Categories
NEWS UPDATE

ยอดใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” วันแรก 1.9 พันล้าน! รัฐย้ำห้ามทอนเงินสด-ซื้อสินค้าต้องห้ามเด็ดขาด

รัฐบาลย้ำกฎ “คนละครึ่งพลัส” หลังยอดใช้สิทธิวันแรก 1.9 พันล้าน—ตำรวจสอบสวนกลางเปิดปฏิบัติการ “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” จับ 3 ผู้ต้องหา ระดมแพลตฟอร์มออนไลน์สกัดโกง–ขึ้นราคา เอื้อผู้บริโภคและร้านรายย่อย

กรุงเทพฯ/เชียงราย, 30 ตุลาคม 2568 — เริ่มใช้สิทธิ 29 ต.ค. 2568 เงินสะพัดเกือบ 2,000 ล้านบาท หมวด “ร้านธงฟ้า–อาหาร/เครื่องดื่ม” นำโด่ง ขณะที่รัฐบาลเตือนเข้ม “ห้ามซื้อสินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเงินสด” ลุยกวาดล้างโพสต์ชวนแลกเงินสดบนโซเชียล เพิ่มคู่สาย 1166 รับร้องเรียน และผนึก 5 แพลตฟอร์มปิดช่องเอาเปรียบผู้บริโภค ด้านพาณิชย์ฯ เชียงรายลงพื้นที่ตรวจป้ายราคา–กำกับการเข้าร่วมโครงการ

เพียงหนึ่งวันหลังโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิ (29 ต.ค. 2568) กระทรวง–หน่วยงานกำกับ–ฝ่ายความมั่นคงทางเศรษฐกิจขยับพร้อมกันทั้ง “เร่งเครื่องเศรษฐกิจฐานราก” และ “ล็อกกติกาป้องกันการบิดเบือน” โดยยอดใช้จ่ายวันแรกพุ่งแตะ 1,900 ล้านบาท นำโดยหมวดร้านธงฟ้าและอาหาร/เครื่องดื่ม ทว่าในอีกด้าน หน่วยงานรัฐต้องเร่ง “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” บนโซเชียลมีเดีย จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ในหลายจังหวัด พร้อมย้ำบทลงโทษ “ฉ้อโกง” และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกัน รัฐบาลดึง Shopee, Lazada, TikTok Shop, Grab และ LINE MAN ร่วมสกัดพฤติกรรมฉวยโอกาสขึ้นราคา–ทอนเงินสด–จำหน่ายสินค้าต้องห้าม เสริมกลไกคุ้มครองผู้บริโภคผ่านสายด่วน สคบ. 1166 ที่เพิ่มอีก 10 คู่สาย

ภาพรวมการใช้สิทธิ เงินสะพัด–หมวดอุปโภคบริโภคมาแรง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” วันแรก (29 ต.ค. 2568) ว่า มียอดจับจ่ายรวม 1,900 ล้านบาท โดยแบ่งตามประเภทร้านค้า ดังนี้

  1. ร้านธงฟ้า 709 ล้านบาท
  2. ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 697 ล้านบาท
  3. ร้านทั่วไปและอื่น ๆ 474 ล้านบาท
  4. ร้านค้าบริการ 10 ล้านบาท
  5. ร้านโอทอป 8 ล้านบาท
  6. กิจการขนส่งมวลชนสาธารณะ 3 ล้านบาท

สำหรับจังหวัด/พื้นที่ที่มีการใช้สิทธิสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, สมุทรปราการ, ปทุมธานี, นนทบุรี, สงขลา, นครศรีธรรมราช, เชียงใหม่ และขอนแก่น สะท้อนลักษณะเศรษฐกิจเมืองใหญ่/ปริมณฑลและหัวเมืองภูมิภาคที่มีฐานการบริโภคเข้มข้น

รัฐบาลยังเชิญชวนร้านค้า–ผู้ประกอบการที่ยังไม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยยืนยันว่า จะไม่มีการส่งข้อมูลยอดขายให้กรมสรรพากร” พร้อมสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยลงพื้นที่อำนวยความสะดวกการลงทะเบียน/ยืนยันตัวตน เพื่อขยายฐานร้านค้าให้รองรับความต้องการของประชาชนได้ทั่วถึง

ข้อกำหนดสำคัญ สินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเป็นเงินสด

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำ “วัตถุประสงค์หลัก” ของโครงการคือ บรรเทาภาระค่าครองชีพ ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ผ่านการช่วยซื้อ สินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น–เพื่อการศึกษา–วัตถุดิบเกษตร จาก “ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น” และร้านอื่นตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 29 ต.ค.–31 ธ.ค. 2568

เพื่อป้องกันการเบี่ยงเบน วางเงื่อนไข “สินค้าต้องห้าม” ไว้อย่างชัดเจน ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด, ผลิตภัณฑ์ยาสูบ, บัตรกำนัล (Gift Voucher), บัตรเงินสด รวมถึงการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า นอกจากนี้ ห้ามผู้ประกอบการรับหรือเรียกรับ–ทอนเป็นเงินสด หรือให้ประโยชน์รูปแบบอื่นจากการขายอาหาร/เครื่องดื่มผ่านบริการ Food Delivery ไม่ว่ากรณีใด เพื่อ “ตัดวงจร” การแปลงสิทธิเป็นเงินสดโดยไม่เกิดการซื้อขายสินค้าจริง

