Categories
ECONOMY

ส่งออกสินค้าเกษตรไทยไตรมาส 2 แข็งแกร่ง นำโดยตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป

ส่งออกเกษตรไทย Q2/68 โต 4.2% แรงหนุน “US–EU” ก่อนภาษีสหรัฐฯ มีผล ขณะจีนโตช้า–ข้าวทรุดหนัก รัฐ–เอกชนถูกจี้เร่งยกระดับคุณภาพและกระจายความเสี่ยง

กรุงเทพฯ, 31 สิงหาคม 2568 — ในราคาเช้าตรู่ของปลายไตรมาส 2 รถห้องเย็นบรรทุกไก่แปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงทะยานออกจากคลังสินค้าอย่างต่อเนื่อง ปลายทางคือ “ผู้บริโภคโลก” ที่ยังต้องการโปรตีนและสินค้าอุปโภคบริโภค—ภาพนี้คือฉากหน้าของสถิติส่งออกเกษตรไทยที่ “เขียวสด” ช่วงเมษายน–มิถุนายน 2568 แม้หลายตัวแปรรายตลาดยังขรุขระและบางหมวดสินค้ากลับหดแรงจนน่ากังวล

รายงานของ Krungthai COMPASS ชี้ว่า การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 ขยายตัว 4.2% (YoY) เร่งขึ้นจากไตรมาสแรก โดยได้แรงส่งจาก สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป ที่นำเข้าล่วงหน้าก่อน มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะมีผลในเดือนสิงหาคม ขณะที่ จีน ตลาดใหญ่สุดของไทยยังโตน้อย และ อาเซียน เริ่มฟื้นจากฐานต่ำ

ตลาดหลัก โตไม่เท่ากัน—US–EU เร่งเครื่อง จีนประคองตัว อาเซียนเริ่มหายใจ

  • สหรัฐฯ (สัดส่วน ~10%) โต 18.1% YoY เป็น “แรงขับหลัก” จากดีมานด์ อาหารสัตว์เลี้ยง และ ถุงมือยางจากยางพารา ที่เร่งนำเข้าก่อนภาษีมีผล
  • สหภาพยุโรป (EU) (สัดส่วน ~8%) โต 13.3% YoY โดดเด่นด้วย ไก่สด/แปรรูป ที่ยังแข่งขันได้ด้านคุณภาพและมาตรฐาน
  • จีน (สัดส่วน ~24%) โตเพียง 2% YoY การนำเข้าเด่นไปที่ วัตถุดิบ เพื่อการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก สะท้อนอุปสงค์ปลายน้ำที่ยังเปราะบาง
  • อาเซียน (สัดส่วน ~23%) ฟื้น 3.8% YoY โดยมี น้ำตาลทราย เป็นหัวลากสำคัญ

สัญญาณนี้แปลว่า “การเร่งซื้อก่อนภาษี” มีบทบาทจริง และตลาดที่เน้นมาตรฐาน–การตรวจสอบคุณภาพสูง (อย่าง EU) ยังเปิดโอกาสให้สินค้าไทยที่ปรับตัวทัน ส่วนจีนแม้ยังเป็นตลาดหมายเลข 1 แต่ “ความเร็วในการเติบโต” ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

ภาพสินค้า อุตสาหกรรมเกษตรฉุดขึ้น—เกษตรดิบยังอ่อน ข้าวติดลบแรง ผลไม้ชะงัก

โครงสร้างการเติบโตสะท้อนความต่างในเชิงคุณค่า (value-add)

  • กลุ่มเกษตรดิบ (สัดส่วน ~55%): -1.2% YoY
  • กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร (สัดส่วน ~45%): +12.1% YoY

ดาวเด่นที่ฉุดรวมให้บวก

  • ไก่สด/แปรรูป: +11.2% YoY ได้แรงหนุนตลาด EU และจีน
  • น้ำตาลทราย: +22.7% YoY จากผลผลิตอ้อยที่เพิ่มขึ้น
  • มันสำปะหลัง: กลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 2 ปี +4.9% YoY ตามการนำเข้าของจีน
  • อาหารสัตว์เลี้ยง: +9.1% YoY แรงซื้อชัดในสหรัฐฯ–ยุโรป
  • ยางพารา: +4.3% YoY โดยเฉพาะ น้ำยางข้น ที่จีนเร่งนำเข้า เพิ่มกว่า 100% เพื่อผลิตถุงมือยางส่งออกไปสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีบังคับใช้

