Categories
SOCIETY & POLITICS

PM2.5 วาระแห่งชาติ นายกฯ เร่งทุกฝ่ายแก้ปัญหา

นายกรัฐมนตรีติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ย้ำบูรณาการทุกหน่วยงาน คุมเข้มการเผา พร้อมสั่งเตรียมแผนงานรองรับปีหน้า

กรุงเทพฯ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนปลัดกระทรวง อธิบดีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุม

นายกฯ สั่งเข้มมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ทุกระดับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับฟังรายงานจากนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ โดยระบุว่า รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ผ่านมาตรการบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้สถานการณ์ฝุ่นละอองในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังการลักลอบเผาป่า ซึ่งอาจทำให้ปัญหากลับมารุนแรงขึ้น โดยต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐและระดับพื้นที่

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมแผนงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นละอองในปีหน้า รวมถึงต้องขับเคลื่อนการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญ

สั่งคุมเข้มการเผาในพื้นที่เกษตร – ดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้เร่งควบคุมการลักลอบเผาในพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบจุดความร้อน (Hotspot) มากที่สุด พร้อมสั่งให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้กระทำผิด

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ติดตามสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ พร้อมให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งประสานงานกับกองทัพบกและกองทัพอากาศ เพื่อสนับสนุนเครื่องมืออากาศยานในการดับไฟป่าและเฝ้าระวังการลักลอบเผา

ในส่วนของการป้องกันปัญหาฝุ่นจากภาคอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ กระทรวงอุตสาหกรรม ควบคุมมลพิษจากโรงงาน พร้อมกำชับให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ลดการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้วิธีการไถกลบแทน

รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและมาตรการเพิ่มเติมในปีหน้า

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในปีหน้า โดยขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและเสนอแผนงานที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปีนี้เราอาจมีข้อจำกัดหลายด้าน แต่ปีหน้าเราจะต้องทำให้ดีขึ้น เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ลดความรุนแรงลง และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศหารือเพื่อนบ้าน ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นข้ามแดน

เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 มีสาเหตุจากไฟป่าและการเผาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ ประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางป้องกันการเผาข้ามแดน รวมถึงจัดทำข้อตกลงร่วมกันในการลดปัญหาฝุ่นละอองในระดับภูมิภาค

นายกฯ รับข้อเสนอ กทม. เสริมมาตรการลดฝุ่นในเมือง

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปัญหาฝุ่นละอองจากภาคขนส่งและอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอจาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งรวมถึงการเพิ่มจุดตรวจวัดค่าฝุ่น การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการเข้มงวดการตรวจสอบรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและหารือเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อไป

สรุปแนวทางปฏิบัติและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

  1. ควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างจริงจัง บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน
  2. ประสานความร่วมมือกับกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมไฟป่า
  3. ควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง
  4. สนับสนุนเครื่องมือและงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาในปีหน้า
  5. ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นข้ามแดน
  6. รับข้อเสนอจากกรุงเทพมหานครเพื่อเสริมมาตรการลดฝุ่นในเขตเมือง

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการระยะยาวที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้รับอากาศที่สะอาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทุกหน่วยงานต้องทำงานเชิงรุก อย่ารอให้ปัญหารุนแรงแล้วค่อยแก้ไข เราต้องเตรียมการล่วงหน้า และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ” นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้าย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

อีลอน มัสก์ พาลูกชาย ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ สื่อทั่วโลกจับตา

ขโมยซีน! อีลอน มัสก์ พาลูกชาย X Æ A-Xii ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ ดึงความสนใจจากสื่อ

วอชิงตัน, 12 กุมภาพันธ์ 2568independent รายงาน บรรยากาศที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกโซเชียล เมื่อ X Æ A-Xii ลูกชายวัย 4 ขวบของอีลอน มัสก์ ขโมยซีนระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในห้องรูปไข่ เด็กชายตัวน้อยทำให้หลายคนอดยิ้มไม่ได้ ด้วยพฤติกรรมซุกซน เช่น การเลียนแบบพ่อของเขาขณะพูดถึงประชาธิปไตย และการแคะจมูกก่อนเช็ดลงบนโต๊ะ Resolute ซึ่งเป็นโต๊ะประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 140 ปี

มัสก์เข้าร่วมแถลงการณ์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ SpaceX และ Tesla ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ในฐานะสักขีพยานในการลงนามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีเป้าหมายให้หน่วยงานรัฐบาลกลางร่วมมือกับกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ โดยขณะที่มัสก์กำลังตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ลูกชายของเขาก็ทำให้หลายคนหลุดหัวเราะออกมา ด้วยการกระโดดเกาะไหล่พ่อ และพูดกระซิบกับทรัมป์แบบเป็นกันเอง

X Æ A-Xii สร้างสีสัน ดึงความสนใจจากทั้งแฟนคลับและสื่อมวลชน

หลังจากคลิปพฤติกรรมของ X Æ A-Xii ถูกเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ซึ่งมัสก์ซื้อกิจการมาในปี 2022 ด้วยมูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์ ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ผู้สนับสนุนมัสก์และทรัมป์หลายคนมองว่าเป็นโมเมนต์ที่น่ารักและเป็นกันเอง แต่บางส่วนก็รู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในทำเนียบขาว

ปฏิกิริยาของทรัมป์และความเห็นจากผู้ใช้โซเชียล

แม้ว่าจะถูกแย่งซีน แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไร และยังกล่าวชม X Æ A-Xii ว่าเป็น “เด็กที่มีไอคิวสูง” ขณะที่มัสก์ยังคงดำเนินการแถลงข่าวต่อไป นอกจากนี้ บริจิตต์ กาเบรียล นักวิจารณ์อนุรักษ์นิยม ยังกล่าวว่า “ลูกชายของมัสก์มีความน่ารักเกินพิกัด” อย่างไรก็ตาม บางความคิดเห็นก็ไม่เห็นด้วย โดยมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม X รายหนึ่งโพสต์ว่า “ฉันไม่ต้องการเห็นเด็กเช็ดขี้มูกบนโต๊ะ Resolute”

มัสก์ตอบโต้คำวิจารณ์ ย้ำเป้าหมายรัฐบาลใหม่คือการปฏิรูประบบราชการ

มัสก์ยังถูกถามเกี่ยวกับนโยบายต่อต้านภาครัฐที่เขาสนับสนุน ซึ่งบางฝ่ายมองว่าเป็นการพยายามควบคุมรัฐบาลกลาง เขาตอบว่า “ประชาชนโหวตให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ” โดยอ้างว่ารัฐบาลทรัมป์มีเป้าหมายในการฟื้นฟูประชาธิปไตย ด้วยการลดบทบาทของระบบราชการที่เขาอ้างว่าเป็น “องค์กรที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งซึ่งควบคุมการบริหารประเทศ”

สรุป

การแถลงข่าวของอีลอน มัสก์และโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมซุกซนของ X Æ A-Xii ที่ทำให้บรรยากาศในห้องรูปไข่ดูผ่อนคลายกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ยังมีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความเหมาะสมของพฤติกรรมดังกล่าว ขณะที่มัสก์ยังคงย้ำจุดยืนในการสนับสนุนการลดขนาดภาครัฐ และการปฏิรูปการบริหารงานของรัฐบาล

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดลูกชายของอีลอน มัสก์จึงกลายเป็นจุดสนใจของงานแถลงข่าว?
    เนื่องจาก X Æ A-Xii แสดงพฤติกรรมขี้เล่น เช่น การเลียนแบบพ่อ และแคะจมูกในระหว่างที่ทรัมป์และมัสก์กำลังแถลงข่าว
  2. โต๊ะ Resolute คืออะไร?
    เป็นโต๊ะทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1880 โดยได้รับมอบจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
  3. อีลอน มัสก์กล่าวถึงการปฏิรูปภาครัฐอย่างไร?
    มัสก์กล่าวว่านโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดบทบาทของระบบราชการที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
  4. โซเชียลมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์นี้?
    มีทั้งเสียงชื่นชมว่าลูกชายมัสก์น่ารัก และเสียงวิจารณ์ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวทางการ
  5.  ทำไมอีลอน มัสก์ถึงพาลูกชายมาร่วมงานแถลงข่าว?