ปฏิบัติการ “ปิดเกม รับ–แลก–ลวง” เอาผิด 3 ผู้ต้องหา–อายัดของกลาง

วันที่ 29 ต.ค. 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ประสาน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ในหลายพื้นที่ ได้แก่ สมุทรปราการ–อุดรธานี–นครสวรรค์ ในความผิดเกี่ยวกับการ นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ/บิดเบือน อันน่าจะก่อผลเสียหายต่อสาธารณะ และพฤติการณ์ ชักชวนแลกเงินสดแทนการใช้สิทธิ ผ่าน Facebook ซึ่งเข้าข่าย “ฉ้อโกง” และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสามารถแปลงวงเงินโครงการเป็นเงินสดได้โดยไม่ซื้อสินค้า

ผลการตรวจค้น ยึดโน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ เอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหลักฐานการติดตั้งแอป “เป๋าตัง” และการติดต่อช่องทางต่าง ๆ ส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. ดำเนินคดี โดยปฏิบัติการอยู่ภายใต้การอำนวยการของผู้บังคับบัญชาตำรวจสอบสวนกลางและผู้บริหาร สศค.

บทลงโทษ การกระทำลักษณะ รับ–แลก–ลวง” ตามที่รัฐบาลเตือน มีความผิดฐาน ฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้กระทำผิดจะถูก ระงับสิทธิ เข้าร่วมโครงการรัฐอื่น พร้อม เรียกคืนเงิน ที่รัฐเสียหาย เพิ่มเติมจากความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีเผยแพร่ข้อมูลเท็จ/บิดเบือนบนสื่อออนไลน์

มาตรการ “Quick Big Win” ผนึกแพลตฟอร์มออนไลน์–อาวุธ AI–เพิ่มคู่สายร้องเรียน

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 30 ต.ค. 2568 นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อม นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ประชุมร่วม 5 แพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำ (Shopee, Lazada, TikTok Shop, Grab, LINE MAN) โฟกัส 2 วาระ

  1. ปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าและสินค้าผิดกฎหมาย บนแพลตฟอร์ม โดยนำ AI ตรวจจับ/ระงับบัญชีผู้ขายทันทีเมื่อพบฝ่าฝืน และแจ้งเงื่อนไขสินค้าควบคุมให้ร้านค้าทราบชัดเจน
  2. คุ้มครองผู้บริโภคภายใต้ “คนละครึ่งพลัส” ด้วย 3 มาตรการหลัก
    • ปิดระบบแก้ไขเมนู ของร้านค้าเมื่อพบความผิดปกติด้านราคา/รายการสินค้า เพื่อป้องกัน “อัพราคา–ซ่อนราคา”
    • มอบโค้ดส่วนลดอาหาร ให้ผู้บริโภค สนับสนุนการใช้สิทธิอย่างเป็นธรรม
    • ลดค่าธรรมเนียมให้ร้านค้า ที่เข้าร่วมโครงการ ช่วยบรรเทาภาระผู้ประกอบการรายย่อย

เพื่อเสริมการคุ้มครองผู้บริโภค สคบ. เพิ่มคู่สาย 1166 อีก 10 คู่สาย รองรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการ และเปิดช่องร้องเรียนออนไลน์ของ สคบ. ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสได้สะดวกขึ้น

ภาคสนามจังหวัด พาณิชย์ฯ เชียงรายเช็กป้ายราคา–กำกับร่วมโครงการ

ในระดับจังหวัด สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย (30 ต.ค. 2568) มอบหมายทีมลงพื้นที่ งาน Chiang Rai Premium Market และ Street Food Festival หน้าด่านพรมแดนไทย–เมียนมา อ.แม่สาย เพื่อตรวจการปิดป้ายแสดงราคาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และ ประกาศ กกร. ฉบับที่ 68 พ.ศ. 2568 ผลการตรวจพบว่าผู้ประกอบการ ปิดป้ายราคาอย่างชัดเจน และ ร้านค้าส่วนใหญ่เข้าร่วม “คนละครึ่งพลัส” ทำให้บรรยากาศการซื้อขายคึกคัก ช่วยลดค่าครองชีพได้จริง พร้อมเปิดช่องร้องเรียน สายด่วน 1569 (กรมการค้าภายใน) และเบอร์ติดต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัด เพื่อจัดการข้อพิพาท/เอาเปรียบผู้บริโภค

มุมนี้สะท้อน “มือหน้าด่าน” ของภาครัฐในจังหวัดชายแดนที่มีพลวัตการค้า–ท่องเที่ยวสูง การกำกับป้ายราคาช่วย ป้องกันการอัพราคาโดยไม่ชอบ และทำให้ผู้ใช้สิทธิรับรู้ “ราคาจริง–สิทธิจริง” ก่อนกดจ่าย

ผลกระทบและประเด็นท้าทาย ระหว่าง “เร่งเครื่องใช้จ่าย” กับ “ล็อกกติกา”

