Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นวัตกรรมปกป้องป่า! อุทยานฯ ดอยหลวงใช้ Smart Patrol รวบชายพกปืนเข้าเขตห้าม

อุทยานแห่งชาติดอยหลวงยกระดับมาตรการปกป้องผืนป่า-สัตว์ป่า “Smart Patrol” จับชายวัย 67 ปี พกปืนลอบเข้าป่า ตอกย้ำยุทธศาสตร์เชิงรุก สู่การอนุรักษ์อย่างยั่งยืน

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – ปรากฏการณ์ “Smart Patrol”: อุทยานฯ ยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนการอนุรักษ์ ในขณะที่สังคมไทยกำลังจับตามองประเด็นสิ่งแวดล้อมและการรักษาความสมบูรณ์ของผืนป่าเป็นหัวใจสำคัญ หนึ่งในแนวหน้าอย่างอุทยานแห่งชาติดอยหลวง จังหวัดเชียงราย ก็ได้ยกระดับกลยุทธ์เชิงรุกด้วย “Smart Patrol” หรือการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2568 ได้เกิดเหตุการณ์สะท้อนความเข้มแข็งของมาตรการดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจสามารถจับกุมชายวัย 67 ปี พร้อมอาวุธปืน ขณะลอบเข้าไปในพื้นที่อุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างความประทับใจในประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายและเทคโนโลยีสมัยใหม่

ที่มาเหตุการณ์ “Smart Patrol” พิสูจน์ฝีมือ

นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง รายงานว่าเจ้าหน้าที่ชุดสายตรวจได้ดำเนินการลาดตระเวนในพื้นที่บ้านผาตุ้ม ตำบลป่าหุ่ง ถึงบ้านวังชมภู ตำบลม่วงคำ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ตามแผนลาดตระเวนคุณภาพ (Smart Patrol) ซึ่งใช้ระบบบันทึกข้อมูลการเดินทาง สังเกตการณ์ร่องรอยสัตว์ป่า และความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นตลอดเส้นทาง

ในระหว่างปฏิบัติการ เจ้าหน้าที่ได้สังเกตเห็นชายต้องสงสัยจึงเข้าตรวจสอบ พบว่านายผัด (สงวนนามสกุล) อายุ 67 ปี กำลังพกพาอาวุธปืนเข้าไปในเขตอุทยานโดยไม่มีใบอนุญาต ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจน ตามมาตรา 19(7) ประกอบมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งห้ามนำอาวุธปืนเข้าสู่เขตอุทยานโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายปัณณวิชญ์ได้สั่งการให้ควบคุมตัวนายผัดทันที ก่อนนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเฝ้าระวังและป้องกันการกระทำผิดในพื้นที่อนุรักษ์

Smart Patrol จากอดีตสู่ยุคดิจิทัล

นายเจษฎา เงินทอง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) ระบุว่า ระบบ Smart Patrol ไม่เพียงแต่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถเฝ้าระวังได้ทั่วถึงยิ่งขึ้น แต่ยังเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมงานอนุรักษ์ในรูปแบบที่ทันสมัย อาทิ การเก็บข้อมูลการพบร่องรอยสัตว์ การกระทำผิด การบันทึกตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ ตลอดจนสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวางแผนปรับปรุงการลาดตระเวนให้ตรงจุดมากขึ้น

Smart Patrol เปลี่ยนเกมอนุรักษ์ป่า

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการลาดตระเวน:
    การมีฐานข้อมูลแน่นหนาและเป็นระบบ ช่วยให้เจ้าหน้าที่วางแผนงานได้ดีขึ้น สามารถวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงและจัดชุดลาดตระเวนในจุดที่มีโอกาสเกิดการกระทำผิดสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิผลของแต่ละภารกิจ
  2. ลดความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่:
    การมีข้อมูลล่าสุดจาก Smart Patrol ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า ลดโอกาสเผชิญหน้ากับผู้กระทำผิดโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้การปฏิบัติงานปลอดภัยยิ่งขึ้น
  3. สร้างฐานข้อมูลงานอนุรักษ์ระยะยาว:
    ข้อมูลการลาดตระเวนและตรวจพบร่องรอยต่างๆ เมื่อสะสมเป็นระยะเวลานาน จะกลายเป็นฐานข้อมูลที่มีคุณค่า ช่วยวางนโยบายการอนุรักษ์ทั้งเรื่องการประเมินประชากรสัตว์ป่า การติดตามการเปลี่ยนแปลงของป่าไม้ รวมถึงการประเมินพื้นที่คุ้มครองเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการต่อเนื่องและความท้าทาย

เหตุการณ์ในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นของการเฝ้าระวังเชิงรุกในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะภัยคุกคามจากการล่าสัตว์ การลอบนำอาวุธเข้าพื้นที่ หรือการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งทุกปัญหาล้วนกระทบต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

แม้จะมีเทคโนโลยีช่วยเหลือ แต่งานลาดตระเวนยังต้องอาศัยความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ทั้งในเชิงปฏิบัติและความรู้ความเข้าใจในพื้นที่ เช่นเดียวกับการสร้างความร่วมมือกับชุมชนโดยรอบ เพื่อแจ้งเบาะแสและร่วมกันเฝ้าระวังพื้นที่อนุรักษ์

ก้าวสู่การอนุรักษ์ป่าไทยอย่างยั่งยืน

การจับกุมชายวัย 67 ปีที่ลักลอบพกอาวุธปืนเข้าสู่พื้นที่อุทยานในครั้งนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประสิทธิภาพและความจำเป็นในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่าง Smart Patrol มาประยุกต์ใช้ในงานอนุรักษ์ ตอกย้ำว่าการผสาน “มนุษย์” กับ “เทคโนโลยี” คือหนทางสำคัญในการปกป้องผืนป่าไทยในยุคสมัยใหม่

การลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart Patrol) มิได้หยุดเพียงการจับกุมผู้กระทำผิด แต่ยังเป็นกลไกสร้างฐานข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนางานอนุรักษ์ป่าไม้และสัตว์ป่าของไทยอย่างยั่งยืน ปลูกฝังจิตสำนึกให้สังคมร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งเป็นสมบัติของชาติให้คงอยู่อย่างมั่นคงต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • นายปัณณวิชญ์ ภูริรักษ์พิติกร: หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • นายเจษฎา เงินทอง: ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย)
  • พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มาตรา 19(7) และมาตรา 45
  • ข่าวประชาสัมพันธ์อุทยานแห่งชาติดอยหลวง/กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายลุยแก้ปัญหาไฟป่า ฝุ่นควัน ด้วยนวัตกรรมป้องกันอย่างยั่งยืน

ผู้ว่าฯ เชียงรายเปิดปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า-ฝุ่นควันเชียงของ เน้นประชาสัมพันธ์ สร้างความร่วมมือ พร้อมลงนาม MOU จัดการ PM2.5 อย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 ณ เทศบาลตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควันในพื้นที่อำเภอเชียงของ โดยจัดกิจกรรมปล่อยแถวรณรงค์ประชาสัมพันธ์การลาดตระเวนไฟป่า เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ เน้นย้ำการป้องกันไฟป่า การทำแนวกันไฟ และการงดเผาเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ให้ไม่เกินค่ามาตรฐาน

กิจกรรมดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากส่วนราชการในพื้นที่ ผู้นำชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ โดยมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ตามแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีข้อกำหนดสำคัญคือ ไม่ให้สิทธิ์เกษตรกรที่มีประวัติการเผาในพื้นที่การเกษตรเข้าร่วมโครงการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรทุกโครงการ

ผู้ร่วมงานระดับจังหวัดและชุมชนร่วมตระหนักถึงปัญหาไฟป่า

กิจกรรมนี้ได้รับเกียรติจากนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัด และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย, นายบุญเกิด ร่องแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย, นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, หน่วยงานป่าไม้และอุทยานแห่งชาติ, หน่วยงานด้านสาธารณสุข, ผู้นำท้องที่และท้องถิ่น, ชุดปฏิบัติการป้องกันไฟป่า, เครือข่ายอาสาสมัครไฟป่า และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง

สถิติการเกิดไฟป่าปี 2567 และแผนปฏิบัติการปี 2568

จากสถิติในปี 2567 ในช่วงห้ามเผาเด็ดขาดระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน พบจุดความร้อนในพื้นที่อำเภอเชียงของถึง 300 จุด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และวนอุทยานห้วยน้ำข้าง รวมถึงอุทยานแห่งชาติภูชี้ฟ้า โดยอำเภอเชียงของมีพื้นที่รวมประมาณ 523,000 ไร่ เป็นเขตป่าร้อยละ 61 ของพื้นที่ทั้งหมด

สำหรับปี 2568 ได้มีการวางแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควันแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่:

  1. ระยะเร่งด่วน (มกราคม – เมษายน 2568):
    • การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ถึงผลกระทบของไฟป่าและฝุ่นควัน
    • การลาดตระเวนตรวจหาไฟป่า
    • การทำแนวกันไฟและการควบคุมจุดความร้อน
    • การบริหารจัดการเชื้อเพลิงและการเข้าดับไฟอย่างรวดเร็ว
  2. ระยะยาว (พฤษภาคม – ธันวาคม 2568):
    • การส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การสร้างป่าเปียกตามแนวพระราชดำริ
    • การจัดตั้งป่าชุมชนในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันมี 36 แปลง รวมพื้นที่ 32,218 ไร่ โดยมีป่าชุมชน 24 แปลง ที่เข้าร่วม Carbon Credits และสร้างรายได้เข้าสู่กองทุนป่าชุมชนจำนวน 8,508,737 บาท

สร้างความร่วมมือเพื่อความยั่งยืน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเน้นย้ำว่าการแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควันจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ที่ต้องช่วยกันเฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้เกิดไฟป่า เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และลดผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE