Categories
NEWS UPDATE

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินน้ำท่วม ปี 2567 สูง 30,000 ล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินผลกระทบจากน้ำท่วมปี 2567 สูงถึง 3 หมื่นล้านบาท

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เปิดเผยการประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมในปี 2567 ว่ามีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.16% ของ GDP ของประเทศไทย หากสถานการณ์น้ำท่วมลากยาวหรือขยายพื้นที่ ผลกระทบอาจเพิ่มขึ้นถึง 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP

การประเมินผลกระทบจากน้ำท่วม

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ทำการประเมินว่าผลกระทบจากน้ำท่วมในปี 2567 จะเกิดขึ้นอย่างหนักในภาคเกษตรและรายได้ของครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลต่อการบริโภคและเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ภัยพิบัติจากน้ำท่วมมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคเกษตร

น้ำท่วมปีนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่เช่น เชียงรายและเชียงใหม่ ที่น้ำท่วมซ้ำหลายรอบ นอกจากนี้ รายได้ของครัวเรือนและภาคการท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก ทำให้การบริโภคลดลงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม

การขยายพื้นที่น้ำท่วมและความเสียหายที่เพิ่มขึ้น

หากสถานการณ์น้ำท่วมขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในเขตตัวเมืองของภาคกลางและภาคใต้ ผลกระทบจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 50,000 ล้านบาท หรือ 0.27% ของ GDP การขยายพื้นที่น้ำท่วมยังส่งผลต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนทรุด สะพานขาด และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและธุรกิจในพื้นที่

การเตรียมรับมือกับภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนทำให้ภัยพิบัติจากน้ำท่วมมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้น การวางแผนรับมือเช่น การมีระบบเตือนภัยที่เข้าใจง่าย แผนปฏิบัติการฉุกเฉิน การทำประกันภัย และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถรองรับความเสี่ยงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากน้ำท่วมในอนาคต

การประเมินพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและการเคลื่อนย้ายพื้นที่เสี่ยง

สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำได้ประเมินว่าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันจะเคลื่อนจากภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางในเดือนกันยายนและตุลาคม มาเป็นภาคกลางและภาคใต้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม การเคลื่อนย้ายพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมนี้ทำให้ต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ใหม่

ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจ

น้ำท่วมปี 2567 ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานอย่างมาก ถนนทรุด สะพานขาด และสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจและการเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ ภาคการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้การผลิตหยุดชะงักและส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม

การฟื้นฟูหลังน้ำท่วมและบทบาทของภาครัฐและเอกชน

หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย การฟื้นฟูพื้นที่จะต้องพึ่งพางบประมาณของภาครัฐและการใช้จ่ายของภาคเอกชน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมการก่อสร้างและการตกแต่งบ้าน แต่ในขณะเดียวกัน ครัวเรือนก็อาจจำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อซ่อมแซมบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ส่งผลให้มีการกดดันการใช้จ่ายในส่วนอื่น ๆ ของครัวเรือน

บทสรุป

น้ำท่วมปี 2567 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก โดยเฉพาะในภาคเกษตรและรายได้ของครัวเรือน การวางแผนรับมือและการฟื้นฟูพื้นที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมในอนาคต การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่นเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY

ภาคเหนือปีนี้ผลผลิต ‘ลำไย’ เพิ่ม แต่หนาวไม่พอทำ ‘ลิ้นจี่’ ไม่ติดดอก

 
เมื่อวันที่ 20 มีนาคมคม 2567 นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สศก. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และผู้แทนเกษตรกรดำเนินการจัดทำข้อมูลพยากรณ์ปริมาณการผลิตไม้ผลภาคเหนือ ลำไยและลิ้นจี่ ปี2567 พบว่า ลำไยใน8จังหวัดภาคเหนือ (เชียงราย พะเยา ลำปาง ลำพูน เชียงใหม่ ตาก แพร่ และน่าน) มีเนื้อที่ให้ผลในภาพรวมลดลงเล็กน้อย โดยมีจำนวน1.243 ล้านไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 1.244 ล้านไร่ (ลดลงร้อยละ0.10)เนื่องจากเกษตรกรโค่นลำไยเพื่อเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ทุเรียน ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และบางส่วนโค่นเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย
 
 

โดยจะให้มีปริมาณผลผลิต1.047ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.949 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ10.24)แบ่งเป็นผลผลิตรวมในฤดู0.702 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.627 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ12.04)และผลผลิตรวมนอกฤดู0.344 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 0.323 ล้านตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ6.73)

 

ด้านผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลในภาพรวมอยู่ที่842กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้นจากปี2566ที่มีจำนวน 763 กิโลกรัมต่อไร่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ10.35)เนื่องจากราคาลำไยในปีที่แล้วอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นลำไย จัดหาแหล่งน้ำให้เพียงพอเพื่อรับมือกับสภาพอากาศร้อนและราดสารโพแทสเซียมคลอเรตเพื่อชักนำการออกดอก ประกอบกับภาครัฐส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตลำไยคุณภาพและเกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่มาทำลำไยนอกฤดูมากขึ้น โดยผลผลิตลำไยในฤดูจะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนมิถุนายน – กันยายน และออกสู่ตลาดมากในเดือนสิงหาคม ประมาณร้อยละ38.72หรือ4.05แสนตัน

 

สำหรับลิ้นจี่4จังหวัดภาคเหนือ (เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ และน่าน)เนื้อที่ให้ผลมีจำนวน 7.30 หมื่นไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 7.52 หมื่นไร่ (ลดลงร้อยละ2.86)เนื่องจากเกษตรกรปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทุเรียน เงาะ ยางพารา โดยให้ผลผลิตรวม2.72 หมื่นตัน ลดลงจากปี 2566 ที่มีปริมาณผลผลิต 3.32 หมื่นตัน (ลดลงร้อยละ18.14)โดยผลผลิตต่อเนื้อที่ให้ผลอยู่ที่372กิโลกรัมต่อไร่ ลดลงจากปี2566ที่มีจำนวน 442 กิโลกรัมต่อไร่ (ลดลงร้อยละ15.84)

เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศร้อนสลับหนาว และอากาศหนาวเย็นไม่เพียงพอ ส่งผลต่อการออกดอกติดผล เพราะลิ้นจี่เป็นพืชที่อาศัยความหนาวเย็นในการชักนำการออกดอก และจากสภาพอากาศไม่เหมาะสม ทำให้ลิ้นจี่บางส่วนแตกใบอ่อนแทนการออกดอก

 

ประกอบกับหลายปีที่ผ่านมา เกษตรกรไม่ดูแลรักษา เนื่องจากลิ้นจี่เป็นพืชที่ดูแลยาก ทำให้ต้นไม่สมบูรณ์ ช่อดอกไม่สามารถพัฒนาเป็นผลได้ โดยในปีที่แล้วลิ้นจี่ออกสู่ตลาดกระจุกตัวอยู่ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งปีนี้ลิ้นจี่แทงช่อดอกช้าคาดว่าปี2567จะมีผลผลิตลิ้นจี่ออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนเมษายน – กรกฎาคม และจะออกสุดมากในเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน รวมประมาณร้อยละ93.03หรือ2.53หมื่นตัน

 

ทั้งนี้ ข้อมูลนี้จะนำไปใช้ในการบริหารจัดการไม้ผลในที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) และนำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ทั้งนี้ สศก. จะได้ติดตามสถานการณ์การผลิตอย่างต่อเนื่องต่อไปและจะรายงานผลพยากรณ์รอบต่อไปให้ทราบเป็นระยะ เนื่องจากผลไม้มีความอ่อนไหวต่อสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับกระทรวง กรม และจังหวัดได้นำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการผลไม้ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News