มัสก์มักพาลูกชายเข้าร่วมงานใหญ่ทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ในปี 2021

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : independent

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

สรุป ‘แพทองธาร’ เยือน ‘จีน’ คุยเรื่องอะไรกันบ้าง

50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เยือนจีนอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน พร้อมลงนาม 14 ข้อตกลง มุ่งสู่ความร่วมมือไทย-จีนในทุกมิติ ตั้งแต่การค้า การลงทุน เทคโนโลยี จนถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมประกาศความร่วมมือสู่ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

แพทองธารพบผู้นำจีนทุกระดับ ดันข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เสร็จสิ้นภารกิจเยือนจีน โดยได้เข้าพบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และหารือร่วมกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน รวมถึง นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนจีน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำคัญที่จีนให้กับไทย

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ที่ต้องร่วมกันพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการค้าดิจิทัล โดยเน้นย้ำความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยี AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ในการเยือนครั้งนี้ มีการลงนามบันทึกข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสีเขียว และการพัฒนาด้านอวกาศ โดยหนึ่งในข้อตกลงที่น่าสนใจคือ การร่วมมือสำรวจดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

จีนชื่นชมไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมไซเบอร์

หนึ่งในประเด็นที่จีนให้ความสำคัญคือ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ ตัดกระแสไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นมาตรการตัดวงจรธุรกิจผิดกฎหมายที่สร้างความเสียหายให้กับชาวจีนจำนวนมาก

จีนและไทยเห็นพ้องกันว่า ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคี เพื่อจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคนี้ พร้อมเดินหน้า ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ร่วมกัน

แพทองธารย้ำ ไทย-จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระยะยาว

นายกรัฐมนตรีแพทองธารเน้นย้ำว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนจากจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีแผนขยายการลงทุนในไทย ด้านอุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัล

จีนยังได้เชิญไทยเข้าร่วม งาน China International Import Expo ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดสินค้าไทยไปยังจีน โดยเฉพาะในภาค เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจดิจิทัล

ไทย-จีน ร่วมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ปี 2568 ถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต นายกรัฐมนตรีแพทองธาร และผู้นำจีน เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น การแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณ การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมายังไทยชั่วคราว การส่งแพนด้าให้ไทย และการให้ทุนการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือด้าน Soft Power โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น

จีนเตรียมขยายลงทุนในไทย อุตสาหกรรมอนาคตมาแน่

นายกรัฐมนตรีแพทองธารยังได้พบกับ นักลงทุนชั้นนำจากจีน เช่น Xiaomi และ Hisense โดยบริษัท Hisense เตรียมขยายฐานการผลิตในไทย และ Xiaomi สนใจตั้งโรงงานผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศ

รัฐบาลไทยยืนยันว่า พร้อมอำนวยความสะดวกในการลงทุน และมีมาตรการ Ease of Doing Business เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ข้อตกลง 14 ฉบับ ไทย-จีน ปลดล็อกข้อจำกัดทางการค้า

การลงนามความร่วมมือ 14 ฉบับนี้ จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทย-จีน โดยครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น:

  • การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสะอาด
  • การสนับสนุน EEC และเศรษฐกิจดิจิทัล
  • การอำนวยความสะดวกทางศุลกากร และโลจิสติกส์
  • การพัฒนาความร่วมมือด้านอวกาศและสำรวจดวงจันทร์

สรุปผลการเยือนจีน: ไทย-จีนสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธารครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง ความร่วมมือ 14 ฉบับจะช่วยให้ การค้าขายระหว่างสองประเทศคล่องตัวขึ้น ลดขั้นตอนด้านศุลกากร และเพิ่มความร่วมมือทางเทคโนโลยี

จีนยังยืนยันสนับสนุนไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในอาเซียน ขณะที่ไทยพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนจีนขยายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล

การประชุมระดับสูงและข้อตกลงที่ลงนามในครั้งนี้ ถือเป็น จุดเริ่มต้นของอีก 50 ปีข้างหน้าของความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่จะพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ กดดัน ‘เมียนมา’ เริ่มเห็นผล หลังมีเจ้าหน้าที่ท่าขี้เหล็กกวาดล้างหลายพื้นที่

ไทยกดดันเมียนมา ตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมียนมา, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – burmese.shannews และ tachileik NEWS รายงานว่า หลังจากที่ประเทศไทยเริ่ม ตัดกระแสไฟฟ้า งดขายน้ำมัน และตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งไปยังสหภาพเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อสกัดกลุ่มขบวนการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นฐานในการหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์ในเมืองท่าขี้เหล็กได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เมืองท่าขี้เหล็กมืดสนิท คาสิโนขาดพลังงาน

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า โรงแรมและสถานบันเทิงหลายแห่งที่เป็นศูนย์กลางของคาสิโนในเมืองท่าขี้เหล็ก ต้องลดไฟส่องสว่างลง เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้า หลังจากที่ลาวจำกัดการส่งไฟจาก 30 เมกะวัตต์ เหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ ทำให้เมืองทั้งเมืองมืดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางคืน

นอกจากนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารท่าขี้เหล็ก ได้ระดมกำลังกวาดล้างบ่อนการพนันและเว็บพนันออนไลน์ ที่ลักลอบเปิดอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และเขตป่าเขาลึก ส่งผลให้มีการจับกุมเจ้าของบ่อน พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก

แก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนันเริ่มทยอยปิดตัว

จากแหล่งข่าวในท่าขี้เหล็ก พบว่าปัจจุบัน กลุ่มเว็บพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทยอยปลดพนักงานออกกว่า 100 คน เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ นายจ้างชาวจีนจึงจำเป็นต้อง ปลดพนักงานออก ทำให้แรงงานต่างชาติรวมถึงคนไทยจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

คาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มเหล่านี้อาจพยายามย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

รัฐบาลเมียนมาเร่งกวาดล้าง ขยายผลจับกุม

สื่อท้องถิ่นของเมียนมารายงานว่า ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของท่าขี้เหล็ก ได้ดำเนินการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในหลายพื้นที่ ทั้งการทลายบ่อนการพนัน สแกมเมอร์ และฐานปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์ ส่งผลให้มีผู้ต้องหาถูกจับกุมหลายสิบคน รวมถึงชาวจีนและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้

ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมายัง ดำเนินการบุกเข้าพื้นที่ควบคุมของกองกำลังติดอาวุธบางกลุ่ม ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ และมีการปะทะกันในบางพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมเพิ่มเติม

บีจีเอฟ-รัฐบาลเมียนมาขอไทยทบทวนมาตรการ

พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) รัฐกะเหรี่ยง เปิดเผยว่า กองกำลังบีจีเอฟและรัฐบาลเมียนมาต้องการให้ไทยทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและจำกัดน้ำมัน เนื่องจากประชาชนเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน และขอให้รัฐบาลไทยพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมากขึ้น

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บีจีเอฟได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด และกำลังดำเนินการช่วยเหลือแรงงานชาวอินโดนีเซียกว่า 100 คน ที่ตกเป็นเหยื่อให้เดินทางกลับประเทศ โดยใช้เส้นทางผ่านไทย

สรุปสถานการณ์ชายแดนเมียนมา-ไทย

การดำเนินมาตรการของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้เมืองท่าขี้เหล็กที่เคยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจผิดกฎหมายต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงานและแรงงานอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลเมียนมาได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดและเร่งขยายผลจับกุมอาชญากรข้ามชาติ โดยมีความร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่าการย้ายฐานของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ และไทยจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : tachileik / burmese.shannews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ผลสำรวจเผย เงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาล

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่ได้รับเงิน 10,000 บาท การสำรวจดำเนินการระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,310 คน ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับเงินหรือมีสมาชิกในครอบครัวได้รับเงินจากโครงการดังกล่าว กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ

ผลสำรวจพบว่า ประชาชนที่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนรัฐบาล ดังนี้:

  • ร้อยละ 44.89 ระบุว่าการได้รับเงินมีส่วนช่วยให้สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 30.69 ระบุว่ามีหรือไม่มีโครงการนี้ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว
  • ร้อยละ 14.35 ระบุว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 10.07 ระบุว่ายังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร

การสำรวจใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยมีค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 97.0

การใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อสอบถามถึงการใช้จ่ายเงินที่ได้รับ พบว่าผู้สูงอายุมีแนวทางการใช้จ่ายดังนี้:

  • ร้อยละ 86.18 ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ และน้ำมันเชื้อเพลิง)
  • ร้อยละ 26.26 ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค พบแพทย์)
  • ร้อยละ 13.66 ใช้หนี้สิน
  • ร้อยละ 11.98 เก็บออมไว้ใช้ในอนาคต
  • ร้อยละ 9.24 ใช้ลงทุนการค้า
  • ร้อยละ 8.70 ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา
  • ร้อยละ 4.35 ใช้ซื้อหวยและสลากกินแบ่งรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.76 ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ร้อยละ 0.53 ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร
  • ร้อยละ 0.46 ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว
  • ร้อยละ 0.38 ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาสูบ)

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

เมื่อพิจารณาข้อมูลประชากรของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า:

  • ที่อยู่ตามภูมิภาค:
    • ร้อยละ 9.31 กรุงเทพฯ
    • ร้อยละ 19.01 ภาคกลาง
    • ร้อยละ 20.92 ภาคเหนือ
    • ร้อยละ 31.60 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    • ร้อยละ 12.29 ภาคใต้
    • ร้อยละ 6.87 ภาคตะวันออก
  • เพศ:
    • ร้อยละ 43.05 เป็นเพศชาย
    • ร้อยละ 56.95 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 69.08 อายุ 60-69 ปี
    • ร้อยละ 27.94 อายุ 70-79 ปี
    • ร้อยละ 2.98 อายุ 80 ปีขึ้นไป
  • ศาสนา:
    • ร้อยละ 97.56 นับถือศาสนาพุทธ
    • ร้อยละ 1.98 นับถือศาสนาอิสลาม
    • ร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ
  • สถานภาพสมรส:
    • ร้อยละ 3.59 โสด
    • ร้อยละ 92.82 สมรส
    • ร้อยละ 3.59 หม้าย หย่าร้าง หรือแยกกันอยู่
  • ระดับการศึกษา:
    • ร้อยละ 1.22 ไม่ได้รับการศึกษา
    • ร้อยละ 61.60 จบการศึกษาประถมศึกษา
    • ร้อยละ 20.00 จบมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 5.19 จบอนุปริญญาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 10.69 จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 1.30 จบสูงกว่าปริญญาตรี
  • อาชีพ:
    • ร้อยละ 0.15 ข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
    • ร้อยละ 0.23 พนักงานเอกชน
    • ร้อยละ 16.95 เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ
    • ร้อยละ 20.53 เกษตรกร/ประมง
    • ร้อยละ 15.04 รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน
    • ร้อยละ 47.10 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน
  • รายได้เฉลี่ยต่อเดือน:
    • ร้อยละ 41.07 ไม่มีรายได้
    • ร้อยละ 10.08 ไม่เกิน 5,000 บาท
    • ร้อยละ 22.06 ระหว่าง 5,001-10,000 บาท
    • ร้อยละ 15.34 ระหว่าง 10,001-20,000 บาท
    • ร้อยละ 3.89 ระหว่าง 20,001-30,000 บาท
    • ร้อยละ 2.60 ระหว่าง 30,001-40,000 บาท
    • ร้อยละ 1.22 ระหว่าง 40,001-50,000 บาท
    • ร้อยละ 0.15 มากกว่า 80,001 บาท
    • ร้อยละ 3.59 ไม่ระบุรายได้

บทสรุป

ผลสำรวจของนิด้าโพลระบุว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่มอบเงิน 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาลในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่นำเงินไปใช้เพื่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและสุขภาพเป็นหลัก โดยรัฐบาลยังคงเผชิญกับความเห็นที่แตกต่างในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ และความยั่งยืนของโครงการในระยะยาวจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

ป้องกันความมั่นคง ไทยยุติส่งไฟฟ้า 5 จุดชายแดนเมียนมา

ประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด เพื่อความมั่นคงของชาติ

กรุงเทพฯ, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยุติการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเมียนมาใน 5 จุดชายแดน ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

การดำเนินการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน

การตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุดใช้ระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล โดยทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที

จุดที่ถูกยุติการส่งไฟฟ้า ได้แก่:

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
  2. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  3. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – เมืองเมียวดี
  5. บ้านห้วยม่วง – เมืองเมียวดี

รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ถูกยุติการส่งทั้งสิ้น 20.37 เมกะวัตต์

นายอนุทินกล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของ สมช. ที่ประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งพบว่าการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมามีการนำไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

“เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. ก็สามารถดำเนินการได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการขายไฟฟ้า ซึ่งนายอนุทินระบุว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เมียนมาอาจร้องขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า “รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่”

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรม

นายอนุทินย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

‘อทิตาธร’ ชี้แจงภาพกับ ‘อนุทิน’ ยันไปแจกการ์ดเชิญแต่งงานให้ลูกสาว

อทิตาธร วันไชยธนวงค์ ปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเลือกตั้ง อบจ. เชียงราย พร้อมชี้แจงภาพร่วมเฟรมกับอนุทิน

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18.00 น. ณ วัดห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้ทำการติดตามกิจวัตรประจำวันส่วนตัวของ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ ซึ่งทราบมาว่าจะเข้ามาสวดสวดมนต์และทำสมาธิที่วัดห้วยปลากั้ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับภารกิจในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวจึงขอสัมภาษณ์หลังมีประเด็นที่กำลังเป็นกระแสในช่วงนี้คือ ภาพถ่ายที่ปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียของนายอนุทิน พร้อมข้อความว่า
ให้การต้อนรับและแสดงความยินดีเบื้องต้นกับทีมงานผู้ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงราย ที่แวะมาสวัสดีปีใหม่และตรุษจีนที่กระทรวงมหาดไทย”

ภาพดังกล่าวนำไปสู่การตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดยืนทางการเมืองของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ หลังเสร็จศึกเลือกตั้งในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางหารได้รับการเลือกตั้ง 261,301 คะแนน ในการชิงแบบพรรคอิสระ ทให้เกิดคำถามจากประชาชนในชาวเชียงราย

อทิตาธร เปิดใจถึงภาพถ่ายกับอนุทิน และเหตุผลของการเดินทางไปกระทรวงมหาดไทย

ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ได้สัมภาษณ์อทิตาธรถึงประเด็นดังกล่าว โดยเธอชี้แจงว่า การเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพาลูกสาว (น้องป่าน)ไปแจกการ์ดงานแต่งงาน ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม 2568

ที่จริงตามมารยาทต้องเชิญผู้ใหญ่อย่างน้อยสองเดือนล่วงหน้า แต่เพราะติดช่วงเลือกตั้ง ทำให้ไม่มีเวลาทำหน้าที่แม่เลย หลังเลือกตั้งเสร็จ จึงรีบไปเชิญผู้ใหญ่ที่กระทรวง”

นอกจากนี้ อทิตาธรยังเปิดเผยว่า ได้ใช้โอกาสดังกล่าวหารือกับนายอนุทินเกี่ยวกับปัญหาสำคัญของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วมและถนนการเกษตร ซึ่งได้รับคำมั่นจากรัฐมนตรีว่าจะดำเนินการช่วยเหลือ

หารือปัญหาเยียวยาน้ำท่วมและโครงสร้างพื้นฐาน

ในโอกาสเดียวกัน อทิตาธรได้ใช้โอกาสนี้ นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเชียงราย โดยเฉพาะเรื่องเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ยังมีประชาชนจำนวนมาก ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท จากทางรัฐบาล

“พี่ได้แจ้งกับท่านรัฐมนตรีถึงปัญหาที่ค้างคาอยู่ เช่น ถนนบ้านฟาร์มเมืองงิมที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และสะพานที่พังในอำเภอเวียงแก่นและอำเภอเทิงซึ่งส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าเกษตร”

อทิตาธรเปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ท่านเมตตาจะเดินทางมา ตรวจ ราชการ รับฟังข้อมูลที่เชียงราย ใน อาทิตย์หน้า และจะหาแนวทางช่วยเหลือ ชาวเชียงราย และจะหาแนวทางแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แผนงานหลังเลือกตั้ง เตรียมพบกระทรวงอื่นๆ

อทิตาธรระบุว่า หลังจากเข้าพบกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็มีวางแผนที่จะ เดินทางไปพบกระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการที่เกี่ยวข้องกับเชียงราย เช่น

  • กระทรวงเกษตรฯ: หารือเรื่องการแก้ปัญหาวัชพืชและการเผาไหม้
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ: พูดคุยเรื่องไฟป่าและ PM 2.5
  • กรมโยธาธิการฯ: วางแผนแก้ไขโครงสร้างพื้นฐานและระบบน้ำ

“พี่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเชียงราย ก็จะเดินหน้าทำงานต่อทันที”

เหตุผลที่เลือกไปกระทรวงมหาดไทยหลังวันเลือกตั้ง

เมื่อถูกถามว่าทำไมจึงเลือกเดินทางไปกระทรวงมหาดไทยในวันถัดจากการเลือกตั้ง อทิตาธรตอบว่า เป็นเรื่องของเวลาที่จำกัด เพราะต้องเตรียมงานแต่งของลูกสาว และลูกสาวเองก็สอบถามตลอดว่าจะเชิญผู้ใหญ่ตอนไหน

ลูกสาวยังพูดติดตลกเลยว่า รอหลังเลือกตั้งแล้วผลออกก่อนก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าแพ้เลือกตั้งจะได้ไม่ต้องพิมพ์การ์ดเยอะ”

ยืนยันจุดยืน “อิสระ” ไม่สังกัดพรรคการเมือง

สำหรับคำถามที่ว่าการปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทินจะสะท้อนถึงการสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ อทิตาธรได้ย้ำชัดว่า

ยังเป็นอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด นอกจากฟังเสียงของประชาชน และมีอิสระทางความคิด”

ทางด้านอทิตาธรยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การเป็นอิสระทำให้สามารถเข้าถึงและทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ง่ายขึ้น เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเชียงราย

รัฐบาลเป็นรัฐบาลผสม มีรัฐมนตรีจากหลายพรรค ถ้าจำกัดตัวเองอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่ง จะทำให้การประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนยากขึ้น”

อทิตาธรได้ฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า

“พี่นกอยากให้ทุกคนมั่นใจว่า เราจะทำงานเพื่อพัฒนาเชียงรายต่อไป และไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกแยกทางการเมือง เราทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตของจังหวัด” ย้ำอีกครั้งว่า การเลือกตั้งจบแล้ว และสิ่งสำคัญในตอนนี้คือ การพัฒนาจังหวัดเชียงรายให้ก้าวไปข้างหน้า

สร้างความเข้าใจกับประชาชนเชียงราย

อทิตาธรฝากข้อความถึงประชาชนเชียงรายว่า ความตั้งใจในการพัฒนาจังหวัดยังเหมือนเดิม และขอให้ทุกคนมั่นใจว่าจะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของเชียงรายอย่างเต็มที่

พี่นกไปทุกกระทรวงและพูดคุยกับทุกพรรค ที่สามารถช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้เชียงรายได้ ขอให้ทุกคนมั่นใจในตัวพี่ค่ะ”

สรุปข่าว

  • อทิตาธร วันไชยธนวงค์ เริ่มปฏิบัติธรรม 10 วัน หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง อบจ.เชียงราย
  • ชี้แจงว่า ภาพถ่ายกับอนุทิน เป็นเพียงการเข้าพบเพื่อเชิญร่วมงานแต่งของลูกสาว และหารือปัญหาน้ำท่วม
  • ยืนยันว่า ยังคงเป็นนักการเมืองอิสระ ไม่สังกัดพรรคใด
  • เตรียมเข้าพบ กระทรวงอื่นๆ เพื่อผลักดันโครงการพัฒนาเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

อบจ. 68 ‘โหวตโน’ มาแรง กกต. ชี้เลือกตั้งใหม่ 4 จังหวัด คะแนนไม่ถึงเกณฑ์

เลือกตั้ง อบจ. 68 คนใช้สิทธิ์ น้อย ‘โหวตโน’ เพิ่ม กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่ 4 จังหวัด

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 นายแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้แถลงสรุปผลการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูลการใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนในระดับชาติและในจังหวัดเชียงราย

การเลือกตั้งนายก อบจ. และสมาชิก อบจ.

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายก อบจ. จำนวน 27,991,587 คน ได้มีผู้มาใช้สิทธิ 16,362,185 คน หรือคิดเป็น 58.45% ซึ่งลดลงจากการเลือกตั้งในปี 2563 ที่มีผู้มาใช้สิทธิ 62.44% โดยมีบัตรดีจำนวน 14,272,694 ใบ (87.23%) และบัตรเสียจำนวน 931,290 ใบ (5.69%) สำหรับผู้ที่ไม่เลือกผู้สมัครใดมีจำนวน 1,158,201 ใบ (7.08%)

ในส่วนของสมาชิก อบจ. มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 47,124,842 คน และมีผู้มาใช้สิทธิ 26,418,754 คน หรือคิดเป็น 56.06% โดยมีบัตรดีจำนวน 23,131,324 ใบ (87.56%) และบัตรเสีย 1,488,086 ใบ (5.63%) ขณะที่บัตรที่ไม่เลือกผู้สมัครใดมีจำนวน 1,799,344 ใบ (6.81%)

จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุด

โดยข้อมูลจาก กกต. เผยว่า จังหวัดที่มีอัตราผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก อบจ. และนายก อบจ. สูงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ลำพูน (73.43%), นครนายก (73%), พัทลุง (72.56%), นราธิวาส (68.42%) และมุกดาหาร (68.03%) ในขณะที่จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิก อบจ. มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ พะเยา (61.68%), เลย (58.04%), เพชรบุรี (57.44%), ยโสธร (56.72%) และชัยนาท (56.63%)

ปัญหาการใช้สิทธิเลือกตั้งในบางพื้นที่

นายแสวง กล่าวถึงเหตุผลที่มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งลดลงในบางพื้นที่ ว่ามีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน และในบางจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารก็พบว่ามีการส่งผลคะแนนและหีบบัตรเกินเวลากำหนด 24 ชั่วโมง ซึ่งสะท้อนว่า การเลือกตั้งในวันเสาร์นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะสามารถให้ความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติงานได้

นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเกิดขึ้นเมื่อกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) เสียชีวิตระหว่างส่งหีบบัตร ซึ่งทาง กกต. จะดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องตามสิทธิที่พวกเขาควรได้รับ

จำนวนบัตรเสียและไม่เลือกผู้สมัคร

เรื่องของบัตรเสียในการเลือกตั้ง นายแสวง ยืนยันว่าไม่มีความแตกต่างจากปี 2563 โดยบัตรเสียจากการเลือกนายก อบจ. มีจำนวนใกล้เคียงกับปี 2563 ขณะที่บัตรเสียจากการเลือกสมาชิก อบจ. ในปีนี้ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 7.63% เนื่องจากมีสาเหตุจากระบบการเลือกตั้งที่ทำให้บางจังหวัดมีการเลือกตั้งทั้งสองประเภทผู้สมัคร จึงทำให้ประชาชนบางส่วนสับสนในการลงคะแนน

สำหรับบัตรที่ไม่เลือกผู้สมัครใดมีจำนวนมาก โดยแสดงให้เห็นถึงการแสดงความคิดเห็นของประชาชนต่อผู้สมัครในเขตต่างๆ

การเลือกตั้งใหม่ในบางพื้นที่

การเลือกตั้งในบางพื้นที่พบว่าไม่สามารถประกาศผลได้ตามที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากในบางเขตคะแนนเสียงไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยต้องมีการเลือกตั้งใหม่ใน 4 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี, ตรัง, ชุมพร และชัยนาท ซึ่งจะต้องมีการประกาศเลือกตั้งใหม่ภายใน 7 วัน นับจากวันเลือกตั้ง

การนับคะแนนใหม่และทุจริตในการเลือกตั้ง

ในส่วนของการร้องขอให้นับคะแนนใหม่จากบางพรรคการเมืองในพื้นที่เช่น เชียงใหม่และสมุทรปราการ นายแสวง ยืนยันว่า กกต. จะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หากการนับคะแนนมีการทักท้วงและทำบันทึกไว้ การพิจารณาจึงจะเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนด

ผลการเลือกตั้งในเชียงราย

สำหรับจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 936,351 คน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ. 605,780 คน คิดเป็น 64.70% และสมาชิก อบจ. 604,365 คน คิดเป็น 65.07% โดยจำนวนบัตรดีจากการเลือกตั้งนายก อบจ. มี 525,928 ใบ (86.82%) และสมาชิก อบจ. มี 511,882 ใบ (84.70%) ทั้งนี้การเลือกตั้งยังพบจำนวนบัตรที่ไม่เลือกผู้สมัครใดค่อนข้างมาก ซึ่งอาจสะท้อนถึงการแสดงความไม่พอใจหรือความคิดเห็นของประชาชนต่อผู้สมัครในเขตต่างๆ

บทสรุป

การเลือกตั้งครั้งนี้มีทั้งความสำเร็จและปัญหาที่ต้องดำเนินการต่อ โดยเฉพาะการดำเนินคดีในบางเขตเลือกตั้งที่มีปัญหาการทุจริต รวมทั้งการเลือกตั้งใหม่ในบางพื้นที่ที่คะแนนไม่ตรงตามเกณฑ์ แต่โดยรวมแล้ว การเลือกตั้งถือว่าจัดได้อย่างเป็นระเบียบและถูกต้องตามกฎหมาย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ลุ้น “พญ.อัจฉรา” ผอ.โฮงยาไทย 3 รายชื่อเข้าชิงเลขา สปสช. คนใหม่

คณะกรรมการสรรหาฯ ประกาศ 3 รายชื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก 3 คนสุดท้ายจากผู้สมัครทั้งหมด 9 คน เพื่อเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ แทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งกำลังจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

“พญ.อัจฉรา” ผ่านเข้ารอบสุดท้าย พร้อมอีก 2 รายชื่อ

จากการประชุมของคณะกรรมการสรรหาฯ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 ได้มีการสัมภาษณ์ผู้สมัคร พร้อมรับฟังการแสดงวิสัยทัศน์และแผนการบริหารงานของแต่ละคน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือเพียง 3 คนสุดท้าย โดยรายชื่อที่ผ่านการพิจารณามีดังนี้

  1. นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี – เลขาธิการ สปสช. คนปัจจุบัน
  2. นพ.ดิเรก สุดแดน
  3. พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช

รายชื่อดังกล่าวจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อพิจารณาคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ต่อไป

กระบวนการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้เปิดรับสมัครผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับการคัดเลือกตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 9 คน ผ่านการคัดเลือกรอบแรก จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการสัมภาษณ์ในวันที่ 31 มกราคม 2568 ซึ่งเป็นการพิจารณาด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย และความสามารถในการบริหารงาน

หลังการสัมภาษณ์ คณะกรรมการสรรหาฯ ได้คัดเลือก 3 รายชื่อสุดท้าย โดยใช้เกณฑ์พิจารณาความสามารถในการบริหารงาน ระบบสุขภาพ และความเข้าใจในภารกิจของ สปสช. ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ

ขั้นตอนต่อไป: การพิจารณาของบอร์ด สปสช.

คณะกรรมการสรรหาฯ จะส่งผลการคัดเลือกไปยังคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ในการประชุมวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะดำรงตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งจะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายน 2568 โดยเลขาธิการคนใหม่จะต้องเข้ามารับผิดชอบด้านการบริหารงบประมาณด้านสุขภาพ ดูแลระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และผลักดันนโยบายให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของตำแหน่งเลขาธิการ สปสช.

เลขาธิการ สปสช. ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่มีบทบาทโดยตรงต่อการบริหารจัดการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 48 ล้านคนทั่วประเทศ โดยผู้ดำรงตำแหน่งจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงบประมาณ ดูแลการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น

ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่า การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. ครั้งนี้เป็นกระบวนการที่ได้รับความสนใจจากหลายภาคส่วน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและการให้บริการที่ต้องพัฒนาให้ทันต่อสถานการณ์

“บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สปสช. คนใหม่ ต้องมีความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณขนาดใหญ่ และต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืน” นักวิชาการด้านสุขภาพให้ความเห็น

สรุป

การคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่กำลังอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย โดย 3 รายชื่อที่ผ่านการคัดเลือก ได้แก่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี, นพ.ดิเรก สุดแดน และ พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ทั้งสามรายชื่อจะเข้าสู่การพิจารณาโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะมีการประชุมตัดสินในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 ก่อนที่ผู้ได้รับการแต่งตั้งจะเข้ารับตำแหน่งแทน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ที่จะหมดวาระในวันที่ 2 เมษายนนี้

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องมีการคัดเลือกเลขาธิการ สปสช. คนใหม่?
    ตำแหน่งเลขาธิการ สปสช. มีวาระการดำรงตำแหน่ง เมื่อครบกำหนดต้องมีการคัดเลือกบุคคลใหม่เพื่อสานต่อภารกิจด้านหลักประกันสุขภาพ
  2. ใครเป็นตัวเต็งในการได้รับตำแหน่งครั้งนี้?
    นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี ซึ่งเป็นเลขาธิการคนปัจจุบัน ถือเป็นตัวเต็ง เนื่องจากมีประสบการณ์ตรงกับงานใน สปสช.
  3. ขั้นตอนสุดท้ายของการคัดเลือกเป็นอย่างไร?
    รายชื่อ 3 คนสุดท้ายจะถูกเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะพิจารณาและแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมที่สุด
  4. บทบาทของเลขาธิการ สปสช. มีอะไรบ้าง?
    บริหารงบประมาณหลักประกันสุขภาพ ดูแลการให้บริการสาธารณสุข และพัฒนานโยบายด้านสุขภาพให้ประชาชนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
  5. การแต่งตั้งเลขาธิการ สปสช. คนใหม่จะมีผลเมื่อใด?
    หลังการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 เมษายน 2568

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการสรรหาเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

คุยกับเหล่าทายาทรุ่นใหม่ ‘อทิตาธร’ 4 ป. ตัวช่วยหาเสียงสนามเลือกตั้ง อบจ.

เบื้องหลังทายาทการเมืองในการเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงราย 2568

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (นายกอบจ.) และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ประจำปี 2568 ได้จัดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยมีผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งนายกอบจ.เชียงรายจำนวน 3 คน ได้แก่ นางอทิตาธร วันไชยธนวงค์ อดีตนายกอบจ.เชียงรายสมัยที่ผ่านมา, นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ที่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย และคนสุดท้าย นางสาวจิราพร หมื่นไชยวงศ์ ผู้สมัครอิสระ

ในระหว่างการหาเสียงของแต่ละผู้สมัครนั้น มีหนึ่งเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากประชาชนในจังหวัดเชียงราย และได้รับการติดตามจากสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ตลอดการเลือกตั้ง นั่นคือการมีส่วนร่วมของทายาททางการเมืองที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ช่วยหาเสียง โดยเฉพาะในฝั่งของพรรคเพื่อไทยที่นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช มีผู้ช่วยหาเสียงที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากตระกูล ‘ติยะไพรัช’ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเมืองและกีฬาในจังหวัดเชียงราย

การเข้ามาของทายาททางการเมือง

การเลือกตั้งครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าได้มีการนำทายาทจากครอบครัวการเมืองเข้ามามีบทบาทในการหาเสียง โดยเฉพาะในฝ่ายของพรรคเพื่อไทยที่นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการการเมืองและกีฬา อย่าง ‘ฮั่น’ มิตติ ติยะไพรัช ผู้เป็นเจ้าของทีมฟุตบอลชื่อดังอย่างสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด , “สส.โฮม” ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย เขต 2 และ “ฮาย” ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช

การมีส่วนร่วมของลูกๆ ของทั้งสองตระกูลการเมืองนี้ไม่ใช่เพียงแค่การช่วยหาเสียงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้สมัคร

บทสัมภาษณ์: ป่าน ธัญชนก หนุนนำสิริสวัสดิ์

ป่าน ธัญชนก หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจในการช่วยเหลือสังคมและการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะในฐานะผู้ช่วยหาเสียงให้กับแม่ในครั้งนี้ เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและมุ่งมั่นที่จะทำให้การเมืองเป็นเรื่องของทุกคนที่สามารถมีส่วนร่วมได้ และเธอยังให้กำลังใจแม่ในการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในประเทศที่ดีขึ้น ป่าน ธัญชนก หนุนนำสิริสวัสดิ์ พี่สาวคนโตจาก 4 ปอ ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือแม่ในการหาเสียงในครั้งนี้ ซึ่งบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้เราได้รู้จักเธอมากขึ้นในมุมมองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว การเมือง หรือการช่วยหาเสียง

สัตว์เลี้ยง

ป่านเริ่มต้นด้วยการพูดถึงสัตว์เลี้ยงที่บ้านของเธอ โดยมีสุนัข 6 ตัวและแมว 2 ตัว ซึ่งทั้งหมดนอนอยู่ด้วยกันบนเตียงตลอดเวลา ป่านกล่าวว่า ทุกตัวเป็นเหมือนลูกๆ ของเตี่ยแม่ เตี่ยแม่รักยิ่งกว่าลูกอีกค่ะ” เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนในครอบครัวเมื่อวันหนึ่งเธอกำลังจะตอบคำถามจากเตี่ยและแม่ แต่กลับพบว่าเตี่ยและแม่ไม่ได้ถามเธอ แต่กลับถามน้องหมาของเธอว่า เป็นยังไงบ้าง กินข้าวรึยังลูก” ป่านเล่าด้วยความขำว่า ตอนนั้นก็รู้เลยว่าใครลูกรักกันแน่”

การเมือง

เมื่อพูดถึงการเมือง ป่านเผยว่า จริงๆ ตอนเด็กๆ ก็ไม่ค่อยชอบเรื่องการเมืองเท่าไร เพราะเห็นมาตั้งแต่เล็กๆ แต่พอโตมาก็คิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนสามารถทำให้มันดีขึ้นได้ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นนักการเมืองก็ตาม” ป่านพูดถึงความสำคัญของการเมืองในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศ ป่านแค่อยากเห็นบ้านเราพัฒนามากขึ้น คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี facilities ที่ครบครัน มีความสุขที่เป็นความสุขจริงๆ” เธอเชื่อว่าการมีการเมืองที่ดีจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของทุกคน

ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง

ป่านได้เล่าถึงประสบการณ์ในการช่วยแม่หาเสียงในครั้งนี้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและเต็มไปด้วยความทุ่มเท รอบนี้เป็นการช่วยเหลือแม่ที่เจออะไรหลายอย่างแบบที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนค่ะ” เธอพูดถึงความยากลำบากของแม่ที่ไม่ได้พึ่งพาคนจากพรรคการเมืองอื่น ทำให้การหาเสียงครั้งนี้หนักกว่าที่เคย แม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง จากตอนหาเสียงรอบแรก เราก็แค่ช่วยด้านออนไลน์ แต่รอบนี้เราเห็นการทำงานของแม่จริงๆ การทุ่มเทของแม่ในช่วงน้ำท่วมที่บ้านก็ท่วมเหมือนกัน เตี่ยแม่ยังไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นผู้ประสบภัย” ป่านเล่าถึงความตั้งใจของแม่ที่ช่วยเหลือชาวบ้านแม้ในช่วงที่บ้านตนเองกำลังประสบปัญหาน้ำท่วม

ได้เจออะไรมาบ้างในการช่วยหาเสียง?

ป่านกล่าวว่า เราได้เจอทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีมากมายเลยค่ะ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำมากสำหรับครั้งนี้” เธอพูดถึงความแตกต่างในการหาเสียงในปัจจุบันและอดีต ซึ่งการหาเสียงในยุคนี้ต้องเผชิญกับปัจจัยต่างๆ ที่ไม่คาดคิด แต่โชคดีที่มีครอบครัวคอยให้กำลังใจและสนับสนุน เราคิดว่าเราจะต้องเริ่มทำการหาเสียงแบบยุคใหม่ที่ fair and free” ป่านกล่าวถึงความตั้งใจในการทำให้การเมืองเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้

สุดท้าย ป่านอยากพูดให้กำลังใจแม่ว่า

วันนี้มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด 100% แต่สิ่งที่แม่ทำอยู่ การไม่โจมตี ไม่หาเรื่องใคร ไม่ใส่สีใคร มันก็ทำให้เด็กๆ มีความหวังว่าประเทศนี้ มันจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ”

บทสัมภาษณ์: ปองพล หนุนนำสิริสวัสดิ์

บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ได้ให้เราเห็นอีกมุมหนึ่งของปองพล หนุนนำสิริสวัสดิ์ ที่นอกจากจะเป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้แล้ว เขายังเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับการเมืองและการพัฒนาท้องถิ่น ด้วยความตั้งใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในจังหวัดเชียงราย ทั้งในฐานะผู้ช่วยหาเสียงและในฐานะคนในครอบครัวของผู้สมัคร ปองพลได้เรียนรู้และเข้าใจในกระบวนการการเมืองท้องถิ่นที่มีความซับซ้อนและต้องการความทุ่มเทอย่างแท้จริง

ประวัติส่วนตัว

วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับ ปองพล หนุนนำสิริสวัสดิ์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “ปริญญ์” หนุ่มที่มีความสนใจในด้านการเมืองและการช่วยเหลือสังคม เรามาเริ่มต้นกันที่เรื่องราวส่วนตัวของเขาก่อน

สิ่งที่ชอบ

เมื่อพูดถึงสิ่งที่ชอบ ปองพลเปิดเผยว่าเขามีสัตว์เลี้ยงอยู่หลายตัวในบ้าน โดยเฉพาะสุนัข 6 ตัว และแมว 2 ตัว แต่สิ่งที่เขาอยากเล่าให้เราฟังมากที่สุดคือเรื่องของแมวตัวแรกที่เขาเลี้ยง ชื่อว่า “มันเดย์” เป็นแมวที่พี่สาวของเขาเก็บมาเลี้ยงจากพุ่มไม้ข้างออฟฟิศ มันเดย์ตัวเล็กและผอมมากตอนแรก แต่หลังจากมาอยู่กับครอบครัวของเขาได้ไม่กี่ปีก็กลายเป็นแมวตัวใหญ่และอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

มันเดย์เป็นแมวขี้อ้อนสุดๆ มันชอบให้กอดมากๆ โดยเฉพาะตอนที่นอนหลับ มันจะกอดตลอดเวลา ถ้าไม่ได้กอดมันจะโวยวายไม่หยุด” ปองพลเล่าอย่างยิ้มๆ พร้อมกล่าวต่อไปว่า ถึงแม้เขาจะมีอาการแพ้ขนแมว แต่เขาก็รักมันมากและไม่สามารถปฏิเสธความขี้อ้อนของมันได้ โดยทุกครั้งหลังจากเล่นกับมันเขาจะระมัดระวังไม่ให้มือไปสัมผัสตาแล้วล้างมือทุกครั้ง

การเมือง

เมื่อมาถึงเรื่องการเมือง ปองพลพูดถึงความสำคัญของการเมืองต่อชีวิตประจำวันว่า การเมืองมีผลกระทบต่อเราทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ภาษี ค่าแรงขั้นต่ำ หรือแม้แต่คุณภาพของบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสาธารณสุข ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของนักการเมือง” เขายกตัวอย่างเช่น การที่รัฐบาลมีนโยบายที่ดีในการควบคุมราคาสินค้าหรือช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะทำให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าการบริหารจัดการไม่ดีค่าครองชีพสูงขึ้นและรายได้ไม่เพิ่มตาม ก็จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น

แม้ว่าบางคนอาจไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่การติดตามข่าวสารหรือออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะมันมีผลต่อชีวิตของทุกคน” เขากล่าวถึงความสำคัญในการมีส่วนร่วมในการเมือง

ครั้งนี้ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงเป็นอย่างไรบ้าง?

ปองพลบอกว่าการเป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและน่าประทับใจมาก นอกจากผมจะเป็นผู้ช่วยหาเสียงแล้ว ผมยังเป็นลูกชายของผู้สมัครด้วย มันทำให้ผมรู้สึกมีความรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ใช่แค่ช่วยหาเสียงแบบทั่วไป แต่เป็นการทำงานเพื่อสนับสนุนคุณแม่ของผมด้วย” เขาบอกว่าในครั้งนี้เขาได้เรียนรู้ว่า การเมืองท้องถิ่นมีรายละเอียดเยอะมาก และการที่จะเข้าถึงประชาชนในพื้นที่จริงๆ นั้นจำเป็นต้องฟังปัญหาของพวกเขาโดยตรง

ได้เจออะไรมาบ้างในประสบการณ์การช่วยหาเสียงครั้งนี้?

ปองพลได้บอกว่าเขาได้เจอกับประชาชนหลากหลายกลุ่ม ได้ฟังเรื่องราวปัญหาของพวกเขา บางคนมีความหวังและอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง แต่บางคนก็หมดหวังกับการเมือง เขากล่าวว่า สิ่งสำคัญคือเราต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าการเมืองท้องถิ่นสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง”

เขายังได้เห็นความเหนื่อยและความตั้งใจของคุณแม่ในฐานะนักการเมือง ผมเข้าใจมากขึ้นว่าการเป็นนักการเมืองไม่ง่ายเลย ต้องอดทน เสียสละ และทำงานหนักเพื่อคนส่วนรวม” เขากล่าว

บทสัมภาษณ์: ป้อน พัทธ์ธีรา หนุนนำสิริสวัสดิ์

ป้อน พัทธ์ธีรา หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นตัวอย่างของคนที่มีความตั้งใจและทุ่มเทในการช่วยเหลือสังคมและการเมืองท้องถิ่น โดยไม่เพียงแต่เป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้ แต่ยังเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงานเพื่อคนส่วนรวม ทั้งในฐานะลูกและในฐานะผู้ที่มุ่งมั่นที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในจังหวัดของเขา

ประวัติส่วนตัว

ป้อน พัทธ์ธีรา หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นหนึ่งในคนที่มีความรักและความตั้งใจในการทำงานเพื่อสังคม โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองและการพัฒนาชุมชน ที่ทำให้เขาได้รับบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือครอบครัวและการหาเสียงในฐานะผู้ช่วยหาเสียงให้กับคุณแม่ที่ลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งนี้

สัตว์เลี้ยง

เมื่อพูดถึงสิ่งที่ชอบ ป้อนได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของเขา ซึ่งในบ้านมีสุนัข 6 ตัวที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของครอบครัว เขาบอกว่า “ที่บ้านชอบหมามาก พวกมันเป็นสิ่งฮีลใจของพวกเราเลย” นอกจากนี้ ป้อนยังได้เล่าเรื่องน่ารักของสุนัขตัวหนึ่งในบ้าน ซึ่งเคยเดินไปขอน้ำจากแม่ของเขาแทนที่เขาจะไปให้น้ำเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกแย่งตำแหน่งลูกรักจากสุนัข เพราะแม่กลับไปโอ๋สุนัขแทนที่จะดุเลยทำให้ป้อนหัวเราะและยอมรับว่าบางครั้งก็ต้องยอมแพ้ให้กับความขี้อ้อนของน้องหมา

การเมือง

ป้อนมองว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากในชีวิตประจำวัน “การเมืองอยู่ในทุกๆ อย่างในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ภาษี ค่าแรงขั้นต่ำ หรือคุณภาพของบริการสาธารณะ เช่น การศึกษาและสาธารณสุข ทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของนักการเมือง” เขายกตัวอย่างเช่นการบริหารของรัฐบาลที่สามารถมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีความเหลื่อมล้ำสูง แม้จะจ่ายภาษีเท่ากัน แต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกซึ้ง
“ถ้าการเมืองดี ปัญหาพวกนี้ก็จะลดลงได้และคนเราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามพื้นฐานที่ควรจะมีได้จริงๆ” เขากล่าวถึงความสำคัญของการเลือกผู้บริหารที่ดีที่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้

ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง

ป้อนได้เล่าถึงการเป็นผู้ช่วยหาเสียงครั้งนี้ว่า “ครั้งนี้ก็เข้มข้นพอสมควรด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เราเห็นแม่ตั้งใจมาก สมัยที่ผ่านมาเรานับถือใจเค้ามากที่ทุ่มเทเพื่อชาวบ้านขนาดนี้”

บทสัมภาษณ์: พิชามญชุ์ หนุนนำสิริสวัสดิ์ (ปอ)

ปอ พิชามญชุ์ หนุนนำสิริสวัสดิ์ เป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจในการพัฒนาและช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะในเรื่องการเมืองท้องถิ่น การช่วยแม่หาเสียงในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เธอเข้าใจการเมืองท้องถิ่นมากขึ้น แต่ยังเป็นการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับครอบครัวของเธอด้วย ความทุ่มเทและความตั้งใจของปอทำให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่ใส่ใจในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม

ประวัติส่วนตัว

วันนี้เรามีโอกาสพูดคุยกับ พิชามญชุ์ หนุนนำสิริสวัสดิ์ หรือ ปอ หนึ่งในสมาชิกครอบครัวที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยแม่ในการหาเสียง ปอเป็นพี่คนหนึ่งในสี่พี่น้องที่มีความรักสัตว์และสนใจการเมืองอย่างลึกซึ้ง

สิ่งที่ชอบ

ปอเริ่มต้นการพูดถึงสิ่งที่ชอบ โดยเฉพาะเรื่องสัตว์เลี้ยงที่เป็นส่วนสำคัญในครอบครัวของเธอ ครอบครัวของเรารักสัตว์มากๆ ยิ่งกว่าอะไร” ปอกล่าว ด้วยความที่ครอบครัวของเธอมีสัตว์เลี้ยงรวมทั้งหมด 8 ตัว ได้แก่ สุนัข 6 ตัว และแมว 2 ตัว ซึ่งลูกๆ เป็นคนซื้อมาดูแลเอง ปอได้เล่าถึงการเลี้ยงสุนัขและแมวที่บ้านว่า ที่กรุงเทพฯ ปอเลี้ยงสุนัข 3 ตัว ส่วนที่เชียงรายเลี้ยง 4 ตัวค่ะ ทุกตัวเป็นเหมือนลูกๆ ของเราเลย ทุกครั้งที่กลับบ้านเราก็จะได้เล่นกับพวกมัน และมันก็มีความสำคัญกับครอบครัวเราไม่น้อย”

การเมือง

เมื่อพูดถึงการเมือง ปอเริ่มเล่าถึงมุมมองการเมืองของตัวเองที่ได้สัมผัสจากการอยู่ในกรุงเทพฯ และการทำงานที่นั่น การเมืองไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ มันส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือสาธารณสุข และการตัดสินใจของนักการเมืองมีผลต่อเราทุกคน” เธอพูดถึงประสบการณ์ที่ได้เห็นจากการจัดการของพรรคการเมืองในปัจจุบัน ถ้าวันนี้การเมืองยังไม่ดีไม่พัฒนา เราก็ไม่มีวันพัฒนาไปได้มากกว่านี้” ปอเชื่อว่าการเมืองมีผลกระทบกับชีวิตทุกคน และทุกคนควรให้ความสำคัญกับมันอย่างมาก

ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง

การเป็นผู้ช่วยหาเสียงในครั้งนี้ ปอรู้สึกว่ามันท้าทายมากกว่าครั้งที่ผ่านมา รู้สึกว่าครั้งนี้ท้าทายมากกว่ารอบที่แล้ว แต่ก็รู้สึกว่าเรามือแข็งขึ้นเยอะ เพราะทีมเราใหญ่ขึ้นและมีแต่คนรุ่นใหม่ ทำให้การทำงานเข้าใจกันมากขึ้น” ปอพูดถึงความร่วมมือที่ดีในทีมและความภูมิใจในตัวคุณแม่ที่ทุ่มเทและสู้มากๆ ในการหาเสียง เราภูมิใจในตัวคุณแม่ทั้งเก่งและสู้มากค่ะ”

ได้เจออะไรมาบ้างในการช่วยหาเสียง?

เมื่อถามถึงประสบการณ์ในการช่วยหาเสียงในครั้งนี้ ปอกล่าวว่า เราได้เจอประสบการณ์หลากหลายรูปแบบค่ะ ทีมเราทำทุกอย่างกันเอง ทำให้เราได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้น” เธอได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเมืองท้องถิ่นและปัญหาของประชาชน สิ่งที่เราพบคือ ความเข้าใจด้านการเมืองท้องถิ่นของชาวบ้านยังไม่มากพอ ทำให้บางครั้งพวกเขายังไม่เข้าใจในเรื่องอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานท้องถิ่นหรือเรื่องภาษี งบประมาณจังหวัด” ปอได้เน้นย้ำถึงความสำคัญในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน เราควรให้ข้อมูลกับประชาชนให้มากขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์มากที่สุดค่ะ”

ความหมายของการมีทายาทการเมือง

การที่ทายาทจากครอบครัวการเมืองเข้ามามีบทบาทในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณของการสานต่อภารกิจเพื่อพัฒนาจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับประชาชนท้องถิ่น การที่ลูกๆ ของนักการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความต่อเนื่องของนโยบายที่เคยดำเนินการไว้เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงในการเมืองท้องถิ่นที่มีความเป็นส่วนตัวและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนได้อย่างใกล้ชิด

บทสรุป

การเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงรายในปี 2568 เป็นการเลือกตั้งที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของทายาทการเมืองในการพัฒนาจังหวัด ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การส่งเสริมชื่อเสียงของครอบครัวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนและคนรุ่นใหม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่น การที่ทายาทจากทั้งสองตระกูลมีส่วนร่วมในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมความต่อเนื่องของการพัฒนาในจังหวัดเชียงราย และเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตการเมืองท้องถิ่นที่มีความเข้มแข็งและมั่นคง

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE