เจาะลึก 10 ข่าวคอร์รัปชัน 2568 พร้อม 3 เรื่องใหญ่ปี 69 ปลุกกระแสเลือกตั้งไทยไม่เอาคนโกง
เชียงราย, 30 ธันวาคม 2568 – ปลายปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาสรุปภาวะเศรษฐกิจ การเมือง หรือทิศทางประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นจังหวะที่สังคมไทยต้องย้อนมอง “บาดแผลเรื้อรัง” เรื่องเดิมที่ยังไม่หาย นั่นคือปัญหาคอร์รัปชันซึ่งไม่ได้เกิดเป็นรายคดีโดดๆ อีกต่อไป หากขยายตัวเป็น “เครือข่ายผลประโยชน์” เชื่อมโยงนักการเมือง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ นักธุรกิจ และทุนเทาข้ามชาติอย่างแนบแน่น
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT จึงรวบรวม “10 ข่าวคอร์รัปชันแห่งปี 2568” เพื่อชวนสังคมทบทวนผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตผู้คน ระบบราชการ และหลักนิติรัฐไทย พร้อมชี้ให้เห็น “3 เรื่องใหญ่” ที่ยังค้างคาและต้องติดตามต่อในปี 2569 และย้ำว่าทางออกหนึ่งที่ประชาชนยังมีอยู่ในมือ คือ “1 สิทธิ์เลือกตั้ง” ที่สามารถใช้เพื่อไม่เอาคนโกงกลับเข้ามาบริหารบ้านเมืองอีก
บทความข่าวชิ้นนี้เรียบเรียงจากข้อสังเกตของ ACT เพื่อให้เห็นทั้งภาพรวมและรายละเอียดของแต่ละกรณีอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงสำหรับสังคมในปีต่อไป
ปีแห่ง “การโกงเป็นเครือข่าย” และความเชื่อมั่นที่ถดถอย
นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) อธิบายผ่านช่องทางสื่อสารออนไลน์ขององค์กรว่า ปี 2568 เป็นปีที่ปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้อยู่ในระดับ “คนโกงคนเดียว” หรือ “เจ้าหน้าที่บางราย” หากแต่ปรากฏชัดว่าเป็น “การโกงเป็นเครือข่าย” ที่อาศัยอำนาจรัฐและช่องโหว่กฎหมายเป็นเกราะกำบัง
เขาชี้ให้เห็นว่า นักการเมืองระดับชาติ ข้าราชการอาวุโส สมาชิกวุฒิสภา และกรรมการองค์กรอิสระจำนวนไม่น้อย กลับกลายเป็น “ภาระ” ของบ้านเมืองมากกว่าจะทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ ภายใต้สภาวะเช่นนี้ การต่อต้านคอร์รัปชันจึงเป็นเรื่องยากยิ่ง และส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลักนิติรัฐและสิทธิมนุษยชน
คำเตือนดังกล่าวสะท้อนผ่าน 10 ข่าวสำคัญที่ ACT หยิบยกขึ้นมา ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ความปลอดภัยสาธารณะ ระบบศาสนา ระบบสาธารณสุข กระบวนการยุติธรรม ความมั่นคงของกองทุนประกันสังคม ไปจนถึงธุรกิจผิดกฎหมายที่บั่นทอนโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมือง
1.อาคาร สตง. ถล่ม – โศกนาฏกรรม 86 ศพที่ยังไร้คำตอบ
คดีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดของปี 2568 ทั้งในมิติความสูญเสียและคำถามต่อกระบวนการตรวจสอบของรัฐ อุบัติเหตุดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 86 ราย และความเสียหายทางทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ภายหลังกลับไม่ปรากฏ “ตัวผู้บงการ” หรือสาเหตุแท้จริงอย่างเปิดเผย รายงานสอบสวนอย่างเป็นทางการยังคงถูกเก็บอยู่ในลิ้นชักของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และรัฐบาล ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทย และความน่าเชื่อถือของการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) ที่ ป.ป.ช. ใช้เป็นเครื่องมือวัดหน่วยงานรัฐ
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อคดีที่มีทั้ง “เลือดเนื้อและชีวิตของประชาชน” ยังไม่สามารถคลี่คลายได้อย่างโปร่งใส ความเชื่อมั่นต่อระบบตรวจสอบของรัฐย่อมถดถอยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2.วิกฤตศรัทธาในวงการสงฆ์ – เมื่อเงินวัดกลายเป็นสนามโกง
ข่าวพระระดับเจ้าคุณและพระชื่อดังถูกกล่าวหาเรื่องโกงเงินวัด เป็นอีกหนึ่งคดีที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของสาธุชนอย่างหนัก โดยเฉพาะคดี “สีกากอล์ฟ” ซึ่งมีพระระดับเจ้าคุณถูกดำเนินคดีถึง 13 รูป ภายในช่วงเวลาราว 3 ปี ความเสียหายที่ตรวจสอบได้มีมูลค่าราว 385 ล้านบาท
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการเปิดปฏิบัติการ “ปูพรมไล่จับ” พระและผู้เกี่ยวข้องอีก 181 ราย โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ทำให้สังคมมองเห็นว่าการโกงเงินวัดไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะราย แต่เป็นปัญหาเชิงระบบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินทางศาสนาและการกำกับดูแลของภาครัฐ
สำหรับประชาชนผู้มีศรัทธา วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงสะเทือนใจในฐานะพุทธศาสนิกชน แต่ยังทำให้ตั้งคำถามว่า “เงินทำบุญ” และทรัพย์สินส่วนรวมที่มอบให้วัดเพื่อสาธารณประโยชน์ ถูกใช้ไปในทิศทางใด และระบบตรวจสอบทางการเงินของวัดมีความเข้มแข็งเพียงพอหรือไม่
3.ยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์หมื่นล้าน – เงามืดทุนเทากับรัฐไทย
การยึดและอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมาย 3 กลุ่ม ที่มีมูลค่ารวมกว่าหมื่นล้านบาท และมีชื่อที่ถูกสงสัยเชื่อมโยงกับ “ยิม เลียก – เบน สมิธ – ก๊ก อาน – เฉิน จื้อ” เป็นข่าวที่สะท้อนมิติใหม่ของคอร์รัปชันไทยในยุคทุนข้ามชาติ
นอกจากขนาดของทรัพย์สินที่ถูกยึดแล้ว เรื่องนี้ยังได้สร้างกระแสวิพากษ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากภาพถ่ายและความเชื่อมโยงกับบุคคลมีชื่อเสียงถูกเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง สังคมจึงตั้งคำถามว่า “เครือข่ายสแกมเมอร์” เชื่อมโยงกับใครในแวดวงการเมือง ข้าราชการ และธุรกิจระดับบนของไทยมากน้อยเพียงใด
ACT ประเมินว่า กรณีนี้ชี้ให้เห็นความเกี่ยวข้องส่วนลึกระหว่าง “ส่วยสินบนของตำรวจ นักการเมือง นักธุรกิจไทย” กับทุนเทาระดับโลก ซึ่งมีผลให้คนไทยจำนวนมากตกเป็นเหยื่อความเสียหายรวมถึง 115,300 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่กลไกรัฐจำนวนไม่น้อยยังอ่อนแอ เลือกปฏิบัติ และเต็มไปด้วยความลับ
4.ขบวนการทุจริตยาในโรงพยาบาล – เมื่อความป่วยไข้กลายเป็นช่องทางโกง
กรณีการทุจริตยาที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก ซึ่งถูกเปิดโปงว่าเป็นขบวนการที่ดำเนินการต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ปี มีแพทย์และผู้ร่วมขบวนการกว่า 20 คน และสร้างความเสียหายราว 80 ล้านบาท เป็นอีกหนึ่งข่าวที่กระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขของประเทศ
กรณีนี้ถูกเปิดเผยโดยหญิงผู้หนึ่งซึ่ง ACT เรียกว่า “ผู้กล้า” เนื่องจากเธอใช้เวลากว่า 2 ปีในการรวบรวมหลักฐาน ส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนที่คดีจะเริ่มถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังมีข่าวอื่นๆ ที่ย้ำให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น กรณีแพทย์ตำรวจหรือ “หมอแอร์” เกี่ยวข้องกับการค้ายา รวมถึงข่าวแพทย์ทหารฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปลอมให้ผู้ป่วย
ACT ชี้ว่า การโกงยาและงบประมาณด้านสาธารณสุขเช่นนี้ ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อคุณภาพบริการของระบบบัตรทองและโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินของโรงพยาบาลรัฐหลายแห่งที่กำลังขาดเงินหมุนเวียน
5.คดีอดีตนายกฯ ติดคุกจริงหลัง “คุกทิพย์” – บททดสอบความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรม
ชื่อของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางอีกครั้ง หลังจากถูกนำตัวเข้าสู่เรือนจำ และเกิดข้อสงสัยของสังคมต่อการปฏิบัติที่แตกต่างจากนักโทษทั่วไป ทั้งการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลานาน การใช้ดุลพินิจของกรมราชทัณฑ์ และการตีความกฎหมายที่ถูกมองว่าเอื้อประโยชน์แก่บุคคลใกล้ชิดอำนาจ
ภายหลัง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และนำไปสู่คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่ง ACT มองว่ากรณีนี้เป็นตัวอย่างของ “การบิดเบือนกฎหมายและความจริง” ที่ทำลายความเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมไทยในสายตานานาชาติและประชาชนในประเทศ
6.คดีรับส่วยเว็บพนันออนไลน์ – รอยด่างในเครื่องแบบตำรวจ
ข่าวการชี้มูลความผิด พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพวกกว่า 200 นาย ในข้อหารับเงินจากขบวนการส่วยเว็บพนันออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในข่าวใหญ่ของปีในมิติ “ความน่าเชื่อถือขององค์กรตำรวจ”
คณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่ง ACT ระบุว่าเป็น “ข่าวมัวหมองที่สุดของวงการตำรวจในรอบปี” และทำให้สังคมตั้งคำถามว่า “หากผู้บังคับใช้กฎหมายเองยังถูกกล่าวหาว่ารับส่วย ประชาชนจะพึ่งใครได้?”
เมื่อความเชื่อมั่นต่อองค์กรตำรวจสั่นคลอน ย่อมกระทบต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน ทั้งในด้านความปลอดภัย ทรัพย์สิน และความเชื่อในคำว่า “กฎหมายเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน”
7.คดีงบประมาณของอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร – ภาพสะท้อนการใช้งบเอื้อพื้นที่ตัวเอง
อีกคดีที่ถูกจับตาคือกรณีของนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเสนอและผลักดันงบประมาณโครงการที่มีลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อพื้นที่ของตนเอง รวมมูลค่า 443 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2568
ACT ระบุว่า พฤติกรรมลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในรัฐสภาไทย หากแต่ที่ผ่านมาแทบไม่เคยถูกตรวจสอบจนกลายเป็นคดี ทำให้งบประมาณแผ่นดินกระจุกตัวในบางพื้นที่และสร้างความไม่เป็นธรรมต่อประชาชนทั้งประเทศ กรณีนี้จึงถือเป็น “คดีตัวอย่าง” ที่ชี้ให้เห็นความจำเป็นของการตรวจสอบผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างจริงจัง
