Categories
ECONOMY

วิกฤตภาษีสหรัฐฯ ผู้ว่าฯ ธปท. เตือน SME เร่งปรับตัว

ประเทศไทยเผชิญพายุภาษีสหรัฐฯ มุมมองผู้ว่าการแบงก์ชาติและทางออกเพื่ออนาคต

กรุงเทพฯ, 12 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศ ในงาน “Meet the Press: ผู้ว่าการพบสื่อมวลชน ครั้งที่ 1/2568” เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2568 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ฉายภาพสถานการณ์เศรษฐกิจไทยท่ามกลาง “พายุ” ทางเศรษฐกิจ พร้อมนำเสนอแนวทางรับมือที่เน้นความยั่งยืนและการปรับโครงสร้างเพื่ออนาคต

ความไม่แน่นอนจากพายุภาษีสหรัฐฯ

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ที่มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย นโยบายนี้สร้างความไม่แน่นอนในห่วงโซ่อุปทานและการค้าโลก โดย ดร.เศรษฐพุฒิ เปรียบสถานการณ์นี้เป็น “พายุ” ที่อาจกินเวลานานและไม่คลี่คลายง่าย ๆ แม้ว่าสหรัฐฯ จะเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีออกไป 90 วัน แต่การเจรจากับหลายประเทศที่มีจำนวนมากทำให้มองเห็นความท้าทายในการหาข้อสรุปที่ชัดเจน

“พายุลูกนี้จะใช้เวลานาน ไม่น่าจะจบเร็ว การเจรจาคงไม่ง่าย และอาจไม่จบลงด้วยดีในทุกกรณี” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวในงานแถลงข่าว

ผลกระทบจากมาตรการภาษีนี้คาดว่าจะเริ่มชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 โดยจุดต่ำสุดของผลกระทบอาจอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าผลกระทบในครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าวิกฤตโควิด-19 หรือวิกฤตการเงินปี 2540 แต่ก็ไม่ควรประมาท เนื่องจากความลึกและระยะเวลาของผลกระทบขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทยและความเปราะบางของ SME

ธปท. ประเมินว่ามี 5 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับผลกระทบหนักจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในปริมาณสูง ได้แก่:

  1. เครื่องใช้ไฟฟ้า
  2. ยานยนต์และชิ้นส่วน
  3. ยางล้อ
  4. อาหารแปรรูป
  5. อิเล็กทรอนิกส์

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ซึ่งต่อเนื่องไปยังสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมที่ส่งออกไปยังจีนหรือเวียดนาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่มุ่งสู่สหรัฐฯ

อีกหนึ่งความกังวลสำคัญคือการที่สินค้าจากต่างประเทศอาจ “ทะลัก” เข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด เนื่องจากสินค้าราคาถูกจากจีนและประเทศอื่น ๆ อาจเข้ามาแข่งขันในตลาดไทย ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย

“การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจกระทบ SME ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ภาครัฐควรใช้มาตรการทางการค้า เช่น การตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด เพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว

นโยบายการเงินและการคลังที่ต้องแม่นยำ

เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ธปท. ได้ดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งในปี 2568 เพื่อรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ผู้ว่าการ ธปท. มองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบจากพายุภาษีในขั้นต้น แต่หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาด ธปท. พร้อมทบทวนนโยบายเพิ่มเติม

“กระสุนทั้งฝั่งนโยบายการเงินและการคลังมีจำกัด ต้องใช้อย่างระมัดระวังและให้เกิดประโยชน์สูงสุด” ดร.เศรษฐพุฒิ เน้นย้ำ

ในด้านนโยบายการคลัง ผู้ว่าการ ธปท. แนะนำว่ารัฐบาลควรหลีกเลี่ยงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “ปูพรม” เช่น การแจกเงินผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากผลกระทบจากพายุภาษีมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคส่วน การกระตุ้นการบริโภคอาจส่งผลให้เกิดการรั่วไหลของเม็ดเงินไปยังสินค้านำเข้า ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาการขาดดุลการค้า

“โครงการดิจิทัลวอลเล็ตควรได้รับการทบทวนในแง่ความคุ้มค่าและประสิทธิผล โดยเฉพาะเมื่อมีภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น สินค้าต่างชาติที่อาจทะลักเข้ามา” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชื่นชมรัฐบาลที่รับฟังข้อเสนอของ ธปท. และยอมทบทวนโครงการดังกล่าว

ในส่วนของมาตรการเฉพาะเจาะจง ธปท. สนับสนุนการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น SME ในอุตสาหกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ต้องออกแบบให้ตรงจุดและไม่ครอบคลุมกว้างเกินไป เพื่อป้องกันการใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

โอกาสท่ามกลางวิกฤตและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ดร.เศรษฐพุฒิ มองว่าพายุภาษีสหรัฐฯ เป็นโอกาสให้ประเทศไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว หากประเทศไทยยังยึดติดกับรูปแบบการเติบโตแบบเดิม เช่น การพึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตรหรืออุตสาหกรรมหนัก อาจทำให้การเติบโตชะลอตัวลงในอนาคต การปรับตัวในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม

หนึ่งในแนวทางที่ผู้ว่าการ ธปท. เสนอคือการยกระดับภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เน้นมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาศูนย์สุขภาพ (Wellness Center) เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมสูงวัยทั้งในไทยและทั่วโลก ตลาดนี้มีศักยภาพเติบโตสูงและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการพัฒนาโครงการสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ของประเทศ

“ในช่วงที่โลกมีความไม่แน่นอนสูง การทำธุรกิจที่ ‘ขาวสะอาด’ มีความสำคัญ การพัฒนากาสิโนอาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยดู ‘สีเทา’ ซึ่งไม่เหมาะสมในบริบทปัจจุบัน” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว พร้อมชี้ว่า การพัฒนาศูนย์สุขภาพจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าและสอดคล้องกับจุดแข็งของไทย

นอกจากนี้ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การลงทุนในเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว โครงการอย่าง “Financial Landscape” และ “Open Data” ที่ ธปท. กำลังผลักดัน จะเป็นรากฐานสำคัญในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างยั่งยืน

ความท้าทายในอนาคตการเปลี่ยนผ่านผู้ว่าการ ธปท.

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับพายุภาษีและความท้าทายทางเศรษฐกิจ ดร.เศรษฐพุฒิกำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ในวันที่ 30 กันยายน 2568 การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากผู้ว่าการคนใหม่จะต้องรับมือกับความท้าทายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการประสานงานกับรัฐบาลที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน

คณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธปท. นำโดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง จะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม ถึง 4 มิถุนายน 2568 ผู้สมัครที่มีศักยภาพ ได้แก่:

  1. ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ธปท. ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ผู้มีประสบการณ์ยาวนานในนโยบายการเงินและการพัฒนาภูมิทัศน์ทางการเงิน
  2. ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และตลาดทุน
  3. ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ผู้มีประสบการณ์บริหารทั้งในภาครัฐและเอกชน
  4. ดร.สุทธาภา อมรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อบาคัส ดิจิทัล ผู้มีเครือข่ายทางการเมืองและประสบการณ์ในวงการการเงิน
  5. ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ อดีตรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์และการวิจัย
  6. ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ผู้มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติ

การคัดเลือกผู้ว่าการคนใหม่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายการเงินของไทยในช่วงเวลาที่ท้าทาย ผู้ว่าการคนใหม่จะต้องมีความสามารถในการประสานงานกับรัฐบาล ขณะเดียวกันก็รักษาความเป็นอิสระของ ธปท. เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพผลกระทบจากพายุภาษีสหรัฐฯ และสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ:
    • ในปี 2567 การส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 49,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 17% ของการส่งออกทั้งหมด
    • อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ มีสัดส่วน 2.2% ของ GDP ประเทศไทย
    • แหล่งอ้างอิง: กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  2. ผลกระทบต่อ SME:
    • SME ในประเทศไทยมีสัดส่วนการจ้างงานถึง 70% ของแรงงานทั้งหมด แต่มีเพียง 30% ที่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างเป็นทางการ
    • การทะลักเข้ามาของสินค้าต่างชาติอาจทำให้ SME ในภาคสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดถึง 20-30%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  3. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย:
    • อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ถูกปรับลด 2 ครั้งในปี 2568 จาก 2.50% เหลือ 2.00%
    • การลดดอกเบี้ยครั้งล่าสุดมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  4. หนี้ครัวเรือน:
    • หนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2567 อยู่ที่ 90.8% ของ GDP ลดลงเล็กน้อยจาก 91.3% ในปี 2566
    • โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” มีผู้เข้าร่วมกว่า 500,000 ราย ณ เดือนเมษายน 2568
    • แหล่งอ้างอิง: ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)

สรุปและคำแนะนำ

พายุภาษีสหรัฐฯ เป็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในปี 2568 แต่ก็เป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนยิ่งขึ้น การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่แม่นยำ การปกป้อง SME จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการลงทุนในภาคบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาเศรษฐกิจไทยฝ่าพายุครั้งนี้ไปได้

สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ แนะนำให้ติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทาน ส่วนรัฐบาลและ ธปท. ควรทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อออกมาตรการที่ตอบโจทย์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดในเวทีเศรษฐกิจโลกได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์วิจัยกสิกรไทย (2568)
  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
  • สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
WORLD PULSE

ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ส่งผลกระทบเศรษฐกิจไทยและการค้าโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ชัยชนะของทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงในอนาคต

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ดร.ลลิตา เธียรประสิทธิ์ ผู้บริหารงานวิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 พร้อมทั้งพรรครีพับลิกันคว้าคะแนนเสียงข้างมากในทั้งสองสภา ทำให้สามารถผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกและไทยยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

นโยบายเร่งด่วนที่คาดหวังในช่วง 100 วันแรกของทรัมป์

หลังจากการสาบานตนในเดือนมกราคม 2568 คาดว่านโยบายเร่งด่วนของทรัมป์จะประกอบไปด้วยมาตรการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรขาเข้า ลดภาษีเงินได้สำหรับนิติบุคคลและครัวเรือน การต่ออายุมาตรการลดภาษีที่ประกาศใช้ในปี 2560 รวมถึงมาตรการสนับสนุนพลังงานฟอสซิลในประเทศ ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจในสหรัฐฯ แม้ว่าในระยะสั้นอาจเกิดความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

ค่าเงินดอลลาร์และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับในเชิงบวก

ผลจากชัยชนะของทรัมป์ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นทันที โดยแตะระดับ 105.44 เพิ่มขึ้น 1.95% จากวันก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปีของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นใกล้ระดับ 4.50% ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ตอบรับในเชิงบวก โดยดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์เพิ่มขึ้นกว่า 1,300 จุดในวันที่ 6 พฤศจิกายน

ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

แม้ว่ามาตรการต่าง ๆ ของทรัมป์อาจสร้างผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว แต่ในระยะสั้นเศรษฐกิจอาจต้องเผชิญกับภาวะ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูง) จากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นและการกีดกันแรงงานอพยพ ด้านเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้นอาจได้อานิสงส์จากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากจีน แต่ในระยะยาวไทยอาจเผชิญความเสี่ยงจากการปรับเพิ่มภาษีสินค้าส่งออกที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ

แนวโน้มการย้ายฐานการผลิตและการแข่งขันในตลาดไทย

ในอนาคต ไทยอาจได้รับผลบวกจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการบางรายมายังอาเซียน แต่คาดว่าโอกาสในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังอาจต้องใช้เวลาและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ทั้งอัตราภาษีของสหรัฐฯ การตรวจสอบที่เข้มงวด และความพร้อมด้านเทคโนโลยีในไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปและเทคโนโลยี AI ซึ่งไทยยังขาดความพร้อมในด้านพลังงานสะอาดและแรงงานที่มีทักษะสูง

สินค้าไทยต้องเผชิญการแข่งขันจากจีนที่รุนแรงขึ้น

สินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์ วัสดุก่อสร้าง สิ่งทอ และเครื่องนุ่งห่มของไทยมีแนวโน้มเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากจีน เนื่องจากสินค้าจีนมีการผลิตที่เกินความต้องการภายในประเทศ อีกทั้งการเจอกำแพงภาษีจากประเทศตะวันตก ทำให้จีนต้องหาตลาดใหม่ในการระบายสินค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก

ชัยชนะของทรัมป์ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างพลังให้พรรครีพับลิกันในสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทยในหลายแง่มุม ทั้งการส่งออก การแข่งขัน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE