Categories
ECONOMY

ตลาดกาแฟไทยโตสวนกระแส เชียงรายนำร่องยกระดับสู่กาแฟพิเศษ

Key Takeaways

  • ตลาดกาแฟโลกยังเติบโตต่อเนื่อง ขนาดตลาดปี 2024 ประมาณ 269,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มแตะ 369,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2030 (CAGR ราว 5.3%) ขณะที่ “ตลาดกาแฟไทย” ปี 2568 ประเมินมูลค่าราว 65,000 ล้านบาท สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ดื่มกาแฟเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปีแล้ว และยังมีช่องว่างให้โตเทียบยุโรป (เฉลี่ยราว 600 แก้ว/คน/ปี)
  • ฝั่งอุปทาน ไทยผลิตเมล็ดกาแฟรวม 40,000–50,000 ตัน/ปี แต่ “กาแฟพิเศษ” (Specialty) มีเพียงราว 5,000 ตัน ไม่พอความต้องการในประเทศ ทำให้ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 ต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟคิดเป็นมูลค่า 8,387 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าส่งออกอยู่ราว 2,412 ล้านบาท ช่องว่างนี้คือทั้ง “โจทย์” และ “โอกาส”
  • เชียงรายกำลังถูกมองเป็นห้องทดลองเชิงนโยบายและพื้นที่สาธิตของ “ยุทธศาสตร์กาแฟคุณภาพ” ตั้งแต่ไร่ (agroforestry ลดไฟป่า-ยกระดับคุณภาพเมล็ด) ถึงปลายน้ำ (เครือข่ายร้านกาแฟกว่า 1,000 ร้าน–กิจกรรม MICE ด้านกาแฟ–อีโคซิสเต็มนวัตกรรมมหาวิทยาลัย) สอดรับเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาหา Specialty และประสบการณ์กาแฟเชิงเรื่องเล่า (story/brand experience)
  • ภาพรวมธุรกิจแข่งขันสูง กำไรสุทธิโดยรวมของอุตสาหกรรมเริ่มหดตัว แต่เชนขนาดใหญ่ (Franchise/Chain) ยังรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ ขณะที่ร้านอิสระ (Independent) เฉลี่ย ~4.6% ทางรอดคือ “ความต่างบนคุณภาพและเรื่องเล่า” ควบคู่การบริหารต้นทุนรัดกุมและสร้างเครือข่ายจับคู่ธุรกิจ (matching)

 “กาแฟไทย” ทะยานบนทางแยก—เชียงรายชูธงคุณภาพ ยกระดับสู่เวทีโลก

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 14 กันยายน 2568— กลิ่นหอมของผงกาแฟคั่วใหม่ ไม่ได้เป็นเพียงพิธีกรรมของคนทำงานอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็น “เศรษฐกิจความหมาย” (meaning economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยรสนิยม ประสบการณ์ และเรื่องเล่าเหนือแก้วกาแฟหนึ่งแก้ว ตัวเลขตอกย้ำทิศทางนั้นชัดเจน—ปี 2024 ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าราว 269,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายสู่ 369,460 ล้านดอลลาร์ ในปี 2030 (CAGR โดยเฉลี่ยราว 5.3%) ขณะที่ประเทศไทยเอง กำลังขยับขึ้นสู่ มูลค่าตลาด 65,000 ล้านบาท ในปี 2568 จากพฤติกรรมการดื่มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้ว/คน/ปี

ใต้กราฟสวยงามมีปมซ้อนซ่อนอยู่—ฝั่งอุปทานไทยยัง “บาง” เกินกว่าจะรองรับดีมานด์ที่โตเร็ว เรามีพื้นที่ปลูกกว่า 220,053 ไร่ แบ่งเป็นอาราบิก้าในภาคเหนือ ~140,000 ไร่ และโรบัสต้าในภาคใต้ ~80,000 ไร่ แต่ “กำลังผลิตจริง” อยู่ราว 40,000–50,000 ตัน/ปี และที่สำคัญ กาแฟระดับพิเศษ (Specialty) มีเพียง ~5,000 ตัน เท่านั้น ผลคือไทยต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ช่วง ม.ค.–พ.ค. 2568 นำเข้ารวม 8,387 ล้านบาท ส่วนส่งออกมีเพียง 2,412 ล้านบาท สะท้อน “ช่องว่างมูลค่า” ที่ผู้เล่นไทยยังเติมไม่เต็ม

