Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

คุมเข้มก่อนน้ำมา สทนช.สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. นี้

สทนช.ลงพื้นที่เชียงราย “คุมเข้มก่อนน้ำมา” สั่งเร่งซ่อมพนังกั้นน้ำแม่สายให้ทัน 24 ส.ค. ย้ำสื่อสารมาตรฐานคุณภาพน้ำตามการใช้งาน–พร่องน้ำอ่าง–เตือนภัยเชิงรุก รับมือฝนพีค ส.ค.–ก.ย.

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — ยามสายของวันประชุมที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย แผนที่ลุ่มน้ำโขงเหนือขนาดใหญ่ถูกคลี่บนโต๊ะ กราฟคาดการณ์ฝน–ความชื้นในดิน–ระดับน้ำท่า เชื่อมโยงเข้ากับไทม์ไลน์ “งานซ่อมพนัง” ที่กำลังเดินหน้าในอำเภอแม่สาย ภาพทั้งหมดสะท้อนโจทย์เดียวกัน—รับมือฝนระลอกพีกปลายสิงหาคม–กันยายน ให้ทันก่อน “น้ำมา” และจำกัดความเสี่ยงซ้ำรอยน้ำหลากปีที่ผ่านมา

การลงพื้นที่ครั้งนี้นำโดย ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะประธานการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 โดยมีผู้แทนจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น หน่วยงานด้านพยากรณ์อากาศและภูมิสารสนเทศ รวมถึงภาคส่วนปฏิบัติการในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง สาระสำคัญคือ คำสั่งเร่งด่วนซ่อมเสริมพนังกั้นน้ำแม่น้ำสายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อ “ล็อกความเสี่ยง” ก่อนความชื้นสะสมในดินและฝนใหม่จะผนวกกันเป็นน้ำหลากรอบใหม่

ดร.สุรสีห์ ระบุว่า สถานการณ์เฝ้าระวังได้รับการติดตาม รายวัน โดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้กำกับติดตามจุดเสี่ยงสำคัญของลุ่มน้ำโขงเหนือ เพื่อให้การสั่งการ–การสนับสนุน–และการแจ้งเตือนประชาชน ทันเวลา–ตรงจุด–ใช้การได้จริง ไม่ใช่เพียงเอกสารเตือนภัย

พายุปลายสิงหาเหตุผลของ “เส้นตาย 24 ส.ค.”

กรมอุตุนิยมวิทยา ชี้ว่า ตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ปริมาณฝนในลุ่มน้ำโขงเหนือมีแนวโน้ม เพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกันภาพวิเคราะห์บรรยากาศแสดง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ที่อาจพัฒนาเป็นพายุโซนร้อนปลายเดือน—สถานการณ์ที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะ ค่าความชื้นในดินสูง อยู่แล้วจากฝนหลายระลอกก่อนหน้า เมื่อฝนก้อนใหม่ตกซ้ำลงมา น้ำฝนจะ ซึมดินได้ต่ำ–กลายเป็นน้ำท่าเร็ว–ไหลลงลำน้ำ สร้างยอดคลื่นระดับน้ำ (peak) ที่ สูงและมาไว กว่าปกติ

ถ้าพนัง–ฝาย–คอสะพาน ยังซ่อมไม่เสร็จ หรืออ่อนแรง จุดเปราะบางจะกลายเป็น ช่องทางน้ำพุ่ง เพิ่มความเสียหายแบบลูกโซ่ การกำหนดเส้นตาย 24 ส.ค. จึงไม่ใช่ตัวเลขลอย ๆ แต่ยึดโยงกับ หน้าต่างเวลา (window) ระหว่าง “ฝนเดิมยังไม่ระบายหมด” กับ “ฝนใหม่กำลังเข้า” ให้มี กันชน (buffer) เพียงพอ

คำถามชวนคิด ใน 72 ชั่วโมงหลังฝนหนัก จังหวะ “พร่องน้ำ–ปิดช่องโหว่–เสริมจุดอ่อน” จะทำได้เร็วพอหรือไม่? และการซ้อมแผนอพยพในชุมชนริมน้ำที่เคยถูกน้ำท่วมซ้ำมีความพร้อมแค่ไหน?

แม่สายคือจุดยุทธศาสตร์ พนังที่ต้องแข็งแรงก่อนฝนใหญ่

อำเภอแม่สาย คือแนวหน้ารับน้ำฝั่งเหนือ ก่อนที่น้ำจะไหลสู่ แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก–และแม่น้ำกก ต่อไป การลงพื้นที่ร่วมกับ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานท้องถิ่น จึงเจาะจงประเด็น พนังกั้นน้ำที่ชำรุด จากรอบน้ำหลากที่ผ่านมา สาระหลักของคำสั่งคือ

  • เร่ง งานโครงสร้าง: อุดรอยรั่ว–เสริมเขื่อนดิน–ปูแผ่นใยทางวิศวกรรม (geotextile) จุดวิกฤติ
  • คอสะพาน–ท่อระบายน้ำ: ตรวจโครงสร้างฐานราก–เคลียร์เศษวัสดุตัน–ติดตั้งรางระบายน้ำชั่วคราว
  • เครื่องจักรกล: วางเครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–รถแบ็กโฮ สแตนด์บาย จุดเสี่ยง
  • เฝ้าระวัง 24 ชม.: ตั้งเวรยามริมน้ำ–ติดตั้งไม้บรรทัดวัดระดับ–รายงานเข้าศูนย์ทันทีหากระดับน้ำเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ภายใต้กรอบ 24 ส.ค. เพื่อให้ แม่สาย—เมืองหน้าด่าน—ยืนให้มั่นก่อนสายฝนจะเข้าทั้งละลอก

น้ำใช้ต่างกัน มาตรฐานต่างกัน” แยกเกณฑ์คุณภาพน้ำให้ชัด–สื่อสารให้ถึง

อีกแกนหลักของการประชุม คือการสื่อสารเรื่อง คุณภาพน้ำ ให้ประชาชนเข้าใจ เกณฑ์มาตรฐานตามการใช้งาน” ไม่ใช้ตัวเลขชุดเดียวครอบทุกประเภทการใช้ เพราะบริบท น้ำดิบเพื่อการประปา” กับ น้ำเพื่อเกษตร” ไม่เท่ากัน

  • เกณฑ์สารหนูในน้ำผิวดินสำหรับน้ำดิบที่ต้องบำบัดเป็นน้ำประปา: หลังบำบัดแล้วต้องมีสารหนู ไม่เกิน 0.01 มก./ลิตร จึงเหมาะสมสำหรับ อุปโภค–บริโภค
  • น้ำเพื่อการเกษตรบางประเภท (เช่น เพาะปลูกข้าว–เลี้ยงสัตว์น้ำ): ไม่ควรเกิน 0.05 มก./ลิตร เพื่อลดความเสี่ยงการสะสมในพืชและห่วงโซ่อาหาร

บริบทพื้นที่ปัจจุบัน แม่น้ำกก–แม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก ยังตรวจพบ ค่าสารหนูเกินเกณฑ์ 0.01 มก./ลิตร ตามมาตรฐานน้ำดื่ม จึงต้องย้ำว่า น้ำธรรมชาติเหล่านี้ไม่ใช่น้ำดื่มโดยตรง” ต้องผ่าน กระบวนการบำบัด ให้ได้ตามเกณฑ์ก่อน ส่วนภาคเกษตร หากพื้นที่ใดมีค่าตรวจเกิน 0.05 มก./ลิตร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง แจ้งเตือน–ให้คำแนะนำ วิธีลดความเสี่ยง (เช่น ปรับชนิดพืช ลดการใช้น้ำแหล่งดังกล่าวชั่วคราว สำรองน้ำสะอาด หรือผสมน้ำจากแหล่งอื่น)

ที่ประชุมจึงมอบหมายให้จังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์แบบตรงประเด็น:

  1. จัดทำ อินโฟกราฟิก “น้ำใช้–เกณฑ์ต่าง” แจกออนไลน์–ออฟไลน์
  2. ติด ป้ายเตือน ณ จุดสูบน้ำดิบ และ จุดใช้น้ำเพื่อเกษตร ในหมู่บ้านริมน้ำ
  3. เปิด จุดสอบถาม/ตอบข้อสงสัย ร่วมระหว่าง สาธารณสุข–การประปา–เกษตร–ประมง–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้คำแนะนำแก่ประชาชนแบบเคส–บาย–เคส

ชุดมาตรการเชิงระบบ พร่องน้ำอ่าง–ข้อมูลแม่น–เตือนเร็ว–เครื่องมือพร้อม

เพื่อให้ “แผนบนกระดาษ” กลายเป็น “การลดความเสี่ยงจริง” ที่ประชุมกำหนดมาตรการทำงาน สอดประสานหลายมิติ ดังนี้

1) พร่องน้ำอ่างเก็บน้ำ:

  • สำรวจอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณสูง เร่งระบายเชิงป้องกัน เพื่อเพิ่ม พื้นที่รับน้ำฝน (flood cushion) โดยต้องประเมิน ผลกระทบท้ายน้ำ และสื่อสารเวลาระบายให้ชุมชนทราบล่วงหน้า
  • กำหนด เกณฑ์ตัดสินใจ (trigger level) ชัดเจน—เมื่อฝนคาดการณ์กี่มิลลิเมตรภายในกี่ชั่วโมง จะเริ่มพร่องน้ำเท่าไร

2) ข้อมูลและพยากรณ์เฉพาะพื้นที่:

  • กรมอุตุนิยมวิทยา ให้ พยากรณ์รายอำเภอ–รายลุ่มน้ำย่อย ล่วงหน้า พร้อมแจ้ง “โซนฝนหนัก–เวลาคลื่นน้ำมา”
  • GISTDA สนับสนุน ข้อมูลความชื้นในดิน และภาพถ่ายดาวเทียม อัปเดตรายสัปดาห์–เร่งด่วนเมื่อเกิดฝนหนัก เพื่อช่วยคาดการณ์ “น้ำท่ามาเร็ว” ในโซนลาดเชิงเขาและพื้นที่ชุ่มน้ำ

3) ระบบเตือนภัยและสื่อสารสาธารณะ:

  • ใช้หลายช่องทาง (SMS, ไลน์กลุ่ม อปท., เสียงตามสาย, รถประชาสัมพันธ์, เพจจังหวัด/อำเภอ/เทศบาล) เพื่อให้เตือนถึงมือประชาชนเร็ว
  • จัดตั้ง โหนดสื่อสารชุมชน” ที่มี อสม.–ผู้นำชุมชน–อปพร.–อาสากู้ภัย เป็นตัวกลางแปลข้อความเตือนให้เข้าใจง่าย และย้ำ จุดรวมพล–เส้นทางอพยพ–จุดปลอดภัย

4) ความพร้อมเครื่องมือ–กำลังพล:

  • เครื่องสูบน้ำ–รถดูดโคลน–กระสอบทราย–แผ่นเหล็กชั่วคราว–ไฟส่องสว่าง ต้องอยู่ในตำแหน่งเสี่ยงพร้อมใช้
  • ทีม โยธา–ปภ.–ทหาร–อปท. บูรณาการเวรยาม 24 ชม. ในช่วงฝนพีก

ดร.สุรสีห์ สรุปหลังลงพื้นที่ว่า จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานเกี่ยวข้อง ขยับโจทย์หลักครบด้าน แล้วทั้งโครงสร้าง–ข้อมูล–สื่อสาร–อุปกรณ์ แต่เน้นย้ำ อย่าประมาท” และต้องรักษาวินัยการแจ้งเตือนล่วงหน้า เพื่อปกป้อง ชีวิต–ทรัพย์สิน ตามนโยบายรัฐบาล

เสียงจากพื้นที่ “ทำงานเชิงรุกตั้งแต่ยังไม่ตก”

ด้านพื้นที่ แม่สาย หน่วยงานฝ่ายปกครองและท้องถิ่นรายงานความพร้อม แผนเฝ้าระวังระดับน้ำ–ซ่อมโครงสร้าง–และจุดอพยพ โดยเฉพาะ ชุมชนริมน้ำ–ตลาด–โรงเรียน ซึ่งเคยได้รับผลกระทบจากน้ำหลากที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า “ยุทธวิธีปีนี้” คือการ ลงมือก่อน ไม่รอฝนตกหนักแล้วค่อยยกระสอบทราย

ในตัวเมืองเชียงราย หน่วยงานสาธารณูปโภคเตรียม เคลียร์ท่อระบายน้ำ–ทางน้ำลัด–แก้มลิง ให้เปิดทางรับน้ำฝน โครงการ ซักซ้อมอพยพย่อม (micro drill) ในชุมชนเสี่ยงเริ่มทยอยทำ เพื่อให้ประชาชน จำทางหนีไฟของน้ำ ได้โดยอัตโนมัติ

