Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.ชี้ 3 จุดเสี่ยงทุจริตงานประเพณีท้องถิ่น ดันมหาดไทยแก้ระบบสู่ความโปร่งใส

ป.ป.ช. “จี้จุดเสี่ยง” งานประเพณีท้องถิ่น ชี้ช่องโหว่ทุจริต 3 แกนหลัก—ดันชุดมาตรการเชิงระบบ มหาดไทยถูกระบุบทบาท “แม่งาน” ขับเคลื่อนสู่ความโปร่งใสเพื่อประชาชน

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — ในรอบหลายปีที่ผ่านมา งานประเพณีและเทศกาลท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถูกจับตามองว่าเป็น “จุดเปราะบาง” ของวินัยการเงินการคลัง—ตั้งแต่การจัดซื้อจัดจ้างแบบยกเว้นแข่งขัน ไปจนถึงการปล่อยให้เอกชนผูกขาดรายได้ในพื้นที่จัดงาน และการใช้ที่ดินสาธารณะโดยขาดการอนุญาตที่ถูกต้อง ผลคือรัฐเสียโอกาสจัดเก็บรายได้ ประชาชนและผู้ค้าท้องถิ่นเผชิญต้นทุนสูงขึ้น ความศรัทธาต่อภาครัฐถูกกัดกร่อน

บนฉากทัศน์ดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงจัดทำ “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท.—กรณีศึกษา: การจัดงานประเพณี” เสนอไปยังฝ่ายนโยบาย โดยระบุความเสี่ยงหลัก 3 ประเด็น พร้อมมาตรการเชิงระบบ เทคโนโลยี และธรรมาภิบาลให้หน่วยงานกลาง โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย (มท.) ถือธงบูรณาการร่วมกระทรวงการคลังและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) เพื่อยกระดับความโปร่งใสทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ก่อน-ระหว่าง-หลังการจัดงานประเพณีในพื้นที่ทั่วประเทศ

ป.ป.ช. เปิด 3 ช่องโหว่—ชี้ทิศแก้เกม “จัดงานประเพณี” ให้คล่องและโปร่งใส

หนึ่ง—การจัดซื้อจัดจ้างโดยมิชอบ: ป.ป.ช. ระบุว่าในทางปฏิบัติ หลายพื้นที่หลีกเลี่ยงการแข่งขันราคา ใช้วิธีคัดเลือก/วิธีพิเศษบ่อยครั้ง ขณะที่ขอบเขตงาน (TOR) ไม่ชัดเจนพอ ทำให้ดุลพินิจ “ลื่นไหล” และเสี่ยงเอื้อผู้รับจ้างหน้าเดิม ป.ป.ช. เสนอให้ยึดกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ศ. 2560 และมาตรฐาน TOR ตามหนังสือ กค (กวจ) 0405/ว 159 ที่ระบุสาระจำเป็นของ TOR ตั้งแต่ความเป็นมา วัตถุประสงค์ คุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอ ไปจนถึงคุณลักษณะเฉพาะของงาน เพื่อให้ตัดสินได้บนหลักเกณฑ์วัดผล ไม่ใช่ความเห็นส่วนบุคคล

สอง—การจัดการรายได้งานประเพณีรั่วไหล เมื่อมอบสิทธิแก่เอกชนบริหารพื้นที่—ค่าที่จอดรถ ค่าเช่าแผงค้า ค่าบริการสุขา ฯลฯ—พบรูปแบบให้เอกชนผูกขาดเก็บรายได้เอง ขณะที่ อปท. ไม่ได้กำกับอัตราค่าธรรมเนียมอย่างเป็นธรรม ส่งผลให้รายได้รัฐหดหาย ผู้ค้าท้องถิ่นเสียเปรียบ ป.ป.ช. แนะให้ อปท. เปิดเผยโครงสร้างรายได้-รายจ่าย ข้อสัญญา และผลการดำเนินงานบนเว็บไซต์/ป้ายประกาศ เพื่อให้ชุมชนร่วมตรวจสอบได้ และให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดแนวทางตรวจสอบภายในประจำปีสำหรับกิจกรรมที่มีรายได้เกิดขึ้นโดยตรงจากประชาชน

สาม—การใช้ที่ดินสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต: ป.ป.ช. ชี้ว่า การใช้อุทยาน สวนสาธารณะ หรือที่ราชพัสดุจัดงานโดยไม่ผ่านการอนุญาตที่ถูกต้อง ทำให้รัฐเสียสิทธิและอาจเกิดข้อพิพาทกับหน่วยงานผู้ดูแล พ่วงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม จึงเสนอให้ อปท. ทำแผนที่ สอบเขตผู้ครอบครองสิทธิ และขออนุญาตล่วงหน้าตามขั้นตอน เพื่อปิดช่องว่างและสร้างความชัดเจนต่อสาธารณะ

กรอบกฎหมายและคู่มือปฏิบัติ “โครง” มีแล้ว—ต้อง “ยึด” ให้เป็นวินัยเดียวกัน

ในทางกรอบ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน การจัดกิจกรรมสาธารณะ การส่งเสริมกีฬา และการแข่งขันกีฬาของ อปท. พ.ศ. 2564 วางหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายและการเบิกจ่ายไว้อย่างครอบคลุม—ตั้งแต่วิธีอนุมัติ การวางแผนงบประมาณ ไปจนถึงหลักฐานการจ่ายเงินและการตรวจรับงาน หากบังคับใช้อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้การจัดงานประเพณีเป็น “บริการสาธารณะ” ที่ตั้งอยู่บนการใช้เงินแผ่นดินอย่างคุ้มค่าและตรวจสอบได้ (มีเอกสารเผยแพร่มาตรฐานโดยหน่วยงานท้องถิ่นและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อใช้เป็นคู่มือ)

ขณะเดียวกัน หนังสือด่วนที่สุดของกรมบัญชีกลาง กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 กำหนดสาระสำคัญ TOR ที่หน่วยงานต้องจัดทำให้ครบถ้วน—เป็น “เช็กลิสต์” ที่ลดดุลพินิจส่วนบุคคล และยกระดับคุณภาพการเทียบข้อเสนอ โดยเฉพาะงานขนาดใหญ่ที่มีรายได้แฝงจากกิจกรรมพาณิชย์ (ค่าแผง ค่าโฆษณา ฯลฯ) การใช้ TOR ตามแบบแนะนำจึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำสัญญาที่เที่ยงธรรมและโต้แย้งได้ด้วยข้อมูล

กลไกความโปร่งใส เปิดข้อมูล–เปิดเวทีชุมชน–เปิดประตูตรวจสอบ

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. เน้น “เปิดข้อมูลเชิงรุก” เป็นมาตรการแกน—เผยแพร่ประกาศเชิญชวน ร่าง TOR แบบร่างสัญญา ราคากลาง รายงานผลการคัดเลือก แผนผังพื้นที่จัดงาน ปฏิทินงาน รายได้–รายจ่าย และเอกสารเบิกจ่ายที่เกี่ยวข้อง—ซึ่งสอดรับกับชุดตัวชี้วัด ITA (Integrity and Transparency Assessment) ที่ ป.ป.ช. ใช้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสหน่วยงานรัฐทั่วประเทศทุกปี การยกระดับคะแนน ITA จึงไม่ใช่ “แค่คะแนน” แต่สะท้อนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐที่จับต้องได้ผ่านข้อมูลสาธารณะจริง ๆ

อีกด้าน ป.ป.ช. ผลักหลักคิด STRONG–จิตพอเพียงต้านทุจริต ให้ชุมชนร่วมเป็น “ผู้กำกับดูแล” ในพื้นที่ของตน ผ่านเครือข่ายภาคประชาสังคม โรงเรียน ชมรมผู้ค้า และอาสาสมัคร ให้ช่วยสอดส่องและแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นความผิดปกติในขั้นตอนจัดงาน—จากเวทีรับฟังเสียงชาวบ้านถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อทำให้ “วัฒนธรรมไม่ทนต่อการทุจริต” เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน

มหาดไทย–การคลัง–ก.ก.ถ. บทบาท “สามเสาหลัก” ที่ต้องเดินไปด้วยกัน

แกนปฏิบัติการที่ ป.ป.ช. เสนอ คือให้ กระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่กำกับ–สั่งการ อปท. ให้ยึดกฎหมาย/ระเบียบและแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน, ให้ กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ชี้แนวทาง TOR/ราคากลาง/สัญญา—และอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ, ส่วน สำนักงาน ก.ก.ถ. ทำหน้าที่ปรับโครงสร้าง–ข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้หน่วยปฏิบัติสามารถทำงานได้คล่องโดยไม่หลุดกรอบธรรมาภิบาล ทั้งหมดถูกออกแบบให้เชื่อมกับการประเมิน ITA เพื่อเป็น “ตัวชี้วัดผล” ที่เปิดเผยต่อสาธารณะในแต่ละปีงบประมาณ

ตัวเลขที่ชวนคิด เมื่อ “ต้นทุนแฝง” กลายเป็นภาระประชาชน

ประสบการณ์หลายพื้นที่สะท้อนรูปแบบคล้ายกัน—เมื่อเอกชนผูกขาดพื้นที่และตั้งอัตราค่าธรรมเนียมสูง ผู้ค้าท้องถิ่นต้องชำระค่าแผงแพงกว่าคู่แข่งที่มากับผู้จัดงาน รายได้ส่วนหนึ่งไม่ไหลเข้าท้องถิ่น ขณะที่ค่าใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น (ค่าจอดรถ/เข้าห้องน้ำ/บริการสาธารณะ) ข้อเสนอ “เปิดข้อมูลรายได้–รายจ่ายทุกงาน” และ “กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมเป็นธรรม” จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนในชุมชนมองเห็นเส้นทางเงินของงานประเพณี—ว่ากลับมาเป็นสวัสดิการสาธารณะมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่เพียง “ภาพจำสวยงาม” ของงานรื่นเริงเท่านั้น

เชียงรายในภาพใหญ่ จากเทศกาลท้องถิ่น สู่บททดสอบธรรมาภิบาลระดับพื้นที่

เชียงรายเป็นจังหวัดที่งานประเพณี–เทศกาลคือ “แรงขับเศรษฐกิจชุมชน” ตั้งแต่เทศกาลท้องถิ่น งานวัฒนธรรมไปจนถึงกิจกรรมสร้างสรรค์ใหม่ ๆ สิ่งที่ ป.ป.ช. เสนอจึงไม่ใช่ “ภาระ” ของผู้ปฏิบัติ หากเป็น “เข็มทิศ” ให้ผู้ว่าฯ อปท. และท้องที่–ท้องถิ่น จัดวาระร่วมกัน

  1. แผนล่วงหน้า—กำหนดพื้นที่จัดงาน ตรวจสอบสิทธิการใช้ที่ดิน ทำหนังสือขออนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้ครบถ้วน
  2. จัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส—ประกาศ TOR ตามคู่มือ กค (กวจ) 0405/ว 159, ใช้วิธีแข่งขันเท่าที่ทำได้, เปิดข้อมูลสัญญาและผลพิจารณา
  3. จัดเก็บรายได้เป็นธรรม—กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่ “เป็นมิตรต่อผู้ค้า–ประชาชนท้องถิ่น” มีโควตาพื้นที่ให้ผู้ค้าชุมชน และเปิดเผยรายได้–รายจ่ายหลังปิดงาน
  4. เวทีตรวจสอบสาธารณะ—ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาชน–สื่อ–สภาเด็กและเยาวชน ทำบทเรียนหลังงาน (after action review) และรายงานผลบนเว็บไซต์ อปท.

จาก “เอกสาร” สู่ “พฤติกรรมองค์กร” เมื่อตัวชี้วัดต้องแปลเป็นภาคปฏิบัติ

ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การมีระเบียบ–คู่มือ หากอยู่ที่ วินัยของผู้ปฏิบัติ และ แรงจูงใจขององค์กร การหนุนใช้ ITA เป็น “กระจกเงา” ให้หน่วยงาน—ควบคู่การสื่อสารความเสี่ยง (risk communication) และการฝึกอบรมแบบลงมือทำ—เป็นกุญแจให้คะแนนโปร่งใส “ไม่ใช่แค่คะแนน” แต่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่ประชาชนสัมผัสได้ เช่น เห็น TOR ล่วงหน้าจริง เห็นราคากลาง เห็นสัญญา เห็นรายรับ–รายจ่ายหลังจบงานทุกงาน และสามารถถาม–ทัก–ตรวจได้ตลอดเวลา

เส้นทางคลี่คลายปม แผนเดินหน้าที่ “ทำได้ทันที”

  • ยึดกฎหมาย–ระเบียบเป็นฐาน: ใช้ระเบียบ มท. 2564 เป็น “คัมภีร์การเงินงานประเพณี” และ TOR ตาม ว 159 เป็น “แบบมาตรฐาน” ลดความเสี่ยงดุลพินิจส่วนบุคคล
  • เปิดข้อมูลเชิงรุก: ตั้งหน้าเว็บ “ศูนย์ข้อมูลงานประเพณี” ของแต่ละ อปท.—รวมปฏิทินงาน แผนที่พื้นที่ TOR ราคากลาง แบบร่างสัญญา ผลคัดเลือก รายได้–รายจ่าย และบทเรียนหลังงาน
  • ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง: กำหนดเพดานค่าธรรมเนียมแผง–จอดรถ–ห้องน้ำที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อคนในพื้นที่ สัดส่วนพื้นที่ค้าชุมชนต้องชัด
  • สร้างเครือข่าย STRONG: ผนึกโรงเรียน กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ สภาเด็ก–เยาวชน และสื่อท้องถิ่น ร่วมสอดส่องทุกขั้นตอน—จากเวทีรับฟังจนถึงวันปิดงาน

ทำให้งานประเพณี “คืนประโยชน์สาธารณะ” อย่างแท้จริง

ข้อเสนอของ ป.ป.ช. ทำให้ “งานประเพณี” ซึ่งเคยถูกมองเป็นเพียงกิจกรรมรื่นเริง กลับมามีนิยามสาธารณะครบมิติ—วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และธรรมาภิบาล เมื่อโครงกฎหมาย–คู่มือพร้อม ข้อมูลเปิด และประชาชนร่วมกำกับดูแล เม็ดเงินที่เคยรั่วไหลย่อมกลับมาเป็นงบสาธารณะสำหรับพื้นที่ ขวัญกำลังใจผู้ค้า–ชุมชนดีขึ้น ผู้เสียภาษีเห็นภาพชัดว่าเงินที่จ่ายไป “เวียนกลับมา” ในรูปบริการและโครงสร้างพื้นฐานอย่างไร

สำหรับเชียงราย—เมืองที่วัฒนธรรมคือทุน ชุมชนคือหัวใจ—การยกระดับมาตรฐานการจัดงานประเพณีตามแนวทางนี้ ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นต่อรัฐและผู้จัดงาน หากยังเป็น “แบบฝึกหัดธรรมาภิบาล” รายปี ที่ทำให้ท้องถิ่นแข็งแรง โปร่งใส และยั่งยืนกว่าที่เคย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงาน ป.ป.ช. – “ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานของ อปท. (กรณีจัดงานประเพณี)” (เผยแพร่ก.ค. 2568) และบทความอธิบายแนวคิด–มาตรการ (ก.ค. 2568). เอกสารอ้างอิงข้อเท็จจริงเรื่องความเสี่ยง 3 ประเด็นและแนวทางปฏิบัติที่เสนอฝ่ายนโยบาย
  • สำนักงาน ป.ป.ช. – หมวด “มาตรการป้องกันการทุจริต ปีงบประมาณ 2568” ซึ่งแสดงสถานะการพิจารณาของข้อเสนอที่ส่งต่อฝ่ายนโยบาย
  • กรมบัญชีกลาง – หนังสือด่วนที่สุด กค (กวจ) 0405/ว 159 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2566 เรื่องแนวทางจัดทำ TOR และสาระสำคัญที่ต้องมี สร้างมาตรฐานการพิจารณาและลดดุลพินิจ.
  • ระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2564 ว่าด้วยการเบิกค่าใช้จ่ายในการจัดงาน/กิจกรรมสาธารณะ/กีฬา ของ อปท. แนวทางต้นแบบสำหรับวินัยการเงินการคลังของท้องถิ่น (มีเอกสารเผยแพร่ใช้อ้างอิงโดยหน่วยงานท้องถิ่น)
  • โครงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) โดยสำนักงาน ป.ป.ช.—กรอบคิด ตัวชี้วัด และการประกาศผลการประเมินหน่วยงานรัฐ ซึ่งใช้เป็น “กระจก” สะท้อนความก้าวหน้าด้านความโปร่งใส
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายได้งบกลางก้อนใหญ่ 363 ล้านบาท ซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท ฟื้นฟูเชียงราย 18 โครงการ หลังวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ซ่อม–เสริม–สร้างขวัญ พร้อมปูรากฐานรับมือภัยพิบัติรอบใหม่

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 — หนึ่งปีให้หลังจากมหาอุทกภัยปลายปี 2567 เชียงรายกำลังยกเครื่องฟื้นฟูครั้งใหญ่ด้วย “งบกลาง” 363.62 ล้านบาท ที่ ครม. อนุมัติเมื่อ 26 ส.ค. 2568 โจทย์ไม่ได้มีเพียงซ่อมถนน–เขื่อน–ระบายน้ำ แต่ต้องประคองเศรษฐกิจท้องถิ่นและขวัญกำลังใจชุมชนไปพร้อมกัน ตัวเลขนี้คิดเป็นราว 5.6% เมื่อเทียบมูลค่าความเสียหายรวมของจังหวัด 6,412 ล้านบาท สะท้อนว่า “งบชุดนี้” มุ่งจี้จุดโครงสร้างพื้นฐานรัฐเป็นหลัก ขณะที่การเยียวยาภาคครัวเรือนและเกษตรถูกผลักไปยังแหล่งงบและมาตรการอื่น การเดินเกมหลายชั้นเช่นนี้ จะเพียงพอที่จะเปลี่ยน “ความเสียหาย” ให้กลายเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ได้จริงหรือไม่—คำตอบอยู่ที่ประสิทธิภาพการบูรณาการและความต่อเนื่องหน้างานมากกว่าตัวเลขเพียงอย่างเดียว

บทเรียนจากปลายปี 2567 เมื่อเชียงราย “หนักสุด” ในประเทศ

ปลาย ก.ย.–ต.ค. 2567 เชียงรายเผชิญน้ำหลาก–ดินโคลนถล่มจากอิทธิพลพายุหลายลูก พื้นที่ อ.แม่สาย ถูกซัดซ้ำด้วยตะกอนและน้ำป่า โครงสร้างพื้นฐานทั้งถนน คอสะพาน โรงเรียนเสียหายจำนวนมาก การประเมินในห้วงวิกฤตระบุว่า 9 อำเภอ ได้รับผลกระทบ 53,209 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ระบบประปาบางจุดต้องหยุดบริการชั่วคราว สรุปความเสียหายด้านเศรษฐกิจของเชียงราย 6,412 ล้านบาท สูงสุดในประเทศ ขณะที่ทั้งประเทศเสียหายราว 24,251 ล้านบาทเชียงรายแบกไว้ถึงหนึ่งในสี่ ของความสูญเสียทั้งหมด

ไม่นานหลังเหตุการณ์ 29 พ.ย. 2567 รัฐบาลเคยอนุมัติโครงการเร่งด่วนบางส่วนไปแล้ว ทว่าการ “ซ่อมใหญ่” ที่ต้องสำรวจ–ออกแบบ–ขออนุญาต–เข้าประชุม ครม. เป็นเรื่องของเวลา รอบนี้จึงเป็น งบฟื้นฟูเชิงโครงสร้างระยะกลาง–ยาว ที่เดินตามกระบวนการงบประมาณ

งบกลาง 363.62 ล้านบาท จุดโฟกัสและเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์

แม้ตัวเลข 363.62 ล้านบาทจะดูเล็กเมื่อเทียบ “ความเสียหาย 6,412 ล้านบาท” (คิดเป็น ประมาณ 5.6% โดยการคำนวณ 363.62 ÷ 6,412 = 0.0567) แต่ “ฐานคิด” งบกลางชุดนี้ต่างกัน:

  • มุ่งซ่อม–เสริมทรัพย์สินสาธารณะของรัฐ (ถนน เขื่อน ระบบระบายน้ำ ระบบสาธารณูปโภค) เพื่อให้เมืองและการสัญจรกลับสู่สมรรถนะ
  • ระบายแรงกดดันเศรษฐกิจ–สังคม ด้วยกิจกรรมกระตุ้นท่องเที่ยว–ตลาดชุมชน เพื่อเยียวยาจิตใจและรายได้ฐานราก
  • เปิดทางโครงการสำคัญที่ติดขั้นตอนที่ดิน ให้เดินต่อได้ เมื่อผ่านการอนุญาตจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่

ขณะเดียวกัน การช่วยเหลือด้านอื่นยังมาจาก “ถังงบคนละใบ” เช่น มาตรการช่วยค่าไฟฟ้าผู้ประสบอุทกภัยใน 18 จังหวัด วงเงิน 1,696 ล้านบาท (ยกเว้นค่าไฟเดือนก.ย. 67 และลด 30% เดือนต.ค. 67 สำหรับครัวเรือน/กิจการขนาดเล็กที่เข้าเกณฑ์) รวมถึงงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเชียงรายที่เคยอนุมัติ 49.92 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเร่งด่วน และงบซ่อมทาง–แหล่งน้ำในจังหวัดอื่นที่ ครม. อนุมัติในช่วงเม.ย.–พ.ค. 2568 สะท้อน “ภาพใหญ่” ว่า การจัดการภัยพิบัติไทยยังเดินด้วยหลายกลไกพร้อมกัน

“18 โครงการ” ที่ได้รับไฟเขียว ซ่อมกายภาพ–ยกเครื่องเมือง–ปลุกเศรษฐกิจ

การจัดชุดฟื้นฟูครั้งนี้ครอบคลุม สามมิติหลัก ดังนี้

1) โครงสร้างพื้นฐาน (รวม ราว 264.49 ล้านบาท)

ซ่อม–เสริมระบบคมนาคมและป้องกันตลิ่งในจุดวิกฤต โดยมีงานเด่น ได้แก่

  • ฟื้นฟู–ป้องกันทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางหลักที่รับภาระการสัญจรเมือง–ชานเมือง
  • ฟื้นฟูทางหลวง 1232 ช่วงอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย–เวียงชัย (กม. 0+000–2+000) วงเงิน 45.00 ล้านบาท – เส้นทางเศรษฐกิจสำคัญของตัวจังหวัด
  • ซ่อมถนน–รางระบายน้ำในชุมชนแม่สาย หลายจุด: เหมืองแดง (52.23 ล้านบาท), ไม้ลุงขน (53.20 ล้านบาท), เกาะทราย (24.04 ล้านบาท), ป่ายางชุม (12.18 ล้านบาท), สายลมจอย–ดอยเวา (12.18 ล้านบาท) — โฟกัสจ่อจุดน้ำหลากซ้ำซาก
  • ถนนเลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) 3.28 ล้านบาท และ ปรับผิวจราจร–ฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ 1.80 ล้านบาท เพื่อคืนสภาพความปลอดภัย
  • ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (สวนสาธารณะฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) 25.00 ล้านบาท และ เขื่อนสวนสาธารณะเกาะลอย 14.23 ล้านบาท — เพิ่มเกราะกันน้ำกัดเซาะพื้นที่สาธารณะ
  • เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย 17.63 ล้านบาท — ช่วย “คอขวด” เมืองชั้นในให้ระบายทันฝน

หมายเหตุสำคัญ ยังมีโครงการ ก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) วงเงิน 29.10 ล้านบาท ที่ยัง “ไม่เข้าแพ็กเกจ” เพราะอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์ หากผ่านจะสามารถเสนอของบในขั้นตอนต่อไปได้

2) ระบบสาธารณูปโภค (รวม 32.65 ล้านบาท)

  • ปรับปรุงซ่อมแซมระบบจัดการน้ำเสีย 17.65 ล้านบาท — ลดความเสี่ยงด้านสุขาภิบาลหลังน้ำลด
  • ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย 15.00 ล้านบาท — รองรับภาระขยะหลังการทำความสะอาดครั้งใหญ่

3) ฟื้นฟูเศรษฐกิจ–สังคม (รวม 20.20 ล้านบาท)

  • โครงการ “หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival)” 9.68 ล้านบาท — เทศกาลแสงสีคืนชีวิตเมือง กระตุ้นท่องเที่ยว–บริการ–ค้าปลีก
  • บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของเชียงราย 9.33 ล้านบาท — แพ็กเกจพยุงกิจกรรมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • ส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน 1.19 ล้านบาท — ปรับตัว “ของดีชุมชน” สู่ตลาดยุคใหม่

ภาพรวมสะท้อนแนวคิด “ฟื้นบ้าน–ฟื้นเมือง–ฟื้นใจ” ไม่ใช่ซ่อมกายภาพเพียงอย่างเดียว แต่ประคองรายได้–แรงงาน–ความหวังให้กลับมาคึกคักพร้อมกัน

ทำไม “เทศกาลแสงสี” จึงอยู่ในงบฟื้นฟูน้ำท่วม?

คำถามนี้ถูกตั้งขึ้นแทบทุกครั้งที่มี “งบอีเวนต์” เข้ามาในแพ็กเกจภัยพิบัติ เหตุผลเชิงนโยบายคือ เศรษฐกิจเชียงรายพึ่งพาการท่องเที่ยว และ กิจกรรมเมือง การคืน “เหตุผลให้คนออกมาใช้จ่าย” มีผลต่อรายได้หาบเร่–แผงลอย–โรงแรม–ร้านอาหาร–รถรับจ้าง ตลอดจนสร้าง “วาระแห่งเมือง” ให้ผู้คนร่วมกันก้าวข้ามบาดแผล อย่างไรก็ดี ความคุ้มค่า–ความโปร่งใส–ตัวชี้วัด (จำนวนนักท่องเที่ยว ยอดใช้จ่าย หมุนเวียนในท้องถิ่น) ต้องถูกติดตามอย่างจริงจัง เพื่อให้ “ทุกบาท” กลับมาเป็น “โอกาส” ไม่ใช่แค่ภาพจำชั่วคราว

จากวิกฤตสู่โอกาสปรับระบบให้ “ไว–ลึก–ยืดหยุ่น”

การอนุมัติครั้งนี้เกิดเกือบครบปีหลังเกิดเหตุการณ์ สะท้อนความเป็นจริงของกระบวนการงบฟื้นฟูขนาดใหญ่ที่ต้อง สำรวจ–ออกแบบ–อนุญาต–พิจารณา ครม. ประเด็นเชิงระบบที่ผู้ปฏิบัติหน้างานชี้ตรงกัน คือ

  1. เร่งรัดขั้นตอนหลังภัย: ให้งบซ่อมใหญ่ “เริ่มได้เร็ว” กว่าวัฏจักรงบประจำปีปกติ โดยวางกลไกสำรวจความเสียหายมาตรฐาน–ทีมนักออกแบบเร่งด่วน–กรอบเงื่อนไขจัดซื้อเฉพาะฉุกเฉินที่คุมได้
  2. ลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า: แทน “ซ่อมหลังพัง” ควร ขุดลอก–ขยายทางระบายน้ำ–ยกผิวจราจรจุดเสี่ยง ตามข้อมูลภูมิประเทศ–สถิติฝน–ประวัติน้ำท่วม เพื่อบรรเทาผลกระทบคลื่นวิกฤตรอบถัดไป
  3. ศูนย์ข้อมูลเดียว–มาตรฐานเดียว: รวมศูนย์ข้อมูลความเสียหาย–โครงการ–สถานะงาน ให้ทุกหน่วยใช้ ข้อมูลชุดเดียวกัน ลดซ้ำซ้อน และเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อคุมความโปร่งใส
  4. เชื่อม “งานแข็ง” กับ “งานนุ่ม”: สร้างเครือข่ายอาสา–ชุมชน–ท้องถิ่นคู่ขนานงานวิศวกรรม เช่น การเตือนภัยชุมชน–ช่องทางร้องเรียนเร็ว–การซ้อมอพยพ เพิ่ม “ภูมิทัศน์ความพร้อม” ของเมืองทั้งระบบ

เสียงจากตัวเลข งบ 363.62 ล้านบาท จะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง?

  • คืนสมรรถนะเมือง: เมื่อถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งกลับมาทำงาน การเดินทาง–ขนส่ง–ท่องเที่ยวจะ “ไหลลื่น” ขึ้น ลดต้นทุนแฝงหลังวิกฤต
  • กันซ้ำจุดเดิม: งานระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่งในจุดล่อแหลม เช่น ริมกก–ย่านเทศบาล จะลดโอกาส “ท่วมซ้ำ–กัดเซาะซ้ำ”
  • ฟื้นขวัญ–รายได้: กิจกรรมเมืองและโครงการตลาดชุมชน ช่วยให้เศรษฐกิจฐานราก “เริ่มเดิน” ระหว่างรอโครงการใหญ่ทยอยเสร็จ
  • เซ็ตมาตรฐานใหม่: โครงการที่ยังติดขั้นตอนที่ดิน (เช่น เขื่อนธนารักษ์ 29.10 ล้านบาท) จะเป็นบททดสอบว่าระบบประสานงานที่ดิน–น้ำ–ทางหลวง ทำได้เร็วเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้วัดที่ “ก้อนงบ” แต่คือ ผลลัพธ์เชิงพื้นที่ — ถนนที่น้ำไม่ขัง, ชุมชนที่ไม่ต้องอพยพซ้ำ, ผู้ประกอบการที่ลืมตาได้ และ การสื่อสารความคืบหน้าอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนติดตามได้

ไทม์ไลน์ย่อ จากน้ำหลากสู่เงินลงพื้นที่

  • ก.ย.–ต.ค. 2567: น้ำหลาก–ดินโคลนถล่ม 9 อำเภอ กระทบ 53,209 ครัวเรือน เสียชีวิต 14 ราย
  • ปลาย ก.ย. 2567: นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่กำชับฟื้นฟู–ช่วยเหลือเร่งด่วน
  • 29 พ.ย. 2567: ครม. อนุมัติโครงการเร่งด่วนเบื้องต้นบางส่วน
  • ตลอดต้น–กลางปี 2568: จังหวัดจัดทำแผนฟื้นฟู–สำรวจ–ออกแบบ–ประสานหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
  • 26 ส.ค. 2568: ครม. อนุมัติงบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับ 18 โครงการในเชียงราย (ผ่านการเสนอโดยกระทรวงมหาดไทย และเบิกจ่ายตามระเบียบผ่านสำนักงบประมาณ)

มองไปข้างหน้า เชียงราย “ยืดหยุ่นขึ้น” ได้อย่างไร

  1. ส่งมอบงานให้ทันฤดูฝน: งานถนน–ระบายน้ำต้องเร่งจังหวะให้สอดคล้องฤดูกาล ลดความเสี่ยงงานเปิดหน้าขุดในช่วงฝนชุก
  2. คุมคุณภาพ–ความทนทาน: ใช้มาตรฐานวัสดุและแบบก่อสร้างที่เหมาะกับพื้นที่ลาดเชิงเขา–ดินอุ้มน้ำสูง เพิ่มอายุใช้งาน
  3. รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ: เปิดเผยงบ–สัญญา–สถานะงาน–รูป Before/After ต่อสาธารณะในเว็บ/เพจทางการ เพื่อความโปร่งใส–ร่วมตรวจสอบ
  4. ยกระดับ “แผนที่เสี่ยง”: ผนวกข้อมูลฝน–น้ำหลาก–ทิศทางไหล–จุดคอขวด เข้ากับงานวางผังเมือง–จราจร–ก่อสร้างใหม่ ลดสร้างปัญหาในอนาคต

จาก “งบฟื้นฟู” สู่ “วาระป้องกันใหม่ของเมือง”

แพ็กเกจ 363.62 ล้านบาท คือก้าวสำคัญที่จะช่วยให้เชียงรายกลับมายืนได้มั่นคงขึ้น ทั้งในเชิงคมนาคม ป้องกันตลิ่ง สุขาภิบาล และเศรษฐกิจชุมชน แต่คำถามที่ยากกว่า คือเมืองจะ ไม่กลับไปเจอซ้ำ ได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่การลงทุนเชิงป้องกันล่วงหน้า–การเร่งรัดขั้นตอนโครงการ–การสื่อสารโปร่งใส และการยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง เมื่อ “ซ่อมวันนี้” ถูกวางบนฐานคิด “กันพรุ่งนี้” เชียงรายจะไม่เพียงฟื้นตัว แต่จะ ยืดหยุ่น พร้อมรับพายุลูกต่อไป

โครงการที่ได้รับอนุมัติ (สรุปตามเอกสารจังหวัด)

  1. หลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival) — 9.68 ลบ.
  2. ฟื้นฟูทางหลวงหมายเลข 131 (กม. 8+700–9+300) — 45.00 ลบ.
  3. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเหมืองแดง (แม่สาย) — 52.23 ลบ.
  4. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนเกาะทราย (แม่สาย) — 24.04 ลบ.
  5. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนไม้ลุงขน (แม่สาย) — 53.20 ลบ.
  6. ถนน–รางระบายน้ำ สายลมจอย–ดอยเวา (เวียงพางคำ) — 12.18 ลบ.
  7. ถนน–รางระบายน้ำ ชุมชนป่ายางชุม (แม่สาย) — 12.18 ลบ.
  8. ถนน ค.ส.ล. เลียบคลองชลประทาน (ริมกก, อ.เมือง) — 3.28 ลบ.
  9. ปรับปรุงระบบจัดการน้ำเสีย — 17.65 ลบ.
  10. บูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ — 9.33 ลบ.
  11. ฟื้น–พัฒนาทางหลวง 1232 (กม. 0+000–2+000) — 45.00 ลบ.
  12. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก (ฝั่งหมิ่น–ร่องเสือเต้น–ป่าแดง) — 25.00 ลบ.
  13. เพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำ เขตเทศบาลนครเชียงราย — 17.63 ลบ.
  14. ซ่อมเขื่อนป้องกันตลิ่งสวนสาธารณะเกาะลอย — 14.23 ลบ.
  15. ปรับปรุงทางเท้าถนนกองคำ ชุมน้ำลัด — 5.00 ลบ.
  16. ปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย — 15.00 ลบ.
  17. ปรับผิวจราจร (AC) และฟุตปาธถนนไกรสรสิทธิ์ — 1.80 ลบ.
  18. ส่งเสริม–พัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน — 1.19 ลบ.

อยู่ระหว่างขั้นตอน เขื่อนป้องกันตลิ่งริมกก (หมู่บ้านธนารักษ์, อ.เมือง) — 29.10 ลบ. รออนุญาตใช้ที่ดินราชพัสดุ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 สิงหาคม 2568: รายการ “งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น” สำหรับจังหวัดเชียงราย (18 โครงการ วงเงิน 363.62 ล้านบาท) — เอกสารสรุปผลการประชุม ครม. และข่าวแจกสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • สำนักงบประมาณ (สงป.): คำชี้แจงการเบิกจ่ายงบกลางปีงบประมาณ 2568 หมวดฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานจังหวัดที่ประสบสาธารณภัย
  • กระทรวงมหาดไทย: หนังสือเสนอ ครม. โครงการฟื้นฟูหลังอุทกภัยจังหวัดเชียงราย และกรอบนโยบายช่วยเหลือ/เยียวยาจังหวัดประสบภัย
  • จังหวัดเชียงราย (สำนักงานจังหวัด/ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย): แผนฟื้นฟู 19 โครงการที่เสนอ (อนุมัติจริง 18 โครงการ) และรายละเอียดรายการงานถนน–ระบายน้ำ–เขื่อนตลิ่ง–กิจกรรมเศรษฐกิจ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.): สรุปสถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 จังหวัดเชียงราย—จำนวนครัวเรือน/ผู้เสียชีวิต/โครงสร้างพื้นฐานที่เสียหาย
  • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) / กระทรวงมหาดไทย: มาตรการช่วยค่าไฟฟ้า 18 จังหวัดผู้ประสบอุทกภัย (ยกเว้นเดือน ก.ย. 67 และลด 30% เดือน ต.ค. 67) อนุมัติในวาระเดียวกัน
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.): มติ/งบประมาณช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย 49.92 ล้านบาท (กันยายน 2567)
  • กรมทางหลวง/กรมทางหลวงชนบท/กรมชลประทาน: ข่าว/เอกสารงบซ่อมโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งน้ำในจังหวัดต่าง ๆ (เม.ย.–พ.ค. 2568) เพื่อเทียบเคียงภาพรวมงบภัยพิบัติของปีงบประมาณเดียวกัน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“ภูมิธรรม” ชูโรดแมป 8 Quick Wins บีบงานเร่งด่วนเห็นผลใน 90 วัน

“8 Quick Wins” กับโจทย์ใหญ่ของมหาดไทยภายใน 3 เดือน

  • บริบทความเร่งด่วนมี “ตัวเลข” รองรับ: หนี้ครัวเรือนไทยแตะ ราว 91% ของจีดีพี ในไตรมาส 1/2568—ระดับใกล้จุดสูงสุดและยังเป็นแรงกดทับคุณภาพชีวิตประชาชนและกำลังซื้อฐานราก ขณะที่คดีอาชญากรรมออนไลน์ปี 2567 ก่อความเสียหาย หลายหมื่นล้านบาท สวนกระแสความพยายามกวาดล้างของรัฐ อีกด้าน ปัญหายาเสพติดยังรุนแรงต่อเนื่องตามด่านชายแดนและโครงข่ายข้ามชาติ ซึ่งสอดคล้องกับสัญญาณเตือนจาก UNODC/AP ว่าปริมาณ “ยาเสพติดสังเคราะห์” ในภูมิภาคยังสูง การประกาศ “3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข” จึงวางโจทย์ตรงกลางระหว่าง ความมั่นคงของชุมชน และ คุณภาพชีวิตเศรษฐกิจครัวเรือน ที่ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรมเร็ว ๆ นี้
  • กลไกขับเคลื่อน ทุก 15 วัน กับ คณะกรรมการระดับชาติ ที่รัฐมนตรีตั้งขึ้น โดยมีนายอภิชาติ โตดิลกเวชช์เป็นประธาน ถือเป็น “สวิตช์ความเร็ว” ที่จะทดสอบระบบบังคับบัญชาแบบยกกำลัง—จากส่วนกลางลงถึงจังหวัด อำเภอ และหมู่บ้าน พร้อมกำหนดเส้นตาย 3 เดือน เพื่อปิดดีล “Quick Wins” แรกของกระทรวง
  • หากคิกออฟใหญ่ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมผู้เข้าร่วมกว่า 3,000 คน เป็นการ “ตั้งธง” ทางการเมือง-นโยบายให้ตรงกันทั้งประเทศ คำประกาศ “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม : มองไกล ใจเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่งประชาชน” คือประโยคตั้งเข็มทิศที่ต้องพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงในพื้นที่ ไม่ใช่เพียงสโลแกน

 “ภูมิธรรม” ชูโรดแมป “8 Quick Wins” บีบงานเร่งด่วนเห็นผลใน 90 วัน ตั้งคกก.ติดตามทุก 15 วัน เร่ง “ไร้ทุกข์”–ต่อยอด “สร้างสุข” ให้ประชาชน

ประเทศไทย, 23 สิงหาคม 2568 — อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดถึงนายอำเภอ จากปลัดอำเภอถึงผู้นำท้องถิ่น ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงและภาคีเครือข่าย เมื่อ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก้าวขึ้นเวทีและประกาศคำมั่น มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม มองไกล ใจเป็นหนึ่ง เป็นที่พึ่งประชาชน” ก่อนเปิดแผนเร่งด่วน “8 Quick Wins: 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข” พร้อมเส้นตาย “ให้เห็นผลจริงภายใน 3 เดือน” เพื่อยืนยันว่าคำสัญญาจากส่วนกลางจะไม่หยุดแค่พิธีเปิด แต่จะไปต่อถึงปลายน้ำในทุกตำบล หมู่บ้าน และชุมชนทั่วประเทศ

ทำไม “ตอนนี้” และ “เร็ว” จึงสำคัญ

เบื้องหลังคำว่า “Quick Wins” มีเหตุผลเชิงโครงสร้างรองรับ ในระดับครัวเรือน ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยในไตรมาส 1/2568 อยู่แถว 91% ของจีดีพี ระดับ “สูงติดอันดับโลก” ทำให้ครัวเรือนจำนวนมากเผชิญต้นทุนดอกเบี้ยสูง กำลังซื้อต่ำ และช่องว่างทางโอกาสที่กว้างขึ้น การแก้หนี้ต้องเดินคู่กับการเพิ่มรายได้และการเข้าถึงบริการรัฐที่สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม เพื่อคลี่คลายความกดดันเชิงสังคมที่ซ้อนอยู่ใต้พรม.

ด้านความปลอดภัย สถิติ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์-ล็อตเตอรี่ปลอม-หลอกลงทุนผ่านแอปยังพุ่งสูง สร้างความเสียหายรวม หลายหมื่นล้านบาท ในปีที่ผ่านมา สะท้อนว่าการป้องกันเชิงรุก-ปราบปรามเชิงซ้อน และการฟื้นฟูผู้เสียหายด้วยกระบวนการยุติธรรมที่เข้าถึงง่าย ยังเป็นจิ๊กซอว์ที่ต้องเชื่อมให้ติด ขณะที่ปัญหา ยาเสพติดสังเคราะห์ ไหลข้ามพรมแดนยังไม่คลายสอดคล้องกับรายงานสถานการณ์ภูมิภาคของ UNODC ที่ชี้ว่าปริมาณและการยึดจับในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังอยู่ในระดับสูง

บนฉากใหญ่ของภัยพิบัติและสภาพอากาศสุดขั้ว ประเทศไทยเพิ่งเร่งเครื่องวางระบบ Cell Broadcast System (CBS) เพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยพิบัติ “ตรงถึงมือถือ” ครอบคลุมเลขหมายกว่า ร้อยล้านเบอร์—อีกขั้นของการคุ้มครองประชาชนในพื้นที่เสี่ยง หากเครื่องมือพร้อมใช้งานจริงได้ทั่วหน้า ย่อมลดความสูญเสียและยกระดับความเชื่อมั่นต่อรัฐในยามวิกฤต

“3 ไร้ทุกข์” ดับปัญหาเรื้อรังให้ถึงราก

แพ็กแรกของ Quick Wins เน้น “ขจัดทุกข์” 3 เรื่องหลักที่แตะชีวิตผู้คนโดยตรง

  1. เร่งกวาดล้างยาเสพติดเชิงรุก — ตั้งแต่ชายแดนถึงชุมชน ผ่านการบูรณาการตำรวจ-ฝ่ายปกครอง-ทหาร-ป.ป.ส.-สาธารณสุข—ครบวงจร ป้องกัน–ค้นหา–บำบัด–ฟื้นฟู เป้าคือ “No Drugs, No Dealers” ให้เห็นในระดับหมู่บ้าน โดยเน้นตัดเส้นเลือดฝอย (ผู้ค้ารายย่อย/เครือข่ายส่งต่อ) ควบคู่กับทำแผนรายบุคคลให้ผู้เสพกลับสู่ครอบครัวและงานได้อย่างยั่งยืน ลดโอกาสการกลับไปพัวพันซ้ำ
  2. จัดระเบียบสังคม–ปราบผู้มีอิทธิพลและอาชญากรรมยุคใหม่ — กวาดล้าง แก๊งคอลเซ็นเตอร์/หลอกลงทุน/ฟอกเงิน โดยใช้ฐานข้อมูลและการสืบสวนดิจิทัล สั่งการเชื่อม ศูนย์ดำรงธรรม–ตำรวจไซเบอร์–ธนาคาร–กสทช. เพื่อ “ตัดตอนเงิน” ให้ทันก่อนไหลออกนอกระบบ กดดันทั้งบนดิน-ออนไลน์ พร้อมยึดทรัพย์สินเครือข่ายผิดกฎหมายเพื่อนำคืนผู้เสียหาย
  3. ทำให้ทุกพื้นที่ “ปลอดภัยสำหรับทุกคน” — เร่งปรับปรุงไฟส่องสว่าง–CCTV จุดเสี่ยงทางกายภาพ ปรับดีไซน์พื้นที่สาธารณะให้รองรับกลุ่มเปราะบาง และทดสอบใช้งาน CBS เตือนภัยพิบัติระดับจังหวัด/อำเภอควบคู่ระบบแจ้งเตือนเดิม ช่วยลดเวลาตอบสนองในเหตุฉุกเฉิน

“5 สร้างสุข” ต่อท่อคุณภาพชีวิตให้เติบโตยั่งยืน

จาก “ไร้ทุกข์” สู่ “สร้างสุข” กระทรวงวางเป้าสร้างผลบวกเชิงโครงสร้างบน 5 มิติ

  1. แก้หนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบ — แม้การจัดการหนี้เป็นอำนาจร่วมของหลายหน่วย (ธปท.-คลัง-ยุติธรรม) แต่มหาดไทยจะขับเคลื่อนบทบาท “นายอำเภอ–ท้องถิ่น” เป็น Frontline Broker ทำ คลินิกหนี้ระดับอำเภอ ภายใต้กติกากลาง เชื่อมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ/พักชำระ/รีไฟแนนซ์ พร้อมเวิร์กช็อป “วินัยการเงิน” ในชุมชน เป้าคือให้ครัวเรือนที่เปราะบางหลุดจากวงจรหนี้นอกระบบและฟื้นศักยภาพรายได้. (ฐานปัญหา: หนี้ครัวเรือนสูงใกล้จุดพีก)
  2. สุขภาวะและการศึกษาชุมชน — ขยายบทบาท อปท.–รพ.สต.–อาสาสมัคร ให้มี “ผู้จัดการดูแลผู้สูงอายุ” ในระดับหมู่บ้าน ส่งเสริม เศรษฐกิจสุขภาพ (อาหารปลอดภัย Farm to Table–อาชีพดูแลผู้สูงวัย) ควบคู่ยกระดับการศึกษาและทักษะอาชีพเยาวชนเชิงพื้นที่ เพื่อ “จับคู่” อุปสงค์–อุปทานแรงงานจริง ลดช่องว่างงานกับความสามารถ.
  3. เมืองคึกคักด้วย Soft Power — หนุน “1 ตำบล 1 Start-up” และกิจกรรมสร้างสรรค์ตามโมเดล 5F (Food–Film–Fashion–Fighting–Festival) ผูกกับอัตลักษณ์ชุมชนและปฏิทินท่องเที่ยวท้องถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจฐานราก (สอดคล้องกรอบนโยบายรัฐบาลด้าน Soft Power)
  4. บริการรัฐสะดวก–รวดเร็ว — เร่งขยายบริการดิจิทัลของกรมการปกครองและหน่วยในสังกัด ให้ประชาชน “ทำธุระกับรัฐ” ออนไลน์ได้มากขึ้น ลดเอกสาร ลดระยะเวลา ขยายจุดบริการเคลื่อนที่—โดยคิกออฟให้ทุกจังหวัดประกาศ “รายการบริการด่วน” ที่จะปรับปรุงภายใน 90 วันแรกตามเป้า Quick Wins
  5. ยกระดับระบบรับเรื่องร้องทุกข์ — ปรับบทบาท “ศูนย์ดำรงธรรม” ให้เป็น One-Stop Mediation & Resolution เชื่อมฐานข้อมูลกลาง–ติดตามผลแบบเรียลไทม์ ตั้ง KPI การปิดเรื่องในเวลาที่กำหนด และวิเคราะห์ปัญหาเชิงพื้นที่จากดาต้า เพื่อป้องกันการร้องเรียนซ้ำซาก ทั้งนี้ ศูนย์ดำรงธรรมเป็นช่องทางรัฐ–ประชาชนที่มีภาระงานสูงมาโดยตลอด และถูกยกระดับบทบาทอย่างต่อเนื่องในช่วงหลัง.

กลไก–ความเร็ว–การลงมือทำ” ตั้งคณะกรรมการกลาง ติดตามทุก 15 วัน

เพื่อให้โรดแมป “จากเวทีสู่พื้นที่” เดินได้จริง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยประกาศตั้ง คณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายของกระทรวงมหาดไทย” มี นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ เป็นประธาน ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง–กำกับ–ติดตาม–รายงานผล” ต่อเนื่อง ทุก 15 วัน โดยมีกลไกจากทุกกรมร่วมเป็นทีมขับเคลื่อนกลาง ขณะเดียวกัน ทุกจังหวัด ต้องตั้งคณะกรรมการลักษณะเดียวกันเป็นมิเรอร์ในระดับพื้นที่ แปลงนโยบายเป็นแผนงาน-โครงการ-ตัวชี้วัดและกรอบเวลาเดียวกันทั้งหมด เพื่อลดปัญหา “แปลนโยบายคนละฉบับ” ที่มักเกิดขึ้นในระบบราชการขนาดใหญ่

“สิ่งที่เราเริ่มวันนี้ ไม่ใช่แค่แผนบนกระดาษ แต่คือพันธสัญญาที่ต้องเห็นผลกับประชาชนในเวลาอันสั้น” — สารจากเวทีคิกออฟซึ่งย้ำ “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม” ว่าต้องวัดได้จริงในชุมชน

ดัชนีวัดผล จะรู้ได้อย่างไรว่าชนะ “เร็วและจริง”

ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณะจำนวนมากเห็นพ้องว่า Quick Wins ต้องกำหนด “ตัวชี้วัดที่จับต้องได้” และเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ—เพื่อสร้างแรงกดดันเชิงบวกต่อระบบปฏิบัติการของรัฐ บทเรียนจากคดี อาชญากรรมออนไลน์ ชี้ว่าการ “ตัดตอนช่องทางการเงิน” เร็วขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง อาจลดความเสียหายรวม หลายพันล้านบาทต่อปี ในขณะที่การบูรณาการแก้ ยาเสพติด หากวัดผลที่ “จำนวนผู้ผ่านโปรแกรมบำบัดกลับสู่สังคมได้จริง” และ “จุดเสี่ยงลดลง” (มากกว่าจำนวนจับกุมล้วน ๆ) จะทำให้การลงทุนงบประมาณตอบโจทย์มนุษย์และชุมชนมากขึ้น

ด้านความปลอดภัยสาธารณะ การทดสอบ–ใช้งาน CBS อย่างเป็นระบบ ร่วมกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไฟ–กล้อง และการซ้อมรับมือภัยพิบัติระดับอำเภอทุกเดือน สามารถวัดผลได้จาก เวลาเฉลี่ยในการแจ้งเตือน และ สัดส่วนประชาชนที่ได้รับแจ้งเตือนทันเวลา ซึ่งจะสะท้อน “ความพร้อมของรัฐ” ที่ประชาชนสัมผัสได้โดยตรง

ปิดเกม 3 เดือนอย่างไรให้ “ยั่งยืน”

แม้ Quick Wins จะเน้น “เร็ว” แต่การสร้าง ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ต้องประคอง 3 องค์ประกอบพร้อมกัน
หนึ่ง กลไกสั่งการต้อง “บาง เบา เร็ว” โดยคณะกรรมการระดับชาติช่วย “แก้คอขวด” ให้พื้นที่
สอง งบประมาณและบุคลากรต้อง “ตรงจุด” โดยเฉพาะงานไซเบอร์–ข้อมูล–สังคมสงเคราะห์–บำบัดฟื้นฟู
สาม การสื่อสารสาธารณะต้อง “โปร่งใส ตรวจสอบได้” ผ่านแดชบอร์ดจังหวัด/อำเภอที่อัปเดตราย 15 วัน เท่าจังหวะติดตามผลเพื่อให้ประชาชนร่วมรับรู้และ “ดันหลัง” ระบบราชการจากภายนอก

ในภาพใหญ่ หาก หนี้ครัวเรือน ลดระดับความเปราะบางลงอย่างมีนัย และกราฟ คดีไซเบอร์/ความเสียหาย โค้งลงต่อเนื่อง ขณะจุดเสี่ยงความปลอดภัยและความเสี่ยงจากภัยพิบัติลดลงด้วย CBS+โครงสร้างพื้นฐาน ที่ทำงานได้จริง ก็จะเป็นสัญญาณว่ากระทรวงมหาดไทยเดินบนเส้นทางถูกต้องและประโยค “มหาดไทยต้องดีกว่าเดิม” กำลังเปลี่ยนจากคำประกาศสู่ ความจริงในชีวิตประจำวันของคนไทย

สรุปสาระสำคัญ “8 Quick Wins 3 ไร้ทุกข์ 5 สร้างสุข”

  • 3 ไร้ทุกข์: (1) กวาดล้างยาเสพติดเชิงรุกครบวงจร (2) จัดระเบียบสังคม–ปราบผู้มีอิทธิพลและอาชญากรรมออนไลน์ (3) ทำทุกพื้นที่ให้ปลอดภัยด้วยโครงสร้างพื้นฐานและระบบเตือนภัยสมัยใหม่ (CBS)
  • 5 สร้างสุข: (1) แก้หนี้ครัวเรือนเป็นระบบ (2) เสริมสุขภาวะ–การศึกษาชุมชน (3) เมืองคึกคัก–Soft Power–1 ตำบล 1 Start-up (4) บริการรัฐดิจิทัล สะดวก รวดเร็ว (5) ระบบรับเรื่องร้องทุกข์ยุคใหม่ผ่านศูนย์ดำรงธรรมและดาต้ากลาง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
  • คำกล่าวของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
  • ข่าวจากสื่อมวลชน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มลพิษแม่น้ำกก! คุกคามเศรษฐกิจเชียงรายเสียหายหนักกว่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตแม่น้ำกกภัยมลพิษซ้ำเติมเศรษฐกิจเชียงราย มูลค่าเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาท/ปี ภาคราชการสุ่มเสี่ยงไร้ความต่อเนื่องช่วงเปลี่ยนผ่าน

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – วิกฤตมลพิษจากเหมืองแร่รัฐฉานที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของจังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่กำลังซ้ำเติมความเปราะบางของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากการโยกย้ายและเกษียณอายุ

รายงานการประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นจากสำนักข่าว Lanner เผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า หากแม่น้ำกกไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมจะสูงถึง 1,300,006,731 บาทต่อปี ซึ่งเป็นหายนะที่คุกคามปากท้องและอนาคตของชุมชนกว่า 20 ตำบลที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หายนะทางเศรษฐกิจมูลค่าความเสียหายใน 3 ภาคส่วนหลัก

ความเสียหายจากวิกฤตแม่น้ำกกกระจายตัวครอบคลุมสามภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจเชียงราย ดังนี้:

  1. ภาคการท่องเที่ยว:
    • มูลค่าความเสียหาย: สูงถึง 773,530,143 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: โรงแรมและรีสอร์ทริมแม่น้ำกกเสียหายกว่า 669 ล้านบาท และธุรกิจการท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น การล่องเรือ แพเปียก และการขี่ช้าง เสียหายอีกกว่า 104 ล้านบาท เนื่องจากสายน้ำที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับกลายเป็นแหล่งมลพิษ
    • ตัวอย่าง: ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กและเจ้าของเรือนำเที่ยวต้องเผชิญกับรายได้ที่หดหายในพริบตา ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และผู้ให้บริการขนส่งที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยว
  2. ภาคเกษตรกรรม:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 511,450,458 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: พื้นที่เกษตรกรรมริมฝั่งแม่น้ำกกใน 20 ตำบล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงรวม 131,607 ไร่ ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อเพาะปลูกได้ โดยในพื้นที่นี้มีพื้นที่ปลูกข้าว (นาปีและนาปรัง) กว่า 103,924 ไร่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 27,682 ไร่ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก
    • ตัวอย่าง: หากน้ำปนเปื้อนจนใช้ไม่ได้ หมายถึงการสูญเสียผลผลิตที่ทำกินของครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อรายได้ของครัวเรือนเกษตรกรจำนวน 162,922 ครัวเรือน ในจังหวัดเชียงราย
  3. ภาคประมง:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 15,026,130 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: ชาวประมงจำนวน 105 คนที่พึ่งพารายได้จากการจับปลาในแม่น้ำกก ต้องสูญเสียรายได้ตลอดทั้งฤดูกาล เนื่องจากปลาไม่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนได้
    • ตัวอย่าง: การสูญเสียรายได้นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อปากท้อง แต่ยังเป็นการสูญเสียวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนริมแม่น้ำที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ภัยซ้ำเติมการปรับทัพข้าราชการกับวิกฤตความต่อเนื่อง

ในขณะที่วิกฤตแม่น้ำกกกำลังทวีความรุนแรง การบริหารราชการใน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระดับจังหวัด ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่

มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงการย้าย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง รวมถึงอธิบดีกรมสำคัญอื่นๆ ก็ถูกโยกย้ายด้วยเช่นกัน แม้การโยกย้ายจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและเฉียบขาด

นอกจากนี้ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กระทรวงมหาดไทยจะเผชิญกับการเกษียณอายุราชการของข้าราชการจำนวนมาก ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิด ช่องว่างในการทำงาน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก

ทางออกสำหรับเชียงรายรัฐต้องเร่งมือ-ประชาชนต้องได้รับเยียวยา

เพื่อให้ประชาชนในเชียงรายสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยจำเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญดังนี้:

  1. เร่งรัดการตัดสินใจและมาตรการฉุกเฉิน: แม้จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูงควรใช้อำนาจที่มีในการสั่งการและสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นอย่างทันท่วงที เพื่อประเมินสถานการณ์และกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบฉุกเฉินแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
  2. สร้างความมั่นใจในความต่อเนื่องของนโยบาย: การถ่ายทอดนโยบายและแผนงานอย่างชัดเจนให้กับข้าราชการที่เข้ารับตำแหน่งใหม่เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดหยุดลง
  3. จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอย่างเร่งด่วน: ด้วยมูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาทต่อปี รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินและทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อชดเชยความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับผู้ได้รับผลกระทบ เช่น การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจอนาคตไกลของจังหวัด อย่างกาแฟดอยตุง, ชาเชียงราย, สับปะรดนางแล และพืชสมุนไพร
  4. โปร่งใสและสื่อสารกับประชาชน: การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และโปร่งใสเกี่ยวกับการดำเนินงานแก้ไขปัญหา รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน

วิกฤตแม่น้ำกกจึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับกลไกการบริหารราชการของไทย ว่าจะสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อให้สายน้ำกกกลับมาเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชาวเชียงรายได้อย่างยั่งยืนอีกครั้ง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

“วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” ย้ำเตือนภัยล่วงหน้าสูงสุดรับมือ

เชียงรายอ่วม! พายุ “วิภา” ถล่ม 8 อำเภอ 114 หมู่บ้าน “ภูมิธรรม-ธีรรัตน์” สั่ง War Room ชาติ เน้น “แจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” สำคัญสูงสุด

เชียงราย, 23 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายเผชิญวิกฤตอุทกภัยและดินถล่มครั้งใหญ่ หลังได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “วิภา” ที่พาดผ่านภาคเหนือ ส่งผลให้ฝนตกหนักต่อเนื่องนับแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 จนถึงปัจจุบัน มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 400 ครัวเรือน ครอบคลุม 8 อำเภอ 23 ตำบล 114 หมู่บ้าน โรงเรียน 2 แห่ง ถนน 3 สายได้รับความเสียหาย ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเร่งสำรวจความเสียหายเพิ่มเติม โดยล่าสุดยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

 

ภัยธรรมชาติถล่มหนัก ฝนไม่หยุด-น้ำท่วมซ้ำซากในหลายอำเภอ

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงรายรายงานสถานการณ์ล่าสุด (23 ก.ค. 68 เวลา 12.00 น.) พบว่าปริมาณฝนสะสมในรอบ 24 ชั่วโมงยังสูงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในอำเภอเวียงแก่น เทิง พญาเม็งราย ขุนตาล ป่าแดด เวียงชัย แม่สรวย เมือง เวียงเชียงรุ้ง เชียงของ พาน ดอยหลวง เวียงป่าเป้า แม่สาย แม่จัน เชียงแสน แม่ลาว และแม่ฟ้าหลวง ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มในบางจุด ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพขึ้นที่สูง ขณะที่ทางหลวงและถนนสายรองบางสายถูกตัดขาดหรือเสียหาย ชาวบ้านขาดแคลนไฟฟ้า น้ำสะอาด และเครื่องยังชีพ

แม้พายุ “วิภา” จะอ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ กรมอุตุนิยมวิทยายังคงแจ้งเตือนว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะโซนตะวันตกของภาคเหนือ (แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ตาก) รวมถึงเชียงราย พะเยา น่าน ปริมาณน้ำฝนสะสมยังสูงมาก เช่น อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน วัดได้ 291.6 มม., อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา 264 มม., อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย 185 มม.

แนวโน้มสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง มีโอกาสเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำอีกใน 24 ชั่วโมงข้างหน้า หน่วยงานในพื้นที่ต้องเตรียมกำลังพล เครื่องมือ ยุทโธปกรณ์ และระบบแจ้งเตือนเพื่อรองรับเหตุฉุกเฉินอย่างเต็มที่

 

ศูนย์บัญชาการ War Room ชาติ “แจ้งเตือนล่วงหน้า” คือหัวใจ

เวลา 09.30 น. 23 กรกฎาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) เป็นประธานประชุม War Room ชาติ ณ กระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ และผู้บริหารส่วนกลาง ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด 30 จังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

นายภูมิธรรม เน้นย้ำว่า “การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเป็นเรื่องจำเป็นสูงสุด” โดยเฉพาะการนำระบบ Cell Broadcast มาใช้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้มีเวลาตั้งรับ อพยพ และเตรียมการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ขอให้ทุกจังหวัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ 24 ชั่วโมง จัดเตรียมกำลังคน เครื่องมือ และเครื่องจักรกลสำหรับพื้นที่เสี่ยง พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการกันเต็มที่ ภารกิจการป้องกันภัยต้องมาก่อนเยียวยา แต่การเยียวยาก็จำเป็นเพื่อฟื้นขวัญประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เสริมว่า การสื่อสารสร้างความเข้าใจและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่จริงอย่างทันท่วงที คือกุญแจสำคัญในการป้องกันความตื่นตระหนก พร้อมมอบ 6 แนวทางสำคัญ เช่น การเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดตั้งโรงครัวคุณภาพสูง เยียวยาผู้ประสบภัย การดูแลจุดเสี่ยงอันตรายจากไฟฟ้า และการสำรวจรายงานความเสียหายอย่างโปร่งใส

 

กรมป้องกันฯ พร้อมเต็มพิกัด – “เครื่องมือ/ยุทโธปกรณ์-คน” เข้าพื้นที่ทันที

นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เผยว่า กรม ปภ. ได้ตั้ง War Room ประสานการช่วยเหลือกับทุกหน่วยงานทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมแจ้งเตือนล่วงหน้าทาง Cell Broadcast แล้ว 24 ครั้ง (เตือนอุทกภัย 15 ครั้ง เตือนดินโคลนถล่ม 9 ครั้ง) นอกจากนี้ยังระดมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าสู่ภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดพิษณุโลกเป็นจุดรวมพล พร้อมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เรือท้องแบน อากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ KA-32 ที่พร้อมขึ้นบินทุกเวลาในจุดที่เข้าถึงยาก

“ภารกิจแรกคือต้องปกป้องชีวิตประชาชน หลังจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการเยียวยาและฟื้นฟู เราเตรียมความพร้อมทั้งคนและเครื่องมืออย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงรับฟังคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด” อธิบดี ปภ. กล่าว

 

วิภา” อ่อนกำลัง แต่ “ร่องมรสุม” ยังเฝ้าระวัง

นายสมควร ต้นจาน จากกรมอุตุนิยมวิทยา ระบุว่า พายุโซนร้อน “วิภา” ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเหนือประเทศลาวและน่าน แต่พื้นที่ภาคเหนือยังต้องเฝ้าระวังฝนตกหนัก โดยเฉพาะร่องมรสุมและความกดอากาศต่ำจากฟิลิปปินส์ที่อาจพัฒนาเป็นพายุลูกใหม่ แม้พายุจะสลายตัวแต่ฝนตกต่อเนื่องก็ยังคงก่อให้เกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มซ้ำ

 

เชียงราย – บทเรียน “รวมศูนย์-เชิงรุก” จัดการภัยพิบัติ

เหตุการณ์น้ำท่วม-ดินถล่มครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงรายมีความเปราะบางสูงต่อภัยธรรมชาติ ประเด็นที่น่าสนใจและควรขยายผลต่อเนื่อง ได้แก่

  • การรวมศูนย์บัญชาการและตอบสนองรวดเร็ว: War Room ส่วนกลางและท้องถิ่น พร้อมระบบสื่อสารฉุกเฉิน Cell Broadcast เป็นเครื่องมือสำคัญในการสั่งการและแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า
  • การบูรณาการทรัพยากร: ภาครัฐทุกหน่วยระดมเครื่องมือ กำลังคน และเทคโนโลยีทันทีเมื่อเกิดเหตุ แสดงถึงศักยภาพของกลไกการจัดการภัยพิบัติไทยที่พัฒนาไปไกล
  • การสื่อสารอย่างเข้าใจง่าย: เน้นย้ำการแจ้งเตือนที่ชัดเจน ลดความตื่นตระหนก และสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเชื่อฟังเจ้าหน้าที่

ประเด็นรอง

  • การสำรวจความเสียหาย-เยียวยา: ต้องทำให้ครอบคลุมและรวดเร็ว เพื่อฟื้นขวัญประชาชน
  • สภาพภูมิประเทศที่ท้าทาย: เชียงรายเป็นภูเขาสูง ชายแดน น้ำไหลแรง ตะกอนสูง ต้องวางแผนระยะยาวในการขุดลอก พร่องน้ำ และสร้างระบบเตือนภัยที่แม่นยำ
  • บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน: การตอบสนองระยะสั้นต้องควบคู่กับแผนบริหารน้ำระยะยาว เพื่อป้องกันวิกฤตซ้ำซากในอนาคต

เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเป็นทั้งบทเรียนและจุดเริ่มต้นของการยกระดับการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบรวมศูนย์และเชิงรุก เพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ประวัติศาสตร์ชาติไทย สัญชาติเพื่อผู้ไร้สถานะ เปิดทางสู่ความเท่าเทียม

ธีรรัตน์” ประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่ เร่งรัดสิทธิสัญชาติไทยลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์ในเชียงราย ย้ำโปร่งใส ตรวจสอบได้

เชียงราย, 30 มิถุนายน 2568 – น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงถึงการประกาศใช้หลักเกณฑ์เร่งรัดแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลในกลุ่มชาติพันธุ์และบุตรของคนต่างด้าวที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยประกาศฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 มีผลบังคับใช้แล้วในราชกิจจานุเบกษา เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คนที่เกิดในประเทศไทยแต่ยังไม่มีสัญชาติไทย สามารถยื่นขอสัญชาติได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ประตูใหม่” ให้ลูกหลานกลุ่มชาติพันธุ์ได้สิทธิเท่าเทียม

สาระสำคัญของประกาศฯ คือ การเร่งรัดขั้นตอนยื่นขอสัญชาติสำหรับบุตรของคนต่างด้าวที่เกิดในไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยที่มีการจัดทำทะเบียนประวัติแล้วกว่า 140,000 ราย ให้สามารถขอสัญชาติไทยได้โดยทั่วไป ยึดแนวทางความมั่นคงของชาติและหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ กระบวนการทั้งหมดเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ประเมินและกลั่นกรองอย่างละเอียด รอบคอบ โปร่งใส โดยเน้นย้ำถึงคุณสมบัติและเงื่อนไขที่ชัดเจน เช่น ต้องมีทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัวประชาชนที่เข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด มีการรับรองพฤติกรรมจากตำรวจในท้องที่ ฯลฯ

ระยะเวลา-วิธีการขอชัดเจน

ในประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้ยื่นคำขอภายใน 1 ปี นับแต่ประกาศมีผลบังคับใช้ หรือจนกว่าจะมีมติ ครม. ขยายเวลาออกไป การดำเนินการใช้รูปแบบ “One Stop Service” ยื่นขอในพื้นที่ได้ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด กำหนดให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้แทนเป็นผู้วินิจฉัย ตรวจสอบขั้นตอนทุกประการเพื่อความถูกต้อง แม้จะเป็นการอำนวยความสะดวกแต่ยังคงความเข้มงวด โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงและพฤติกรรมผู้ขอ

ผลักดันด้วยยุทธศาสตร์ชาติ – “ไม่ใช่ต่างด้าวทั่วไป”

กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์/ชนกลุ่มน้อย ที่อยู่ในไทยมานาน มีทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก เริ่มต้นด้วยเลข 6 (หรือ 5/8) และเลขหลักที่หก-เจ็ดเป็น 50-72 หรือผู้ได้รับการสำรวจตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ (เช่น เลข 0…89 สำหรับบางกลุ่ม) กลุ่มนี้ “ไม่ใช่ต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมาย” หรือผู้หนีภัย/แรงงานข้ามชาติที่มีพาสปอร์ต และไม่เกี่ยวกับผู้มีวีซ่าชั่วคราว

ทิศทางนโยบาย – สร้างโอกาส สร้างคุณค่า ลดเหลื่อมล้ำ

น.ส.ธีรรัตน์ ย้ำว่า รัฐบาลจะเดินหน้าขับเคลื่อนตามนโยบายมติ ครม. ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเข้าถึงบริการสาธารณสุข การศึกษา สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทัดเทียมชาวไทย พร้อมย้ำการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดกระบวนการ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ทุกฝ่าย

การประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ยังได้รับคำชื่นชมจากองค์การระหว่างประเทศว่าเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน และเป็นแบบอย่างสำหรับภูมิภาค

วิเคราะห์สถานการณ์

การเดินหน้าประกาศและปฏิบัติหลักเกณฑ์ดังกล่าว สะท้อนความตั้งใจจริงของรัฐไทยในการแก้ปัญหาสถานะบุคคลอย่างยั่งยืน ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ลดช่องว่างด้านสิทธิขั้นพื้นฐาน และสร้างความเชื่อมั่นแก่กลุ่มชาติพันธุ์ว่าจะได้รับโอกาสและการปกป้องตามหลักกฎหมายไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กรมการปกครอง
  • สำนักทะเบียนกลาง
  • มติคณะรัฐมนตรี 29 ต.ค. 2567
  • ราชกิจจานุเบกษา
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ห่วง! รมช.มหาดไทยนำทีมแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง

แม่น้ำกก-แม่น้ำสายเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์อำนวยการส่วนหน้า เดินหน้าสร้างระบบแก้ปัญหาน้ำปนเปื้อนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งถือเป็นลำน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤต หลังมีการตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนูและตะกั่ว” ในระดับที่เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องหลายเดือน กระตุ้นให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)” เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน พร้อมวางระบบรับมือภัยคุกคามด้านสุขภาพจากแหล่งน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตเชิงโครงสร้าง – น้ำที่ดื่มไม่ได้ คือความทุกข์ที่ไม่มีเสียง

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่เป็นสายน้ำหลักของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตเกษตรกรรม การประมง และการบริโภคของชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ทว่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏจากการตรวจวัดน้ำที่แสดงค่า “สารหนู” และ “ตะกั่ว” สูงเกินมาตรฐาน กระทั่งเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายจุด

การเฝ้าระวังโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ พบว่า “ทุกครั้งที่มีการตรวจวัด ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2568 มีจุดที่พบสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง” ส่งผลให้เกิดความกังวลลึกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใช้แม่น้ำในการอุปโภคบริโภคโดยตรง

ศูนย์อำนวยการฯ ส่วนหน้า ตอบสนองเร็ว-สื่อสารชัด-แก้ปัญหาจริง

ในวันนี้ (6 มิ.ย.) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข และรองผู้ว่าฯ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อ “วางแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ” โดยมีหัวข้อเร่งด่วน เช่น

  • รายงานคุณภาพน้ำในพื้นที่
  • การวิเคราะห์ตะกอนดิน
  • ปรับปรุงระบบสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจง่าย
  • เตรียมรับมือกรณีประชาชนร้องเรียน หรือมีข่าวที่ก่อให้เกิดความตระหนก

ที่ประชุมได้เสนอให้ “รวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานในทิศทางเดียว” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งจากหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน พร้อมข้อเสนอให้หน่วยงานเฉพาะทาง เช่น กรมประมง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเกษตรจังหวัด ตรวจผลแล็บซ้ำเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 4 จุดหลัก ปูโครงข่ายตรวจสอบในระดับพื้นที่

ขณะเดียวกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เปิดศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำจำนวน 4 จุดหลัก ได้แก่:

  1. จุดที่ 1 ศูนย์การแพทย์แผนไทย สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. จุดที่ 2 ศูนย์หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมควบคุมมลพิษ
  3. จุดที่ 3 ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย (แม่น้ำสาย) – ดูแลโดยสำนักงานควบคุมมลพิษ
  4. จุดที่ 4 สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำรวก-แม่น้ำโขง) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

แต่ละจุดจะติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ พร้อมป้ายแสดงผลต่อสาธารณะ และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนโดยตรง โดยมีหน่วยงานระดับจังหวัด-อำเภอ-ท้องถิ่น เข้าร่วมปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ อย่างใกล้ชิด

การสื่อสารที่ชัด คือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนรับรู้ โดยเน้นการสื่อสารที่ “ตรงความจริง ชัดเจน สม่ำเสมอ และมีภาษาที่เข้าใจง่าย” เพื่อลดความวิตกกังวลจากข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ พร้อมแนะนำแนวทางการปฏิบัติเมื่อพบเห็นหรือได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อน

จากน้ำปนเปื้อน สู่คำถามเรื่องธรรมาภิบาลทรัพยากรน้ำ

กรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบสำคัญของกลไกรัฐไทยในการจัดการวิกฤติระดับภูมิภาค เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงใช้เวลานานเกินไปในการรับรู้ปัญหา เหตุใดข้อมูลที่เปิดเผยจึงแตกต่าง และเหตุใดแม่น้ำที่ควรเป็นแหล่งชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกในทุกวัน

การจัดตั้งศูนย์ฯ ส่วนหน้า และศูนย์เฝ้าระวังระดับพื้นที่ หากสามารถทำงานอย่างบูรณาการจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือ และบุคลากร รวมถึง “เจตจำนงทางการเมือง” ที่จะไม่นิ่งเฉยเมื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกระทบความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนทั้งลุ่มน้ำ

สรุป

ปัญหาน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก คือสัญญาณชัดเจนว่า ไทยต้องเร่งยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบสื่อสารข้อมูลภาครัฐ การบูรณาการที่ดีเพียงพอเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาประชาชนข้ามพ้นวิกฤตนี้อย่างมั่นใจ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รายงานการประชุมวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายเร่งแก้แม่น้ำกก ปนเปื้อน สารหนูเกินมาตรฐาน!

เชียงรายเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ – จับมือทุกภาคส่วนสู้ภัยสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก วันสิ่งแวดล้อมโลกชาวบ้านแห่เรียกร้อง “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวของสังคมต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือ “แม่น้ำกก” ซึ่งเป็นหัวใจของการดำรงชีวิตในพื้นที่เชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง กลายเป็นประเด็นร้อนบนเวทีสาธารณะอีกครั้ง หลังการตรวจพบสารหนูและสารพิษโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในน้ำอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชุมชนริมฝั่งน้ำ ทั้งยังเป็นชนวนจุดประกายให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดลุกขึ้นผนึกกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลง

นายก อบจ.เชียงราย นำทีมร่วมขบวน “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” ย้ำจุดยืนปกป้องสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 2568

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เข้าร่วมกิจกรรมขบวนแห่ “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ซึ่งตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก โดยมีนายจิรวัฒน์ ณ เชียงใหม่ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขตอำเภอเมืองเชียงราย เขต 1 เข้าร่วมกิจกรรมสำคัญในครั้งนี้ด้วย ท่ามกลางการรวมตัวของพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายจำนวนมากที่มาร่วมแสดงพลังและเจตนารมณ์ร่วมกันในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของจังหวัด

กิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สายรวก โขง” จัดขึ้นโดยความร่วมมือของภาคประชาสังคมและเครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเรียกร้องให้มีการพิจารณาและดำเนินการ “ปิดเหมือง” อันอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคุณภาพของลุ่มน้ำกก ลำน้ำสายรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ ตลอดจนการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่อาจได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการทำเหมืองแร่ในอดีตหรือที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน “วันสิ่งแวดล้อมโลกในปีนี้เป็นโอกาสอันดีที่เราทุกคนจะได้ทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบในการปกป้องผืนดินและแหล่งน้ำของเรา สิ่งแวดล้อมที่ดีคือรากฐานของการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนทุกคนในปัจจุบันและในอนาคต องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการพัฒนาที่สมดุลระหว่างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะสนับสนุนทุกภาคส่วนในการดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม”

เวทีรัฐ-ประชาชนร่วมสื่อสารสถานการณ์

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมจอมกิตติ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนกลางนำทีมหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย และสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย ร่วมชี้แจงสถานการณ์ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกต่อสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเผยว่า ต้นตอของปัญหาส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมเหมืองแร่ในต่างประเทศ จังหวัดจึงมีอำนาจและขีดความสามารถแก้ไขได้เพียงปลายเหตุ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก บ่อน้ำตื้น และแหล่งน้ำดิบของการประปา รวมถึงการเตรียมสำรองแหล่งน้ำจากที่อื่นไว้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน อย่างไรก็ดี ทางจังหวัดยังยืนยันว่าได้อยู่เคียงข้างประชาชนมาโดยตลอด

ที่ผ่านมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่ ได้ตรวจวัดคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ มาแล้วจำนวน 4 ครั้ง พบว่าคุณภาพน้ำใต้ฝายเชียงรายในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย มีแนวโน้มดีขึ้นจากการตกตะกอนของสารปนเปื้อน ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นฐานข้อมูลสำคัญเพื่อการวิเคราะห์แนวทางแก้ปัญหาในอนาคต

ผลวิเคราะห์คุณภาพน้ำ  ตัวเลขที่น่ากังวล

ผลการตรวจสอบโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ในเดือนพฤษภาคม 2568 พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 11 จุดสำรวจ ในพื้นที่เชียงรายและเชียงใหม่ อาทิ ต.ท่าตอน อ.แม่อาย (0.030 มก./ลิตร), บ้านหัวฝาย ต.แม่สาย อ.แม่สาย (0.023 มก./ลิตร) และจุดสูงสุดอยู่บริเวณชายแดนไทย–เมียนมา ขณะที่การตรวจในแม่น้ำโขงพบสารหนูเกินค่ามาตรฐานที่ต.เวียง อ.เชียงแสน (0.026 มก./ลิตร) และต.บ้านแซว อ.เชียงแสน (0.025 มก./ลิตร)

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการดำเนินการตรวจสอบดังกล่าว หน่วยงานรัฐยังพบความคลาดเคลื่อนของผลตรวจน้ำระหว่างภาครัฐกับนักวิชาการอิสระในบางจุด จึงขอความร่วมมือจากประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ประสานงานล่วงหน้ากับเจ้าหน้าที่ภาครัฐในการตรวจน้ำแต่ละครั้ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงกัน ลดความตื่นตระหนกและสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องในชุมชน

แผนรับมือเชิงระบบ – การตั้งคณะทำงาน 4 ชุด

ในระดับนโยบาย รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงาน 4 ชุดเพื่อรับมือกับปัญหานี้ ได้แก่

  1. ชุดประสานงานระหว่างประเทศ
  2. ชุดด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม
  3. ชุดติดตามคุณภาพน้ำ
  4. ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า

โดยมี น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน พร้อมจัดประชุมร่วมกับจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ในวันที่ 6 มิถุนายนนี้ ทางระบบออนไลน์ เพื่อยกระดับการแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ชาวบ้านลุกขึ้นสู้ “ปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง”

ในวันเดียวกันนี้ บรรยากาศที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวงคึกคักไปด้วยประชาชน นักเรียน นักศึกษา ภาคประชาสังคม และผู้นำท้องถิ่นกว่า 1,000 คน รวมพลังแสดงจุดยืนร่วมในกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” เพื่อเรียกร้องปกป้องทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมจากผลกระทบของเหมืองแร่ พร้อมส่งสารถึงผู้นำประเทศและนานาชาติให้ร่วมมือกันอนุรักษ์ธรรมชาติ

การรวมพลังครั้งนี้สะท้อนถึงความตื่นตัวและความห่วงใยต่อแม่น้ำกก สาย รวก โขง ในฐานะสายชีวิตของผู้คนเชียงราย ซึ่งหากไม่มีมาตรการเชิงรุกที่ชัดเจน ปัญหาสารพิษข้ามพรมแดนจะลุกลามและกระทบวิถีชีวิตของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

เสียงประชาชนสะท้อนถึงศูนย์กลางนโยบาย

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายย้ำว่า ทางจังหวัดจะดำเนินการเต็มที่และพร้อมประสานงานกับทุกฝ่ายในทุกมิติ ขณะที่ภาคประชาชนยังคงจับตาและผลักดันให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และยั่งยืน

สุดท้ายนี้ ความหวังของชาวเชียงรายและเครือข่ายภาคประชาชน คือ การได้เห็นแม่น้ำกกและลุ่มน้ำสำคัญกลับมาสะอาด บริสุทธิ์ เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงชีวิตอย่างแท้จริง ขณะที่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งรัดการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน และสร้างการสื่อสารที่ถูกต้องต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 เชียงใหม่
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 1/1 เชียงราย
  • สำนักงานประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

รัฐเร่งแก้สารปนเปื้อนแม่น้ำกก เน้นความปลอดภัยชาวเชียงราย

เชียงรายเดินหน้าแก้ปัญหาคุณภาพน้ำผิวดิน รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า-เตรียมหารือรัฐบาลเมียนมา หลังพบสารปนเปื้อนแม่น้ำกก

เชียงราย, 27 พฤษภาคม 2568 – ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญ เมื่อปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกที่ไหลผ่านจังหวัดเชียงรายมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จนรัฐบาลต้องตั้ง “ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า” เพื่อรับมือและปกป้องสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน

การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ครั้งที่ 1/2568 จัดขึ้นที่ห้องประชุมจอมกิตติ ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุม ร่วมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการฯ

ไต่ระดับปัญหา แม่น้ำกกกับสารปนเปื้อนปริศนา

จากรายงานของ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 พบว่ามีค่าการปนเปื้อนของสารบางชนิดในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ที่ผิดปกติจากมาตรฐานในหลายจุด แม้ยังไม่สามารถชี้ชัดแหล่งที่มาโดยตรงได้ แต่มีข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเหมืองแร่ทองคำบริเวณฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

รองนายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ” และย้ำว่ารัฐบาลกำลังเดินหน้าในการประสานความร่วมมือระดับนโยบายกับรัฐบาลเมียนมา เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนในการจัดการต้นตอของมลพิษ

สั่งตั้งศูนย์บัญชาการส่วนหน้า รับมือภาวะฉุกเฉิน

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการสั่งการตั้ง ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้า” โดยมอบหมายให้นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ เป็นประธาน เพื่อประสานงานระหว่างจังหวัดกับส่วนกลางอย่างใกล้ชิด ข้อมูลจะถูกสื่อสารถึงประชาชนอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว รวมถึงดำเนินการติดตามสารปนเปื้อนในน้ำ พืชผัก สัตว์น้ำ ดิน และสุขภาพประชาชนอย่างเข้มข้น

กรมควบคุมมลพิษและกรมอนามัยได้ร่วมกันนำ ชุดตรวจ Rappit Test มาใช้ตรวจวัดสารปนเปื้อนเบื้องต้น รู้ผลภายใน 20 นาที ขณะที่ตัวอย่างน้ำจะถูกส่งต่อไปยังห้องแล็บในส่วนกลางเนื่องจากเชียงรายและเชียงใหม่ยังไม่มีห้องปฏิบัติการวิเคราะห์สารเฉพาะทางในระดับลึก

ยืนยันน้ำประปาสะอาด ปลาป่วยเกิดจากแบคทีเรีย

อีกประเด็นที่ประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจคือความปลอดภัยของน้ำประปาและปลาที่บริโภคได้หรือไม่ ในเรื่องนี้ นายสุทัศน์ นุชปาน รองผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค เปิดเผยขั้นตอนการผลิตน้ำประปาของสถานีวังคำ ซึ่งมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำดิบตลอดกระบวนการ รวมถึงใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโดยไม่กระทบสุขภาพ และส่งน้ำเข้าสู่หอถังสูงอย่างปลอดภัย

ส่วนปลาที่พบการเจ็บป่วยนั้น จากผลตรวจของกรมประมงและกรมอนามัย พบว่าเกิดจาก พยาธิใบไม้และแบคทีเรีย ไม่พบสารหนูในเนื้อปลาตามที่เป็นข่าวในช่วงก่อนหน้านี้ รัฐบาลจึงขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และติดตามข้อมูลจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด

ลงพื้นที่จริง สร้างความมั่นใจให้ประชาชน

หลังจบการประชุม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม สถานีผลิตน้ำวังคำ และห้องแลปการประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย โดยมี นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อตรวจสอบกระบวนการผลิตน้ำประปา และขั้นตอนการทดสอบคุณภาพน้ำด้วยตนเอง

คณะได้ร่วมกันดื่มน้ำประปาเพื่อแสดงความมั่นใจในคุณภาพน้ำที่จ่ายให้ประชาชน พร้อมลงพื้นที่ต่อที่ ฝายเชียงราย ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการดักตะกอนและกรองมลพิษจากต้นน้ำ

วิเคราะห์ผลลัพธ์จากสถานการณ์ครั้งนี้

ผลกระทบเชิงบวก

  • รัฐบาลมีการตอบสนองที่รวดเร็ว สร้างความมั่นใจให้ประชาชน
  • เกิดความร่วมมือระหว่างกระทรวงและหน่วยงานท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ข้อมูลถูกสื่อสารต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส

ผลกระทบเชิงลบ

  • คุณภาพน้ำแม่น้ำกกที่เสื่อมโทรมอาจกระทบการเกษตรและประมงในระยะยาว
  • การไม่มีห้องแล็บวิเคราะห์สารในภาคเหนือ ทำให้ต้องรอผลจากส่วนกลาง ซึ่งอาจล่าช้า
  • ความไม่มั่นใจของประชาชนต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมอาจกระทบการท่องเที่ยวในอนาคต

แผนระยะสั้น-ยาวในการฟื้นฟูและป้องกัน

รัฐบาลได้มีแนวทางดำเนินการใน 2 ระยะ คือ

  • ระยะสั้น: จัดตั้งหลุมดักตะกอนในแม่น้ำเพื่อดักจับสารปนเปื้อนเบื้องต้น พร้อมกำหนดจุดตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยง
  • ระยะยาว: ออกแบบและก่อสร้างฝายดักตะกอนแบบถาวร โดยมี “แก้มลิง” สำรองน้ำ พร้อมทั้งศึกษาการจัดหาน้ำดิบสำรองเพื่อความมั่นคงด้านน้ำในอนาคต

ขณะนี้ กรมทรัพยากรน้ำ ได้เริ่มดำเนินการออกแบบโครงสร้างฝายดักตะกอนและระบบแก้มลิงแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการออกแบบและเปิดประมูลก่อสร้าง

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากการเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2568 รวม 6 ครั้ง พบว่า สารปนเปื้อนลดลงหลังผ่านฝายเชียงรายในอัตราเฉลี่ย 17.6%
  • จากข้อมูลกรมควบคุมมลพิษ (พ.ค. 2568) สารที่พบในน้ำได้แก่ โลหะหนักบางชนิด เช่น สังกะสี (Zn), ทองแดง (Cu) แต่ยังอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเฉลี่ยไม่เกิน 0.5 มก./ลิตร
  • ประชาชนในเขตการใช้น้ำประปาส่วนภูมิภาคเชียงราย มีมากกว่า 65,000 คน ซึ่งอาศัยน้ำจากแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบหลัก
  • การประปาส่วนภูมิภาคระบุว่า มีการเก็บตัวอย่างน้ำตรวจวิเคราะห์ ทุก 2 วัน และรายงานผลรายสัปดาห์เข้าส่วนกลาง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • กระทรวงมหาดไทย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงรายสั่งลุย ทลายบ่อนพนันกลางเมือง

เชียงรายฟ้าใส” ปฏิบัติการจัดระเบียบสังคม ทลายบ่อนพนันกลางเมือง จับ 13 นักพนัน พร้อมของกลางเงินสดและยาเสพติด

เชียงราย, 16 พฤษภาคม 2568 – ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาทางสังคมหลายด้าน หนึ่งในนโยบายสำคัญที่รัฐบาลเร่งขับเคลื่อน คือการจัดระเบียบสังคม ปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน ล่าสุด จังหวัดเชียงราย โดยการนำของผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ดำเนินการเปิดปฏิบัติการพิเศษภายใต้ชื่อ “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งเป็นแผนเชิงรุกที่มุ่งจัดการกับปัญหาการลักลอบเล่นการพนันที่แพร่หลายอยู่ในพื้นที่

จุดเริ่มต้นจากเสียงของประชาชน

การปฏิบัติการครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการร้องเรียนของชาวบ้านในพื้นที่ซอย 23 บ้านเหล่าพัฒนา หมู่ที่ 14 ตำบลบ้านดู่ อำเภอเมืองเชียงราย ที่ทนไม่ไหวกับเสียงรบกวนจากบ้านหลังหนึ่งซึ่งถูกใช้เป็นบ่อนการพนันลับ ชาวบ้านให้ข้อมูลว่า มีนักพนันเข้าออกตลอดทั้งคืน สร้างความไม่สงบต่อวิถีชีวิตและความปลอดภัยในชุมชน

ภายใต้การอำนวยการของ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด, พล.ต.ต. มานพ เสนากูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย, และเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอและตำรวจท้องที่ ได้วางแผนร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มงานความมั่นคงจังหวัดเชียงราย เพื่อดำเนินการเข้าตรวจสอบพื้นที่ตามที่ประชาชนร้องเรียน

ยุทธการเข้าตรวจค้นกลางเมือง

ในช่วงค่ำของวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่จากหลากหลายหน่วยงาน ได้ร่วมกันปฏิบัติการจู่โจมเข้าตรวจสอบบ้านเป้าหมาย ซึ่งแม้ไม่มีเลขที่บ้านระบุ แต่จากข้อมูลเชิงลึกและการสืบสวน สามารถระบุได้ว่าเป็นสถานที่ลักลอบเปิดเป็นบ่อนพนันจริง

เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าถึงพื้นที่ พบว่าภายในบ้านมีการตั้งวงพนันหลายประเภท โดยเฉพาะไพ่นกกระจอกและไฮโล อุปกรณ์ที่ตรวจพบประกอบด้วย

  • โต๊ะไพ่นกกระจอก พร้อมไพ่ 3 สำรับ
  • โต๊ะและอุปกรณ์เล่นไฮโล 1 ชุด
  • เงินสดหมุนเวียนภายในบ่อนประมาณ 150,000 บาท

ขณะเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในที่เกิดเหตุ มีนักพนันจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คนอยู่ในวงพนัน โดยสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 13 คน แบ่งเป็นชาย 11 คน และหญิง 2 คน

ตรวจพบยาเสพติดในสถานที่เกิดเหตุ

นอกจากกิจกรรมการพนัน เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบว่า มีบุคคลครอบครองยาเสพติดประเภทที่ 1 ได้แก่

  • ยาบ้า 21 เม็ด
  • เฮโรอีน ประมาณ 8 กรัม

โดยบุคคลที่ครอบครองของกลางดังกล่าว ยังตรวจพบว่าเสพสารเสพติดด้วย ส่งผลให้ต้องถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมตามกฎหมาย

ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้พบ นายไมตรี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี สัญชาติไทย แสดงตนเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ในการลักลอบเล่นการพนัน

ข้อกล่าวหาและการดำเนินคดีตามกฎหมาย

นายไมตรี ถูกแจ้งข้อหา “จัดให้มีขึ้นซึ่งการเล่นการพนันอันระบุไว้ในบัญชี ข. ลำดับที่ 21 โดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478

ส่วนผู้ต้องหาอีก 12 ราย ถูกแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นอันระบุไว้ในบัญชี ข. ลำดับที่ 21 โดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งมีโทษเช่นเดียวกัน

ผู้ต้องหาที่มีและเสพยาเสพติด ถูกแจ้งข้อหาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ ทั้งข้อหาครอบครองโดยผิดกฎหมายและเสพสารเสพติดในร่างกาย

ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกควบคุมตัวไปยังสถานีตำรวจภูธรแม่ยาว เพื่อดำเนินการสอบสวนและนำตัวส่งฟ้องตามกระบวนการยุติธรรม

นโยบาย “เชียงรายฟ้าใส” มุ่งสู่เมืองปลอดภัย

ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “เชียงรายฟ้าใส” ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกระทรวงมหาดไทย โดยเฉพาะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง

นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากปัจจัยทางสังคมที่นำไปสู่ปัญหาอาชญากรรม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคท้องถิ่น

การมีส่วนร่วมของชุมชนคือกุญแจสำคัญ

กรณีนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐ ในการตรวจสอบและเฝ้าระวังปัญหาใกล้ตัว โดยการแจ้งเบาะแสและร้องเรียนจากประชาชนกลายเป็นข้อมูลสำคัญที่นำไปสู่การดำเนินการเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ

บทวิเคราะห์และแนวโน้ม

การบุกทลายบ่อนการพนันกลางเมืองในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าแม้ในยุคที่มีกฎหมายควบคุมและเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด แต่พฤติกรรมฝ่าฝืนยังคงมีอยู่ หากไม่ได้รับการแก้ไขที่รากฐาน เช่น การให้ความรู้เรื่องโทษของการพนันและยาเสพติด การสร้างทางเลือกในด้านสันทนาการและรายได้ รวมถึงการเสริมสร้างวินัยชุมชน

แนวโน้มในอนาคต หากนโยบาย “เชียงรายฟ้าใส” ดำเนินต่อเนื่องและมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง เชียงรายมีโอกาสเป็นต้นแบบของการพัฒนาสังคมเมืองที่สะอาด ปลอดภัย และมีความยั่งยืนได้ในระดับประเทศ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2566 ระบุว่า มีการจับกุมคดีการพนันทั่วประเทศกว่า 38,000 คดี โดยในเขตภาคเหนือมีมากกว่า 4,000 คดี
  • คดีเกี่ยวกับยาเสพติด พบการจับกุม ผู้ต้องหามีสารเสพติดในร่างกายเฉลี่ย 400 รายต่อเดือน ในเขตภาคเหนือ
  • คดีการเปิดบ่อนพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตในเชียงราย มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 17 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.royalthaipolice.go.th)
  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)
  • สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
  • กลุ่มงานความมั่นคง จังหวัดเชียงราย
  • สถานีตำรวจภูธรแม่ยาว จังหวัดเชียงราย
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE