Categories
WORLD PULSE

เงินเดือนญี่ปุ่นพุ่งในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อขึ้นดอกเบี้ย

เงินเดือนพนักงานญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ธนาคารกลางจ่อปรับขึ้นดอกเบี้ย

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2567 สำนักข่าว Bloomberg รายงานข้อมูลจากกระทรวงแรงงานญี่ปุ่นที่เผยว่า ฐานเงินเดือนพนักงานประจำในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนตุลาคม เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (YoY) ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูลในปี 1994 สัญญาณบวกนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าในวัฏจักรเศรษฐกิจ พร้อมเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้

ในส่วนของค่าจ้างที่เป็นตัวเงิน (Nominal Wages) เพิ่มขึ้น 2.6% ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ก่อนหน้า โดยค่าจ้างพนักงานประจำไม่นับรวมโบนัสและโอทีเพิ่มขึ้นถึง 2.8% นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ซึ่งกำหนดประชุมในวันที่ 19 ธันวาคมนี้

การเจรจาและแนวโน้มค่าจ้าง

อายาโกะ ฟูจิตะ หัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจจาก JPMorgan Securities กล่าวว่า ตัวเลขดังกล่าวสนับสนุนแนวทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ แต่ยังต้องพิจารณาข้อมูลอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะสถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ คาซูโอะ อูเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei ว่า แนวโน้มค่าจ้างและการใช้จ่ายของครัวเรือนจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

แม้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น แต่การใช้จ่ายครัวเรือนในเดือนตุลาคมกลับลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มค่าจ้างยังไม่สามารถกระตุ้นการบริโภคได้เต็มที่ นอกจากนี้ ความไม่เท่าเทียมของค่าจ้างที่แท้จริงยังอาจส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ภาคแรงงานและความตึงตัว

ตลาดแรงงานญี่ปุ่นยังคงตึงตัว โดยมีอัตราการว่างงานต่ำกว่า 3% มาเป็นเวลาสามปี บริษัทต่าง ๆ จึงต้องเพิ่มค่าจ้างเพื่อรักษาพนักงานและปรับตัวเข้ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สมาพันธ์สหภาพการค้าญี่ปุ่น (Rengo) ได้ผลักดันให้ปรับขึ้นค่าจ้าง 5% ทั่วทุกอุตสาหกรรม ในขณะที่สหภาพแรงงานโรงงานเหล็กเรียกร้องการปรับค่าจ้างเพิ่มอีก 12,000 เยนต่อเดือน

ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกมาตรการทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 21.9 ล้านล้านเยน เพื่อรองรับการเพิ่มค่าจ้าง โดยเน้นช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็ก และให้แนวทางส่งผ่านต้นทุนไปยังลูกค้าองค์กร

แผนการเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการบริโภค

รัฐบาลญี่ปุ่นยังวางแผนขยายการอุดหนุนค่าไฟฟ้าและมอบเงินสดให้แก่ครัวเรือนรายได้ต่ำ มาตรการเหล่านี้คาดว่าจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับขึ้นค่าจ้าง พร้อมลดเงินเฟ้อในระดับหนึ่ง อิชิบะยังสั่งให้คณะรัฐมนตรีจัดทำแผนปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในฤดูใบไม้ผลิ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน

ผลกระทบต่อการตัดสินใจของ BOJ

แนวโน้มค่าจ้างและสถานการณ์เงินเฟ้อจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของ BOJ ในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดนี้สะท้อนถึงความท้าทายและโอกาสในการปรับตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในยุคปัจจุบัน ทั้งในด้านการจ้างงาน ค่าจ้าง และการบริโภคที่ยังต้องการการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : Bloomberg

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
ECONOMY

ต่างชาติลงทุนในไทย 9 เดือน พุ่ง 1.3 แสนล้าน

9 เดือนแรกปี 67 ต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 1.3 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นยังคงอันดับหนึ่ง

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-กันยายน) ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นครองอันดับหนึ่งด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าการลงทุนต่างชาติทั้งหมด

การลงทุนต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในปี 2567

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 จำนวนการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยมีนักลงทุนต่างชาติได้รับอนุญาตจำนวน 636 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 493 ราย ส่วนการลงทุนที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 50,792 ล้านบาท หรือ 60%

ในขณะเดียวกัน การจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนต่างชาติในปีนี้มีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2567 มีการจ้างงานคนไทยจำนวน 2,505 ตำแหน่ง ลดลงจากปีก่อนซึ่งมีจำนวนการจ้างงานถึง 5,703 ตำแหน่ง

5 อันดับประเทศที่ลงทุนสูงสุดในไทย

นักลงทุนต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เข้ามาลงทุนในไทย ได้แก่

  1. ญี่ปุ่น มีจำนวน 157 ราย คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 74,091 ล้านบาท
  2. สิงคโปร์ มีจำนวน 96 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 12,222 ล้านบาท
  3. จีน มีจำนวน 89 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 11,981 ล้านบาท
  4. สหรัฐอเมริกา มีจำนวน 86 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 4,147 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง มีจำนวน 46 ราย คิดเป็นเงินลงทุน 14,116 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC เพิ่มขึ้น

ในปี 2567 นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มขึ้นถึง 109% จากปีก่อน โดยในปีนี้มีนักลงทุนต่างชาติใน EEC จำนวน 207 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม ออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ ซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และพัฒนาซอฟต์แวร์

นักลงทุนใน EEC ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดยังคงเป็นญี่ปุ่นด้วยจำนวนเงินลงทุนกว่า 13,191 ล้านบาท ตามด้วยจีนที่ลงทุน 7,227 ล้านบาท และฮ่องกงที่ลงทุน 5,219 ล้านบาท

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ดึงดูดนักลงทุนจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

ธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ของไทยยังคงเป็นจุดสนใจสำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โดยมูลค่าการลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มอยู่ที่ 11,721 ล้านบาท และซอฟต์แวร์ 16,675 ล้านบาท โดยนักลงทุนชั้นนำในธุรกิจนี้มาจากสิงคโปร์ ไต้หวัน และมาเลเซีย

แนวโน้มและเป้าหมายการลงทุนของประเทศไทยในอนาคต

การลงทุนจากต่างชาติที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพและสิทธิประโยชน์ที่ประเทศไทยมอบให้แก่นักลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และภาคอุตสาหกรรมที่พร้อมรองรับการลงทุน รัฐบาลมีเป้าหมายในการขยายตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเดิม และกระตุ้นการลงทุนในประเทศให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News