Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ทุเรียนไทย” ดันค้าผ่านแดนเชียงรายพุ่งสวนทางค้าชายแดนที่หดตัวหนัก

การค้าชายแดนเชียงรายหดตัวหนัก แต่การค้าผ่านแดนพุ่งสวนทาง “ทุเรียนไทย” เป็นพระเอกพยุงเศรษฐกิจ—รัฐเร่งอัดฉีดงบฟื้นโลจิสติกส์ชายแดน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568ด่านพรมแดนเชียงของ รถบรรทุกต่อคิวเรียงยาวริมแม่โขง ภาพที่คุ้นตาในช่วงฤดูส่งออกผลไม้ไปจีน แต่ปีนี้มีสิ่งที่ต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขการค้าผ่านแดนของเชียงรายทะยานขึ้น ขณะที่การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านกลับสะดุดแรง

รายงานการวิเคราะห์ครึ่งแรกของปี 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) ระบุชัดว่า มูลค่าการค้ารวมของจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 54,258.61 ล้านบาท ทว่าเมื่อแยกโครงสร้าง จะพบความจริงที่สองด้านในภาพเดียวกัน—การค้าผ่านแดน (Transit Trade) มีมูลค่า 38,438.22 ล้านบาท คิดเป็น 70.84% ของทั้งหมด ขับเคลื่อนโดยด่านศุลกากรเชียงของและเส้นทาง R3A สู่จีน ขณะที่ การค้าชายแดน (Border Trade) ซึ่งเป็นการซื้อขายกับเมียนมาและ สปป.ลาว มีมูลค่า 15,820.39 ล้านบาท หรือเพียง 29.16% และยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในหลายเดือน

ภาพรวมที่ “บวกและลบ” อยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทำให้เชียงรายกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตา—โอกาสเศรษฐกิจใหม่กำลังก่อตัวในเวลาเดียวกับที่ความเปราะบางบางด้านกำลังกัดกร่อนความมั่นใจของผู้ประกอบการชายแดน

แรงขับเคลื่อน “ทุเรียนสด” เส้นเลือดใหญ่ของการค้าผ่านแดน

หัวใจของการเติบโตครึ่งปีแรก คือคลื่นส่งออก ทุเรียนสด” สู่สาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านด่านเชียงของ—ประตูการค้าบนระเบียงเศรษฐกิจเหนือ–ใต้ (R3A) ที่เชื่อมไทย–ลาว–จีน ข้อมูลยืนยันว่าเฉพาะผลไม้ชนิดนี้ได้ดันมูลค่าการค้าผ่านแดนให้พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้สัดส่วนของ Transit Trade ต่อการค้ารวมแตะเกิน 70% เป็นครั้งสำคัญ

อย่างไรก็ดี จุดแข็งข้างต้นก็แฝง “ความเสี่ยงตามฤดูกาล” ไว้ในตัวเอง เดือนมิถุนายน 2568 เป็นตัวอย่างชัดเจน—มูลค่าส่งออกหดตัวลงถึง 4,556.17 ล้านบาท โดย กว่า 4,450 ล้านบาท มาจากทุเรียนที่สิ้นสุดฤดูผลิต การเติบโตที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิด จึงทำให้กราฟการค้าเหวี่ยงตัวแรงระหว่าง “ฤดูกาล–นอกฤดูกาล” และกลายเป็นโจทย์สำคัญต่อการบริหารกระแสเงินสดของผู้ส่งออก ตลอดจนการวางแผนเสถียรภาพรายได้ของจังหวัด

ด้านมืดของกราฟ การค้าชายแดนสะดุด—เมียนมา–ลาวชะงักจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์

ในอีกฟากหนึ่งของจังหวัด เส้นแดนที่แม่สายและเชียงแสนเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง การค้าชายแดนกับเมียนมาและลาวหดตัว ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในหลายเดือน สาเหตุหลักถูกชี้ไปยัง สถานการณ์ความไม่สงบภายในเมียนมา และ การตรวจสอบสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งทำให้การขนส่งติดขัด เกิดต้นทุนแฝงจากการรอคิว การเสี่ยงต่อความเสียหายของสินค้า และความไม่แน่นอนในการปิด–เปิดด่านโดยไม่มีกำหนด

เมื่อนำปัจจัยดังกล่าวมารวมกับความผันผวนของค่าเงินเพื่อนบ้านและกำลังซื้อที่อ่อนแรง ภาพรวมฝั่งชายแดนจึงออกมาในเชิงลบ แม้ความต้องการของตลาดปลายทางในเมียนมาจะยังมีอยู่ก็ตาม

ภาพจำแนกตามด่านตัวเลขที่เล่าเรื่อง

เพื่อมองเห็นโครงสร้างการค้าของเชียงรายอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 แยกตามด่านมีดังนี้ 

  • ด่านศุลกากรเชียงของ (ค้าผ่านแดนกับจีน):
    • ส่งออก 32,299.41 ล้านบาท
    • นำเข้า 7,572.54 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 39,871.95 ล้านบาท
    • โครงสร้างสินค้าส่งออก: ผลไม้สด (โดยเฉพาะทุเรียน) 96.88%, สินค้าอุปโภค–บริโภค 1.64%, สินค้าเกษตรอื่น 0.98%
    • นำเข้าหลัก: ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 58.06%, สินแร่ 29.53%, และผลไม้สดบางส่วน
  • ด่านศุลกากรแม่สาย (ค้าชายแดนกับเมียนมา):
    • ส่งออก 5,496.64 ล้านบาท
    • นำเข้า 833.48 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 6,330.12 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: น้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ 49.56%, น้ำมันเบนซิน/ดีเซล 18.58%, เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%
    • นำเข้าหลัก: เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เมล็ดงา และสุราต่างประเทศ
  • ด่านศุลกากรเชียงแสน (ค้าชายแดนกับลาว/ทางน้ำ):
    • ส่งออก 6,896.43 ล้านบาท
    • นำเข้า 1,160.10 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 8,056.52 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%, รถยนต์นั่ง 2.46%, อุปกรณ์ก่อสร้าง 5.08%
    • นำเข้าหลัก: ผักสด 59.01%, ปูนซีเมนต์ 11.81%, แร่พลวง 6.91%

เมื่อรวมทั้งสามด่าน จะได้ภาพรวม ส่งออก 44,692.48 ล้านบาท / นำเข้า 9,566.12 ล้านบาท / รวม 54,258.61 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าการค้าของเชียงรายเอนตัวไปทาง “ผ่านแดนสู่จีน” มากกว่าค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านโดยตรง

สัญญาณเชิงโครงสร้างเมื่อเชียงราย “เปลี่ยนบทบาท”

ข้อมูลอัปเดตเดือนกรกฎาคม 2568 (ที่ผู้ใช้จัดเตรียมไว้) ยิ่งตอกย้ำแนวโน้มการเปลี่ยนผ่าน: การค้าผ่านแดนเติบโต 32.5% ขณะที่ การค้าชายแดนหดตัว -20% นัยสำคัญคือเชียงรายกำลังขยับจาก “ศูนย์กลางการค้าภูมิภาค” ไปเป็น ประตูการค้าโลก” ที่เชื่อมไทยเข้ากับตลาดจีนโดยตรงผ่านโครงข่ายคมนาคมเหนือ–ใต้

ข้อดีของการเปลี่ยนบทบาทคือการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่และห่วงโซ่โลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ข้อท้าทายคือ ความเข้มข้นของสินค้า (concentration risk) หากสินค้าเอกชน เพียงชนิดเดียว—เช่นทุเรียน—สะดุดจากปัญหาฤดูกาล โรคพืช หรือมาตรการกีดกันทางการค้า ผลกระทบจะสะเทือนทั้งระบบอย่างที่เห็นในเดือนมิถุนายน

นโยบายภาครัฐ อัดฉีดงบ 363.62 ล้านบาท ฟื้นโครงสร้างพื้นฐานชายแดน

เพื่อเสริม “เสถียรภาพกระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจชายแดน คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ งบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัยปลายปี 2567 โดยมุ่งเน้นอำเภอแม่สายและแนวเชื่อมโยงโลจิสติกส์หลักในจังหวัด มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ:

  1. ซ่อม–เสริมถนน โป๊ะ ท่า และระบบระบายน้ำที่เป็นจุดอ่อน
  2. เพิ่มความพร้อมด่านให้รองรับการตรวจปล่อยสินค้าอย่างรวดเร็ว (ลดเวลารอ ลดต้นทุน)
  3. เสริมความยืดหยุ่นของระบบห่วงโซ่อุปทานในครึ่งปีหลัง

การลงทุนดังกล่าวถูกคาดหวังให้เป็น “กันชน” หลังวิกฤตน้ำท่วม และเป็นฐานเร่งเครื่องการค้ารอบใหม่ในช่วงไฮซีซันของผลไม้ปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงิน และฤดูกาล

  1. ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา – ความไม่สงบภายในและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเฉียบพลัน ส่งผลโดยตรงต่อด่านแม่สาย ทั้งต่อเวลาและต้นทุนขนส่ง การปิด–เปิดด่านอย่างไม่แน่นอนเป็นความเสี่ยงเชิงระบบของผู้ประกอบการ
  2. ค่าเงินกีบและจ๊าด – การอ่อนค่าของสกุลเงินเพื่อนบ้าน บั่นทอนกำลังซื้อและความสามารถชำระเงิน ส่งผลต่อคำสั่งซื้อสินค้าจากฝั่งไทย
  3. ฤดูกาลสินค้าเกษตร – ทุเรียนและผลไม้สดสร้างรายได้ก้อนใหญ่ แต่หากไร้สินค้าทดแทนในช่วง “หลุม” นอกฤดู การค้าโดยรวมจะเหวี่ยงตัวแรง

โอกาสในความเปราะบาง ทางรอดที่เริ่มต้นได้ทันที

แม้ความท้าทายจะชัด แต่ข้อมูลครึ่งปีแรกก็เปิดหน้าต่างโอกาสหลายบาน

  • กระจายพอร์ตสินค้า: ใช้เส้นทาง R3A ที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว เพื่อดันสินค้า ที่ต้องการสม่ำเสมอทั้งปี เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ควบคู่ผลไม้ตามฤดูกาล
  • ยกระดับการแปรรูปผลไม้: เพิ่มมูลค่าและยืดอายุสินค้า—แช่แข็ง อบแห้ง หรือสกัดสารสำคัญ—เพื่อสร้างรายได้ข้ามฤดูกาล ลดแรงเหวี่ยงของกราฟส่งออก
  • บริหารความเสี่ยงโลจิสติกส์: ใช้เทคโนโลยีติดตามตู้สินค้าแบบเรียลไทม์ ประกันภัยด้านความเสี่ยงชายแดน และวางเส้นทางสำรอง (re-routing) รองรับเหตุไม่แน่นอน
  • การทูตเชิงพาณิชย์: ใช้กลไกความร่วมมือด่าน–ด่าน เพื่อบรรเทาอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) กับฝ่ายเมียนมา ลด “ความไม่แน่นอน” ซึ่งเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น
  • ทุนมนุษย์และมาตรฐาน: อบรมผู้ประกอบการขนาดกลาง–เล็ก ด้านมาตรฐานสุขอนามัย/กฎระเบียบจีน และการตลาดข้ามพรมแดนเพื่อเพิ่มศักยภาพสู้ตลาดใหญ่

เรื่องเล่าจากสามด่านสามบทบาท–หนึ่งเป้าหมาย

  • เชียงของ เป็น “สายพานส่งออก” เชื่อมไทย–ลาว–จีน ที่พิสูจน์แล้วว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง ตัวเลขมูลค่ารวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ใน 6 เดือนแรกสะท้อนประสิทธิภาพโลจิสติกส์—แต่ก็เตือนให้ระวังการพึ่งพาทุเรียนมากเกินไป
  • แม่สาย คือ “ด่านใจกลางชุมชนการค้า” ที่โยงตลาดเมียนมาซึ่งยังต้องการสินค้าไทยหลายชนิด หากโครงสร้างความมั่นคงภายในเมียนมาดีขึ้น ด่านนี้พร้อมดีดตัวได้ทันที เพราะมีฐานผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้มแข็งและคุ้นชินการค้าชายแดนมาอย่างยาวนาน
  • เชียงแสน เป็น “ท่าเชื่อมแม่น้ำโขง” ที่มีศักยภาพเติบโตในสินค้าก่อสร้าง เครื่องจักร และเกษตรสด การปรับปรุงท่าขนส่งและระบบตรวจปล่อยสินค้าให้ง่าย–เร็ว–โปร่งใส จะยิ่งเพิ่มบทบาทของด่านทางน้ำในห่วงโซ่ไทย–ลาว–จีน

สามด่าน สามจังหวะ แต่มี หนึ่งเป้าหมายร่วม—ทำให้เชียงรายเป็น “โหนด” การค้าที่แข่งขันได้ในลุ่มน้ำโขงและเชื่อมตรงสู่จีนได้อย่างยั่งยืน

จาก “ฤดูกาล” สู่ “ความยั่งยืน”

ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 ของเชียงรายให้บทเรียนสำคัญว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็ว” และ “เสถียรภาพระยะยาว” ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน การวิ่งแรงด้วยทุเรียนทำให้มูลค่าการค้าพุ่ง แต่การหดตัวทันทีที่หมดฤดูทำให้เห็นหลุมลึกในโครงสร้าง การค้าชายแดนกับเมียนมาที่ซบเซาเพราะปัจจัยนอกอำนาจควบคุม ยิ่งตอกย้ำว่าจังหวัดจำเป็นต้อง กระจายความเสี่ยงทั้งสินค้า เส้นทาง และตลาด

การอัดฉีดงบโครงสร้างพื้นฐาน 363.62 ล้านบาท ของภาครัฐ เป็นก้าวแรกที่ถูกทิศ—ซ่อม “รางวิ่ง” ของเศรษฐกิจชายแดนให้พร้อม—แต่ก้าวต่อไปที่ต้องทำควบคู่คือ แพ็กเกจเสริมสภาพคล่อง ให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และ SME, ยกระดับมาตรฐาน–กฎระเบียบ ให้สอดรับข้อกำหนดจีน, และ เร่งเครื่องการทูตชายแดน เพื่อลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี

หากทำได้ เชียงรายจะไม่ใช่แค่ประตูผ่านฤดูกาลผลไม้ แต่จะกลายเป็น จุดตั้งหลักเศรษฐกิจข้ามแดน ที่ยืดหยุ่น ทนทาน และเติบโตบนฐานอุตสาหกรรม–เกษตรแปรรูปที่หลากหลายกว่าเดิม

สรุปสถิติโดยย่อ (ม.ค.–มิ.ย. 2568)

  • มูลค่าการค้ารวมจังหวัดเชียงราย: 54,258.61 ล้านบาท
  • โครงสร้าง: การค้าผ่านแดน 38,438.22 ล้านบาท (70.84%) / การค้าชายแดน 15,820.39 ล้านบาท (29.16%)
  • มูลค่าตามด่าน:
    • เชียงของ 39,871.95 (ส่งออก 32,299.41 / นำเข้า 7,572.54) ล้านบาท
    • แม่สาย 6,330.12 (ส่งออก 5,496.64 / นำเข้า 833.48) ล้านบาท
    • เชียงแสน 8,056.52 (ส่งออก 6,896.43 / นำเข้า 1,160.10) ล้านบาท
  • สินค้าหลักส่งออกผ่านเชียงของ: ทุเรียนสด (สัดส่วน ~96.88% ของหมวดผลไม้สด)
  • เหตุการณ์เด่น: เดือนมิถุนายน มูลค่าส่งออกลด 4,556.17 ล้านบาท จากการสิ้นสุดฤดูทุเรียน
  • แนวโน้มเดือนกรกฎาคม: การค้าผ่านแดน +32.5%, การค้าชายแดน -20%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถิติการค้าจริงของจังหวัดเชียงราย ครึ่งปีแรก 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) จำแนกตามด่านแม่สาย–เชียงของ–เชียงแสน, โครงสร้างส่งออก/นำเข้า, รายการสินค้า, และสัญญาณเดือนกรกฎาคม 2568
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กรมศุลกากร
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี/สำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ค้าชายแดนดิ่ง! แต่ส่งออกผ่านแดนฟื้นตัวแรงดันยอดรวมเกินดุลการค้า

 “เส้นเลือดหน้าด่าน” สะดุด ส่งออกชายแดนไทยหดรอบ 7 เดือน ขณะ “การค้าผ่านแดน” แรงไม่หยุด รัฐถูกจี้ปลดล็อกการเมืองชายแดน–กระจายความเสี่ยงสินค้า

กรุงเทพฯ, 29 สิงหาคม 2568 — รถบรรทุกคันยาวจอดรอคิวแน่นหน้าด่านในหลายจังหวัดชายแดน ภาพที่คุ้นตาของผู้ประกอบการท้องถิ่นกลับแฝงความกังวลมากกว่าความคึกคัก เพราะ “ยอดส่งออกชายแดน” ที่เคยเป็นเสาหลักเศรษฐกิจชุมชน กำลังอ่อนแรงสวนทางกับ “การค้าผ่านแดน” ที่ทะยานขึ้นแรง เมื่อผนวกกับความตึงเครียดทางการเมืองชายแดนที่ยังไม่นิ่ง ทำให้ครึ่งหลังปี 2568 เป็นช่วงชี้ชะตาของเศรษฐกิจชายแดนไทยโดยแท้

ข้อมูลล่าสุดที่หน่วยงานรัฐเปิดเผยสะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจนแม้มูลค่าการค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” เดือนกรกฎาคม 2568 จะยังขยายตัว 5% แต่วงเล็บสำคัญคือ หากตัด “ผ่านแดน” ออก แล้วดูเฉพาะ “ชายแดน” จะเห็นการหดตัวแรงทั้งรายเดือนและสะสม 7 เดือน โดยมีปัจจัยชี้นำหลักจากทิศกัมพูชา ขณะที่ “ผ่านแดนสู่จีน” กลับแข็งแกร่ง ผลักโดยความต้องการสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะ “ทุเรียนสด” ที่ยังครองใจผู้บริโภคแดนมังกร (ตัวเลขตามที่สื่อเศรษฐกิจอ้างจากกรมการค้าต่างประเทศดูได้ในแหล่งอ้างอิง)

โครงเรื่องของวิกฤต เมื่อ “ด่านชายแดน” สะดุด แต่ “ทางผ่านแดน” กลับเร่งเครื่อง

1) การค้าชายแดนหดตัวหนัก
เดือนกรกฎาคม 2568 มูลค่าการค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 66,220 ล้านบาท ลดลง 20% โดยฝั่งส่งออกหดถึง 29.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ยอดสะสม 7 เดือนแรก การค้าชายแดนรวมอยู่ที่ 572,241 ล้านบาท ติดลบ 0.8% ฝั่งส่งออกติดลบ 3.5% สัญญาณที่กดดันผู้ประกอบการรายย่อยตามเมืองด่านอย่างปฏิเสธไม่ได้

ปัจจัยฉุดหลัก: ด้านกัมพูชา
รายงานเดียวกันระบุว่า ความไม่สงบและข้อพิพาทหน้าด่านทำให้ จุดผ่านแดนกัมพูชาถูกปิดถึง 18 แห่ง ส่งผลให้ มูลค่าการค้ากับกัมพูชาในเดือนกรกฎาคมร่วงเกือบ 100% เหลือราว 376 ล้านบาท หรือแทบชะงักงัน ข้อมูลนี้ชี้ว่าการเมืองชายแดนแปรเปลี่ยนเป็นต้นทุนธุรกิจโดยตรงรถบรรทุกที่เคยวิ่งเป็นพาหนะรายได้กลายเป็น “สินทรัพย์ว่างงาน” ในพริบตา

คู่ค้าอื่นก็เปราะบาง

  • มาเลเซีย: ส่งออกช่วง 7 เดือนแรก ลดลง 3.2% แม้ภาพรวมการค้ายังบวกเล็กน้อย
  • สปป.ลาว: ส่งออกช่วงเดียวกันหด 4%
  • เมียนมา: เดือนกรกฎาคมดีขึ้น แต่ยอด 7 เดือนแรก ฝั่งส่งออกแทบไม่ขยับ โตเพียง 0.1% สะท้อนการเติบโตที่เปราะบางท่ามกลางความผันผวนทางการเมืองและโลจิสติกส์ข้ามแดน

2) การค้าผ่านแดนแข็งแกร่งจีนคือตัวขับเคลื่อนสำคัญ
คนในแวดวงโลจิสติกส์พูดตรงกันว่า “ทางผ่านแดน” คือ จุดสว่างกลางพายุ เดือนกรกฎาคม 2568 การค้าผ่านแดนมีมูลค่า 99,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.5% ฝั่งส่งออกพุ่ง 55% ส่วนยอดสะสม 7 เดือนแรก โต 24.6% ฝั่งส่งออกโตเกือบ 30% โดยมี จีน เป็นแกนกลางมูลค่าผ่านแดนไปจีนในเดือนกรกฎาคมโต 44% ฝั่งส่งออกทะยาน 72.4% สินค้าวิ่งแรงที่สุดคือ ทุเรียนสด มูลค่า 22,949 ล้านบาท โต 135.6% ทำสถิติเด่นจนแทบกลบข่าวร้ายฝั่งชายแดนไปชั่วขณะ

เสียงจากตัวเลข อ่านเศรษฐกิจชายแดนผ่าน “ผู้คน”

เชียงราย เป็นหนึ่งในจังหวัดแนวหน้า ทั้งในบทบาท “ด่านเมียนมา–ท่าขี้เหล็ก/แม่สาย” และ “ประตูสู่จีนตอนบน” ผ่านโครงข่าย R3A–R3B ที่ต่อเชื่อมลาวและจีน จังหวะเศรษฐกิจของเมืองจึงขึ้นกับ “จราจรหน้าด่าน” อย่างยากหลีกเลี่ยง ตัวเลขที่สะท้อนการหดของ “การค้าชายแดน” จึงหมายถึงร้านอาหารที่ขายได้น้อยลง แคชโฟลว์ของผู้รับเหมาขนส่งตึงขึ้น สินเชื่อรถบรรทุกของผู้ประกอบการ SMEs ต้องยืดหยุ่นมากขึ้น และตลาดงานขนส่งที่รับแรงสั่นไหวโดยตรง

ขณะเดียวกัน การค้าผ่านแดน ที่ยังโตแรง กลับอุ้ม “ซัพพลายเชนผลไม้” ไว้ได้โดยเฉพาะฤดูกาลทุเรียนที่ยังเป็นพระเอกของปี อย่างไรก็ดี ความสำเร็จที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิดก็คือ ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง: ถ้าความต้องการจีนสะดุดจากภาวะเศรษฐกิจหรือมาตรการศุลกากรเข้มขึ้น โซ่รายได้ของชาวสวน–ล้ง–ขนส่ง–หน้าด่านจะสะดุดทั้งเส้น

ปมซ่อนเร้นในสถิติ การเมืองชายแดน–กฎระเบียบ–โครงสร้างพื้นฐาน

หนึ่ง, การเมืองชายแดนคือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
กรณีกัมพูชาที่ปิดจุดผ่านแดนจำนวนมากทำให้เห็นชัดว่า “ความมั่นคง” และ “การค้า” พันผูกกันแนบแน่นเพียงใด การลดทอนความตึงเครียด การสร้างกลไกเจรจาระดับพื้นที่ และการยกระดับศูนย์ประสานงานชายแดนให้แก้ปัญหาเชิงรุก จึงเป็น นโยบายเร่งด่วน ไม่ใช่ทางเลือก

สอง, กฎระเบียบหน้าด่านและมาตรฐานเอกสาร
ผู้ประกอบการร้องขอ “ความแน่นอน” มากกว่าทุกสิ่ง ทั้งเรื่องเวลาทำการด่าน มาตรฐานตรวจสอบสินค้า และช่องทางด่วนสำหรับสินค้าสด หากกฎระเบียบ คาดเดาไม่ได้ ต้นทุน “เวลารอ” จะลามเป็นต้นทุนสินค้าทั้งห่วงโซ่โดยทันที

สาม, โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อ
แม้ทางผ่านแดนไปจีนจะเติบโต แต่การเชื่อมต่อระหว่างด่าน–จุดพัก–คลังสินค้า–รางรถไฟ ยังเป็นโจทย์ที่ต้องอุดช่องโหว่ โดยเฉพาะจุดคอขวดที่ทำให้การเคลื่อนย้ายผลไม้สดต้องแข่งกับ “นาฬิกาความสด” ทุกนาทีที่เสียไปคือมูลค่าที่หายไป

พลิกเกมอย่างไร ข้อเสนอเชิงนโยบายที่ “ทำได้เลย” และ “ต้องทำต่อเนื่อง”

เร่งด่วน (0–3 เดือน)

  • เจรจาคลี่คลายจุดเสี่ยงกัมพูชา ตั้ง “โต๊ะทำงานร่วม” ระดับผู้ว่าฯ–ผู้ว่าฯ/ฝ่ายความมั่นคง และ ช่องทางสื่อสารฉุกเฉิน ระหว่างด่านคู่ขนานทุกคู่ เพื่อเปิด–ปิดด่านอย่างมีแผน ลดช็อกซัพพลาย (ตัวเลขเดือน ก.ค. ชี้ความเสียหายชัดเจน)
  • ยืดหยุ่นกฎหน้าด่านช่วงฤดูกาลผลไม้ ขยายเวลาทำการเป็นกรณี/เพิ่มช่องตรวจเฉพาะกิจ ลดเวลารอของตู้คอนเทนเนอร์เย็น
  • บรรเทาภาระต้นทุน SMEs ชายแดน ใช้เครื่องมือการเงินระยะสั้น (working capital/พักหนี้ที่ตรงจุด) ผูกกับหลักฐานคำสั่งซื้อจริง ลดการตัดตอนห่วงโซ่

ระยะกลาง (3–12 เดือน)

  • ยกระดับมาตรฐาน “ด่านบริการ” (Single Stop/Single Window) สำหรับสินค้าสด โดยทดสอบในด่านหลัก เช่น แม่สาย–เชียงของ–หนองคาย แล้วขยายผล
  • กระจายพอร์ตสินค้า ดัน “ผลไม้รอง/เกษตรแปรรูป–ของใช้จำเป็น–สินค้าเขียว” ไปตลาดจีนและ CLM ผ่านแพลตฟอร์มเจาะกลุ่ม (เช่น โอทอป–ฮาลาล–เวชสำอาง) ลดความเสี่ยงจาก “ทุเรียนตัวเดียว”
  • เชื่อมราง–ถนน–คลัง เร่งโครงการ “คลังเย็นใกล้ด่าน/ศูนย์รวบรวมผลไม้” และจุดเปลี่ยนถ่ายสู่ราง เพื่อให้สินค้าสดไปได้ไกล–เร็ว–คงคุณภาพ

ระยะยาว (มากกว่า 1 ปี)

  • ออกแบบความร่วมมือชายแดนแบบ “เศรษฐกิจเพื่อชุมชน” ให้รายได้จากหน้าด่านไหลย้อนกลับสู่พื้นที่ (กองทุนพัฒนาท้องถิ่น–ท่องเที่ยวเชิงโลจิสติกส์)
  • ยกเครื่องข้อมูลด่านแบบเรียลไทม์ เปิดแดชบอร์ดสาธารณะเรื่องปริมาณรถ–เวลารอ–สถานะด่าน เพื่อให้ผู้ประกอบการวางแผนและลดต้นทุนแบบเชิงระบบ

 

ด่านปิดวันเดียว เท่ากับเราขาดรายได้ทั้งสัปดาห์” ประโยคเรียบง่ายที่ผู้ประกอบการขนส่งรายหนึ่งเอ่ยกับผู้สื่อข่าวในภาคเหนือ สะท้อนความจริงที่ตัวเลขทางการยืนยัน—เดือนกรกฎาคมเดียว การค้ากับกัมพูชาดิ่งเกือบ 100% เหลือเพียง 376 ล้านบาท จากปกติที่คึกคักกว่านั้นหลายเท่า เมื่อรถไม่วิ่ง ร้านอะไหล่–ปั๊มน้ำมัน–ร้านข้าวตามสั่งในเมืองด่านก็ซบเซาตามกันไปเป็นลูกโซ่

ในอีกภาพหนึ่ง รถห้องเย็นเรียงยาวตามเส้นทางผ่านลาวไปจีน ผลผลิตทุเรียนจากตะวันออก–ใต้ไหลรวมขึ้นเหนือแข่งกับเวลา ฤดูกาลนี้ “ผลไม้ไทย” ยังทำคะแนนในตลาดจีนได้ดีจนยอดผ่านแดนพุ่ง ตัวเลขบอกชัด—ทุเรียนสดเพียงชนิดเดียวมีมูลค่าเกือบ 2.3 หมื่นล้านบาท ในเดือนเดียว โต สามหลัก แต่คำถามสำคัญคือ พึ่ง “พระเอก” ได้นานแค่ไหน หากวันหนึ่งรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยน หรือระเบียบสุขอนามัยปลายทางเข้มขึ้น

ถอดบทเรียนให้เชียงรายและจังหวัดชายแดน

สำหรับ เชียงราย เมืองยุทธศาสตร์ที่เชื่อมเมียนมา–ลาว–จีน การหดตัวของ “การค้าชายแดน” และความไม่แน่นอนที่ด่าน ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจ แต่คือความเป็นอยู่ของผู้คน—ตั้งแต่ชาวสวน–แรงงานขนถ่าย–คนขับรถ ไปจนถึงผู้ค้าในตลาดชายแดน ฝั่งหนึ่ง จังหวัดควรเร่งบทบาท “แม่งานประสานด่าน” สร้าง ศูนย์บัญชาการข้อมูล รวบรวมสถานะด่าน–คิวรถ–แนวโน้มสินค้าสด ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแบบเรียลไทม์ อีกฝั่งหนึ่ง ภาคเอกชนควรรวมกลุ่มต่อรองบริการโลจิสติกส์ (เช่น ค่าตู้เย็น/ค่ารอคิว) เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย และร่วมมือกับสถาบันการเงินในพื้นที่ออกแบบเงินทุนหมุนเวียนที่ ผูกกับข้อมูลการขนส่งจริง แทนการประเมินความเสี่ยงแบบเหมารวม

เปลี่ยน “จุดเสี่ยงชายแดน” เป็น “จุดแข็งภูมิภาค”

ตัวเลขกรกฎาคม–สะสม 7 เดือนแรกปี 2568 ให้ภาพสองด้าน—ด้านมืดคือการส่งออกชายแดนที่หดแรงโดยเฉพาะทิศกัมพูชา ด้านสว่างคือการค้าผ่านแดนที่ทะยานสู่จีนหนุนด้วยทุเรียนสด หากมองเชิงระบบ นี่ไม่ใช่ภาพที่ขัดแย้ง แต่เป็นสัญญาณเตือนให้ไทย จัดการความเสี่ยงชายแดน และ ยกระดับโครงสร้างผ่านแดน พร้อมกัน

โจทย์ของรัฐจึงไม่ใช่เพียง “อัดมาตรการระยะสั้น” แต่คือการ ทำให้ด่านคาดการณ์ได้–กฎระเบียบโปร่งใส–โลจิสติกส์ไร้คอขวด และที่สำคัญที่สุดคือ กระจายพอร์ตสินค้า ให้เศรษฐกิจหน้าด่านไม่ต้องฝากอนาคตไว้กับสินค้าไม่กี่ชนิดหรือความสัมพันธ์การเมืองชายแดนที่ผันผวน การทำให้ “ชายแดนไทย” เป็นทั้ง ประตูการค้า และ กันชนความเสี่ยง จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะพาเศรษฐกิจท้องถิ่น—ตั้งแต่เชียงรายถึงเบตง—ก้าวผ่านความไม่แน่นอนในช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนเร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ตัวเลขสำคัญ

  • การค้ารวม “ชายแดน+ผ่านแดน” ก.ค. 2568: 166,025 ล้านบาท (+5% YoY)
  • การค้าชายแดน ก.ค. 2568: 66,220 ล้านบาท (-20% YoY) / ส่งออก -29.5% | สะสม 7 เดือน: 572,241 ล้านบาท (-0.8%), ส่งออก -3.5%
  • กัมพูชา: ปิดจุดผ่านแดน 18 แห่ง / มูลค่าก.ค. เหลือราว 376 ล้านบาท (เกือบ -100%)
  • การค้าผ่านแดน ก.ค. 2568: 99,805 ล้านบาท (+32.5%) / ส่งออก +55% | สะสม 7 เดือน: +24.6%, ส่งออกเกือบ +30%
  • จีน (ผ่านแดน): ก.ค. 2568 การค้ารวม +44% / ส่งออก +72.4% | ทุเรียนสด ก.ค. 22,949 ล้านบาท (+135.6%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมการค้าต่างประเทศ (กระทรวงพาณิชย์)
  • ชายแดน–ผ่านแดน’ ก.ค. 68 / กัมพูชาดิ่ง ทุเรียนสดพาจีนพุ่ง” (เผยแพร่ 26 ส.ค. 2568).
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยพุ่ง 4% ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

การค้าชายแดนและผ่านแดนเดือนพฤศจิกายน 2567 ขยายตัว 4% ไทยดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2567 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในเดือนพฤศจิกายน 2567 พบว่ามีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 150,203 ล้านบาท ขยายตัว 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการส่งออก 85,676 ล้านบาท (+15.3%) และการนำเข้า 64,527 ล้านบาท (-8.0%) ทำให้ไทยได้ดุลการค้า 21,149 ล้านบาท

ตัวเลขการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน 11 เดือนแรกปี 2567

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 1,665,295 ล้านบาท (+6.0%) แบ่งเป็นการส่งออก 957,945 ล้านบาท (+6.5%) และการนำเข้า 707,350 ล้านบาท (+5.4%) ส่งผลให้ไทยได้ดุลการค้ารวมทั้งสิ้น 250,596 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ

ในเดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่ารวม 82,439 ล้านบาท (+4.6%) โดยไทยได้ดุลการค้า 20,974 ล้านบาท รายละเอียดดังนี้:

  • มาเลเซีย: มูลค่า 25,395 ล้านบาท (+2.8%)
  • ลาว: มูลค่า 23,865 ล้านบาท (+1.3%)
  • เมียนมา: มูลค่า 18,286 ล้านบาท (+1.9%)
  • กัมพูชา: มูลค่า 14,893 ล้านบาท (+18.1%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล (3,479 ล้านบาท) น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ (1,597 ล้านบาท) และน้ำยางข้น (1,320 ล้านบาท)

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม

เดือนพฤศจิกายน 2567 การค้าผ่านแดนมีมูลค่ารวม 67,764 ล้านบาท (+3.2%) โดยไทยได้ดุลการค้า 174 ล้านบาท รายละเอียดการส่งออกสำคัญ:

  • จีน: มูลค่าสูงสุด 37,264 ล้านบาท (+9.0%)
  • สิงคโปร์: มูลค่า 8,859 ล้านบาท (+2.7%)
  • เวียดนาม: มูลค่า 5,867 ล้านบาท (+19.3%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (7,497 ล้านบาท) ผลิตภัณฑ์ยาง (3,006 ล้านบาท) และยางแท่ง TSNR (2,344 ล้านบาท)

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมา

การส่งออกชายแดนไทย – เมียนมาในเดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่า 11,402 ล้านบาท (+6.5%) แม้ว่าการขนส่งในพื้นที่ด่านแม่สอด จังหวัดตาก จะหยุดชะงักเนื่องจากสถานการณ์การสู้รบ แต่มีการเปลี่ยนเส้นทางไปใช้ด่านอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น:

  • ด่านระนอง: มูลค่าการส่งออก 2,257 ล้านบาท (+131.0%)
  • ด่านแม่สาย: มูลค่าการส่งออก 1,496 ล้านบาท (+13.0%)
  • ด่านสังขละบุรี: มูลค่าการส่งออก 708 ล้านบาท (+714.5%)

สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ เครื่องดื่ม และกระเบื้องปูพื้น

แผนการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนปี 2568

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเผยว่าในปี 2568 กรมการค้าต่างประเทศมีแผนเชิงรุกเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากและกระตุ้นการค้าชายแดน โดยจะจัดกิจกรรมภายใต้โครงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในพื้นที่แนวชายแดน เริ่มจากงาน “พาณิชย์นำทัพสินค้าชุมชน” ที่จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-26 มกราคม 2568 และกิจกรรมต่อเนื่องในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ

เป้าหมายของแผนพัฒนา

  • กระจายการลงทุนและกิจกรรมเศรษฐกิจไปยังแนวชายแดน
  • เพิ่มโอกาสการค้าสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย
  • ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนยังคงเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย โดยมีการส่งเสริมการเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาค และผลักดันให้เกิดความร่วมมือที่ยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

การค้าชายแดนไทยขยายตัวต่อเนื่อง 1.4 แสนล้าน ตอบโจทย์ส่งออก

การค้าชายแดนและผ่านแดนขยายตัวต่อเนื่อง ยางพาราไทยทำยอดส่งออกสูง แม้อุปสรรคจากอุทกภัย

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 นายนพดล คันธมาศ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยข้อมูลการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนของไทยในเดือนกันยายน 2567 พบว่ามีมูลค่ารวม 148,535 ล้านบาท ขยายตัว 1.7% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา โดยมีการส่งออกมูลค่า 85,540 ล้านบาท หดตัว 2.3% และนำเข้า 62,995 ล้านบาท ขยายตัว 7.7% ทั้งนี้ ไทยได้ดุลการค้า 22,545 ล้านบาท นับเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางที่ยังเติบโตได้ดี

สรุปการค้า 9 เดือนแรกของปี 2567


ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้ารวมของการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนทั้งสิ้น 1,373,906 ล้านบาท ขยายตัว 6.5% โดยมีการส่งออกมูลค่า 794,999 ล้านบาท ขยายตัว 5.2% และการนำเข้ามูลค่า 578,907 ล้านบาท ขยายตัว 8.3% ไทยได้ดุลการค้ารวม 216,091 ล้านบาท

การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้าน


สำหรับการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เมียนมา ลาว และกัมพูชา เดือนกันยายน 2567 มีมูลค่ารวม 77,144 ล้านบาท ขยายตัว 1.9% โดยมีการส่งออก 46,555 ล้านบาท หดตัว 3.3% และการนำเข้า 30,589 ล้านบาท ขยายตัว 10.9% ซึ่งไทยได้ดุลการค้า 15,965 ล้านบาท สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 2,296 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 1,469 ล้านบาท และแผงวงจรไฟฟ้า 1,317 ล้านบาท

การค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม


มูลค่าการค้าผ่านแดนในเดือนกันยายน 2567 รวม 71,391 ล้านบาท ขยายตัว 1.6% โดยการส่งออก 38,985 ล้านบาท หดตัว 1% และการนำเข้า 32,405 ล้านบาท ขยายตัว 4.9% การค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 39,215 ล้านบาท หดตัว 5.5% รองลงมาคือ สิงคโปร์ 9,192 ล้านบาท ขยายตัว 0.6% และเวียดนาม 5,851 ล้านบาท หดตัว 6.2% สินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ 10,551 ล้านบาท ทุเรียนสด 7,387 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 3,529 ล้านบาท

ผลกระทบจากอุทกภัยในลาว


ทั้งนี้ นายนพดลระบุว่าสถานการณ์อุทกภัยใน สปป.ลาว จาก “พายุไต้ฝุ่นยางิ” ทำให้ถนนทางไปด่านโมฮานชายแดนลาว-จีนถูกตัดขาด ส่งผลให้การส่งออกชายแดนไปลาวและจีนลดลง โดยเฉพาะสินค้าผลไม้สดอย่างมังคุดและทุเรียน ผู้ประกอบการบางรายจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปใช้เส้นทางอื่น เช่น รถไฟ เรือ หรือด่านโหย่วอี้กวนทางด้านจังหวัดนครพนมแทน เพื่อให้สินค้าถึงจุดหมายปลายทางตามเวลา

การส่งเสริมและสนับสนุนการค้าชายแดน


กรมการค้าต่างประเทศยังคงเดินหน้าสนับสนุนและอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อแก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมผลักดันให้การค้าชายแดนและผ่านแดนเติบโตอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการค้าต่างประเทศ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News