Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศบาลนครเชียงรายจัดขบวนรุ่น 2 พสกนิกร 230 คน ถวายบังคมพระบรมศพอย่างเป็นระบบ

นครเชียงรายรุ่นที่ 2 ออกเดินทางถวายบังคมพระบรมศพ “สมเด็จพระพันปีหลวง” เปิดพื้นที่แห่งความอาลัยให้ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นระบบ

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – ในห้วงเวลาแห่งความโศกอาดูรที่แผ่คลุมไปทั่วประเทศ เทศบาลนครเชียงรายได้ขยับบทบาทสำคัญในการเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกับพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร ด้วยการจัดขบวนพสกนิกรชาวนครเชียงราย “รุ่นที่ 2” เดินทางไปกราบถวายบังคมพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแสดงความอาลัยและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างทั่วถึง

ภายใต้บริบทที่ประชาชนจำนวนมากในต่างจังหวัดอาจมีข้อจำกัดด้านระยะทาง ค่าใช้จ่าย และการจัดการเดินทางด้วยตนเอง การที่เทศบาลนครเชียงรายลุกขึ้นมาจัดระบบการเดินทางอย่างเป็นรูปธรรมจึงสะท้อน “บทบาทของท้องถิ่น” ในการแปลงความจงรักภักดีให้กลายเป็นโอกาสและการเข้าถึงอย่างเป็นธรรมสำหรับทุกกลุ่มประชาชน

ขบวนรุ่นที่ 2 จากอาคารเทิดพระเกียรติฯ สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

เมื่อเวลา 17.00 น. วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ณ อาคารเทิดพระเกียรติ 90 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ เทศบาลนครเชียงรายได้จัดพิธีปล่อยขบวนรถอย่างเป็นทางการ บรรยากาศในช่วงเย็นเต็มไปด้วยความสงบ สำรวม และเปี่ยมด้วยความหมาย

ขบวนพสกนิกรชาวนครเชียงราย “รุ่นที่ 2” จำนวน 230 คน ถูกจัดลำดับอย่างเป็นระเบียบ ก่อนทยอยขึ้นรถบัสที่เตรียมไว้ 5 คัน เพื่อออกเดินทางสู่กรุงเทพมหานคร เป้าหมายคือการเข้าเฝ้าฯ ถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

พิธีปล่อยขบวนได้รับเกียรติจาก
– นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย
– ร.ต.อ.ดร. ธนรัช จงสุทธานามณี อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
– คณะผู้บริหารเทศบาล
– สมาชิกสภาเทศบาลนครเชียงราย
– ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เทศบาลจำนวนหนึ่ง

ทุกคนร่วมยืนส่งขบวนด้วยความสำรวม สะท้อนถึงความพร้อมทั้งด้าน “จิตใจ” และ “การบริหารจัดการ” ในการนำคณะพสกนิกรออกเดินทางในครั้งนี้

ระบบการเดินทางที่วางแผนล่วงหน้า เมื่อความอาลัยต้องเดินคู่กับความปลอดภัย

เพื่อให้การเดินทางของประชาชนเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย เทศบาลนครเชียงรายได้ให้ความสำคัญกับรายละเอียดเชิงปฏิบัติการอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การจัดสรรยานพาหนะไปจนถึงการดูแลตลอดเส้นทาง

เทศบาลนครเชียงรายจัดเตรียมรถบัสจำนวน 5 คัน พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ประจำรถทุกคัน เพื่อทำหน้าที่
– อำนวยความสะดวกในการเดินทาง
– ดูแลความปลอดภัยของผู้ร่วมเดินทาง
– ประสานงานในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ในระดับการควบคุมขบวน นายภาธร์ รังษีกุลพิพัฒน์ รองนายกเทศมนตรีนครเชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกสภาเทศบาล นางสาวปภาวินี คำโพนงาม ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลและนำขบวนประชาชนตลอดการเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง

การมีผู้บริหารระดับรองนายกเทศมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการร่วมเดินทางไปกับประชาชน ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของการ “ลงพื้นที่เคียงข้างประชาชน” แต่ยังช่วยให้การตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางสามารถทำได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ

กำหนดการแบบรอบ เปิดทางให้ประชาชนเข้าถึงอย่างต่อเนื่อง

เพื่อให้การเปิดโอกาสแก่ประชาชนมีความทั่วถึง ไม่ใช่เพียงการจัดครั้งเดียว เทศบาลนครเชียงรายได้ออกแบบ “ระบบรอบการเดินทาง” อย่างชัดเจนในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้แก่

  • รอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 25–28 พฤศจิกายน 2568
  • รอบที่ 3 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2568

การแบ่งรอบลักษณะนี้ช่วยให้ประชาชนจากหลายชุมชน หลายเขตในพื้นที่นครเชียงราย สามารถทยอยลงทะเบียนและเข้าร่วมได้ตามความพร้อม ลดความแออัด ลดความเสี่ยงด้านสาธารณสุข และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเทศบาล

แม้ตัวเลข 230 คนในรุ่นที่ 2 อาจดูไม่ใช่ตัวเลขมหาศาล หากมองในมุมสถิติระดับประเทศ แต่ในเชิงพื้นที่ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึง “ความตั้งใจเชิงนโยบาย” ที่ต้องการให้กลุ่มประชาชนจำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มีโอกาสเดินทางไปถวายบังคมพระบรมศพ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยต้นทุนและข้อจำกัดส่วนบุคคล

ความหมายเชิงสังคม พื้นที่แห่งความอาลัยที่ไม่จำกัดแค่คนเมืองหลวง

การเดินทางของขบวนพสกนิกรนครเชียงรายรุ่นที่ 2 ครั้งนี้ มีความหมายเกินกว่า “ภารกิจหนึ่งทริป” เนื่องจากสะท้อนมิติสำคัญอย่างน้อยสามประการ ดังนี้

การสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงพระราชพิธีสำคัญ
ประชาชนในจังหวัดชายขอบหรือจังหวัดห่างไกลจากศูนย์กลางมักมีข้อจำกัดด้านระยะทาง เวลา และค่าใช้จ่าย การที่เทศบาลนครเชียงรายเข้ามามีบทบาทในการจัดการเดินทางอย่างเป็นระบบ ทำให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ คนทำงาน หรือคนที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินทางไกล สามารถเข้าถึงพระราชพิธีสำคัญได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น

การแปร “ความอาลัยส่วนบุคคล” สู่ “การร่วมไว้อาลัยในฐานะชุมชน”
เมื่อประชาชนเดินทางเป็นขบวนในนาม “นครเชียงราย” การแสดงความอาลัยจึงมีมิติของความเป็นชุมชนเข้ามาเสริม ไม่ใช่เพียงเรื่องของบุคคลและครอบครัว แต่สะท้อนถึงการรวมพลังของคนทั้งเมืองที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

การยืนยันบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในช่วงเหตุการณ์ระดับชาติ
การจัดการครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า เทศบาลไม่ได้มีบทบาทเพียงด้านสาธารณูปโภคหรือโครงการพัฒนาเมือง แต่ยังมีภารกิจด้าน “จิตวิญญาณสาธารณะ” ในการออกแบบช่องทางให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความผูกพันและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณร่วมกัน

ภาพสะท้อนเชิงบริหารจัดการ เมื่อสวัสดิการสังคมเดินคู่กับศักดิ์ศรีประชาชน

บทบาทของกองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ซึ่งมีนางสาวปภาวินี คำโพนงาม เป็นผู้อำนวยการ มีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการนี้ เพราะต้องทำงาน “สองมิติ” ควบคู่กันไป ได้แก่

  1. การบริหารจัดการด้านสวัสดิการ เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว การจัดเตรียมยา การกำหนดเวลาแวะพัก และการจัดการความปลอดภัยตลอดเส้นทาง
  2. การรักษาศักดิ์ศรีและความรู้สึกของผู้ร่วมเดินทาง ให้ทุกคนรู้สึกว่าไม่ได้เป็น “ผู้รับความช่วยเหลือ” แต่เป็น “ตัวแทนของนครเชียงราย” ที่เดินทางไปแสดงความอาลัยในฐานะพสกนิกรของพระองค์ท่าน

การผสมผสานสองมิตินี้ทำให้การเดินทางไม่ได้เป็นเพียง “ทริป” แต่เป็นการเดินทางที่มีความหมาย มีการออกแบบเชิงสังคม และมีระบบรองรับประชาชนอย่างเหมาะสมในทุกขั้นตอน

เชื่อมเหตุการณ์สู่การตัดสินใจในอนาคต บทเรียนจากการจัดขบวนรุ่นที่ 2

จากการจัดขบวนพสกนิกรรุ่นที่ 2 ครั้งนี้ เทศบาลนครเชียงรายย่อมได้รับ “บทเรียนเชิงระบบ” ที่สามารถนำไปใช้ในการจัดการเหตุการณ์สำคัญอื่นในอนาคต ทั้งในด้านพิธีการ การเดินทางระยะไกล และการดูแลกลุ่มประชาชนขนาดใหญ่

ในเชิงปฏิบัติ การกำหนดรอบการเดินทางที่ชัดเจน การจัดสรรยานพาหนะและเจ้าหน้าที่ประจำรถ การมีผู้บริหารระดับสูงร่วมกำกับการเดินทาง และการเตรียมข้อมูลให้ประชาชนทราบล่วงหน้า ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าร่วม และสร้างมาตรฐานในการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ในเชิงสังคม การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้แสดงออกถึงความอาลัยต่อสมเด็จพระพันปีหลวงอย่างเป็นระบบ ช่วยตอกย้ำความผูกพันระหว่างประชาชนกับสถาบันหลักของชาติ และสะท้อนให้เห็นว่า แม้ระยะห่างทางภูมิศาสตร์จะไกล แต่ “ระยะห่างทางจิตใจ” สามารถถูกย่นย่อได้ ผ่านการบริหารจัดการที่ตั้งอยู่บนหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

นครเชียงรายในห้วงเวลาแห่งการไว้อาลัยของชาติ

การจัดขบวนพสกนิกรนครเชียงรายรุ่นที่ 2 เดินทางไปถวายบังคมพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการ “เดินทางจากเชียงรายสู่กรุงเทพฯ” หากแต่เป็นการเดินทางที่เชื่อมต่อ “หัวใจของผู้คนในท้องถิ่น” เข้ากับ “หัวใจของชาติ”

ภายใต้จำนวน 230 คน รถบัส 5 คัน เจ้าหน้าที่ประจำรถทุกคัน ผู้บริหารที่ร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด และการกำหนดรอบการเดินทางที่ครอบคลุมตลอดช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสได้จากบรรยากาศ คือความตั้งใจของเทศบาลนครเชียงรายในการทำให้ “คำว่าโอกาสอย่างทั่วถึง” เกิดขึ้นจริง

สำหรับผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารเชิงลึก เหตุการณ์นี้อาจเป็นตัวอย่างชัดเจนของการที่ “นโยบายเชิงสัญลักษณ์” ด้านความจงรักภักดี สามารถถูกออกแบบและขับเคลื่อนผ่านกลไกของท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อการจัดการครั้งนี้เดินหน้าไปพร้อมกับความสำรวม ความเคารพ และการบริหารสาธารณะอย่างมืออาชีพ ก็ยิ่งทำให้ภาพของนครเชียงรายในฐานะเมืองที่ไม่ทอดทิ้งประชาชนในห้วงเวลาแห่งความสูญเสีย ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

“ทอสายบุญ” จุลกฐินไทลื้อ: อบจ.เชียงรายผนึก 5 ภาคี สร้างงาน-รายได้ชุมชนจากวัฒนธรรม

เชียงรายสานศรัทธาไทลื้อ “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ลงนาม MOU 5 ภาคี ดันท่องเที่ยวริมโขง สร้างงาน–รายได้ชุมชน

เชียงราย, 9 ตุลาคม 2568 — ยามเย็นบนตลิ่งโขง แสงสีส้มแตะขอบน้ำสงบที่ ลานเวทีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ต.ริมโขง อ.เชียงของ ผู้คนในชุดไทลื้อสีคราม–ไพลสลับลวดลายกำลังจัดขบวน “แห่ขันโตก” ขณะที่วงกลองสะบัดชัยกระทบจังหวะต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ—ฉากเปิดของงานแถลงข่าวและเสวนา “ทอสายบุญ จุลกฐิน ถิ่นไทลื้อโบราณ บ้านหาดบ้าย” ซึ่งปีนี้ยกระดับสู่ MOU เครือข่าย 5 ภาคส่วน เพื่อเดินหน้าพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

ภายใต้แคมเปญจังหวัด “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปีมีดีทุกอำเภอองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ. นำภาคีเครือข่ายร่วมลงนาม ได้แก่ นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ, รศ.มาลี หมวกกุล ประธานสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง และ นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย เพื่อวางกรอบความร่วมมือจาก “วัฒนธรรม–พื้นที่–คน” สู่ “เศรษฐกิจท้องถิ่น–รายได้ชุมชน–ภาพลักษณ์จังหวัด”

“เรายกให้งานจุลกฐินบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทองเป็นหนึ่งในปฏิทินท่องเที่ยวของจังหวัด สนับสนุนงบประมาณ 300,000 บาท เพื่อให้ชุมชนเดินต่อด้วยพลังของตนเองและเครือข่ายภาคี” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย กล่าวระหว่างเสวนา

จุลกฐินไทลื้อ “ทอผ้าทันใจ” ศรัทธาที่แปรเป็นเศรษฐกิจชุมชน

หัวใจของงานคือ พิธีจุลกฐิน—ประเพณีโบราณที่ชาวไทลื้อรวมพลัง ทอผ้าทันใจ” ภายในคืนเดียวเพื่อถวายแต่เช้า “ทอ–ปั่น–ฟั่น–กรอ—เสร็จในราตรีเดียว” คือความหมายเชิงสัญลักษณ์ของ ความสามัคคีและแรงศรัทธา ซึ่งปีนี้กำหนดจัดจริง 25–26 ตุลาคม 2568 ณ วัดหาดบ้าย พร้อมจำลองกระบวนการครบขั้นตั้งแต่เก็บสำลีฝ้าย ปั่นเส้น ไปจนถึงทอผ้าและแห่ถวาย

“เรื่องเล่าของ ‘ผ้าทันใจ’ คือพลังร่วมมือของชุมชน เมื่อครั้งต้องการถวายผ้าแด่พระภิกษุในเช้าวันถัดมา—วันนี้เราสืบสานเพื่อให้ลูกหลานเห็นคุณค่าศรัทธาที่จับต้องได้” — นางสนอง จันต๊ะคาด ประธานชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย กล่าว

นอกจากพิธีกรรม งานยังเปิดเวทีการแสดงอัตลักษณ์ไทลื้อ เช่น ฟ้อนขับลื้อ, ขบวน แห่ขันโตก ต้อนรับแขก และการร่วมแสดงของทั้ง แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ เพื่อให้เห็น “ชุมชนหนึ่งเดียวต่างวัย” ที่ขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมร่วมกัน

3 ทุนของบ้านหาดบ้ายวัฒนธรรม–พื้นที่–คน

เวทีเสวนาชี้ให้เห็น “ทุน” ของพื้นที่ที่พร้อมต่อยอดเป็นคุณค่าทางเศรษฐกิจ

  • ทุนวัฒนธรรม ภาษา การแต่งกาย ประเพณี และอาหารพื้นถิ่นที่ยังใช้จริงในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะ ผ้าทอไทลื้อ ที่มีลายเฉพาะถิ่น และพิธี จุลกฐิน
  • ทุนพื้นที่ ภูมิประเทศริมโขง โอบล้อมด้วยภูเขา บรรยากาศไฮซีซันที่โดดเด่น เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–วัฒนธรรม
  • ทุนคน ความเข้มแข็งของชุมชน การรวมกลุ่มอาชีพ และความร่วมมือของผู้นำท้องถิ่นกับสถาบันการศึกษา

“ทุน 3 อย่างนี้—ถ้าเชื่อมกับการจัดการที่ดี จะกลายเป็น ‘เศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม’ ที่สร้างคุณภาพชีวิตให้คนในพื้นที่จริง” — นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ให้ความเห็น

มหาวิทยาลัยหนุนวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ จากครัวชนบทสู่รางวัลระดับประเทศ

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ไม่ได้หยุดอยู่ที่การถอดองค์ความรู้การทอผ้าไทลื้อเท่านั้น แต่ยังต่อยอด ห่วงโซ่อาหารพื้นถิ่น สู่ผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์และภาพลักษณ์ใหม่

  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” คว้ารางวัลระดับประเทศจากเวที “ยกพลคนน้ำพริก (ไทยพีบีเอส)” ทั้ง รองชนะเลิศ และ ขวัญใจมหาชน—ตัวอย่างการนำเครื่องปรุงพื้นบ้านยกระดับสู่สากล
  • ชาดอกซ้อ (ดอกเส้า)” วิจัยพัฒนาให้ผลิต–จำหน่ายได้ตลอดปี พร้อม แพ็กเกจจิ้ง ที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน เพิ่มมูลค่าเป็น “ของฝากริมโขง”

“สิบกว่าปีที่ทำงานร่วมพื้นที่ เราเห็นชัดว่าทุนคนคือจุดเริ่มต้น ทุกโครงการ—อาหาร ผ้า ศูนย์เรียนรู้—เกิดจากการที่ชุมชน ‘อยากทำ’ และ ‘ทำได้จริง’ มหาวิทยาลัยจึงทำหน้าที่ต่อยอดงานวิจัยและการตลาดให้ไปไกลขึ้น” — รศ.มาลี หมวกกุล กล่าวบนเวที

จากเวทีแถลงสู่เวทีขาย อาหาร–การแสดง–สินค้าชุมชนครบประสบการณ์

งานแถลงข่าวไม่เพียงนำเสนอสาระ แต่ “ลองรส–ลองชม–ลองช็อป” เพื่อสะท้อนประสบการณ์จริงของนักท่องเที่ยวในงานใหญ่ปลายเดือน เมนู ขันโตกไทลื้อ ที่เสิร์ฟบนเวที เช่น

  • แกงหางหวายอ่อน — วัตถุดิบพื้นบ้านหายาก ปรุงแบบดั้งเดิม
  • ลาบหมูล้านนา — อาหารมงคลของชาวเหนือ สื่อถึงการรวมคนในงานบุญ
  • น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้ — เมนูสร้างชื่อของชุมชน
  • ต้มจืดฟักเขียว — เมนูกลางสำหรับทุกวัย

บนลานทรายริมโขง แผงสินค้าชุมชนเรียงรายตั้งแต่ ผ้าซิ่นไทลื้อ–เสื้อพื้นถิ่น–ของทานพื้นบ้าน ไปจนถึงบูธงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัย ภาพนักเรียน โรงเรียนริมโขงวิทยา ขึ้นแสดง–ร่วมจัดนิทรรศการ ยังสะท้อน “คนรุ่นใหม่” ที่สืบต่ออัตลักษณ์บ้านเกิด

MOU 5 ภาคส่วน กลไกขับเคลื่อนระยะยาว

เอกสาร MOU ที่ลงนามร่วมกันระบุ เจตนารมณ์ร่วม 3 ประการ คือ

  1. ยกระดับงาน “จุลกฐินถิ่นไทลื้อโบราณ” เป็นงานวัฒนธรรมประจำปีที่ชุมชนเป็นเจ้าของ
  2. สนับสนุน โครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว และ ระบบการสื่อสารสาธารณะ ให้เข้าถึงง่ายทั้งออนไลน์–ออฟไลน์
  3. ต่อยอด งานวิจัย–ผลิตภัณฑ์ชุมชน ให้ได้มาตรฐาน พร้อมช่องทางตลาด–โลจิสติกส์รองรับ

อบจ.เชียงราย ทำหน้าที่หนุนงบประมาณและการตลาดเชิงภาพรวมจังหวัด, อำเภอเชียงของ และ อบต.ริมโขง บูรณาการภาคส่วนในพื้นที่, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย วางฐานองค์ความรู้–มาตรฐานผลิตภัณฑ์–ศูนย์เรียนรู้, ส่วน ชุมชนไทลื้อบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง ทำหน้าที่เจ้าภาพเนื้อแท้ของวัฒนธรรมและประสบการณ์นักท่องเที่ยว

ตัวเลข–ข้อเท็จจริงชวนคิด

  • 300,000 บาท งบสนับสนุนงานปีนี้จาก อบจ.เชียงราย เพื่อผลักดันสู่ปฏิทินท่องเที่ยวจังหวัด
  • 2 วัน (25–26 ต.ค. 2568)  โครงสร้างงาน—คืนแรก ทอผ้าทันใจ, เช้าวันถัดมา แห่ผ้าทอถวาย
  • 5 ภาคีร่วมลงนาม อบจ.เชียงราย, อำเภอเชียงของ, ม.ราชภัฏเชียงราย, อบต.ริมโขง, ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย
  • รางวัลระดับประเทศ 2 รางวัล  “น้ำพริกถั่วเน่าหอมหมื่นลี้” จากเวทีไทยพีบีเอส (รองชนะเลิศ/ขวัญใจมหาชน) สะท้อนศักยภาพการยกระดับอาหารพื้นบ้าน
  • ระบบนิเวศคน 3 วัย แม่บ้าน–เยาวชน–ผู้สูงอายุ ร่วมเป็นผู้แสดง ผู้ผลิต และผู้ต้อนรับ สร้าง “บริการท่องเที่ยวที่เป็นเจ้าบ้านจริง”

เสียงจากพื้นที่ การมีส่วนร่วมคือคำตอบ

“เราจะรับนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจ ด้วยวิถีไทลื้อและพหุชาติพันธุ์ใน ต.ริมโขง—งานนี้ระเบิดจากข้างในชุมชน หน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัยเข้ามาหนุนเสริม” — นายเกษม ปันทะยม นายก อบต.ริมโขง

“เมื่อชุมชนมีความภูมิใจในทุนของตนเอง นักท่องเที่ยวก็จะได้ประสบการณ์แท้จริง—นี่คือเหตุผลที่เราพัฒนา ศูนย์เรียนรู้ และ คลังความรู้การทอผ้า ในโรงเรียน ให้การสืบสานเป็น ‘ทักษะอาชีพ’ ได้” — รศ.มาลี หมวกกุล

“การทอผ้าทันใจไม่ใช่โชว์ แต่คือชีวิต—เราอยากให้ผู้มาเยือนได้สัมผัส ลงมือจริง และเข้าใจว่าทุกเส้นด้ายมีเรื่องเล่า” — นางสนอง จันต๊ะคาด

การสื่อสารร่วมสมัย จากเวทีริมโขงสู่ไลฟ์สดและคอนเทนต์ออนไลน์

เพื่อเข้าถึงคนเมือง–คนรุ่นใหม่ งานแถลงข่าวเปิด ไลฟ์สด ผ่านเพจหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชิญชวน ครีเอเตอร์ ทดลองเก็บคอนเทนต์ “ชุดไทลื้อ–ริมโขง–แสงอาทิตย์ตก” พร้อมแนะนำ แฮชแท็กการท่องเที่ยวชุมชน กระตุ้นการรับรู้แบบไวรัล ขณะเดียวกัน ชุมชนเตรียม ชุดข้อมูลนักท่องเที่ยว (การเดินทาง ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหารพื้นถิ่น แหล่งซื้อผ้า) เพื่อให้การเดินทางในปลายเดือนเป็นไปอย่างราบรื่น

แผนงานก่อนถึงวันจริง ความพร้อมเชิงระบบ

หลังลงนาม MOU แต่ละฝ่ายเร่งดำเนินการตามบทบาท

  • ชุมชน: ฝึกซ้อมการแสดง สรุปเส้นทางเดินงาน จัดบูธผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และระบบอาสาสมัครต้อนรับ
  • อบต.ริมโขง: การจราจร–ความปลอดภัย–จุดบริการสาธารณะ
  • อำเภอเชียงของ: ประสานหน่วยงานความมั่นคงและสาธารณสุขในพื้นที่
  • อบจ.เชียงราย: ประชาสัมพันธ์ส่วนกลางและเชื่อมเครือข่ายท่องเที่ยวจังหวัด
  • มหาวิทยาลัย: นัดหมายสาธิตงานวิจัย–พัฒนาผลิตภัณฑ์ สื่อสารเรื่องมาตรฐาน คุณภาพ และเรื่องเล่าเบื้องหลังผลิตภัณฑ์

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง คือ รายได้หมุนเวียนในชุมชน ผ่านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์–บริการท่องเที่ยว, การจ้างงานชั่วคราว–กึ่งถาวร ในกลุ่มแม่บ้าน/เยาวชน, และ การรับรู้แบรนด์ปลายทาง “เชียงของ–ริมโขง–ไทลื้อ” ที่เข้มแข็งขึ้นในตลาดนักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

คำเชิญชวนสุดท้าย มาเห็น “ศรัทธาที่ทอได้” ด้วยตาคุณเอง

เมื่อแสงสุดท้ายลับขอบน้ำ ขบวนแห่ขันโตกสิ้นสุดลง ผู้ร่วมงานหันไปมองกี่ทอผ้าจำลองที่ตั้งเด่นริมเวที—เครื่องหมายว่าภารกิจใหญ่กำลังใกล้เข้ามา ใน คืนวันที่ 25 ตุลาคม ทุกบ้านจะร่วมแรง ทอผ้าทันใจ” และในเช้าถัดมา 26 ตุลาคม ผืนผ้าที่ทอด้วยแรงกาย–แรงใจ จะถูกแห่อย่างสง่างามเข้าสู่วัดหาดบ้าย

อบจ.เชียงราย ฝากข้อความถึงนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ  “มาเป็นส่วนหนึ่งของการสืบสานวัฒนธรรมไทลื้อ ลิ้มรสอาหารพื้นถิ่น ชมงานหัตถกรรมแท้ และช่วยกันกระจายรายได้สู่ชุมชนริมโขง” ความทรงจำจากทริปนี้อาจไม่ใช่เพียงภาพถ่ายยามอาทิตย์ตกบนโขง หากคือ เรื่องเล่าของผืนผ้าที่ทอขึ้นในคืนเดียว—ศรัทธาที่จับต้องได้ และเศรษฐกิจชุมชนที่เติบโตได้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลริมโขง (อบต.ริมโขง)
  • ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีบ้านหาดบ้าย–หาดทรายทอง
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (สาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์)
  • โรงเรียนริมโขงวิทยา
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News