บริบท “คุณภาพน้ำ” กลางฝนหลวง สารหนูคืออะไร–เสี่ยงอย่างไร–ประชาชนควรทำอะไร

สารหนู (Arsenic) เป็นโลหะกึ่งโลหะที่พบได้ตามธรรมชาติในดิน–หิน และอาจปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำได้จาก กระบวนการทางธรณี หรือกิจกรรมของมนุษย์ในบางบริบท ความเสี่ยงต่อสุขภาพขึ้นกับ ระดับความเข้มข้น–ระยะเวลาการสัมผัส–และวิธีการรับสัมผัส หลักการกว้าง ๆ คือ น้ำสำหรับดื่มกิน ต้องผ่านกระบวนการบำบัดให้ได้มาตรฐาน ≤ 0.01 มก./ลิตร ส่วนการใช้เพื่อเกษตรมี เกณฑ์สูงกว่า และต้องติดตาม ความเสี่ยงการสะสม ในพืช–สัตว์น้ำเป็นกรณีไป

ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำตามมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน จากการเก็บตัวอย่างคุณภาพน้ำ ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 21 – 25 กรกฎาคม 2568

“แม่น้ำกก” พบว่าสารหนูมีค่าสูงเกินค่ามาตรฐานฯ ทุกจุดตรวจวัด ตั้งแต่บริเวณชายแดนไทย – พม่า อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ จนถึงบริเวณ ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (KK01 -KK015) โดยมีค่าอยู่ในช่วง น้อยกว่า 0.010 – 0.016 มิลลิกรัมต่อลิตร (มก./ล.) (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.) ดังนี้

  • KK01 ชายแดนไทย-พม่า ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK02 สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย มีค่าสารหนู 029 มก./ล.
  • KK03 สะพานสองดินแดนบ้านแม่สลัก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีค่าสารหนู 016 มก./ล.
  • KK04 บ้านจะเด้อ หมู่ 6 ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK05 สะพานมิตรภาพแม่ยาว-ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK06 บ้านโป่งนาคำ ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK07 สะพานข้ามแม่น้ำกก ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK08 สะพานแม่ฟ้าหลวง ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 014 มก./ล.
  • KK09 สะพานเฉลิมพระเกียรติ1 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK10 ฝายเชียงราย ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 013 มก./ล.
  • KK11 สะพานริมกก-เวียงเหนือรวมใจ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 017 มก./ล.
  • KK12 สะพานโยนกนาคนคร ต.แม่ข้าวต้ม อ.เมือง มีค่าสารหนู 011 มก./ล.
  • KK013 ต.ท่าข้าวเปลือก อ.แม่จัน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • KK014 ต.หนองป่าก่อ อ.ดอยหลวง มีค่าสารหนู 018 มก./ล.
  • KK015 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำสาขาที่ไหลลงแม่น้ำกก (แม่น้ำฝาง FA01 แม่น้ำกรณ์ KO01 แม่น้ำสรวย SU01 และแม่น้ำลาว LA01) คุณภาพน้ำมีค่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด คุณภาพน้ำของแม่น้ำที่เป็นจุดอ้างอิง และลำน้ำสาขาของแม่น้ำกกยังมีค่าอยู่ในระดับที่ปลอดภัย

แม่น้ำสาย” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • SA01 บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 055 มก./ล.
  • SA02 สะพานมิตรภาพแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 053 มก./ล.
  • SA03 บ้านป่าซางงาม ม.6 ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 052 มก./ล.

แม่น้ำรวก” สารหนู (As) เกินมาตรฐาน ทั้ง 2 จุด ดังนี้

  • RU01 สถานีสูบน้ำเกาะช้าง การประปาส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 040 มก./ล.
  • RU02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จุดปลายน้ำรวกก่อนลงแม่น้ำโขง มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

แม่น้ำโขง” สารหนู (As) สูงเกินค่ามาตรฐาน ทั้ง 3 จุด ดังนี้

  • NK01 จุดผ่านแดนถาวรสามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.
  • NK02 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู 012 มก./ล.
  • NK03 บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย มีค่าสารหนู น้อยกว่า 010 มก./ล.

ประชาชนควรปฏิบัติอย่างไรในช่วงเฝ้าระวังน้ำหลาก?

  • อย่าใช้น้ำจากแม่น้ำ–ลำห้วยดื่มโดยตรง ให้ใช้น้ำประปาที่ผ่านมาตรฐาน หรือใช้น้ำบรรจุขวดที่ได้รับการรับรอง
  • ติดตามประกาศคุณภาพน้ำ จากจังหวัด/สาธารณสุข/การประปา หากอยู่ในพื้นที่เกษตร–ประมง ให้สอบถามคำแนะนำเฉพาะพื้นที่
  • จัดทำ แผนฉุกเฉินครัวเรือน: ย้ายปลั๊กไฟ–เครื่องใช้ไฟฟ้า–เอกสารสำคัญขึ้นที่สูง เตรียมของจำเป็น 3–5 วัน
  • รู้ จุดปลอดภัย–เส้นทางอพยพ และเฝ้าระวัง ผู้สูงอายุ–ผู้ป่วย–เด็กเล็ก เป็นพิเศษ

สถิติชวนคิด ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ช่วง ส.ค.–ก.ย. มักเป็นเดือนที่ ฝนสูงสุดของภาคเหนือ และเป็นหน้าต่างที่เกิด น้ำหลาก–ดินถล่ม สูงสุดตามสภาพภูมิอากาศเขตร้อนชื้น การมี “แผนส่วนบุคคล” ควบคู่ “แผนจังหวัด” จึงสำคัญพอกัน

ภาพใหญ่ของความพร้อม เมื่อวิทยาศาสตร์–วิศวกรรม–การสื่อสาร ต้องเดินพร้อมกัน

การจัดการน้ำยุคใหม่ไม่ได้จบที่ “เขื่อน–พนัง–ท่อ” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเชื่อม วิทยาศาสตร์ข้อมูล (พยากรณ์ฝน–น้ำท่า–ความชื้นดิน) กับ การตัดสินใจหน้างาน และ การสื่อสารที่ประชาชนเข้าใจทันที การประชุมของ สทนช. ครั้งนี้จึงวาง สามขาค้ำยัน ไว้ครบถ้วน

  1. ขาโครงสร้าง (Infrastructure) — ซ่อม–เสริม–พร่อง ให้แหล่งรองรับน้ำพร้อมใช้ก่อนฝนถึง
  2. ขาข้อมูล (Intelligence) — ใช้พยากรณ์เฉพาะพื้นที่–ภาพถ่ายดาวเทียม–โทรมาตรน้ำฝน/ระดับน้ำ ตัดสินใจอย่างมีหลักฐาน
  3. ขาสื่อสาร (Interface) — แปลข้อมูลยากให้เป็น “สารเตือนง่าย ๆ” ที่ชุมชนทำตามได้ทันที

เมื่อสามขานี้ขยับพร้อมกัน โอกาส ลดความเสียหาย–เพิ่มเวลาตัดสินใจ จะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 “ทันก่อน—ทันระหว่าง—ทันหลัง” วงจรรับมือน้ำหลากเชียงราย

เชียงรายกำลังเผชิญช่วงเวลาสำคัญของปี—ปลายสิงหาคมถึงกันยายน การที่ สทนช. ลงพื้นที่ ตรวจงานซ่อมพนัง กำหนดเส้นตายก่อนพายุ วางแผนพร่องน้ำอ่าง และขอความร่วมมือทุกหน่วยเตือนประชาชนเชิงรุก เป็นสัญญาณว่า เครื่องมือกำลังเดิน อยู่ที่ “วินัยการปฏิบัติ” ของทุกภาคส่วนจะรักษา สามทัน ต่อไปได้หรือไม่

  • ทันก่อน: ปิดจุดอ่อน–พร่องน้ำ–กระจายเครื่องมือ
  • ทันระหว่าง: เตือนเร็ว–รายงานไว–เข้าพื้นที่ชุมชนทันที
  • ทันหลัง: เก็บกู้–ประเมินความเสียหาย–ฟื้นฟูแบบยืดหยุ่น–ตรวจคุณภาพน้ำต่อเนื่อง

หากทำได้ครบวงจร ความเสียหายจากน้ำหลากก็จะ ลดระดับ จาก “วิกฤต” เหลือ “เหตุการณ์ที่จัดการได้” และเปลี่ยนพายุปลายสิงหาที่น่าวิตก ให้เป็น บทพิสูจน์ความพร้อมของทั้งระบบ ที่ประชาชนสัมผัสได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) — ข้อมูลการประชุม คณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 10/2568 และข้อสั่งการลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา (TMD) — คาดการณ์สภาวะอากาศปลายเดือนสิงหาคม 2568 สำหรับภาคเหนือ/ลุ่มน้ำโขงเหนือ และคำเตือนหย่อมความกดอากาศต่ำ–พายุโซนร้อน
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) — ข้อมูลแผนที่ความชื้นในดินและภาพถ่ายดาวเทียมประกอบการประเมินเสี่ยงน้ำหลาก
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) / กระทรวงสาธารณสุข / การประปาส่วนภูมิภาค — แนวทางมาตรฐานคุณภาพน้ำสำหรับอุปโภค–บริโภค (สารหนู ≤ 0.01 มก./ลิตร หลังบำบัด) และหลักการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • จังหวัดเชียงราย / อำเภอแม่สาย / ปภ. — แผนเฝ้าระวังและรับมืออุทกภัยระดับจังหวัด–อำเภอ การเตรียมเครื่องจักร–จุดอพยพ–ระบบแจ้งเตือนในพื้นที่เสี่ยง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย — ข้อมูลสนับสนุนการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำและคำแนะนำต่อสุขภาพประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

“วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” ย้ำเตือนภัยล่วงหน้าสูงสุดรับมือ

เชียงรายอ่วม! พายุ “วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” สั่ง War Room ชาติ เน้น “แจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” สำคัญสูงสุด

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเผชิญวิกฤตอุทกภัยและดินถล่มครั้งใหญ่ หลังได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่พาดผ่านภาคเหนือ ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่องนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 400 ครัวเรือน ครอบคลุม 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน โรงเรียน 2 แห่ง ถนน 3 สายได้รับความเสียหาย ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม โดยล่าสุดยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

 

ภัยธรรมชาติถล่มหนัก ฝนไม่หยุด-น้ำท่วมซ้ำซากในหลายอำเภอ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงรายรายงานสถานการณ์ล่าสุด (23 ก.ค. 68 เวลา 12.00 น.) พบว่าปริมาณฝนสะสมในรอบ 24 ชั่วโมงยังสูงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในอำเภอเวียงแก่น เทิง พญาเม็งราย ขุนตาล ป่าแดด เวียงชัย แม่สรวย เมือง เวียงเชียงรุ้ง เชียงของ พาน ดอยหลวง เวียงป่าเป้า แม่สาย แม่จัน เชียงแสน แม่ลาว และแม่ฟ้าหลวง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในบางจุด ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพขึ้นที่สูง ขณะที่ทางหลวงและถนนสายรองบางสายถูกตัดขาดหรือเสียหาย ชาวบ้านขาดแคลนไฟฟ้า น้ำสะอาด และเครื่องยังชีพ

แม้พายุ “วิภา” จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ กรมอุตุนิยมวิทยายังคงแจ้งเตือนว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะโซนตะวันตกของภาคเหนือ (แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ตาก) รวมถึงเชียงราย พะเยา น่าน ปริมาณน้ำฝนสะสมยังสูงมาก เช่น อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน วัดได้ 291.6 มม., อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา 264 มม., อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย 185 มม.

แนวโน้มสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง มีโอกาสเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำอีกใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า หน่วยงานในพื้นที่ต้องเตรียมกำลังพล เครื่องมือ ยุทโธปกรณ์ และระบบแจ้งเตือนเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินอย่างเต็มที่

 

ศูนย์บัญชาการ War Room ชาติ “แจ้งเตือนล่วงหน้า” คือหัวใจ

เวลา 09.30 น. 23 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานประชุม War Room ชาติ ณ กระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ และผู้บริหารส่วนกลาง ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 30 จังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

นายภูมิธรรม เน้นย้ำว่า “การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเป็นเรื่องจำเป็นสูงสุด” โดยเฉพาะการนำระบบ Cell Broadcast มาใช้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้มีเวลาตั้งรับ อพยพ และเตรียมการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ขอให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ 24 ชั่วโมง จัดเตรียมกำลังคน เครื่องมือ และเครื่องจักรกลสำหรับพื้นที่เสี่ยง พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการกันเต็มที่ ภารกิจการป้องกันภัยต้องมาก่อนเยียวยา แต่การเยียวยาก็จำเป็นเพื่อฟื้นขวัญประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เสริมว่า การสื่อสารสร้างความเข้าใจและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่จริงอย่างทันท่วงที คือกุญแจสำคัญในการป้องกันความตื่นตระหนก พร้อมมอบ 6 แนวทางสำคัญ เช่น การเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดตั้งโรงครัวคุณภาพสูง เยียวยาผู้ประสบภัย การดูแลจุดเสี่ยงอันตรายจากไฟฟ้า และการสำรวจรายงานความเสียหายอย่างโปร่งใส

 

กรมป้องกันฯ พร้อมเต็มพิกัด – “เครื่องมือ/ยุทโธปกรณ์-คน” เข้าพื้นที่ทันที

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เผยว่า กรม ปภ. ได้ตั้ง War Room ประสานการช่วยเหลือกับทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมแจ้งเตือนล่วงหน้าทาง Cell Broadcast แล้ว 24 ครั้ง (เตือนอุทกภัย 15 ครั้ง เตือนดินโคลนถล่ม 9 ครั้ง) นอกจากนี้ยังระดมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดพิษณุโลกเป็นจุดรวมพล พร้อมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เรือท้องแบน อากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ที่พร้อมขึ้นบินทุกเวลาในจุดที่เข้าถึงยาก

“ภารกิจแรกคือต้องปกป้องชีวิตประชาชน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการเยียวยาและฟื้นฟู เราเตรียมความพร้อมทั้งคนและเครื่องมืออย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด” อธิบดี ปภ. กล่าว

 

วิภา” อ่อนกำลัง แต่ “ร่องมรสุม” ยังเฝ้าระวัง

นายสมควร ต้นจาน จากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า พายุโซนร้อน “วิภา” ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเหนือประเทศลาวและน่าน แต่พื้นที่ภาคเหนือยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก โดยเฉพาะร่องมรสุมและความกดอากาศต่ำจากฟิลิปปินส์ที่อาจพัฒนาเป็นพายุลูกใหม่ แม้พายุจะสลายตัวแต่ฝนตกต่อเนื่องก็ยังคงก่อให้เกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำ

 

เชียงราย – บทเรียน “รวมศูนย์-เชิงรุก” จัดการภัยพิบัติ

เหตุการณ์น้ำท่วม-ดินถล่มครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงรายมีความเปราะบางสูงต่อภัยธรรมชาติ ประเด็นที่น่าสนใจและควรขยายผลต่อเนื่อง ได้แก่

  • การรวมศูนย์บัญชาการและตอบสนองรวดเร็ว: War Room ส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมระบบสื่อสารฉุกเฉิน Cell Broadcast เป็นเครื่องมือสำคัญในการสั่งการและแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า
  • การบูรณาการทรัพยากร: ภาครัฐทุกหน่วยระดมเครื่องมือ กำลังคน และเทคโนโลยีทันทีเมื่อเกิดเหตุ แสดงถึงศักยภาพของกลไกการจัดการภัยพิบัติไทยที่พัฒนาไปไกล
  • การสื่อสารอย่างเข้าใจง่าย: เน้นย้ำการแจ้งเตือนที่ชัดเจน ลดความตื่นตระหนก และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเชื่อฟังเจ้าหน้าที่

ประเด็นรอง

  • การสำรวจความเสียหาย-เยียวยา: ต้องทำให้ครอบคลุมและรวดเร็ว เพื่อฟื้นขวัญประชาชน
  • สภาพภูมิประเทศที่ท้าทาย: เชียงรายเป็นภูเขาสูง ชายแดน น้ำไหลแรง ตะกอนสูง ต้องวางแผนระยะยาวในการขุดลอก พร่องน้ำ และสร้างระบบเตือนภัยที่แม่นยำ
  • บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน: การตอบสนองระยะสั้นต้องควบคู่กับแผนบริหารน้ำระยะยาว เพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำซากในอนาคต

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นทั้งบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบรวมศูนย์และเชิงรุก เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News