คลังเร่งศึกษาปฏิรูปภาษี ปรับ VAT 15% หนุนลดเหลื่อมล้ำ-เพิ่มขีดความสามารถ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 15% โดยย้ำว่าเป็นเพียงแนวคิดและอยู่ในขั้นตอนการศึกษาเพื่อดูความเหมาะสมในภาพรวมและแนวโน้มโลก พร้อมย้ำว่า การตัดสินใจใดๆ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนและผลประโยชน์ส่วนรวม
ในระหว่างการประชุม Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา นายพิชัยได้กล่าวในหัวข้อ “Financial Policies for Sustainable Economy” โดยเผยถึงแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บภาษี 3 ประเภท ได้แก่
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล: ศึกษาการปรับลดจาก 20% เป็น 15% เพื่อให้สอดคล้องกับ Global Minimum Tax (GMT)
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: ศึกษาการปรับลดจาก 35% เหลือ 15% เพื่อดึงดูดแรงงานคุณภาพเข้ามาทำงานในประเทศไทย
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ไทยเก็บภาษีในอัตรา 7% ซึ่งต่ำกว่าอัตราทั่วโลกที่อยู่ระหว่าง 15-25%
นายพิชัยกล่าวว่า การปรับภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดช่องว่างรายได้ระหว่างคนรวยและคนจน โดยการเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐเพื่อนำไปพัฒนาโครงการสาธารณะ เช่น สาธารณสุข การศึกษา และการสนับสนุนธุรกิจให้มีต้นทุนต่ำลง
กระแสต่อต้านและมุมมองนายกรัฐมนตรี
ในประเด็นที่ประชาชนกังวลว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอาจเพิ่มความเดือดร้อน นายพิชัยยอมรับว่าเป็นเรื่องอ่อนไหว พร้อมรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน ขณะที่นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “เข้าใจ” ถึงความกังวลของประชาชน
เหตุผลการปรับโครงสร้างภาษี
นายพิชัยกล่าวว่า การจัดเก็บรายได้ในอัตราสูงจะช่วยให้รัฐมีงบประมาณมากขึ้นเพื่อนำไปจัดสรรให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การสนับสนุนด้านสุขภาพ การศึกษา และที่อยู่อาศัย พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจในประเทศ
“การเก็บภาษีต้องทำให้ประชาชนเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงวันไหน” นายพิชัยกล่าวปิดท้าย
ที่มาของแนวคิดและแผนการศึกษา
แผนการศึกษานี้ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยคณะรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียของการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีนี้ รวมถึงสร้างการรับรู้ในสังคมเพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนระบบภาษีในระยะยาว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง