้าสางเมืองพญาเม็งราย” ถือเป็นมาตรการป้องกันเหตุอาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเลือกตั้งนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นช่วงที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยด้านความมั่นคง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องเข้มงวดตรวจสอบแหล่งที่มาของอาวุธปืน และจับกุมผู้ที่อาจเป็นภัยต่อสังคม

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงดำเนินการขยายผลเพิ่มเติมเพื่อหาต้นตอของแหล่งค้าอาวุธผิดกฎหมาย รวมถึงติดตามผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ เพื่อให้สามารถสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง

สรุปผลปฏิบัติการ “ฟ้าสางเมืองพญาเม็งราย”

  • ตรวจค้น 8 จุด ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย
  • ตรวจยึดอาวุธปืนและกระสุนจำนวนมาก
  • จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้หลายราย
  • ปราบปรามการพนันออนไลน์และการชักชวนเล่นพนันผ่านโซเชียลมีเดีย
  • ดำเนินการสืบสวนเป้าหมายทั่วประเทศกว่า 1,000 จุด

ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่ช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน และลดความเสี่ยงต่ออาชญากรรมที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเลือกตั้ง ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนตำรวจไซเบอร์ บช.สอท. เพื่อร่วมกันสร้างสังคมที่ปลอดภัยและสงบสุข

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

เงินเดือนญี่ปุ่นพุ่งในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อขึ้นดอกเบี้ย

เงินเดือนพนักงานญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อปรับขึ้นดอกเบี้ย

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 สำนักข่าว Bloomberg รายงานข้อมูลจากกระทรวงแรงงานญี่ปุ่นที่เผยว่า ฐานเงินเดือนพนักงานประจำในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนตุลาคม เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 1994 สัญญาณบวกนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าในวัฏจักรเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้

ในส่วนของค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (Nominal Wages) เพิ่มขึ้น 2.6% ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ก่อนหน้า โดยค่าจ้างพนักงานประจำไม่นับรวมโบนัสและโอทีเพิ่มขึ้นถึง 2.8% นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งกำหนดประชุมในวันที่ 19 ธันวาคมนี้

การเจรจาและแนวโน้มค่าจ้าง

อายาโกะ ฟูจิตะ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจจาก JPMorgan Securities กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวสนับสนุนแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ แต่ยังต้องพิจารณาข้อมูลอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ คาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei ว่า แนวโน้มค่าจ้างและการใช้จ่ายของครัวเรือนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

แม้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายครัวเรือนในเดือนตุลาคมกลับลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มค่าจ้างยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้เต็มที่ นอกจากนี้ ความไม่เท่าเทียมของค่าจ้างที่แท้จริงยังอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ภาคแรงงานและความตึงตัว

ตลาดแรงงานญี่ปุ่นยังคงตึงตัว โดยมีอัตราการว่างงานต่ำกว่า 3% มาเป็นเวลาสามปี บริษัทต่าง ๆ จึงต้องเพิ่มค่าจ้างเพื่อรักษาพนักงานและปรับตัวเข้ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สมาพันธ์สหภาพการค้าญี่ปุ่น (Rengo) ได้ผลักดันให้ปรับขึ้นค่าจ้าง 5% ทั่วทุกอุตสาหกรรม ในขณะที่สหภาพแรงงานโรงงานเหล็กเรียกร้องการปรับค่าจ้างเพิ่มอีก 12,000 เยนต่อเดือน

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 21.9 ล้านล้านเยน เพื่อรองรับการเพิ่มค่าจ้าง โดยเน้นช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็ก และให้แนวทางส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าองค์กร

แผนการเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการบริโภค

รัฐบาลญี่ปุ่นยังวางแผนขยายการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและมอบเงินสดให้แก่ครัวเรือนรายได้ต่ำ มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับขึ้นค่าจ้าง พร้อมลดเงินเฟ้อในระดับหนึ่ง อิชิบะยังสั่งให้คณะรัฐมนตรีจัดทำแผนปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน

ผลกระทบต่อการตัดสินใจของ BOJ

แนวโน้มค่าจ้างและสถานการณ์เงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของ BOJ ในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดนี้สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการปรับตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการจ้างงาน ค่าจ้าง และการบริโภคที่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ต่างชาติลงทุนในไทย 9 เดือน พุ่ง 1.3 แสนล้าน

9 เดือนแรกปี 67 ต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 1.3 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงอันดับหนึ่ง

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าการลงทุนต่างชาติทั้งหมด

การลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในปี 2567

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 จำนวนการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยมีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตจำนวน 636 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 493 ราย ส่วนการลงทุนที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50,792 ล้านบาท หรือ 60%

ในขณะเดียวกัน การจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนต่างชาติในปีนี้มีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2567 มีการจ้างงานคนไทยจำนวน 2,505 ตำแหน่ง ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีจำนวนการจ้างงานถึง 5,703 ตำแหน่ง

5 อันดับประเทศที่ลงทุนสูงสุดในไทย

นักลงทุนต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น มีจำนวน 157 ราย คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท
  2. สิงคโปร์ มีจำนวน 96 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 12,222 ล้านบาท
  3. จีน มีจำนวน 89 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 11,981 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา มีจำนวน 86 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 4,147 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง มีจำนวน 46 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 14,116 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้น

ในปี 2567 นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มขึ้นถึง 109% จากปีก่อน โดยในปีนี้มีนักลงทุนต่างชาติใน EEC จำนวน 207 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม ออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาซอฟต์แวร์

นักลงทุนใน EEC ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดยังคงเป็นญี่ปุ่นด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 13,191 ล้านบาท ตามด้วยจีนที่ลงทุน 7,227 ล้านบาท และฮ่องกงที่ลงทุน 5,219 ล้านบาท

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ดึงดูดนักลงทุนจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ของไทยยังคงเป็นจุดสนใจสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยมูลค่าการลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มอยู่ที่ 11,721 ล้านบาท และซอฟต์แวร์ 16,675 ล้านบาท โดยนักลงทุนชั้นนำในธุรกิจนี้มาจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

แนวโน้มและเป้าหมายการลงทุนของประเทศไทยในอนาคต

การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและสิทธิประโยชน์ที่ประเทศไทยมอบให้แก่นักลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และภาคอุตสาหกรรมที่พร้อมรองรับการลงทุน รัฐบาลมีเป้าหมายในการขยายตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเดิม และกระตุ้นการลงทุนในประเทศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News