ตัวที่น่าห่วง

  • ข้าว: หดแรง -34.1% YoY โดยเฉพาะ ข้าวขาว 5% ร่วงถึง -58% เมื่อ อินเดีย กลับมาส่งออกและกดการแข่งขันด้านราคา
  • ผลไม้: โตเพียง +2.2% YoY โดย ทุเรียน ซึ่งเป็น “เรือธง” หด -6.5% จาก มาตรการตรวจคุณภาพเข้มของจีน และประเด็นการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

เมื่อนำภาพนี้มาวางบนแผนที่โลจิสติกส์ชายแดน จะยิ่งเห็น “ความเปราะบางแบบพื้นที่” ชัดขึ้น: ทิศเหนือ–อีสาน ที่พึ่งพาด่านบกไปจีนและเพื่อนบ้าน ได้อานิสงส์จากสินค้าแปรรูป/วัตถุดิบบางตัว แต่ในช่วงที่ด่านมีข้อจำกัดหรือความตึงเครียดทางการเมือง ปริมาณเคลื่อนย้ายผลไม้สดและเกษตรดิบจะสะดุดเป็นพิเศษ

สงครามการค้า + จีนชะลอ = สองแรงกดในครึ่งหลังปี 2568–ปี 2569

Krungthai COMPASS ประเมิน “แรงกด” ที่ต้องรับมือสองด้านพร้อมกัน

  1. มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ (อัตรา 19%) ที่เริ่มมีผลในเดือนสิงหาคม มีแนวโน้มฉุดหมวดที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูง โดยเฉพาะห่วงโซ่ ยาง–น้ำยางข้น–ถุงมือยาง หลังพ้นช่วง “เร่งซื้อก่อนภาษี”
  2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ทำให้ดีมานด์สินค้าบริโภคและวัตถุดิบเติบโตช้าลง พร้อมกฎระเบียบคุณภาพ–สุขอนามัยพืช (SPS) เข้มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อ ผลไม้ และ ข้าว

ภาพรวมปี 2568–2569 จึงมีความเสี่ยงที่ ยางพารา อาจกลับไปหดตัวต่อเนื่อง และ ข้าว อาจลดลงแรงถึง -48% ในปี 2568 หากไม่มีมาตรการเสริมความสามารถแข่งขันด้านราคา–คุณภาพ ส่วน ไก่ แม้ยังโตได้ แต่ต้องประคองมาร์จินท่ามกลางคู่แข่งอย่าง บราซิล ที่ได้เปรียบด้านต้นทุน ขณะที่ ผลไม้ไทย มีโอกาสกลับมาขยายตัวในปี 2569 หาก “ด่านคุณภาพ” ผ่านได้ราบรื่นกว่าเดิม

เชื่อมโยงเศรษฐกิจชายแดน เมื่อหน้าด่านสะดุด ผลรวมประเทศก็สั่น

แม้รายไตรมาสของเกษตรรวมจะบวก แต่เส้นเลือด “หน้าด่าน” ยังบอบบาง—โดยเฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคมที่ภาพรวม การค้าชายแดน ลดลงหนัก เพราะการเมืองชายแดนฝั่งกัมพูชาและข้อจำกัดการเปิด–ปิดจุดผ่านแดน ขณะที่ “การค้าผ่านแดน” ไปจีนกลับยังแรงจากวัฏจักรผลไม้และอุปสงค์เฉพาะทาง จุดนี้สะท้อนว่า นโยบายด่าน และ มาตรการคุณภาพ มีน้ำหนักพอ ๆ กัน: หากหน้าด่านนิ่ง—สินค้าสดเดินทางได้เร็ว และถ้าคุณภาพ–เอกสารครบ—ตลาดปลายทางก็เปิดรับอย่างต่อเนื่อง

กลยุทธ์ “อยู่เป็น–อยู่รอด–อยู่ยั่งยืน”: 7 ข้อทำได้จริง

1) ล็อกมาตรฐานคุณภาพผลไม้–โปรตีน:
เร่งขยายระบบ Pre-clearance / Pre-inspection กับประเทศคู่ค้า และสนับสนุน ระบบตรวจย้อนกลับ (traceability) ระดับฟาร์ม–ล้ง–โรงงาน ให้เชื่อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลของรัฐ ช่วยให้ผลไม้และเนื้อสัตว์ผ่านด่าน SPS/TBT ได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยง “ถูกสุ่มตรวจ–ถูกตีกลับ”

2) ยกระดับสินค้าดิบสู่แปรรูปคุณค่าเพิ่ม:
ตั้งเป้าหมวดที่มี value-add สูง—เช่น แปรรูปยางพารา (ยางทางการแพทย์, ยางกันสั่น), มันสำปะหลัง (modified starch), และโปรตีนแปรรูป—เพื่อกันกระสุนในช่วงราคาโภคภัณฑ์ผันผวน

3) กระจายตลาดและหน้าต่างเวลา:
จัดพอร์ตส่งออกแบบ “กระจายฤดูกาล–กระจายประเทศ” ลดการกระจุกตัวในจีนช่วงผลไม้พีก และเพิ่มสัดส่วนตลาดกำลังซื้อสูงใน ตะวันออกกลาง–สหรัฐฯ–ยุโรปตะวันออก ผ่านข้อตกลงความร่วมมือด้านมาตรฐานอาหารฮาลาล–สุขอนามัยสัตว์

4) โลจิสติกส์คอขวดเป็นต้นทุนเงียบ—ต้องแก้แบบแพ็กเกจ:
ทดลอง ช่องตรวจเฉพาะกิจช่วงฤดูผลไม้, ขยายเวลาทำการด่านแบบกำหนดช่วง และพัฒนา คลังเย็น–ศูนย์รวบรวม ใกล้ด่านบก/ด่านราง ควบคู่การผลักดัน Single Window เอกสารข้ามแดน

5) คุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน–ราคาโภคภัณฑ์:
ผลักดันการใช้เครื่องมือ hedging อย่างจริงจังใน SMEs ผ่านสถาบันการเงินรัฐ–เอกชน และให้สิทธิประโยชน์ภาษีกับผู้ใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย

6) สื่อสาร–แจ้งเตือนล่วงหน้าเรื่องภาษี/กำแพงการค้า:
ตั้ง War room การค้า ประสานหน่วยงานเศรษฐกิจและการทูตเชิงพาณิชย์ แจ้งเตือน “มาตรการใหม่–โควตา–มาตรฐานสุขอนามัย” ให้ผู้ส่งออกทราบล่วงหน้าพร้อมคู่มือปฏิบัติในรูปแบบ checklists

7) ข้าวต้อง “เกมใหม่”:
ยกเครื่องยุทธศาสตร์จาก “ปริมาณ–ราคา” เป็น “ความต่าง–คุณภาพ–เรื่องราว” เร่งพัฒนา ข้าวพรีเมียม/ข้าวสุขภาพ ปรับแพ็กจิ้ง–แบรนด์ และสร้างความร่วมมือกับห้าง–แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างประเทศ เปลี่ยนสมรภูมิแข่งขันออกจากสงครามราคาที่อินเดีย-เวียดนามถนัด

คำเตือนจากตัวเลข จุดแข็ง–จุดอ่อนในคำเดียวกัน

  • การโตของ อุตสาหกรรมเกษตร แปลว่าผู้ประกอบการไทย “เดินมาถูกทาง” ในการเพิ่มมูลค่า
  • แต่การหดตัวของ ข้าว และการโตช้าของ ผลไม้ สื่อว่าการบ้านเรื่อง “คุณภาพ–มาตรฐาน–ต้นทุน” ยังรอการแก้เชิงระบบ
  • ดีมานด์ US–EU ที่ดีขึ้น อาจ “ผ่อนแรง” หลังภาษีสหรัฐฯ มีผล หากไม่มีการบริหารความเสี่ยง–เจรจาทางการค้าเสริม
  • จีน ยังเป็น “เสือหลับ”—หากเศรษฐกิจฟื้นและไทยแก้คอขวดคุณภาพ-โลจิสติกส์ได้ทัน ผลไม้–แปรรูปไทยยังมีพื้นที่เติบโต

สรุปย่อตัวเลขสำคัญ (ไตรมาส 2/2568)

  • ส่งออก เกษตร+อุตสาหกรรมเกษตร: +4.2% YoY
  • ตลาด: US +18.1%, EU +13.3%, จีน +2%, อาเซียน +3.8%
  • กลุ่มสินค้า: เกษตรดิบ -1.2%, อุตสาหกรรมเกษตร +12.1%
  • รายสินค้าเด่น: ไก่ +11.2%, น้ำตาล +22.7%, มันสำปะหลัง +4.9%, อาหารสัตว์เลี้ยง +9.1%, ยางพารา +4.3% (น้ำยางข้นที่จีนเร่งนำเข้า >100%)
  • รายสินค้าน่าห่วง: ข้าว -34.1% (ข้าวขาว 5% -58%), ผลไม้ +2.2%, ทุเรียน -6.5%

จาก “เร่งซื้อก่อนภาษี” สู่ “แข่งขันจริงบนมาตรฐาน”

ตัวเลขสวยในไตรมาส 2 ไม่ได้บอกว่าทางข้างหน้าจะราบรื่น—ครึ่งหลังปี 2568 คือบททดสอบจริงหลังมาตรการภาษีสหรัฐฯ มีผล และเมื่อจีนยังชะลอ ไทยจำเป็นต้อง “คุมคุณภาพให้เป๊ะ–ลดต้นทุนให้คม–เปิดตลาดให้กว้าง” ควบคู่กับการทำให้ “ด่าน” เดินได้อย่างคาดเดาได้ หากปรับตัวทัน ชุดสินค้าที่ไทยถนัด—ตั้งแต่โปรตีนแปรรูปถึงแป้งมันดัดแปร—จะยังสร้างมูลค่าเพิ่ม และผลไม้ไทยก็มีพื้นที่กลับมา “เฉิดฉาย” ในปี 2569 เมื่อมาตรฐานคือภาษาเดียวกันระหว่างเรากับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Krungthai COMPASS (ธนาคารกรุงไทย): รายงานวิเคราะห์ “การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทย ไตรมาส 2/2568” (เผยแพร่ปลายส.ค. 2568) – ตัวเลขอัตราการเติบโตรายหมวดสินค้า/รายตลาด, สมมติฐานความเสี่ยงภาษีสหรัฐฯ, แนวโน้ม H2/2568–ปี 2569
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์: ข่าวเผยแพร่/สรุปสถานการณ์ “การค้าชายแดน–การค้าผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 และช่วง 7 เดือนแรก – ใช้ประกอบบริบทความเสี่ยงหน้าด่านและการเติบโตของการค้าผ่านแดนไปจีน
  • สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์: ชุดข้อมูลสถิติการส่งออกสินค้าเกษตร–อุตสาหกรรมเกษตร (รายตลาด/รายหมวด) เพื่อเทียบเคียงแนวโน้มไตรมาส
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ค้าชายแดนดิ่ง! แต่ส่งออกผ่านแดนฟื้นตัวแรงดันยอดรวมเกินดุลการค้า

 “เส้นเลือดหน้าด่าน” สะดุด ส่งออกชายแดนไทยหดรอบ 7 เดือน ขณะ “การค้าผ่านแดน” แรงไม่หยุด รัฐถูกจี้ปลดล็อกการเมืองชายแดน–กระจายความเสี่ยงสินค้า