โครงการเริ่มต้นด้วยแรงซื้อที่ชัดเจน (1,900 ล้านบาทวันแรก) โดยหมวดที่ตอบโจทย์ค่าครองชีพเด่นชัด เช่น ร้านธงฟ้า–อาหาร/เครื่องดื่ม ชี้ว่ามาตรการ ช่วยลดภาระครัวเรือนรายย่อย และ เพิ่มสภาพคล่องให้ร้านเล็ก–รายย่อย ในระยะสั้น อย่างไรก็ดี การกระจายตัวระดับพื้นที่สะท้อน “ความพร้อมโครงสร้างร้านค้า–แพลตฟอร์ม–การยืนยันตัวตน” เมืองใหญ่มีความพร้อมสูงกว่า จำเป็นต้องเร่ง ขยายฐานร้าน ในอำเภอ/ตำบล เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิได้เท่าเทียม

ฟากธรรมาภิบาล ต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” กับวงจร แปลงสิทธิเป็นเงินสด และ รายการเทียม ซึ่งบิดเบือนวัตถุประสงค์ จุดแข็งของรัฐในรอบนี้คือการทำงานเชิงรุก CIB–สศค. ที่บูรณาการข่าวกรองออนไลน์–ลงมือจับกุมรวดเร็ว และการประสาน สคบ.–แพลตฟอร์ม เพื่อปิดช่องกลไก “อัพราคา/ปั่นราคา” ได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความต่อเนื่องและความเร็วของการตอบสนองยังเป็น “ตัวชี้ผลลัพธ์” ที่ต้องจับตา เพราะพฤติกรรมเลี่ยงกฎจะพลิกแพลงตามมาตรการเสมอ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค–ร้านรายย่อย การ เพิ่มคู่สาย 1166 และ “ลดค่าธรรมเนียม/โค้ดส่วนลด” ช่วยสร้างแรงจูงใจ สองข้างทาง คือ ทำให้ผู้บริโภคอยากใช้สิทธิ และทำให้ร้านรายย่อย “ยอมรับ–พร้อมเข้าร่วม” มากขึ้น ขณะเดียวกัน “การสื่อสาร” ต้องย้ำเงื่อนไข สินค้าต้องห้าม–ห้ามทอนเงินสด อย่างเข้าใจง่ายในทุกช่องทาง รวมทั้งทำ FAQ–Infographic เพื่อลดความสับสน ณ จุดขาย/แอป

สี่ มาตรการระดับจังหวัดอย่าง พาณิชย์ฯ เชียงราย เป็นต้นแบบที่ชัดเจนของ “กำกับเชิงบวก” คือ ไม่ใช่เพียงตรวจ–ลงโทษ แต่ อำนวยความสะดวก–ปรับความเข้าใจ–ชี้ช่องทางร้องเรียน ทำให้ผู้ประกอบการ “เล่นตามกติกา” และประชาชน “มั่นใจใช้สิทธิ” ในพื้นที่กิจกรรมคึกคัก เช่น งานเทศกาล–แนวชายแดน

ข้อเสนอเชิงระบบและตัวชี้วัดที่ควรติดตาม

  1. แดชบอร์ดสาธารณะรายวัน: แสดงยอดการใช้สิทธิแยกจังหวัด/หมวด/ร้านธงฟ้า–ร้านอาหาร–ร้านทั่วไป เพื่อติดตามประสิทธิผลด้านเศรษฐกิจฐานรากแบบโปร่งใส
  2. อัตราความผิดปกติ: รายงานจำนวนกรณีต้องสงสัย–เวลาตอบสนอง–ผลลัพธ์การระงับสิทธิ/ดำเนินคดี เพื่อ “กดพฤติกรรมเลี่ยงกฎ” ด้วยความแน่นอนของบทลงโทษ
  3. ดัชนีความพึงพอใจผู้บริโภค–ร้านค้า: วัดประสบการณ์ใช้สิทธิ/ขั้นตอนยืนยันตัวตน/ต้นทุนธุรกรรม ช่วยชี้เป้าการปรับปรุงแอป–ระบบหน้างาน
  4. การกระจายตัวเชิงพื้นที่: ติดตามจำนวนร้านเข้าร่วมต่อประชากร/อำเภอ เพื่อสั่งการ “ปูพรมลงพื้นที่” โดย มท.–พณ.–อปท. ในจังหวัดที่เข้าถึงสิทธิต่ำ
  5. ระบบเตือนภัยราคา: ประสานข้อมูล สคบ.–พาณิชย์จังหวัด–แพลตฟอร์ม ตั้ง threshold ตรวจขึ้นราคาผิดปกติแบบ near real-time โดยเฉพาะหมวดอาหารยอดนิยม

เสียงจากฝ่ายนโยบาย

  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี (ผ่านโฆษกรัฐบาล) เชิญชวนร้านค้าเข้าร่วมโครงการ พร้อมย้ำว่า ไม่มีการส่งข้อมูลยอดขายให้กรมสรรพากร และสั่งการ กระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่อำนวยความสะดวกการลงทะเบียน–ยืนยันตัวตน
  • นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุผลการหารือแพลตฟอร์มว่า หากพบพฤติกรรมผิดปกติจะ ปิดระบบตรวจสอบทันที พร้อม เพิ่มคู่สาย 1166 และใช้ AI ตรวจจับสินค้าผิดกฎหมาย อาทิ บุหรี่ไฟฟ้า
  • นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเจตนารมณ์โครงการเพื่อ บรรเทาค่าครองชีพ และทบทวนข้อห้าม สลากฯ–แอลกอฮอล์–ยาสูบ–บัตรกำนัล/เงินสด–จ่ายล่วงหน้า–ทอนเงินสด อย่างเคร่งครัด

วันแรกของ “คนละครึ่งพลัส” สะท้อน แรงซื้อจริง ของครัวเรือนและร้านรายย่อย ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอ จุดแข็งของรอบนี้คือ “นโยบายเศรษฐกิจ–กติกาคุ้มครอง–การบังคับใช้กฎหมาย–ความร่วมมือแพลตฟอร์ม” ที่ขยับพร้อมกัน ทำให้ภาพรวม “เดินหน้า–ปิดช่อง” ไปพร้อมกัน อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนของประสิทธิผลยังขึ้นกับ ความต่อเนื่องในการสกัดโกง–ความรวดเร็วในการตอบสนอง–และการกระจายโอกาสเข้าถึงสิทธิในทุกพื้นที่ หากทำได้ครบ โครงการจะไม่เพียง ช่วยค่าครองชีพ แต่ยัง คืนความเชื่อมั่น ว่ามาตรการรัฐสามารถ เข้าถึง–เป็นธรรม–ตรวจสอบได้ โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)
  • กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
  • คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS LIFESTYLE

อินฟลูเอนเซอร์ไทยต้องรับผิด! บทบาทเปลี่ยนสู่ “ผู้โฆษณา” ความรับผิดทางกฎหมายทวีคูณ

เปิดโปงเงื่อนงำโลกอินฟลูเอนเซอร์ไทย: เมื่อบทบาทเปลี่ยนสู่ “ผู้โฆษณา” ความรับผิดทางกฎหมายจึงทวีคูณ และผู้บริโภคต้องรับมืออย่างไร

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 ในยุคดิจิทัลที่ “อินฟลูเอนเซอร์” หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2567-2568 ได้เผยให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผู้เสียหายจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันใช้ช่องทางกฎหมายอย่างจริงจัง สะท้อนภาพว่าอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียง “ผู้มีอิทธิพล” อีกต่อไป แต่ได้รับการปฏิบัติในฐานะ “ผู้โฆษณา” หรือ “ผู้จำหน่าย” ซึ่งต้องเผชิญกับความรับผิดทางกฎหมายที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้จะเจาะลึกถึงการเติบโตของอุตสาหกรรม, ปัญหา “รีวิวไม่ตรงปก” ที่สร้างความเสียหายแก่ผู้บริโภค, ความเสี่ยงทางกฎหมายที่อินฟลูเอนเซอร์ต้องเผชิญ, และข้อเสนอแนะในการสร้างมาตรฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของวงการนี้

เบื้องหลังตัวเลขการเติบโตของอาณาจักรอินฟลูเอนเซอร์ไทยมูลค่าหลายหมื่นล้าน

อุตสาหกรรมคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก Tellscore (เทลล์สกอร์) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ระบุว่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไทยมีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 25-30% ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ประเทศไทยมีคอนเทนต์ครีเอเตอร์จำนวนมากถึง 9,000,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 12.86% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด และในจำนวนนี้ มีถึง 2 ล้านคนที่เป็นครีเอเตอร์แบบ “ฟูลไทม์” หรือทำอาชีพนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั่วโลกที่มีประมาณ 200 ล้านคน หรือ 3% ของประชากรโลก

นางสาวสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore ได้กล่าวถึงภาพรวมตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในประเทศไทยในปีนี้ว่า แม้เศรษฐกิจไทยโดยรวมอาจไม่สดใส แต่ภาคเอกชนไทยยังคงรุกทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทุ่มงบการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์มากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มเพื่อสุขภาพและความงาม (Health & Beauty), กลุ่มไลฟ์สไตล์ (Lifestyle), และกลุ่มการเงินและซุปเปอร์แอปฯ (Finance & Superapps) ในทางกลับกัน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์กลับชะลอการใช้งบประมาณลงตามภาพรวมตลาดที่หดตัว การขยายตัวนี้ทำให้บทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ไม่จำกัดอยู่เพียงการสร้างความบันเทิงหรือให้ความรู้ แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้กำหนดแนวคิดและพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยตรง

เปิดตัวเลขคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย พุง 9 ล้านคน - เจาะลึกคอนเทนต์ไหน “รุ่งปังๆ -ร่วง หลุดกระแสแล้ว”

ฝันร้ายวันเกิด: เมื่อ “รีวิว” ไม่ใช่แค่ความเห็น แต่คือ “โฆษณา” ที่ไม่ตรงปก

ภายใต้ความเจิดจรัสของตัวเลขทางเศรษฐกิจ ปัญหาด้านจริยธรรมและความโปร่งใสกลับเป็น “ภัยเงียบ” ที่กำลังคุกคามผู้บริโภค กรณีที่ผู้ใช้โซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์เรื่องราวในกลุ่ม “พวกเราคือผู้บริโภค” ที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เกี่ยวกับประสบการณ์การเข้าพัก “รีสอร์ทไม่ตรงปก” ที่รีสอร์ทชื่อดังแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในวงการนี้ ผู้เสียหายรายนี้ตั้งใจจองที่พักเพื่อฉลองวันเกิดผ่านแอปพลิเคชันจองออนไลน์ โดยมีภาพที่พักที่สวยงามน่าดึงดูดใจ แต่เมื่อไปถึงสถานที่จริงกลับพบว่าบรรยากาศโดยรอบเป็นเหมือน “ที่รกร้าง” เต็มไปด้วยขยะ และสภาพที่พักก็ทรุดโทรมอย่างหนัก

เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นเพียงกรณีเดียว แต่ยังมีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคคนอื่น ๆ ที่เคยมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการติดตามรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์ สายกินสายรีวิวชื่อดังที่มีผู้ติดตามหลักล้าน ในจังหวัดชลบุรี ที่ผู้บริโภคจำนวนมากออกมายืนยันว่า “รีวิวไม่ตรงปกเกือบทุกที่” จนเลิกเชื่อถือ และเลิกติดตาม ปัญหานี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ในยุคที่ผู้บริโภคอาศัย “รีวิว” และ “อินฟลูเอนเซอร์” เป็นหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ความน่าเชื่อถือของข้อมูลเหล่านั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการรีวิวที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง หรือการใช้ภาพเก่ามาประกอบการโฆษณา ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่าย การโฆษณาเกินจริง” หรือ “การโฆษณาที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด” ซึ่งผิดตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคบางรายถึงขั้นระบุว่าอินฟลูเอนเซอร์รายดังกล่าวมีพฤติกรรมเข้าข่าย “มิจฉาชีพ” และเคยถูกโกงเงินไปหลายพันบาทจากการจองที่พักผ่านเพจนั้น แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่ความไม่ตรงปก แต่ลุกลามไปถึงขั้นการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายทางการเงินอย่างร้ายแรงแก่ประชาชน

ราคาที่ต้องจ่าย ความรับผิดทางกฎหมายที่อินฟลูเอนเซอร์ต้องเผชิญ

การเปลี่ยนผ่านบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์จาก “ผู้มีอิทธิพล” ธรรมดาไปสู่ “ผู้โฆษณา” โดยตรง ได้นำมาซึ่งความรับผิดชอบทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายเฉพาะสำหรับอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง กฎหมายที่มีอยู่เดิมจึงถูกนำมาปรับใช้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและควบคุมการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการโฆษณาเกินจริงอาจนำไปสู่การดำเนินคดีภายใต้กฎหมายหลายฉบับพร้อมกัน ทำให้ความเสี่ยงและบทลงโทษเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

  1. ความผิดฐานหมิ่นประมาทและการใช้สื่อออนไลน์: การโพสต์ข้อความหรือรูปภาพบนโซเชียลมีเดียที่เปิดเป็นสาธารณะและทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และมักถูกฟ้องควบคู่กับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท การมีผู้ติดตามจำนวนมากของอินฟลูเอนเซอร์จึงเป็นทั้งทรัพย์สินและความเสี่ยงทางกฎหมายที่สำคัญ
  2. คดีการโฆษณาและการหลอกลวงผู้บริโภคการโฆษณาของอินฟลูเอนเซอร์อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งกำหนดให้การโฆษณาต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นเท็จ เกินจริง หรืออาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ผู้ที่ใช้ข้อความโฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากอินฟลูเอนเซอร์เป็นเจ้าของสื่อที่รับโฆษณา จะต้องรับโทษในอัตรากึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ

ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ กฎหมายเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ซึ่งมีการกำหนดโทษที่รุนแรงกว่ากฎหมายทั่วไป การโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยไม่สมควร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท รวมถึงข้อความต้องห้ามที่ อย. กำหนดอย่างชัดเจน เช่น คำที่สื่อว่า “รักษาโรค” หรือ “เปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกาย” เช่น ลดโคเลสเตอรอล, ลดน้ำหนักถาวร, อัพไซส์ สำหรับเครื่องสำอาง การโฆษณาเกินจริงก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

  1. ความรับผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน: หากการโฆษณามีเจตนาทุจริตเพื่อหลอกลวงประชาชนจนทำให้เสียทรัพย์ อาจเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งแตกต่างจากความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคตรงที่ต้องพิสูจน์ “เจตนาทุจริต” ของผู้กระทำ อินฟลูเอนเซอร์ที่ร่วมมือกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่รู้ว่าเป็นความเท็จและมีเจตนาหลอกลวงประชาชน อาจถูกยกระดับความผิดจากผู้โฆษณาไปเป็น ผู้สนับสนุน” หรือ “ตัวการร่วม” ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนได้
  2. คดีความรับผิดทางอาญาจากความประมาท: ในบางกรณี การสร้างคอนเทนต์อันตรายหรือท้าทายที่นำไปสู่การบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท กรณีศึกษาที่สะเทือนใจคือ การเสียชีวิตของ “แบงค์ เลสเตอร์” อินฟลูเอนเซอร์ผู้สู้ชีวิต หลังจากถูกจ้างให้ดื่มเหล้าปริมาณมาก ซึ่งอัยการได้ให้ความรู้ทางกฎหมายว่าผู้ที่ “ยุยง” หรือ “เชียร์” ให้ดื่ม โดยรู้ว่าการกระทำนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาจเข้าข่าย “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”

บทเรียนจากคดีสำคัญจุดเปลี่ยนของวงการอินฟลูเอนเซอร์

สถานการณ์การฟ้องร้องที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2567-2568 ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม และส่งสัญญาณว่าการบังคับใช้กฎหมายได้เปลี่ยนผ่านจากการกำกับดูแลแบบตั้งรับไปสู่การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก โดยมีคดีสำคัญหลายกรณีที่สะท้อนถึงความซับซ้อนและความรุนแรงของบทลงโทษ:

  • คดี The iCon Group: เป็นตัวอย่างสำคัญของการฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class Action-style) ที่มีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนกว่า 250 คน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 95 ล้านบาท คดีนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานในการสืบสวนสอบสวน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดย สคบ. ได้เรียกอินฟลูเอนเซอร์และผู้เกี่ยวข้องเข้ามาให้ปากคำเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งทนายความชื่อดังแนะนำว่าอินฟลูเอนเซอร์ควรโฆษณาแค่สินค้าเท่านั้น และไม่ควรโฆษณาระบบธุรกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีแชร์ลูกโซ่
  • คดีอินฟลูเอนเซอร์ฟ้องเอเจนซี่ฉ้อโกง: ในเดือนมีนาคม 2568 กลุ่มผู้เสียหายกว่า 50 คน ซึ่งประกอบด้วยอินฟลูเอนเซอร์ เจ้าของแบรนด์ และอดีตพนักงาน ได้รวมตัวกันแจ้งความ บก.ป. เพื่อดำเนินคดีกับบริษัทเอเจนซี่แห่งหนึ่ง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 20 ล้านบาท บริษัทมีพฤติกรรมไม่จ่ายค่าจ้าง, ไม่ผลิตงานตามสัญญา, และมีการข่มขู่ฟ้องกลับ การรวมตัวกันเพื่อดำเนินคดีอาญาในครั้งนี้เป็นการยกระดับข้อพิพาทเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์เองก็อาจตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงได้เช่นกัน
  • คดีไลฟ์สดขายทอง “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์”: กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการโฆษณาที่ไม่ตรงปกอาจถูกยกระดับเป็นคดีอาญาฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” และ “พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์” เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระบุว่าจะเรียกอินฟลูเอนเซอร์ที่เคยร่วมไลฟ์สดเข้ามาให้ปากคำ เพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดหรือไม่
  • คดีโฆษณาเว็บพนันออนไลน์: กรณีของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง “อิงฟ้า อารยา” ที่ถูกจับกุมจากการโฆษณาชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดบนโลกออนไลน์ โดยตำรวจไซเบอร์ได้เปิดเผยว่ามีการจับกุมอินฟลูเอนเซอร์ในลักษณะดังกล่าวไปแล้วกว่า 100 คน

การดำเนินคดีเหล่านี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้กระทำความผิดว่า การหลอกลวงหรือการทำผิดกฎหมายจะไม่สามารถลอยนวลได้อีกต่อไป

ข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้อง สร้างจริยธรรมสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

เพื่อป้องกันปัญหาที่ซับซ้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้บริโภคและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมในระยะยาว การสร้างมาตรฐานและจริยธรรม จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะที่กฎหมายเฉพาะสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ยังไม่มีการบัญญัติขึ้นอย่างชัดเจน การขับเคลื่อน ร่างจริยธรรมของอินฟลูเอนเซอร์” จึงถือเป็นการตอบสนองเชิงรุกของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่างจริยธรรมดังกล่าวซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการคุ้มครองผู้บริโภค ประกอบด้วยข้อปฏิบัติ 5 ข้อหลัก ได้แก่:

  1. ตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า: ก่อนรับโฆษณา ต้องขอตรวจสอบใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. หรือ มอก.
  2. ทดลองใช้สินค้าจริง: และมีหลักฐานแสดงผลการใช้ที่เป็นไปตามที่โฆษณา
  3. ยอมรับว่าการรีวิวคือการโฆษณา: และต้องมีความโปร่งใส รวมถึงเข้าใจขอบเขตทางกฎหมาย
  4. หลีกเลี่ยงสินค้าผิดกฎหมาย: เช่น บุหรี่ไฟฟ้าหรือการพนัน
  5. มีการเยียวยาผู้บริโภค: หากเกิดผลกระทบเชิงลบจากเนื้อหาที่ตนเองโฆษณาไป

การสร้าง “จริยธรรม” นี้เป็นการลดความเสี่ยงทั้งสำหรับผู้ผลิตเนื้อหาและผู้บริโภค โดยเป็นการสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้นจากภายในอุตสาหกรรมเอง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

  • ยกระดับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรผลักดันให้แพลตฟอร์มจองที่พักและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่โฆษณา เพื่อป้องกันการนำภาพเก่าหรือไม่ตรงกับสถานที่จริงมาใช้งาน
  • สร้างมาตรฐานและจรรยาบรรณนักรีวิว: ควรมีการส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ถึงจรรยาบรรณของนักรีวิว ว่าการนำเสนอข้อมูลต้องเป็นไปตามความเป็นจริงและโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการรับเงินจากผู้ประกอบการในการรีวิว
  • ให้ความรู้แก่ผู้บริโภค: สภาผู้บริโภค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคถึงวิธีการสังเกตและตรวจสอบรีวิวที่น่าเชื่อถือ เช่น การดูรีวิวจากหลาย ๆ แหล่ง การตรวจสอบคะแนนรีวิวจากแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ และการพิจารณาภาพที่มาจากการโพสต์ของผู้ใช้บริการจริง

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับทุกภาคส่วน

  • สำหรับอินฟลูเอนเซอร์: ควรยึดหลัก ตรวจสอบ-ทดลอง-เปิดเผย” คือ ตรวจสอบข้อมูลสินค้าและบริษัทคู่ค้าอย่างละเอียด พร้อมขอเอกสารการอนุญาตที่ถูกต้อง ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริงด้วยตนเองและรีวิวตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง และที่สำคัญที่สุดคือ เปิดเผยให้ชัดเจนว่าเป็น “โฆษณา” หรือ “สปอนเซอร์” โดยใช้ภาษาและแฮชแท็กที่เข้าใจง่าย ควรระมัดระวังการสร้างคอนเทนต์ที่เสี่ยงอันตราย หรือการโฆษณาระบบธุรกิจที่ซับซ้อนที่อาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ รวมถึงระวังการแสดงความคิดเห็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการหมิ่นประมาท โดยควรทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสมอ นอกจากนี้ ควรจัดทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่รัดกุมและตรวจสอบเงื่อนไขอย่างละเอียดก่อนรับงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและขอบเขตความรับผิดชอบ.
  • สำหรับแบรนด์และเอเจนซี่: ควรจัดทำสัญญาที่รัดกุม ระบุขอบเขตความรับผิดชอบของอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นความถูกต้องของข้อมูล การเปิดเผยความสัมพันธ์ในการโฆษณา และการหลีกเลี่ยงข้อความที่เกินจริง ควรมีนโยบายตรวจสอบอินฟลูเอนเซอร์และเนื้อหาที่สร้างขึ้นอย่างเข้มงวด รวมถึงตรวจสอบความน่าเชื่อถือของพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อป้องกันการเข้าไปพัวพันกับการฉ้อโกง และควรสนับสนุนการออกกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและสร้างมาตรฐานที่ยอมรับร่วมกันในอุตสาหกรรม.
  • สำหรับผู้บริโภค: หากได้รับความเสียหายจากการโฆษณาเกินจริงหรือผลิตภัณฑ์ที่อันตราย ควรใช้สิทธิในการร้องเรียนผ่าน

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

สายด่วน อย. 1556 หรือ สคบ. ได้โดยตรง ควรใช้วิจารณญาณที่สูงขึ้นในการพิจารณาข้อมูลจากการรีวิว และตระหนักว่าการโฆษณาและการรับรองจากอินฟลูเอนเซอร์อาจมีแรงจูงใจทางการเงินแฝงอยู่ ที่สำคัญคือ หากพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย ควรเก็บหลักฐานให้ครบถ้วนที่สุด เช่น ภาพหน้าจอการจอง, ภาพโฆษณา, ภาพถ่ายและวิดีโอของสภาพที่พักจริง และหลักฐานการติดต่อ เพื่อใช้ในการแจ้งความต่อไป.

การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดจะต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบและจริยธรรมที่เข้มแข็ง การร่วมมือกันระหว่างอินฟลูเอนเซอร์ แบรนด์ เอเจนซี่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาครัฐ ในการสร้างมาตรฐานที่โปร่งใส จะเป็นกุญแจสำคัญในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมมูลค่าหลายหมื่นล้านนี้ในระยะยาว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนผู้บริโภคทั่วไปจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นจริง และได้รับการคุ้มครองสิทธิ์อย่างเต็มที่.

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Tellscore: รายงานวิจัย “Futures of Content Creators 2035” และข้อมูลอินไซต์ตลาดจาก “เปิดตัวเลขคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย พุง 9 ล้านคน ทำงานแบบ Full-time 2 ล้าน”.
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.): ข้อมูลและอำนาจการกำกับดูแลจาก “รายงานวิเคราะห์ความรับผิดทางกฎหมายของอินฟลูเอนเซอร์จากการโฆษณาเกินจริง”.
  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค): ข้อมูลและข้อเสนอแนะจาก “รีสอร์ทไม่ตรงปก: ภัยรีวิวไร้จรรยาบรรณและการปกป้องสิทธิ์ผู้บริโภค”.
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.): บทลงโทษและข้อห้ามในการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ.
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.): บทบาทในการสืบสวนคดีสำคัญ เช่น The iCon Group และคดีฉ้อโกง.
  • ประมวลกฎหมายอาญา: มาตราที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานหมิ่นประมาท, ฉ้อโกง, และประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย.
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (และฉบับแก้ไข): มาตราที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ.
  • รายงานการวิเคราะห์คดีความและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย พ.ศ. 2567-2568″: ข้อมูลเชิงลึกและกรณีศึกษาในภาพรวม.
  • หน่วยงานและสื่อที่อ้างอิงในแหล่งข้อมูล: เช่น Linktree, FTC (คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ สหรัฐอเมริกา), Thaipost.net, Thai PBS News, Sanook.com.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคเรียกร้องรัฐคุมค่ารักษาฯ แก้ปัญหาประกันภัยที่ไม่เป็นธรรม

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคจี้รัฐคุมค่ารักษาพยาบาล – สะสางกลโกงประกันภัย ชี้ Co-Payment แก้ไม่ตรงจุด

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางวิกฤตค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูง และความไม่เป็นธรรมจากเงื่อนไขกรมธรรม์ที่เปลี่ยนไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของบริษัทประกันสุขภาพที่ “เอาเปรียบผู้บริโภค” พร้อมเรียกร้องให้รัฐเร่งควบคุมโครงสร้างราคาของโรงพยาบาลเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อคืนความมั่นคงให้ระบบประกันภัย และสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ที่ยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคไทย

เรื่องเล่าจากสนามร้องเรียนจุดเริ่มต้นของปัญหา

จุดเริ่มต้นของข่าวนี้มาจากกรณีผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ร้องเรียนไปยังสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ว่าบริษัทประกันสุขภาพหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกรมธรรม์ รวมถึงอัตราเบี้ยประกัน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หรือให้ข้อมูลที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีของบริษัท “กรุงไทย-แอกซ่า” ซึ่งกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่จุดชนวนความไม่พอใจจากผู้เอาประกันทั่วประเทศ

แม้ว่ากรณีดังกล่าวจะมีการเจรจาและยุติปัญหาไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่กรณีนี้ก็กลายเป็นเครื่องชี้วัดความเปราะบางของระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย ที่อาจเปิดช่องให้บริษัทประกันใช้กลไกภายในเพื่อปรับสิทธิประโยชน์แบบเงียบ ๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาระที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ

การแสดงจุดยืน สภาผู้บริโภคชี้ชัด – “ไม่ยุติธรรม!”

นายจิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร ของสภาผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกรมธรรม์หลังจากผู้บริโภคได้ทำสัญญาไปแล้ว เป็นพฤติกรรมที่ “ไม่ยุติธรรม” และละเมิดจริยธรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยโดยตรง เพราะบริษัทได้ผ่านการประเมินความเสี่ยงมาแล้วก่อนเสนอผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค หากพบว่ารายจ่ายสูงเกินควร บริษัทควรบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่โยนภาระให้ผู้บริโภคในภายหลัง

ปัญหาเชิงโครงสร้างการผลักภาระและ Co-payment ที่แก้ไม่ตรงจุด

หนึ่งในนโยบายที่หลายบริษัทประกันนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือระบบ “Co-Payment” หรือการให้ผู้เอาประกันจ่ายร่วมกับบริษัทประกันในแต่ละเคสการรักษา แต่สภาผู้บริโภคชี้ว่าแนวทางนี้เป็นเพียง “การแก้ที่ปลายเหตุ” เพราะไม่ได้แก้ปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างไม่มีเพดานในภาคเอกชน

ในบางกรณี โรงพยาบาลเรียกเก็บค่าห้องพิเศษสูงกว่าระดับสากล หรือมียาและอุปกรณ์ที่กำหนดราคาสูงเกินจริง โดยไม่มีการกำกับจากหน่วยงานรัฐที่ชัดเจน ส่งผลให้บริษัทประกันนำต้นทุนที่สูงผิดปกตินั้นมากำหนดเบี้ยเพิ่ม หรือปรับลดสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกัน แทนที่จะควบคุมต้นตอปัญหา

ทางรอดที่แท้จริง กลไกควบคุมค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน

สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้ภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามาควบคุมโครงสร้างราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ด้วยมาตรการชัดเจน เช่น

  • กำหนดเพดานราคายา
  • เปิดเผยต้นทุนค่ารักษาต่อสาธารณะ
  • สร้างระบบเปรียบเทียบราคาผ่านแพลตฟอร์มกลาง

เพื่อให้ทั้งบริษัทประกันและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างเป็นธรรม

ผลกระทบที่ประชาชนควรเข้าใจจากความไม่รู้ สู่ความรับผิดชอบ

การที่ผู้บริโภคไม่ทราบว่าเงื่อนไขประกันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้พวกเขาไม่มีอำนาจต่อรองหรือร้องเรียนได้ทันเวลา สภาผู้บริโภคจึงแนะนำให้ผู้เอาประกันทุกคนหมั่นตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ทุกปี และหากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติ สามารถยื่นร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของสภาผู้บริโภคโดยตรง https://complaint.tcc.or.th/complaint

สร้างภูมิคุ้มกันให้ตลาดประกันภัย

การออกมาเคลื่อนไหวของสภาผู้บริโภคในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ถือเป็นการ “วางหมาก” อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับผู้บริโภคในระยะยาว ผ่านการเรียกร้องสิทธิอย่างมีข้อมูล และมีองค์กรที่คอยหนุนหลังทางกฎหมายและนโยบาย

เมื่อผู้บริโภคตื่นรู้มากขึ้น บริษัทประกันจะต้องกลับมาทบทวนบทบาท ไม่ใช่เพียงเป็น “ผู้ขายกรมธรรม์” แต่ต้องเป็น “ผู้บริหารความเสี่ยง” ที่อยู่บนหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง

จากวิกฤตสู่โอกาสในการปฏิรูประบบ

ในระยะยาว การควบคุมค่ารักษาพยาบาลและการปรับบทบาทของบริษัทประกัน คือหัวใจของการปฏิรูประบบสุขภาพเชิงเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หากภาครัฐเข้ามาจัดการได้อย่างเป็นระบบ ร่วมกับการเสริมสร้างความรู้ให้ผู้บริโภค ระบบประกันภัยไทยจะสามารถกลับมาเป็น “เครื่องมือแห่งความมั่นคง” แทนที่จะเป็นภาระของคนไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (https://www.tcc.or.th)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) (https://www.oic.or.th)
  • บทสัมภาษณ์นายจิณณะ แย้มอ่วม – สภาผู้บริโภค
  • สถิติเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันสุขภาพจากสภาผู้บริโภค (2567 – 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News