Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

งบช่วยเหลือกว่า 600 ล้านบาท! เชียงรายสรุปผลฟื้นฟูหลังน้ำท่วมระยะที่ 2

เชียงรายติดตามฟื้นฟูหลังอุทกภัยระยะที่ 2 สรุปงบช่วยเหลือกว่า “600 ล้านบาท” เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางจากเยียวยาเร่งด่วนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — ห้องประชุม “จอมกิตติ” ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงรายตัวแทนจากหน่วยงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทุกสายตาจับจ้องไปยังวาระเดียวกัน—การติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยระยะที่ 2 ควบคู่กับ แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ที่มุ่งยกระดับโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมให้กลุ่มเปราะบาง หลังจังหวัดเผชิญวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2567

การประชุมที่มี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน มิใช่เพียงพิธีการสรุปตัวเลข หากแต่เป็น “จุดเปลี่ยน” จากงานบรรเทาทุกข์ฉุกเฉิน สู่การวางรากฐานพัฒนาอย่างยั่งยืนของชุมชนพื้นที่เสี่ยงทั้งลุ่มน้ำกก—อิง—โขง โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพด้านสังคม เศรษฐกิจ สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐาน เข้าร่วมรายงานความคืบหน้าอย่างพร้อมเพรียง

“ผมย้ำกับทุกหน่วยงานว่า ความช่วยเหลือต้อง เร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และเดินหน้าไปด้วยกันถึงเส้นชัยของการพัฒนา ไม่ใช่หยุดที่ปลอบประโลมระยะสั้น” ผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวในที่ประชุม สะท้อนทิศทางการทำงานแบบ “เยียวยาเชื่อมพัฒนา” ที่จังหวัดต้องการเห็นผลเป็นรูปธรรม

บาดแผลจากน้ำ และพลังความร่วมมือที่ล้นหลาม

กันยายน–ตุลาคม 2567 น้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนถล่ม และวาตภัย สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในเชียงราย ครัวเรือนกว่า 35,124 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บ้านพังเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง เหตุการณ์ครั้งนั้นผลักให้ทุกภาคส่วนขยับอย่างพร้อมเพรียง—ตั้งแต่ มติคณะรัฐมนตรี, กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี, เงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด, ไปจนถึง งบ อปท. และ กองทุนรับบริจาคจังหวัดเชียงราย เพื่อระดมทรัพยากรให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุด

หนึ่งปีผ่านไป จังหวัดสรุปผลการดำเนินงาน “ระยะที่ 2” ได้อย่างชัดเจน ดังนี้

1) เงินช่วยเหลือตามมติ ครม. (17 ก.ย. และ 8 ต.ค. 2567)

  • ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครบ 35,124 ครัวเรือน
  • วงเงินรวม 316,116,000 บาท
  • จ่ายครบทุกครัวเรือนแล้ว

2) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2567 (เงินบริจาค)

  • ยอดบริจาครวม 9,839,079.03 บาท
  • จ่ายค่าวัสดุก่อสร้างบ้าน 174 หลัง รวม 8,370,000 บาท
  • สมทบค่าดำรงชีพเพิ่มเติม ผู้ประสบภัยบ้านพังทั้งหลัง 160 ราย รวม 1,398,000 บาท
  • เบิกรวม 9,768,000 บาท

3) เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 (ในอำนาจผู้ว่าฯ)

  • วงเงินขยาย 100 ล้านบาท ช่วยเหลือแล้ว 98,056,678.50 บาท
  • วงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ช่วยเหลือแล้ว 295,240,930 บาท

4) ค่าล้างทำความสะอาดดินโคลน (หลังน้ำลด)

  • ขอรับความช่วยเหลือ 17,384 ครัวเรือน และ ให้ความช่วยเหลือครบ 17,384 ครัวเรือน
  • วงเงินรวม 173,840,000 บาทเสร็จสิ้นแล้ว

5) กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

  • ผู้เสียชีวิต 12 ราย ได้รับเงินช่วยเหลือรวม 1,080,000 บาท
  • บ้านเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง ได้รับรวม 12,490,006 บาท
  • อนุมัติและจ่ายแล้วรวม 13,570,006 บาท

6) งบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย

  • รวมการช่วยเหลือ 120,084,535 บาท
    • อบจ.เชียงราย จ่าย 48,937,375 บาท
    • เทศบาลนครเชียงราย จ่าย 26,707,500 บาท
    • อปท.อื่น ๆ จ่าย 44,439,660 บาท
  • ทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เมื่อนำรายการสำคัญมาร้อยเรียง เรามองเห็น “โครงข่ายนิตย–การเงิน” ที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบตั้งแต่ระดับคณะรัฐมนตรีจนถึงอบต.ปลายน้ำ เงินบางส่วนมุ่งเยียวยาเร่งด่วน (เช่น ค่าดำรงชีพและค่าล้างโคลน) เงินบางส่วนวางรากฐานระยะยาว (เช่น วัสดุก่อสร้างบ้านและโครงสร้างพื้นฐานจำเป็น) ภาพรวมนี้สะท้อนความสามารถในการ “ซ่อมเมือง—ซ่อมคน” ของจังหวัดภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่

งบฯ ถึงมือครบแต่โจทย์ใหม่คือ “ความยั่งยืน”

ในเชิงปริมาณ ตัวเลขข้างต้นตอบคำถามสำคัญสามประการ

  1. ถึงมือใคร—เมื่อไหร่: จังหวัดยืนยันว่า ช่วยเหลือครบทุกครัวเรือน 35,124 ครัวเรือน ทั้งตามมติ ครม. และมาตรการเสริมจากแหล่งอื่น ๆ
  2. ช่วยเรื่องอะไร—มิติไหน: เงินถูกจัดสรรเพื่อ ยังชีพ—ที่อยู่อาศัย—ทำความสะอาด—ชดเชยความสูญเสีย ครบทั้ง 4 ช่วงวงจรภัยพิบัติ (ก่อน—ระหว่าง—หลัง—ฟื้นฟู)
  3. โปร่งใสแค่ไหน: ตัวเลขแยกรายโครงการ/แหล่งที่มา พร้อมสถานะ “เสร็จแล้ว” หลายส่วน ชี้ถึงการบริหารงานที่มี เอกสารอ้างอิงและหลักฐานการจ่าย ตรวจสอบย้อนกลับได้

แต่ในเชิงคุณภาพ โจทย์ระยะถัดไป คือการทำให้ครัวเรือนที่พึ่งพาน้ำ—ดิน—พื้นที่ทำกิน กลับมายืนได้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กและสตรี ผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรรายย่อย และแรงงานนอกระบบ ซึ่งสูญเสียทรัพย์สินและเครื่องมือประกอบอาชีพจากน้ำหลากครั้งก่อน

ผู้ว่าราชการจังหวัดทิ้งท้ายในที่ประชุมว่า “ฟื้นบ้าน–ฟื้นถนนแล้ว ต้องฟื้น รายได้ และ โอกาส ให้เขา เราจะวัดผลการทำงานจากคุณภาพชีวิต ไม่ใช่จากยอดเบิกจ่ายเท่านั้น”

จากเยียวยาเร่งด่วน สู่แผน “พัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ” ของกลุ่มเปราะบาง

วาระสำคัญในห้องประชุมคือ รายงานผลการปฏิบัติตามแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ซึ่งจังหวัดทำคู่ขนานกับภารกิจซ่อมแซมระยะสั้น เป้าหมายคือ “สร้างเสริมความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ” ผ่าน 4 แนวทางหลักที่หน่วยงานรับผิดชอบได้เสนอความคืบหน้า ดังนี้

  1. ฟื้นอาชีพ—เข้าถึงทุน
  • จัดแพ็กเกจเครื่องมือทำกินให้ครัวเรือนเปราะบางในพื้นที่ลุ่มน้ำที่ได้รับผลกระทบ
  • เชื่อมกองทุนหมู่บ้าน/ธนาคารเพื่อการเกษตร/สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องอย่างถูกกฎหมาย
  • ฝึกอบรมทักษะอาชีพทางเลือกในช่วงฤดูฝน/น้ำหลาก เช่น แปรรูปอาหารท้องถิ่น การตลาดออนไลน์ของชุมชน
  1. ที่อยู่อาศัย—มาตรฐานปลอดภัย
  • บูรณาการวัสดุก่อสร้างจากกองทุน/เงินบริจาคกับแบบบ้านปลอดภัยราคาประหยัด
  • ยกระดับระบบเตือนภัยและจุดอพยพชั่วคราวในชุมชนเสี่ยง เพื่อปกป้องผู้สูงอายุและผู้พิการ
  1. สุขภาพ—สังคม—การคุ้มครอง
  • ทีมสหวิชาชีพลงพื้นที่ติดตามโรคเรื้อรัง สุขภาพจิตหลังภัยพิบัติ และสิทธิประโยชน์ประกันสุขภาพ
  • ตั้ง “อาสาสมัครดูแลกลุ่มเปราะบาง” เครือข่ายหมู่บ้าน/วัด/โรงเรียน เพื่อประสานความช่วยเหลือทันทีเมื่อเกิดเหตุ
  1. โครงสร้างพื้นฐาน—ข้อมูลเสี่ยงภัย
  • เร่งซ่อมเส้นทางหลัก–รอง พร้อมจุดคอขวดที่ซ้ำซาก
  • พัฒนาแผนที่เสี่ยงดินถล่ม–น้ำท่วมระดับตำบล เชื่อมฐานข้อมูลหน่วยงานและแอปพลิเคชันแจ้งเตือนชุมชน

แม้รายละเอียดเชิงนโยบายของแต่ละโครงการยังอยู่ระหว่างเร่งรัดงบประมาณและกำหนดตัวชี้วัด แต่ทิศทางโดยรวมทำให้เห็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างงบเยียวยาในปีแรก กับงบพัฒนาคุณภาพชีวิตที่จะเริ่มเห็นผลใน 12–24 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะเป้าหมาย “รายได้คืนถิ่น—หนี้ลด—ความสามารถรับมือภัยพิบัติสูงขึ้น”

บทเรียนจากงบ 600 ล้านบาท สิ่งที่ทำได้ และสิ่งที่ต้องทำต่อ

หนึ่งปีหลังวิกฤต เชียงรายได้พิสูจน์แล้วว่ากลไกงบประมาณหลายชั้นสามารถขับเคลื่อนพร้อมกันได้ หากมีระบบติดตามและผู้รับผิดชอบชัดเจน สิ่งที่เห็นชัดจากการสรุปผลครั้งนี้ ได้แก่

  • ความครอบคลุม: เงินช่วยเหลือแตะทุกมิติ ตั้งแต่ค่าครองชีพ—ที่อยู่อาศัย—ทำความสะอาด—ชดเชยความสูญเสีย
  • ความรวดเร็ว: หลายโครงการ “เสร็จสิ้น” พร้อมหลักฐานการจ่ายและรายชื่อผู้ได้รับสิทธิ
  • ความโปร่งใส: ตัวเลขละเอียด แยกแหล่งที่มา—ประเภทช่วยเหลือ—จำนวนครัวเรือน

อย่างไรก็ดี บททดสอบรอบถัดไป อยู่ที่

  1. การติดตามผลระดับครัวเรือน—ครัวเรือนเปราะบางมีรายได้กลับมาที่ระดับก่อนเกิดภัยหรือไม่? เครื่องมือทำกินที่ได้รับยังใช้งานได้ดีและเหมาะกับบริบทหรือไม่?
  2. การจัดการความเสี่ยงซ้ำซาก—จุดที่น้ำหลาก/ดินถล่มซ้ำ ๆ ได้รับการแก้ไขเชิงโครงสร้างแล้วหรือยัง (เช่น การระบายน้ำ จุดอุดตัน แนวป้องกันดินไหล)
  3. การบูรณาการข้อมูล—แผนที่เสี่ยงภัยระดับหมู่บ้าน–ตำบล และข้อมูลสิทธิประโยชน์ของประชาชน ต้องเข้าถึงง่าย ใช้งานได้จริง และปรับปรุงสม่ำเสมอ
  4. ความพร้อมของท้องถิ่น—อปท.จำเป็นต้องมี “งบเผื่อฉุกเฉิน” และแบบแผนปฏิบัติการที่ซ้อมจริง เพื่อให้ระยะเวลาจาก “เกิดเหตุ” ถึง “รับเงิน/รับของช่วยเหลือ” สั้นที่สุด

เสียงจากห้องประชุม นโยบายที่ต้องไปต่อ

ในช่วงท้ายของการประชุม ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการ 3 ประเด็นสำคัญ

  • เร่งปิดบัญชีคงค้าง ของโครงการที่ยังอยู่ระหว่างเบิกจ่าย พร้อมเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะเพื่อรักษาความเชื่อมั่น
  • ขับเคลื่อนแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพ ให้เห็นผลเร็ว โดยกำหนดตัวชี้วัดที่วัดได้จริง เช่น รายได้เฉลี่ยครัวเรือนเปราะบาง จำนวนผู้ได้งานทำหลังฝึกอาชีพ อัตราการเข้าถึงบริการสุขภาพ และเวลาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุ
  • ซ้อมแผนภัยพิบัติประจำปี ร่วมกันทุกภาคส่วน—ตั้งแต่โรงเรียน วัด ชุมชน จนถึงผู้ประกอบการ—เพื่อย่นเวลาและลดความสูญเสียเมื่อเกิดเหตุ

“ประชาชนต้องเห็นว่า รัฐ ‘อยู่ตรงนั้น’ และ ‘อยู่ต่อไป’ จนชีวิตกลับมาดีกว่าเดิม นี่คือมาตรวัดความสำเร็จที่แท้จริงของเรา” ผู้ว่าฯ กล่าวย้ำ

คลี่คลายปมจากน้ำท่วมสู่ความเท่าเทียมทางโอกาส

สาระสำคัญของวันนั้นไม่ได้จบลงที่ยอดงบประมาณ หากแต่เริ่มต้นด้วย แนวคิดใหม่ ว่า “ภัยพิบัติ” ไม่ใช่เพียงเหตุไม่คาดฝันที่ต้องเยียวยา แต่เป็น หน้าต่างโอกาส ให้ปรับระบบเศรษฐกิจ—สังคมให้รองรับคนตัวเล็กได้ดีขึ้น แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตเชิงคุณภาพที่เชียงรายกำลังผลักดัน จึงตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ชุมชนที่เข้มแข็ง คือวัคซีนต้านภัยรอบต่อไป

ในเชิงปฏิบัติ นั่นหมายถึงการทำงานที่ ข้ามกำแพงหน่วยงาน (สาธารณสุข—พม.—แรงงาน—เกษตร—การศึกษา—ปกครอง) ให้มุ่งไปที่ “ผลลัพธ์ครัวเรือน” มากกว่า “ผลผลิตโครงการ” และยึด “เสียงของพื้นที่” เป็นเข็มทิศ เพื่อให้การลงทุนสาธารณะทุกบาทตอบโจทย์ชีวิตจริง

เชียงรายได้ก้าวพ้น “จุดพีคของน้ำ” มาแล้ว แต่กำลังยืนอยู่หน้าประตูด่านใหม่—การทำให้ครัวเรือนเปราะบางยืนได้ด้วยตัวเอง ตัวเลขงบกว่า 600 ล้านบาท ที่ผ่านมือหน่วยงานต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าระบบราชการไทยสามารถขับเคลื่อนเพื่อประชาชนได้จริงเมื่อมีเป้าหมายร่วมและระบบติดตามที่เข้มแข็ง

สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือผลลัพธ์เชิงคุณภาพว่า รายได้กลับมาไหม? หนี้ครัวเรือนลดหรือไม่? สุขภาพกายใจดีขึ้นเพียงใด? และเมื่อฝนใหญ่ครั้งต่อไปมาเยือน ชุมชนเชียงรายจะ “พร้อมกว่าเดิม” แค่ไหน หากจังหวัดรักษาจังหวะการทำงานแบบที่เห็นในห้องประชุมวันนั้นไว้ได้—จากเยียวยา สู่การพัฒนา และสู่ ความเท่าเทียมทางโอกาส—เชียงรายก็อาจไม่เพียง “ผ่านพ้นน้ำ” แต่จะ “ผ่านพ้นความเปราะบาง” ไปด้วยพร้อมกัน

ข้อมูลตัวเลขสำคัญ

  • ผู้ได้รับผลกระทบ: 35,124 ครัวเรือน / ผู้เสียชีวิต 12 ราย / บ้านเสียหายทั้งหลัง 73 หลัง
  • มติ ครม. ช่วยเหลือรวม: 316,116,000 บาท (ครบทุกครัวเรือน)
  • กองทุนจังหวัด (บริจาค): ยอด 9,839,079.03 บาท | จ่ายแล้ว 9,768,000 บาท
  • เงินทดรองราชการ (พ.ศ. 2562): 98,056,678.50 บาท และ 295,240,930 บาท (สองวงเงินขยาย)
  • ค่าล้างดินโคลน 17,384 ครัวเรือน: รวม 173,840,000 บาท (เสร็จสิ้น)
  • กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี: รวม 13,570,006 บาท
  • งบ อปท. รวม 120,084,535 บาท (อบจ. 48,937,375 | เทศบาลนครเชียงราย 26,707,500 | อปท.อื่น 44,439,660)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • จังหวัดเชียงราย – ศาลากลางจังหวัดเชียงราย: รายงานการประชุม “สรุปรายงานผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการ และระบบติดตามการฟื้นฟูเยียวยาพื้นที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ระยะที่ 2” ณ ห้องประชุมจอมกิตติ วันที่ 15 กันยายน 2568
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 กันยายน 2567 และ 8 ตุลาคม 2567 เรื่องแนวทางและกรอบวงเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดเชียงราย
  • กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี: หลักเกณฑ์และผลการจ่ายช่วยเหลือกรณีผู้เสียชีวิตและบ้านเสียหายทั้งหลัง จังหวัดเชียงราย ปีงบประมาณ 2567–2568
  • ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ รายงานผลการจ่าย ของ อบจ.เชียงราย เทศบาลนครเชียงราย และ อปท. ในจังหวัด
  • ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการใช้ เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และเอกสารสรุปการเบิกจ่ายจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
EDITORIAL

ข้อคิดคำนึงเรื่องแจกเงิน 10,000 บาท โดย ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย

 

ข้อคิดคำนึงเรื่องแจกเงิน 10,000 บาท ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2567” กำลังเริ่มจ่ายโอนเงิน 10,000 บาท เพื่อเข้าบัญชีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรผู้พิการ ตั้งแต่วันที่ 25-30 ก.ย. จำนวน 14.4 ล้านคน คิดเป็นเงิน 1.44 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลไม่มีข้อจำกัดด้านการใช้จ่าย

ในด้านอุปสงค์ของระบบเศรษฐกิจ ผู้รับเงิน คือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เคยมีข่าวกรณีที่ สตง. ลองสุ่มตรวจผู้เสียชีวิตจำนวน 100 กว่าคน แล้วพบว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตที่ยังใช้สิทธิ์บัตรประชารัฐประมาณ 22 คน เมื่อช่วงปี 2564 (‘ก้าวไกล’ พบพิรุธ ‘กองทุนสวัสดิการแห่งรัฐ’ หากินกับคนตาย บนความทุกข์คนเป็น  ‘วรรณวิภา’  เผย ผลสุ่มตรวจ สตง. เจอชื่อคนตายยังได้รับเงินเกือบ 1 ใน 5 https://voicetv.co.th/read/X756rNYip)

ในด้านอุปทานของระบบเศรษฐกิจ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ แสดงให้เห็นว่า ปีล่าสุด 2566 บริษัทค้าปลีก CPALL มีรายได้ 9.2 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 1.8 หมื่นล้านบาท, เซ็นทรัลรีเทล (CRC) มีรายได้ 2.5 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 8 พันล้านบาท, และ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) มีรายได้ 1.7 แสนล้านบาท กำไรสุทธิ 4.7 พันล้านบาท คิดเป็นรายได้ธุรกิจค้าปลีกของ 3 ตระกูล คือ 1.3 ล้านล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลประมาณการ GDP ปี 2566 (สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์) โดยสภาพัฒน์ อยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาท

ปัจจุบัน ร้าน 7-Eleven มีสาขาทั่วประเทศ 14,545 แห่ง มียอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวัน ประมาณ 8 หมื่นบาท มีจำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ยเกือบ 1 พันคน ซึ่ง CPALL มีกำไรธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 35% ในปี 2566 ซึ่งเป็นกำไรสูงสุดตั้งแต่หลังโควิด อีกทั้งคิดเป็นกำไรมากกว่า  80% ของ CPALL มาจากธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ยิ่งไปกว่านั้น ปี 2566 ที่ผ่านมา รายได้ธุรกิจร้าน 7-Eleven มีมูลค่า 3.99 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

คำถามพื้นฐาน คือ เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะได้ผลจริงจังมีเงินจะหมุนเวียนตามทฤษฎี `ตัวทวีคูณทางการคลัง’ (fiscal multiplier) มากน้อยเพียงใด? แต่อย่างน้อยก็จะพอช่วยต่อชีวิตคนจนจริงที่ได้รับสิทธิ์ไปได้บ้าง และ อาจจะพอทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีกำลังซื้อในชุมชนเพิ่มขึ้นตามกำลัง

ทั้งนี้ ในฐานะคนไทยผู้รักชาติ ผู้เขียนก็ยังคงหวังที่จะเห็นรัฐบาลสร้างความหวังให้มีอนาคตสำหรับประชาชนได้เหมือนนโยบายสมัยก่อนที่มีกองทุนหมู่บ้าน การจัดตั้งธนาคารประชาชน เป็นยุคที่ OTOP SMEs รุ่งเรือง และ ประชาชนจับจ่ายใช้สอยทำให้ธุรกิจคึกคัก เพียงแต่ในสมัยยุคปัญญาประดิษฐ์ผสมผสานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ จะทำอย่างไรให้คนไทยส่วนใหญ่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ทันก่อนแก่ หากสามารถนำแนวทางที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อ 26 ก.พ. 2544 คือ จะต้องมี “การลงทุนเพื่อสร้างรายได้ใหม่ให้กับประชาชนและให้กับรัฐในที่สุด” เพื่อมาปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ก็น่าจะเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวง และ ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า 

อ่านเพิ่มเติม เศรษฐศาสตร์เรื่องการแจกเงินดิจิทัล… https://www.isranews.org/article/isranews-article/126307-digital-5.html

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ศบภ.มทบ.37 ลงพื้นที่ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ฟื้นฟูบ้านเรือนในชุมชนแม่สาย

 

เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567 กองบัญชาการกองทัพบกที่ 37 (ศบภ.มทบ.37) โดย กองพันทหารราบที่ 17 กรมทหารราบที่ 3 ในพระองค์ฯ (ร.17 พัน.3 ในพระองค์ฯ) ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือฟื้นฟูบ้านเรือนของประชาชนในกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม โดยได้ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชุมชนไม้ลุงขน, ชุมชนเกาะทราย และพื้นที่ใกล้เคียง ในเขตอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การลงพื้นที่ในครั้งนี้ถือเป็นการช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนและสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ประสบภัยให้กลับมามีความหวังอีกครั้ง

ลงพื้นที่ฟื้นฟูบ้านเรือนและโรงเรียนในชุมชนไม้ลุงขน

การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ เริ่มจากการทำความสะอาดโรงเรียนบ้านไม้ลุงขน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ ทางเจ้าหน้าที่จาก ศบภ.มทบ.37 ได้ช่วยกันล้างทำความสะอาดพื้น กำแพง รวมถึงจัดเก็บสิ่งของที่ถูกโคลนและเศษซากต่าง ๆ ที่ถูกน้ำพัดมากองทับถมกันหลังน้ำลด เพื่อเตรียมความพร้อมให้โรงเรียนสามารถกลับมาเปิดทำการเรียนการสอนได้ตามปกติเร็วที่สุด

นอกจากนี้ ศบภ.มทบ.37 ยังได้ลงพื้นที่เพิ่มเติมตามคำร้องขอของผู้ใหญ่บ้านในชุมชน เพื่อเข้าช่วยเหลือทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย ในพื้นที่บ้านไม้ลุงขน หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย หนึ่งในบ้านที่ได้รับการช่วยเหลือคือ บ้านของนางภัณฑิลา มูลเมืองคำ ซึ่งเป็นบ้านในกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถซ่อมแซมได้เอง เนื่องจากสภาพโครงสร้างที่เสียหายหนักจากโคลนและน้ำท่วม ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันทำความสะอาด กำจัดดินโคลนที่ทับถมอยู่ภายในบ้าน และซ่อมแซมจุดที่เสียหายอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าของบ้านสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง

ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทหารและชุมชน

การดำเนินการช่วยเหลือครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการช่วยเหลือจากภาครัฐเท่านั้น แต่ยังได้รับความร่วมมือจากชุมชนและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ที่ช่วยประสานงานและนำเสนอข้อมูลการช่วยเหลือที่ต้องการเป็นลำดับแรก เพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของประชาชน โดยการสนับสนุนจาก ร.17 พัน.3 ในพระองค์ฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่มีความเชี่ยวชาญในการฟื้นฟูและบรรเทาสาธารณภัย เป็นการแสดงถึงความร่วมมืออย่างเข้มแข็งระหว่างหน่วยงานรัฐและชุมชนท้องถิ่น

สร้างขวัญกำลังใจและคืนความหวังให้ผู้ประสบภัย

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้ ไม่เพียงแค่การทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านเรือน แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัยที่อยู่ในกลุ่มเปราะบาง ซึ่งบางครอบครัวสูญเสียทั้งทรัพย์สินและบ้านเรือน การลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่จาก ศบภ.มทบ.37 นอกจากจะช่วยเหลือด้านแรงงานแล้ว ยังได้พูดคุยและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฟื้นฟูบ้านเรือนและการดูแลสุขอนามัยหลังน้ำลด เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่อาจมาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด

นางภัณฑิลา มูลเมืองคำ หนึ่งในผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือกล่าวว่า “รู้สึกซาบซึ้งและดีใจมากที่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทหารและชุมชน ทุกคนเข้ามาช่วยกันทำความสะอาด ซ่อมแซมบ้าน และให้กำลังใจ ทำให้มีกำลังใจที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่ะ”

มุ่งมั่นฟื้นฟูและเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติในอนาคต

นายสมจิตร เปี่ยมเปรมสุข อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การซ่อมแซมและฟื้นฟู แต่ยังมีการวางแผนการป้องกันและการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วมในอนาคต ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ทาง วสท. จะทำการสำรวจและออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วมเพิ่มเติมเพื่อให้ชุมชนสามารถป้องกันและลดผลกระทบจากน้ำท่วมในครั้งต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน

จากความช่วยเหลือครั้งนี้ ทำให้เห็นถึงความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานราชการ ภาคประชาชน และชุมชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบ้านเรือนและสภาพแวดล้อม นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งและความสามัคคีในชุมชน ทำให้การช่วยเหลือครั้งนี้ไม่เพียงแค่การซ่อมแซมบ้านเรือนเท่านั้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูจิตใจและสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกคนที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ ห่วงกลุ่มเปราะบางปรับตัวไม่ทันเศรษฐกิจ แจ้งนโยบายหน่วยงานเน้นดูแล

 

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2566 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ขณะนี้ข้อมูลเศรษฐกิจไทยหลายด้านจะปรับตัวดีขึ้น อาทิ  การท่องเที่ยว การจ้างงาน อัตราเงินเฟ้อ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยังคงมีความห่วงใยประชาชนในกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้า มีภาระหนี้สูง ที่ต้องมีการดูความสามารถในการชำระหนี้ให้ดี เนื่องจากเวลานี้อยู่ในช่วงที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจให้มีความเหมาะสม

นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวนโยบายแก่หน่วยงานเกี่ยวข้อง ให้เน้นการดูแลประเด็นหนี้สินครัวเรือนพุ่งเป้าไปที่กลุ่มเปราะบางเฉพาะกลุ่ม รวมถึงกลุ่มผู้เป็นหนี้นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบเพื่อให้ทางการเห็นข้อมูลและมีมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกกระทำการที่ผิดกฎหมาย

“นายกรัฐมนตรีได้รับทราบตามรายงานของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ อาทิ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ว่าในเรื่องของเสถียรภาพระบบการเงิน การชำระหนี้ในภาพรวมทั้งประเทศตอนนี้อยู่ในระดับที่ดี ไม่น่ากังวล ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่หรือมาตรการที่ใช้ในวงกว้างเหมือนช่วงมีการแพร่ระบาดของโควิด19 แต่ให้มีมาตรการพุ่งเป้าดูแลแบบเฉพาะกลุ่มครัวเรือนเปราะบางที่อาจยังปรับตัวไม่ได้ รวมถึงกลุ่มหนี้นอกระบบ”น.ส.ไตรศุลี กล่าว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด19 กระทรวงการคลัง ธปท. ได้ร่วมกับสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ ผู้ประกอบการด้านการเงินแต่ไม่ใช่ธนาคาร(นอนแบงก์) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้เป็นหนี้ในระบบผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การปรับโครงสร้างนี้ การผ่านปรนเกณฑ์การชำระหนี้ ครอบคลุมลูกหนี้ทุกประเภท ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ เอสเอ็มอี และลูกหนี้รายย่อย และมีการปรับปรุงมาตรการให้สอดคล้องสถานการณ์มาโดยต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่1/66  มีผู้ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการของรัฐ แยกเป็นการช่วยเหลือผ่านธนารพาณิชย์และนอนแบงก์ 1.94 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ 1.89 ล้านล้านบาท ผ่านธนาคารเฉพาะกิจ 3.32 ล้านบัญชี ยอดภาระหนี้ 1.48 ล้านล้านบาท รวมการได้รับความช่วยเหลือทั้งสิ้น 5.26 ล้านบัญชี วงเงินรวม 3.37 ล้านล้านบาท

ส่วนการให้ความช่วยเหลือผู้เป็นหนี้นอกระบบธนาคารเฉพาะกิจก็ได้มีโครงการออกมาให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง เช่นกรณีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)  ได้เปิดจุดให้คำปรึกษาเกี่ยวกับหนี้นอกระบบแก่ครอบครัวเกษตรกรที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และล่าสุดได้มีโครงการ “มีหนี้นอกบอก ธ.ก.ส.” เพิ่มความสะดวกให้ผู้ต้องการใช้บริการให้ดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้ โดยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่าน www.baac.or.th หรือ Line Official Account: BAAC Family กรอกข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็น ภาระหนี้สิน และช่องทางติดต่อกลับในระบบ จากนั้นธนาคารจะติดต่อกลับเพื่อนัดหมายเข้าพบพูดคุยให้คำปรึกษาในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งตั้งแต่มีโครงการช่วยเหลือครอบครัวเกษตรกรที่เป็นหนี้นอกระบบ ธ.ก.ส. ได้ช่วยผู้อยู่นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบแล้ว 710,123 ราย เป็นเงิน 59,759.77 ล้านบาท ซึ่งผู้สนใจโครงการสามารถสอบถามที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและ Call Center ธ.ก.ส. 02 555 0555

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News