เมื่อ “รสนิยม” กลายเป็นแรงเหวี่ยงตลาด

ความเปลี่ยนแปลงทางดีมานด์ไม่ได้มาเล่น ๆ ผู้บริโภคไทยเคลื่อนจาก “กาแฟสำเร็จรูป” สู่ “กาแฟสด” และไกลไปถึง “กาแฟพิเศษ”—กลุ่มที่ยอมจ่ายตั้งแต่ 100–2,000 บาท/แก้ว เพื่อแลกรสชาติ/โพรไฟล์ และประสบการณ์ (experience) ตามมาตรฐานการให้คะแนนของ Specialty Coffee Association (SCA) เทรนด์นี้เด่นชัดในกลุ่ม Gen Y–Gen Z ที่มองกาแฟเป็น “ไลฟ์สไตล์” และ “เวทีแสดงตัวตน” ผ่านคาเฟ่ดีไซน์ งานคั่วละเอียด และเมนูซิกเนเจอร์ ขณะที่ Gen X ยังเน้นความสะดวก (กาแฟซอง/แคปซูล) และ Baby Boomer ยึดติดรสชาติเดิมจากร้านประจำ

ความซับซ้อนของผู้บริโภคทำให้ “กาแฟ” ไม่ใช่แค่วัตถุดิบเกษตรอีกต่อไป หากเป็นธุรกิจประสบการณ์ที่ต้องผสมผสานคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี ตั้งแต่ไร่ถึงแก้ว—ใครจับเส้นเรื่องนี้ได้ จะได้ “ส่วนเพิ่มมูลค่า” (premium) เหนือตลาดมวลรวม

เชียงราย แบบฝึกหัดสู่ “ศูนย์กลางกาแฟ” ด้วยคุณภาพและความยั่งยืน

ในแผนที่กาแฟไทย จังหวัดเชียงรายกำลังเร่งเครื่องอย่างมีระบบ จาก “ดินแดนอาราบิก้าดอยสูง” ไปสู่ “ต้นแบบนิเวศกาแฟคุณภาพ” ที่ผสานเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน

  1. ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานสากล
    ผู้ผลิตเชียงรายเข้าร่วมเวทีประกวด “สุดยอดกาแฟไทย 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งใช้เกณฑ์ SCA เป็น “ภาษากลาง” ในการตัดสินคุณภาพ กาแฟเชียงรายคว้าเหรียญหลายรายการในประเภทกระบวนการต่าง ๆ—ตั้งแต่ Natural/Dry ไปจนถึง Honey (Semi-dry)—คะแนนระดับ 82–85+ คือ “ไฟฉาย” ให้เกษตรกรเห็นช่องว่างพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม และเปิดประตูสู่ตลาดพรีเมียมที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าอย่างยั่งยืน (อ้างอิงประกาศผลการประกวดอย่างเป็นทางการของกรมวิชาการเกษตร)
  2. ปลูกอย่างรู้ป่า–แก้ปัญหาอย่างรู้โจทย์
    แนวทาง agroforestry หรือการปลูกกาแฟใต้ร่มไม้ใหญ่กำลังขยายผลในพื้นที่ราว 41,000 ไร่ ของจังหวัด ช่วยกักความชื้น รักษาธาตุอาหาร ลดการชะล้างหน้าดิน และ—สำคัญยิ่ง—ลดแรงจูงใจการเผาป่า ซึ่งเป็นต้นตอหมอกควัน PM2.5 ในภาคเหนือ ยิ่งปลูกดี “รสชาติ” ยิ่งดี คุณภาพยิ่งดี “ราคา” ยิ่งดี เป็นวงจรคุณภาพที่เชื่อมเศรษฐกิจชุมชนกับสิ่งแวดล้อมเข้าหากัน
  3. เศรษฐกิจปลายน้ำร้านกาแฟ > 1,000 ร้าน และ MICE ดันดีมานด์คุณภาพ
    เชียงรายมีเครือข่ายร้านกาแฟมากกว่า 1,000 ร้าน—อันดับสามของประเทศ—หนุนดีมานด์เมล็ดคุณภาพและสร้างวัฒนธรรมกาแฟให้กลายเป็น “ประสบการณ์ท่องเที่ยว” ของเมือง นอกจากนี้ จังหวัดยังใช้ยุทธศาสตร์ MICE สร้างการจับคู่ธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโครงการ “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey 2025” ที่ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) และเครือข่ายผู้ประกอบการกาแฟ สร้างยอดสั่งซื้อเฉลี่ย 1 ตัน/โรงคั่ว มูลค่ารวม ~4.4 ล้านบาท—ตัวเลขที่สะท้อนว่า “คุณภาพ” แปลงเป็น “สัญญาซื้อขาย” ได้จริง ไม่ใช่แค่คำขวัญ
  4. มหาวิทยาลัยเป็นหัวรถจักรนวัตกรรม
    งาน MFU Coffee Fest 2025 ของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) ต่อเชื้อไฟนวัตกรรมตั้งแต่งานวิจัย “ทิศทางกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” ถึงเวิร์กช็อปสร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือในกระบวนการ (เช่น เทียน/น้ำหอม/ออยล์จากกาแฟ) และเวที Global Coffee & Tea Association Forum 2025 ที่ดึงผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกมาแลกเปลี่ยน ให้เชียงรายค่อย ๆ เปลี่ยนบทบาทจาก “ฐานผลิต” เป็น “ศูนย์กลางองค์ความรู้–นวัตกรรม” ของภูมิภาค

โครงสร้างอุตสาหกรรม แข่งขันดุเดือด—ผู้รอดคือผู้ที่ “แตกต่างบนมาตรฐาน”

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ชี้ว่าอุตสาหกรรมกาแฟไทย แข่งขันสูงมาก จำนวนกิจการใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง—ช่วง ม.ค.–มิ.ย. 2568 มีการจดทะเบียนตั้งใหม่ 415 ราย เพิ่มขึ้น 8.9% จากปีก่อน แต่ “ทุนจดทะเบียนรวม” หดลง 33.7% สะท้อนผู้เล่นหน้าใหม่ขนาดเล็ก (SMEs) เข้าตลาดถี่ขึ้น ขณะเดียวกัน ข้อมูลผลประกอบการรวมทั้งอุตสาหกรรมระบุว่า “รายได้รวม” ยังทรงตัว แต่ “กำไรสุทธิ” ลดต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่เผชิญต้นทุนผันผวนจากราคาวัตถุดิบโลกและสงครามราคาหน้าร้าน

อย่างไรก็ดี ภาพไม่ได้มืดสนิท—เชน/แฟรนไชส์ รายใหญ่ อาทิ Café Amazon, Inthanin, กาแฟพันธุ์ไทย, Starbucks ฯลฯ ยังเกาะส่วนแบ่งตลาดแมสและรักษา Net Profit Margin เฉลี่ย ~17.5% ได้ต่อเนื่องจาก economies of scale และระบบสนับสนุนหลังบ้าน ขณะที่ Independent ที่เด่นเรื่องประสบการณ์–คุณภาพ–บาริสต้า มีอัตรากำไรเฉลี่ยเพียง ~4.6% และผันผวนสูงกว่า ทางรอดจึงอยู่ที่ “การสร้างแบรนด์เฉพาะ” (story/concept) บนมาตรฐานคุณภาพที่พิสูจน์ได้ด้วยคะแนน/ประกวด ร่วมกับการบริหารต้นทุนที่เข้มงวด และการต่อยอดไปสู่รายได้หลายขา (เมล็ดคั่ว–อบรม–ทัวร์ไร่–ของที่ระลึก)

“ช่องว่างมูลค่า” ด้วย Specialty + นวัตกรรม

เมื่อเชื่อมโยงทั้งฝั่งดีมานด์ (รสนิยมยกระดับ) กับฝั่งซัพพลาย (ปริมาณ specialty ยังน้อย) คำตอบเชิงยุทธศาสตร์ชัดเจน—ไทยต้อง เร่งแปลงไร่สู่คุณภาพ และ แปลงคุณภาพสู่มูลค่า อย่างเป็นระบบ

  • ยกระดับเมล็ดสู่มาตรฐานสากลสนับสนุนเกษตรกรเข้าถึงความรู้เรื่องพันธุ์/การเก็บเกี่ยว/การแปรรูป ร่วมกับการใช้คะแนน SCA เป็นเข็มทิศพัฒนา (ทำให้เห็น “ช่องว่าง” และ “ทางไป”) พร้อมเปิดเวทีประกวดในระดับจังหวัด/ภูมิภาคเพื่อสร้างแรงจูงใจ
  • ขยาย agroforestry และลดไฟป่างบวิจัย–สร้างแรงจูงใจทางการเงิน (เช่น carbon credit ระดับชุมชน) เพื่อให้การปลูกใต้ร่มไม้ใหญ่เป็น “ดีลที่คุ้ม” ทั้งกับชาวบ้านและสิ่งแวดล้อม
  • MICE + Tourism เป็นตัวคูณขยายโมเดล “Chiangrai Specialty Coffee MICE Journey” ไปยังหัวเมืองกาแฟอื่น (เชียงใหม่–น่าน–แม่ฮ่องสอน) เพื่อจับคู่ซื้อขาย specialty แบบล่วงหน้า (forward) ลดความเสี่ยงผู้ผลิต และยกระดับภาพลักษณ์ “เส้นทางกาแฟไทย”
  • มหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยเป็นสะพานตั้ง “คลินิกกาแฟคุณภาพ” เชิงพื้นที่ บ่มเพาะนักคั่ว–บาริสต้า–นักพัฒนาผลิตภัณฑ์ เชื่อมกับผู้ประกอบการ ผ่านโครงการฝึกงาน/เร่งรัดนวัตกรรม (accelerator) สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กาแฟไร้ของเสีย (zero-waste coffee products) หรือส่วนผสมฟังก์ชันนัล
  • ข้อมูล–มาตรการภาษี–การเงินพัฒนาฐานข้อมูล traceability แหล่งปลูก–กระบวนการ–คะแนนคุณภาพ เพื่อขึ้นทะเบียน “origin” ไทย พร้อมมาตรการสินเชื่อ/ภาษีที่จูงใจให้ยกระดับคุณภาพแทนเพิ่มปริมาณอย่างเดียว

เชียงรายในกระจกอนาคตจาก “แหล่งปลูก” สู่ “ศูนย์กลางความรู้–ประสบการณ์กาแฟ”

เชียงรายกำลังบันทึก “เรื่องเล่ากาแฟ” ฉบับใหม่ที่เริ่มต้นจากดินและจบลงในใจผู้ดื่ม—ความเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ที่จำนวนไร่เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเห็น “กาแฟ” เป็นระบบคุณค่า (value system):

  • ในไร่—ชาวบ้านมีรายได้มั่นคงขึ้นด้วยเมล็ดคุณภาพและการปลูกที่ไม่ทำร้ายป่า
  • ในเมือง—ร้านกาแฟเป็น “พื้นที่วัฒนธรรม” ให้เยาวชน–ครีเอเตอร์–นักท่องเที่ยว
  • ในตลาด—คะแนน/ประกวดกลายเป็น “ภาษากลาง” เชื่อมไทยเข้ากับโลก
  • ในประเทศ—กาแฟพิสูจน์ว่าการท่องเที่ยว–เกษตร–นวัตกรรม สามารถขับเคลื่อนร่วมกันได้

และเมื่อวงการกาแฟไทยยืนบน 3 ขา—คุณภาพ (ที่พิสูจน์ได้), นวัตกรรม (ที่แตกต่างได้), และ ความยั่งยืน (ที่ตรวจสอบได้)—เราไม่ได้แค่ขายเครื่องดื่ม แต่ขาย “ประสบการณ์ที่มีความหมาย” ให้คนทั้งโลก

เชิงนโยบาย/ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ประกอบการ

  1. จับจุดแข็งของพื้นที่—ทำ origin story ให้ชัด (ดิน–ระดับความสูง–โพรไฟล์รสชาติ) แล้ว “แปล” เป็นภาษาแบรนด์/ป้ายหน้าเครื่อง/หน้าเมนู
  2. ลงทุนในคะแนน—ส่งเมล็ดเข้าทดสอบ/ประกวด ใช้ feedback เป็นเข็มทิศพัฒนา เมื่อมีคะแนน SCA ที่เสถียร ราคาจะขึ้นโดยอัตโนมัติ
  3. สร้างรายได้หลายขา—เมล็ดคั่ว–คอร์สชง–คาเฟ่ทัวร์–ของที่ระลึก เพื่อทนต่อรอบราคาวัตถุดิบ
  4. ใช้เครือข่าย MICE—เข้าร่วมเวทีจับคู่ธุรกิจ เจรจาสัญญาซื้อขายล่วงหน้า แบ่งเสี่ยงกับคู่ค้า
  5. บริหารต้นทุนอย่างมืออาชีพ—ล็อกต้นทุนบางส่วนด้วยสัญญา/กลยุทธ์คลังสินค้า และบริหารเมนู/ไซซ์/โปรโมชั่น เพื่อลดแรงกดจากสงครามราคา

ตลาดกาแฟไทยกำลังยืนบนทางแยกที่หอมกรุ่นด้วยโอกาส—ดีมานด์พุ่ง คุณภาพเป็นที่ต้องการ “เรื่องเล่า” ขายได้ราคา แต่ก็แข่งขันเข้มข้น ต้นทุนผันผวน และกำไรเฉลี่ยของทั้งอุตสาหกรรมไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม แบบฝึกหัดที่เชียงรายทำอยู่—ยกระดับคุณภาพด้วยมาตรฐานโลก ปลูกอย่างรู้ป่า สร้างอีโคซิสเต็มปลายน้ำที่ขับเคลื่อนด้วย MICE และมหาวิทยาลัย—กำลังบอกเราว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ หากอยู่ที่ “คุณค่า” ที่เราสร้างและพิสูจน์ได้

หากไทย “เติมช่องว่างมูลค่า” ให้เต็มด้วย Specialty และนวัตกรรมที่จับต้องได้ เราไม่เพียงปิดดุลการค้ากาแฟ แต่จะเปิดประเทศด้วย “เส้นทางกาแฟไทย” ที่โลกอยากมาลิ้มลอง—และอยากกลับมาอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)
  • TCEB และเครือข่าย Chiangrai Coffee Lovers (CCL)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า DBD
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News