8.สำนักงานประกันสังคม – ความกังวลต่อกองทุนที่คนทำงานฝากชีวิตไว้
ข่าวคราวเกี่ยวกับสำนักงานประกันสังคมในปี 2568 ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดทำปฏิทินปีละกว่า 50 ล้านบาท การซื้อตึกเก่ามูลค่า 7,000 ล้านบาทที่ถูกมองว่าแพงกว่าราคาตลาดเท่าตัว การจัดจ้างพัฒนาแอปพลิเคชันมูลค่า 850 ล้านบาท และกรณีการพยายามขายหุ้นบริษัท บางจาก ให้กับบริษัทเอกชนรายหนึ่ง
ในสายตา ACT เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียง “ข่าวฉาว” ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะทรัพย์สินของสำนักงานประกันสังคมคือ “หลักประกันชีวิตและสุขภาพของผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านคน” ที่ส่งเงินสมทบเดือนละ 750 บาท หากการลงทุนและการใช้จ่ายขาดความรอบคอบหรือมีข้อสงสัยเรื่องความโปร่งใส ย่อมสะเทือนความมั่นคงของกองทุนในระยะยาว
9.ห้องลับในเรือนจำ – สิทธิพิเศษของนักโทษ VVIP
การเปิดโปง “ห้องลับนักโทษ VVIP” ในเรือนจำแห่งหนึ่ง ซึ่งจัดสิทธิพิเศษให้ผู้ต้องขังคดีสำคัญตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้ช่องว่างอำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ส่วนบุคคล
ACT มองว่า กรณีนี้ตอกย้ำปัญหาที่สังคมรับรู้กันมานานว่า เรือนจำหลายแห่งเต็มไปด้วย “ระบบส่วยและสินบน” ตั้งแต่การเลื่อนชั้นนักโทษ การย้ายเข้าโรงพยาบาลโดยไม่ป่วยจริง การทุจริตค่าอาหาร ไปจนถึงการใช้งบก่อสร้างไม่โปร่งใส เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจไม่เคยถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง กรณีห้องลับจึงถือเป็น “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหาในระบบราชทัณฑ์ไทย
10.3 ป. จับสด – ก้าวใหม่ของการบังคับใช้กฎหมายกับเจ้าหน้าที่รัฐ
ข่าวการปฏิบัติการร่วมกันของสามหน่วยงาน ได้แก่ ตำรวจ ป.ป.ป. (กองบังคับการปราบปรามการทุจริต), ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ในการ “จับสด” เจ้าหน้าที่รัฐที่รีดไถ เรียกรับสินบน หรือโกงเงินหลวงหลายสิบคดีตลอดปี ถือเป็นสัญญาณด้านบวกในภาพรวมที่มองเห็นได้ชัดเจน
ปฏิบัติการเหล่านี้นำไปสู่การจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐระดับต่างๆ ทั้งนักการเมืองท้องถิ่น ผู้มีอิทธิพล บุกรุกป่า และพระชั้นผู้ใหญ่ที่โกงเงินวัด ทำให้เห็นว่าหากหน่วยงานด้านปราบปรามคอร์รัปชันร่วมมือกันอย่างจริงจัง การบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดที่มีอำนาจก็ “ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้” และได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก
สามเรื่องใหญ่ที่ยังต้องลุ้นในปี 2569
นอกเหนือจาก 10 ข่าวข้างต้น ACT ยังชี้ให้สังคมจับตา “สามกรณีใหญ่” ที่สะท้อนทิศทางนิติรัฐไทยในปีหน้า ได้แก่
- การไม่สามารถเอาผิดผู้บงการในคดีสินบนข้ามชาติ
ทั้งคดีสวนปาล์มในอินโดนีเซีย คดีสินบนโรลส์-รอยซ์ ในรัฐวิสาหกิจด้านพลังงาน และคดีฮั้วประมูลสร้างโรงพัก 6,000 ล้านบาท ซึ่งล้วนเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทต่างชาติและโครงการขนาดใหญ่ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถนำตัวผู้บงการระดับสูงมารับโทษได้ - ศึกเขากระโดงและคดีฮั้วเลือก ส.ว.
ACT เห็นว่าเป็นตัวอย่างของการใช้อำนาจรัฐและกลไกกฎหมายเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง จนส่งผลให้หลักนิติรัฐไทยถูกตั้งคำถามอย่างหนัก ทั้งในเรื่องความเป็นกลางและความยุติธรรม - การแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีและรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
การพยายามปรับแก้สัญญาที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางธุรกิจมูลค่ามหาศาล ทำให้เกิดคำถามว่า “ผลประโยชน์ของชาติ” หรือ “ผลประโยชน์ของกลุ่มทุน” ถูกให้ความสำคัญมากกว่ากัน ACT เห็นว่าทั้งสองโครงการจะเป็น “บททดสอบศักดิ์ศรีด้านธรรมาภิบาลของไทยในสายตานานาชาติ”
จากข้อมูลสู่กล่องเลือกตั้งปี 2569 – 1 สิทธิ์ที่ไม่ควรปล่อยผ่าน
ในช่วงท้ายของแถลงการณ์ นายมานะ นิมิตรมงคล ได้เชื่อมโยงประเด็นคอร์รัปชันกับการเมืองเชิงโครงสร้าง โดยมองว่า ข่าวการยึดและอายัดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์หมื่นล้านบาทคือกรณีที่ส่งผลกระทบในระดับลึกที่สุด เพราะสะท้อนการเชื่อมต่อของทุนเทากับเครือข่ายอำนาจ ทั้งในเชิงการเงินและการเมือง ซึ่งท้ายที่สุดจะย้อนมาทำลายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตประชาชน
เขาย้ำว่า การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) วันที่ 11 มกราคม และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 คือโอกาสสำคัญที่คนไทยจะใช้ “1 สิทธิ์พลิกชีวิตมหาศาล” โดยการเลือกคนเก่ง คนดี ที่ไม่มีประวัติคดโกงหรือโยงใยทุนเทาเข้ามาบริหารประเทศ
ACT จึงเชิญชวนให้ประชาชน “หยุดวัฏจักรเลือกตั้งแบบเดิม” ที่เทคะแนนให้ผู้ซื้อเสียง บ้านใหญ่นักการเมือง หรือผู้มีอิทธิพลที่มีประวัติทำธุรกิจผิดกฎหมาย เพราะทุกคะแนนเสียงที่มอบให้คนเหล่านี้ ย่อมย้อนกลับมาเป็นต้นทุนของระบบคอร์รัปชันในระยะยาว
ปี 2568 ในกระจกคอร์รัปชัน – บทเรียนเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
เมื่อมองย้อนทั้ง 10 ข่าวและ 3 เรื่องใหญ่จะเห็นว่า ปัญหาคอร์รัปชันในปี 2568 ไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแผ่ขยายตั้งแต่ระบบราชการส่วนกลาง องค์กรศาสนา สาธารณสุข ระบบยุติธรรม กองทุนของคนทำงาน ไปจนถึงโครงสร้างการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น
ปรากฏการณ์เหล่านี้ตอกย้ำว่า “คอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องไกลตัว” แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตประจำวันของประชาชน ไม่ว่าจะในรูปของโรงพยาบาลที่ขาดยา ถนนที่สร้างไม่เสร็จตามแบบ การศึกษาที่งบประมาณรั่วไหล หรือค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากการผูกขาดและธุรกิจทุนเทา
ปี 2569 จึงเป็นปีที่สังคมไทยต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ทั้งผลการดำเนินคดีที่ค้างอยู่ มาตรการปฏิรูปหน่วยงานรัฐ และผลลัพธ์ของการเลือกตั้งในทุกระดับ ว่าจะนำพาคนรุ่นใหม่ที่ยึดมั่นในความโปร่งใสเข้าสู่ระบบการเมืองได้มากเพียงใด หรือปล่อยให้ “เครือข่ายเดิม” ยังคงหมุนต่อไปใต้ฉากหน้าใหม่
คำถามสำคัญที่ ACT ฝากไว้คือ “เราจะยอมให้การโกงเป็นเรื่องปกติของสังคมไทยต่อไปอีกกี่ปี?” ซึ่งคำตอบสุดท้ายคงไม่อยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่อยู่ในมือของประชาชนทุกคนที่ถือบัตรเลือกตั้ง และพร้อมจะใช้ 1 สิทธิ์ของตนอย่างมีสติและรับผิดชอบต่ออนาคตส่วนรวม
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) – ข้อความและสรุป “10 ข่าวคอร์รัปชันแห่งปี 2568” เผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊กองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
- ข้อมูลประกอบเกี่ยวกับคดีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เหตุถล่ม, คดีทุจริตในวงการสงฆ์, คดีทุจริตยาโรงพยาบาลทหารผ่านศึก, คดีเครือข่ายสแกมเมอร์, กรณีสำนักงานประกันสังคม และปฏิบัติการ “3 ป. จับสด” – รวบรวมจากข่าวเผยแพร่ของสื่อมวลชนและเอกสารประชาสัมพันธ์หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
- แถลงการณ์และบทความแสดงความคิดเห็นของนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เกี่ยวกับผลกระทบเชิงโครงสร้างของคอร์รัปชัน และข้อเสนอเรื่องการใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อต่อต้านคนโกง ในช่วงปลายปี 2568