กรุงเทพฯ, 29 สิงหาคม 2568 — รถบรรทุกคันยาวจอดรอคิวแน่นหน้าด่านในหลายจังหวัดชายแดน ภาพที่คุ้นตาของผู้ประกอบการท้องถิ่นกลับแฝงความกังวลมากกว่าความคึกคัก เพราะ “ยอดส่งออกชายแดน” ที่เคยเป็นเสาหลักเศรษฐกิจชุมชน กำลังอ่อนแรงสวนทางกับ “การค้าผ่านแดน” ที่ทะยานขึ้นแรง เมื่อผนวกกับความตึงเครียดทางการเมืองชายแดนที่ยังไม่นิ่ง ทำให้ครึ่งหลังปี 2568 เป็นช่วงชี้ชะตาของเศรษฐกิจชายแดนไทยโดยแท้

ข้อมูลล่าสุดที่หน่วยงานรัฐเปิดเผยสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจนแม้มูลค่าการค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 จะยังขยายตัว 5% แต่วงเล็บสำคัญคือ หากตัด “ผ่านแดน” ออก แล้วดูเฉพาะ “ชายแดน” จะเห็นการหดตัวแรงทั้งรายเดือนและสะสม 7 เดือน โดยมีปัจจัยชี้นำหลักจากทิศกัมพูชา ขณะที่ “ผ่านแดนสู่จีน” กลับแข็งแกร่ง ผลักโดยความต้องการสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะ “ทุเรียนสด” ที่ยังครองใจผู้บริโภคแดนมังกร (ตัวเลขตามที่สื่อเศรษฐกิจอ้างจากกรมการค้าต่างประเทศดูได้ในแหล่งอ้างอิง)

โครงเรื่องของวิกฤต เมื่อ “ด่านชายแดน” สะดุด แต่ “ทางผ่านแดน” กลับเร่งเครื่อง

1) การค้าชายแดนหดตัวหนัก
เดือนกรกฎาคม 2568 มูลค่าการค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 66,220 ล้านบาท ลดลง 20% โดยฝั่งส่งออกหดถึง 29.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดสะสม 7 เดือนแรก การค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 572,241 ล้านบาท ติดลบ 0.8% ฝั่งส่งออกติดลบ 3.5% สัญญาณที่กดดันผู้ประกอบการรายย่อยตามเมืองด่านอย่างปฏิเสธไม่ได้

ปัจจัยฉุดหลัก: ด้านกัมพูชา
รายงานเดียวกันระบุว่า ความไม่สงบและข้อพิพาทหน้าด่านทำให้ จุดผ่านแดนกัมพูชาถูกปิดถึง 18 แห่ง ส่งผลให้ มูลค่าการค้ากับกัมพูชาในเดือนกรกฎาคมร่วงเกือบ 100% เหลือราว 376 ล้านบาท หรือแทบชะงักงัน ข้อมูลนี้ชี้ว่าการเมืองชายแดนแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนธุรกิจโดยตรงรถบรรทุกที่เคยวิ่งเป็นพาหนะรายได้กลายเป็น “สินทรัพย์ว่างงาน” ในพริบตา

คู่ค้าอื่นก็เปราะบาง

  • มาเลเซีย: ส่งออกช่วง 7 เดือนแรก ลดลง 3.2% แม้ภาพรวมการค้ายังบวกเล็กน้อย
  • สปป.ลาว: ส่งออกช่วงเดียวกันหด 4%
  • เมียนมา: เดือนกรกฎาคมดีขึ้น แต่ยอด 7 เดือนแรก ฝั่งส่งออกแทบไม่ขยับ โตเพียง 0.1% สะท้อนการเติบโตที่เปราะบางท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองและโลจิสติกส์ข้ามแดน

2) การค้าผ่านแดนแข็งแกร่งจีนคือตัวขับเคลื่อนสำคัญ
คนในแวดวงโลจิสติกส์พูดตรงกันว่า “ทางผ่านแดน” คือ จุดสว่างกลางพายุ เดือนกรกฎาคม 2568 การค้าผ่านแดนมีมูลค่า 99,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.5% ฝั่งส่งออกพุ่ง 55% ส่วนยอดสะสม 7 เดือนแรก โต 24.6% ฝั่งส่งออกโตเกือบ 30% โดยมี จีน เป็นแกนกลางมูลค่าผ่านแดนไปจีนในเดือนกรกฎาคมโต 44% ฝั่งส่งออกทะยาน 72.4% สินค้าวิ่งแรงที่สุดคือ ทุเรียนสด มูลค่า 22,949 ล้านบาท โต 135.6% ทำสถิติเด่นจนแทบกลบข่าวร้ายฝั่งชายแดนไปชั่วขณะ

เสียงจากตัวเลข อ่านเศรษฐกิจชายแดนผ่าน “ผู้คน”

เชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดแนวหน้า ทั้งในบทบาท “ด่านเมียนมา–ท่าขี้เหล็ก/แม่สาย” และ “ประตูสู่จีนตอนบน” ผ่านโครงข่าย R3A–R3B ที่ต่อเชื่อมลาวและจีน จังหวะเศรษฐกิจของเมืองจึงขึ้นกับ “จราจรหน้าด่าน” อย่างยากหลีกเลี่ยง ตัวเลขที่สะท้อนการหดของ “การค้าชายแดน” จึงหมายถึงร้านอาหารที่ขายได้น้อยลง แคชโฟลว์ของผู้รับเหมาขนส่งตึงขึ้น สินเชื่อรถบรรทุกของผู้ประกอบการ SMEs ต้องยืดหยุ่นมากขึ้น และตลาดงานขนส่งที่รับแรงสั่นไหวโดยตรง

ขณะเดียวกัน การค้าผ่านแดน ที่ยังโตแรง กลับอุ้ม “ซัพพลายเชนผลไม้” ไว้ได้โดยเฉพาะฤดูกาลทุเรียนที่ยังเป็นพระเอกของปี อย่างไรก็ดี ความสำเร็จที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิดก็คือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง: ถ้าความต้องการจีนสะดุดจากภาวะเศรษฐกิจหรือมาตรการศุลกากรเข้มขึ้น โซ่รายได้ของชาวสวน–ล้ง–ขนส่ง–หน้าด่านจะสะดุดทั้งเส้น

ปมซ่อนเร้นในสถิติ การเมืองชายแดน–กฎระเบียบ–โครงสร้างพื้นฐาน

หนึ่ง, การเมืองชายแดนคือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
กรณีกัมพูชาที่ปิดจุดผ่านแดนจำนวนมากทำให้เห็นชัดว่า “ความมั่นคง” และ “การค้า” พันผูกกันแนบแน่นเพียงใด การลดทอนความตึงเครียด การสร้างกลไกเจรจาระดับพื้นที่ และการยกระดับศูนย์ประสานงานชายแดนให้แก้ปัญหาเชิงรุก จึงเป็น นโยบายเร่งด่วน ไม่ใช่ทางเลือก

สอง, กฎระเบียบหน้าด่านและมาตรฐานเอกสาร
ผู้ประกอบการร้องขอ “ความแน่นอน” มากกว่าทุกสิ่ง ทั้งเรื่องเวลาทำการด่าน มาตรฐานตรวจสอบสินค้า และช่องทางด่วนสำหรับสินค้าสด หากกฎระเบียบ คาดเดาไม่ได้ ต้นทุน “เวลารอ” จะลามเป็นต้นทุนสินค้าทั้งห่วงโซ่โดยทันที

สาม, โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ
แม้ทางผ่านแดนไปจีนจะเติบโต แต่การเชื่อมต่อระหว่างด่าน–จุดพัก–คลังสินค้า–รางรถไฟ ยังเป็นโจทย์ที่ต้องอุดช่องโหว่ โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ทำให้การเคลื่อนย้ายผลไม้สดต้องแข่งกับ “นาฬิกาความสด” ทุกนาทีที่เสียไปคือมูลค่าที่หายไป

พลิกเกมอย่างไร ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ “ทำได้เลย” และ “ต้องทำต่อเนื่อง”

เร่งด่วน (0–3 เดือน)

  • เจรจาคลี่คลายจุดเสี่ยงกัมพูชา ตั้ง “โต๊ะทำงานร่วม” ระดับผู้ว่าฯ–ผู้ว่าฯ/ฝ่ายความมั่นคง และ ช่องทางสื่อสารฉุกเฉิน ระหว่างด่านคู่ขนานทุกคู่ เพื่อเปิด–ปิดด่านอย่างมีแผน ลดช็อกซัพพลาย (ตัวเลขเดือน ก.ค. ชี้ความเสียหายชัดเจน)
  • ยืดหยุ่นกฎหน้าด่านช่วงฤดูกาลผลไม้ ขยายเวลาทำการเป็นกรณี/เพิ่มช่องตรวจเฉพาะกิจ ลดเวลารอของตู้คอนเทนเนอร์เย็น
  • บรรเทาภาระต้นทุน SMEs ชายแดน ใช้เครื่องมือการเงินระยะสั้น (working capital/พักหนี้ที่ตรงจุด) ผูกกับหลักฐานคำสั่งซื้อจริง ลดการตัดตอนห่วงโซ่

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ยกระดับมาตรฐาน “ด่านบริการ” (Single Stop/Single Window) สำหรับสินค้าสด โดยทดสอบในด่านหลัก เช่น แม่สาย–เชียงของ–หนองคาย แล้วขยายผล
  • กระจายพอร์ตสินค้า ดัน “ผลไม้รอง/เกษตรแปรรูป–ของใช้จำเป็น–สินค้าเขียว” ไปตลาดจีนและ CLM ผ่านแพลตฟอร์มเจาะกลุ่ม (เช่น โอทอป–ฮาลาล–เวชสำอาง) ลดความเสี่ยงจาก “ทุเรียนตัวเดียว”
  • เชื่อมราง–ถนน–คลัง เร่งโครงการ “คลังเย็นใกล้ด่าน/ศูนย์รวบรวมผลไม้” และจุดเปลี่ยนถ่ายสู่ราง เพื่อให้สินค้าสดไปได้ไกล–เร็ว–คงคุณภาพ

ระยะยาว (มากกว่า 1 ปี)

  • ออกแบบความร่วมมือชายแดนแบบ “เศรษฐกิจเพื่อชุมชน” ให้รายได้จากหน้าด่านไหลย้อนกลับสู่พื้นที่ (กองทุนพัฒนาท้องถิ่น–ท่องเที่ยวเชิงโลจิสติกส์)
  • ยกเครื่องข้อมูลด่านแบบเรียลไทม์ เปิดแดชบอร์ดสาธารณะเรื่องปริมาณรถ–เวลารอ–สถานะด่าน เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนและลดต้นทุนแบบเชิงระบบ

 

ด่านปิดวันเดียว เท่ากับเราขาดรายได้ทั้งสัปดาห์” ประโยคเรียบง่ายที่ผู้ประกอบการขนส่งรายหนึ่งเอ่ยกับผู้สื่อข่าวในภาคเหนือ สะท้อนความจริงที่ตัวเลขทางการยืนยัน—เดือนกรกฎาคมเดียว การค้ากับกัมพูชาดิ่งเกือบ 100% เหลือเพียง 376 ล้านบาท จากปกติที่คึกคักกว่านั้นหลายเท่า เมื่อรถไม่วิ่ง ร้านอะไหล่–ปั๊มน้ำมัน–ร้านข้าวตามสั่งในเมืองด่านก็ซบเซาตามกันไปเป็นลูกโซ่

ในอีกภาพหนึ่ง รถห้องเย็นเรียงยาวตามเส้นทางผ่านลาวไปจีน ผลผลิตทุเรียนจากตะวันออก–ใต้ไหลรวมขึ้นเหนือแข่งกับเวลา ฤดูกาลนี้ “ผลไม้ไทย” ยังทำคะแนนในตลาดจีนได้ดีจนยอดผ่านแดนพุ่ง ตัวเลขบอกชัด—ทุเรียนสดเพียงชนิดเดียวมีมูลค่าเกือบ 2.3 หมื่นล้านบาท ในเดือนเดียว โต สามหลัก แต่คำถามสำคัญคือ พึ่ง “พระเอก” ได้นานแค่ไหน หากวันหนึ่งรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยน หรือระเบียบสุขอนามัยปลายทางเข้มขึ้น

ถอดบทเรียนให้เชียงรายและจังหวัดชายแดน

สำหรับ เชียงราย เมืองยุทธศาสตร์ที่เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีน การหดตัวของ “การค้าชายแดน” และความไม่แน่นอนที่ด่าน ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจ แต่คือความเป็นอยู่ของผู้คน—ตั้งแต่ชาวสวน–แรงงานขนถ่าย–คนขับรถ ไปจนถึงผู้ค้าในตลาดชายแดน ฝั่งหนึ่ง จังหวัดควรเร่งบทบาท “แม่งานประสานด่าน” สร้าง ศูนย์บัญชาการข้อมูล รวบรวมสถานะด่าน–คิวรถ–แนวโน้มสินค้าสด ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแบบเรียลไทม์ อีกฝั่งหนึ่ง ภาคเอกชนควรรวมกลุ่มต่อรองบริการโลจิสติกส์ (เช่น ค่าตู้เย็น/ค่ารอคิว) เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย และร่วมมือกับสถาบันการเงินในพื้นที่ออกแบบเงินทุนหมุนเวียนที่ ผูกกับข้อมูลการขนส่งจริง แทนการประเมินความเสี่ยงแบบเหมารวม

เปลี่ยน “จุดเสี่ยงชายแดน” เป็น “จุดแข็งภูมิภาค”

ตัวเลขกรกฎาคม–สะสม 7 เดือนแรกปี 2568 ให้ภาพสองด้าน—ด้านมืดคือการส่งออกชายแดนที่หดแรงโดยเฉพาะทิศกัมพูชา ด้านสว่างคือการค้าผ่านแดนที่ทะยานสู่จีนหนุนด้วยทุเรียนสด หากมองเชิงระบบ นี่ไม่ใช่ภาพที่ขัดแย้ง แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ไทย จัดการความเสี่ยงชายแดน และ ยกระดับโครงสร้างผ่านแดน พร้อมกัน

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียง “อัดมาตรการระยะสั้น” แต่คือการ ทำให้ด่านคาดการณ์ได้–กฎระเบียบโปร่งใส–โลจิสติกส์ไร้คอขวด และที่สำคัญที่สุดคือ กระจายพอร์ตสินค้า ให้เศรษฐกิจหน้าด่านไม่ต้องฝากอนาคตไว้กับสินค้าไม่กี่ชนิดหรือความสัมพันธ์การเมืองชายแดนที่ผันผวน การทำให้ “ชายแดนไทย” เป็นทั้ง ประตูการค้า และ กันชนความเสี่ยง จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพาเศรษฐกิจท้องถิ่น—ตั้งแต่เชียงรายถึงเบตง—ก้าวผ่านความไม่แน่นอนในช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ตัวเลขสำคัญ

  • การค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” ก.ค. 2568: 166,025 ล้านบาท (+5% YoY)
  • การค้าชายแดน ก.ค. 2568: 66,220 ล้านบาท (-20% YoY) / ส่งออก -29.5% | สะสม 7 เดือน: 572,241 ล้านบาท (-0.8%), ส่งออก -3.5%
  • กัมพูชา: ปิดจุดผ่านแดน 18 แห่ง / มูลค่าก.ค. เหลือราว 376 ล้านบาท (เกือบ -100%)
  • การค้าผ่านแดน ก.ค. 2568: 99,805 ล้านบาท (+32.5%) / ส่งออก +55% | สะสม 7 เดือน: +24.6%, ส่งออกเกือบ +30%
  • จีน (ผ่านแดน): ก.ค. 2568 การค้ารวม +44% / ส่งออก +72.4% | ทุเรียนสด ก.ค. 22,949 ล้านบาท (+135.6%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าต่างประเทศ (กระทรวงพาณิชย์)
  • ชายแดน–ผ่านแดน’ ก.ค. 68 / กัมพูชาดิ่ง ทุเรียนสดพาจีนพุ่ง” (เผยแพร่ 26 ส.ค. 2568).
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News