Categories
NEWS UPDATE

‘อนุทิน’ สั่งรับพายุ เตือนผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด

รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568 ทั่วประเทศ กำชับช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน

กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และเร่งฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

ประเทศไทย, 15 มีนาคม 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568 ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม โดยกำหนดมาตรการป้องกันและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

สถิติความเสียหายจากพายุฤดูร้อนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า จากข้อมูลของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) พบว่า ในช่วงปี 2565 – 2567 มีผู้เสียชีวิตจากพายุฤดูร้อนรวม 44 ราย บ้านเรือนเสียหาย 217,639 หลัง และมีประชาชนได้รับผลกระทบมากถึง 210,186 ครัวเรือน

“พายุฤดูร้อนเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำทุกปี ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร แม้ว่าจะไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ แต่รัฐบาลสามารถ เตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสียหายและดูแลประชาชนให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว” นางสาวไตรศุลีกล่าว

มาตรการเตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อน 2568

  1. การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชน
  • ติดตาม พยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา อย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนประชาชนผ่านทุกช่องทางที่มีประสิทธิภาพ
  • กำชับให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน ประสานงานและเผยแพร่แนวทางปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย เช่น การป้องกันฟ้าผ่าและวิธีขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ
  1. การตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่เสี่ยงภัย
  • ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของ อาคาร สิ่งก่อสร้าง ป้ายโฆษณา และต้นไม้ขนาดใหญ่ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพังถล่ม
  • จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องมือให้พร้อมปฏิบัติงาน เช่น เครื่องจักรกลสาธารณภัย ไฟฉาย เรือท้องแบน และอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน
  1. มาตรการช่วยเหลือหลังพายุสงบ
  • สำรวจความเสียหาย ของบ้านเรือนประชาชน และดำเนินการซ่อมแซมโดยเร็ว
  • เร่งคืนสภาพโครงสร้างพื้นฐาน ที่ได้รับผลกระทบ เช่น ระบบไฟฟ้า ถนน และสะพาน โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสำรวจความเสียหาย และให้การช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

แนวทางปฏิบัติกรณีเกิดพายุฤดูร้อน

เมื่อเกิดพายุฤดูร้อนขึ้นในพื้นที่ใด ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที ดังนี้:

  1. หากมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้หน่วยแพทย์และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าช่วยเหลือทันที พร้อมเร่งเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บไปยังโรงพยาบาล
  2. กรณีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ให้กำหนดพื้นที่รับผิดชอบแต่ละหน่วยงาน และส่งทีมปฏิบัติการเข้าไปซ่อมแซมโดยเร็ว
  3. หากโครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหาย ให้ประสาน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กรมทางหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไข
  4. กรณีผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย ให้หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ร่วมมือกันสำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

ความคิดเห็นจากนักวิชาการและประชาชน

ศาสตราจารย์ ดร.วรพจน์ อินทรฉัตร นักวิชาการด้านอุตุนิยมวิทยา กล่าวว่า “การแจ้งเตือนล่วงหน้าและการเตรียมพร้อมในระดับชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดผลกระทบจากพายุฤดูร้อน ซึ่งภาครัฐควรเน้นการ ใช้เทคโนโลยี AI และข้อมูลจากดาวเทียม เพื่อพยากรณ์ล่วงหน้าที่แม่นยำขึ้น”

ขณะที่ นายสุพจน์ วัฒนาชัย เกษตรกรจากจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า “ที่ผ่านมา เกษตรกรได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยครั้ง หลายพื้นที่ยังขาดการช่วยเหลือที่รวดเร็ว แม้มีมาตรการจากรัฐ แต่ก็ต้องเร่งปรับปรุงขั้นตอนการเยียวยาให้เข้าถึงประชาชนโดยตรงมากขึ้น”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในประเทศไทย

  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากพายุฤดูร้อน (2565 – 2567): 44 ราย
  • จำนวนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหาย: 217,639 หลัง
  • จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ: 210,186 ครัวเรือน
  • ช่วงเวลาที่พายุฤดูร้อนเกิดขึ้นบ่อย: มีนาคม – พฤษภาคม
  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในรอบ 3 ปี: ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ

สรุป:

  • รัฐบาลไทยโดยกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดมาตรการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และช่วยเหลือประชาชนในช่วงพายุฤดูร้อน 2568
  • มาตรการหลัก ได้แก่ การแจ้งเตือนล่วงหน้า, ตรวจสอบสิ่งปลูกสร้าง, จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็ว
  • นักวิชาการแนะนำให้พัฒนาเทคโนโลยีการพยากรณ์ ขณะที่ประชาชนเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งปรับปรุงกระบวนการเยียวยาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย / กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ / กรมอุตุนิยมวิทยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

บอร์ดแอลกอฮอล์ “ไฟเขียว” ‘ขายเหล้า-เบียร์’ วันพระใหญ่ได้บางที่

รัฐบาลไฟเขียวขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา เร่งออกกฎก่อนวันวิสาขบูชา

ประเทศไทย, 4 มีนาคม 2568 – ที่ทำเนียบรัฐบาล นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ว่าที่ประชุมมีมติ ผ่อนคลายมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา เพื่อรองรับภาคการท่องเที่ยว แต่ยังคงควบคุมให้เกิดความเหมาะสมและไม่กระทบต่อค่านิยมทางศาสนาและวัฒนธรรมของไทย

ผ่อนปรนการขายแอลกอฮอล์ในบางพื้นที่วันสำคัญทางศาสนา

ที่ประชุมมีมติให้สามารถ จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา 5 วัน ได้แก่

  1. วันมาฆบูชา
  2. วันวิสาขบูชา
  3. วันอาสาฬหบูชา
  4. วันเข้าพรรษา
  5. วันออกพรรษา

แต่จำกัดเฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น โดยสถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่าย ได้แก่

  1. สนามบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศ – สามารถจำหน่ายแอลกอฮอล์ในร้านอาหารและเลานจ์ภายในสนามบิน
  2. สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ – เช่น ผับ บาร์ ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการสถานบันเทิง
  3. สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ – เช่น ย่านทองหล่อ พัฒน์พงศ์ หรือถนนข้าวสาร ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด
  4. โรงแรมที่ให้บริการนักท่องเที่ยว – อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในโรงแรม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
  5. สถานที่จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ – เช่น งานประชุมสัมมนา งานแสดงสินค้า หรือกิจกรรมที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก

ทั้งนี้ พื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุข้างต้น ยังคงห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ตามกฎหมายเดิม

มาตรการควบคุมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสังคม

เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว รัฐบาลกำหนดให้สถานที่ที่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมอย่างเคร่งครัด ได้แก่

  • การคัดกรองผู้ซื้อ – ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี
  • การรักษาความสงบเรียบร้อย – เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสถานที่จำหน่าย
  • การจำกัดการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน – ห้ามโฆษณาหรือส่งเสริมการขายที่กระตุ้นให้เกิดการดื่มเกินขนาด

รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า มาตรการนี้จะต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใน 15 วัน ก่อนนำเสนอให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณารับรอง และส่งต่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะแล้วเสร็จก่อนวันวิสาขบูชาในวันที่ 11 พฤษภาคม 2568

มาตรการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์

รองนายกฯ ย้ำว่า มาตรการผ่อนปรนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสงกรานต์ แต่เป็นการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญทางศาสนาโดยเฉพาะ ส่วนข้อเสนอให้ ขยายระยะเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลาที่กำหนด นั้น ที่ประชุมยังไม่ได้มีการพิจารณา เนื่องจากหากจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ต้องมีการแก้ไข พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายหลัก

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่สนับสนุนมาตรการ

  • ภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและผู้ประกอบการร้านอาหาร มองว่ามาตรการนี้เป็นการปรับตัวที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาเดิมอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของสถานประกอบการ โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก
  • ผู้บริหารโรงแรมและสนามบิน เห็นว่าการอนุญาตให้จำหน่ายแอลกอฮอล์ในพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวเป็นหลัก จะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีและเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักเดินทาง

กลุ่มที่คัดค้านมาตรการ

  • องค์กรทางศาสนาและกลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แสดงความกังวลว่าการผ่อนคลายมาตรการนี้อาจเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาและอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย
  • กลุ่มรณรงค์ต่อต้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระบุว่าการผ่อนปรนมาตรการในวันสำคัญทางศาสนาอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคม เช่น การเพิ่มขึ้นของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย

  • ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของคนไทย (ปี 2567) – เฉลี่ย 5 ลิตรต่อคนต่อปี
  • รายได้จากอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย (ปี 2567) – ประมาณ 250,000 ล้านบาท
  • สัดส่วนอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567)22% ของอุบัติเหตุทั้งหมด
  • จำนวนร้านค้าที่ได้รับใบอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในไทย – มากกว่า 120,000 ร้านค้า
  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (ปี 2567) – มากกว่า 6,500 ราย

บทสรุป

การผ่อนปรนมาตรการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ถือเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ยังต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านจากกลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสังคมและวัฒนธรรม

รัฐบาลจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่าง การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยว กับ การรักษาคุณค่าและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้มาตรการนี้สามารถดำเนินไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมในระยะยาว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“อนุทิน” จัดระเบียบสังคม! เข้มสถานบริการ KPI รายงานทุกเดือน

รัฐบาลเดินหน้าจัดระเบียบสังคม มุ่งสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้ประชาชน

กระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนนโยบายจัดระเบียบสังคม เฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

กรุงเทพฯ, 1 มีนาคม 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ออกข้อสั่งการให้มีการขับเคลื่อนการจัดระเบียบสังคมอย่างเข้มข้น โดยเน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด ครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น สถานบริการ ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การครอบครองอาวุธปืน การพนัน และเฝ้าระวังกลุ่มผู้มีอิทธิพล พร้อมกำหนดให้มีการรายงานผลการดำเนินงานทุกเดือน ซึ่งจะถูกนำมาประกอบการประเมินผลปฏิบัติราชการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

มาตรการจัดระเบียบสังคมเพื่อความปลอดภัยของประชาชน

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้ออกแนวทางปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อนนโยบายจัดระเบียบสังคม โดยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวดในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตน

แนวทางดำเนินการที่สำคัญ

  1. การควบคุมและตรวจสอบสถานบริการและสถานบันเทิง
    • ตรวจสอบใบอนุญาตการดำเนินกิจการ
    • บังคับใช้มาตรการควบคุมอายุผู้เข้าใช้บริการ
    • ป้องกันการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและอาชญากรรม
  2. การปราบปรามและป้องกันยาเสพติด
    • ดำเนินการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด
    • สนับสนุนมาตรการฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดให้สามารถกลับคืนสู่สังคมได้
  3. การควบคุมการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย
    • ตรวจสอบและดำเนินคดีกับนายจ้างที่ใช้แรงงานผิดกฎหมาย
    • เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์
  4. การควบคุมอาวุธปืนและอาชญากรรมรุนแรง
    • ตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ครอบครองอาวุธปืนโดยผิดกฎหมาย
    • ควบคุมการจำหน่ายและนำเข้าอาวุธปืนอย่างเข้มงวด
  5. การจัดการกับปัญหาการพนันผิดกฎหมาย
    • ปิดกั้นช่องทางการเล่นพนันออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย
    • เข้มงวดกับการเปิดบ่อนการพนันที่ไม่มีใบอนุญาต
  6. การติดตามและควบคุมผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
    • บังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการกลุ่มผู้มีอิทธิพล
    • สืบสวนและจับกุมเครือข่ายที่กระทำผิด

การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง

เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ร่วมสนับสนุนและบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ของตน โดยกำหนดให้มีการสืบสวน ตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและปราบปรามปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย

การรายงานผลและการประเมินผลการดำเนินงาน

หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานทุกเดือน โดยหน่วยงานในพื้นที่ต้องรายงานความคืบหน้าต่อกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้สามารถประเมินผลลัพธ์ของนโยบายได้อย่างเป็นรูปธรรม และปรับปรุงแนวทางการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ข้อคิดเห็นจากสองมุมมอง

  • ฝ่ายที่สนับสนุน: เห็นว่ามาตรการนี้เป็นแนวทางที่จำเป็นต่อการจัดระเบียบสังคม เนื่องจากช่วยลดปัญหาอาชญากรรม สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน และเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายในระดับท้องถิ่น
  • ฝ่ายที่กังวล: มีความเห็นว่าการบังคับใช้มาตรการที่เข้มงวดมากเกินไป อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน และต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการใช้กฎหมายโดยมิชอบหรือการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

จากข้อมูลของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กระทรวงมหาดไทย ในปี 2567 พบว่า:

  • คดีอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนเพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปี 2566
  • จำนวนคดียาเสพติดที่ถูกจับกุมเพิ่มขึ้น 8%
  • การพนันออนไลน์ผิดกฎหมายมีมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี
  • ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องเฝ้าระวังการค้ามนุษย์ระดับ Tier 2 ตามรายงานของสหรัฐอเมริกา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / กระทรวงมหาดไทย / กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

อนุทินสั่งรับมือพายุหม่านหยี่ เร่งฟื้นฟูน้ำท่วมแม่สาย

“มหาดไทยเตรียมพร้อมรับมือพายุหม่านหยี่ เร่งฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วมแม่สาย”

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ณ กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์พายุหม่านหยี่ที่กำลังส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยกล่าวว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้เตรียมแผนเผชิญเหตุและแผนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที

นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมในการรับมือภัยพิบัติที่จะมาถึง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยง เช่น พื้นที่ลาดเชิงเขาที่อาจเกิดดินถล่ม หรือถนนที่อาจถูกน้ำท่วมขังจนทำให้การสัญจรถูกตัดขาดได้ ทางกระทรวงได้กำชับให้มีการตั้งจุดตรวจเตือนให้กับผู้สัญจรไปมา พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังในจุดเสี่ยง พร้อมทั้งมีการเตรียมอุปกรณ์และเครื่องจักรเพื่อช่วยเคลียร์พื้นที่และซ่อมแซมถนนที่อาจได้รับความเสียหาย

การฟื้นฟูพื้นที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย

นอกจากนี้ นายอนุทินยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการฟื้นฟูพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา โดยปัจจุบันทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้เสนอแนวทางการวางผังเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการสร้างฝายและเขื่อนถาวรเพื่อป้องกันน้ำท่วมในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบและดำเนินการ

นายอนุทินระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจุดที่เกิดปัญหา โดยเฉพาะในตลาดสายลมจอย ซึ่งเป็นจุดที่เกิดการลุกล้ำพื้นที่สาธารณะ ทำให้เกิดการอุดตันของทางน้ำ และเป็นสาเหตุให้น้ำไม่สามารถระบายได้ตามปกติ กระทรวงมหาดไทยจึงมีแผนที่จะเร่งเวนคืนพื้นที่ดังกล่าวเพื่อนำไปสร้างระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเตรียมความพร้อมรับมือพายุหม่านหยี่

นายอนุทินเน้นย้ำว่าการเตรียมการรับมือพายุหม่านหยี่จะต้องเป็นไปอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการประสานงานระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดและท้องถิ่น ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำหลากและดินถล่มที่จะเกิดขึ้น โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง และเตรียมความพร้อมในการระดมกำลังคนและอุปกรณ์สำหรับการช่วยเหลือประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ กระทรวงยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตรวจสอบความพร้อมของเครื่องจักร อุปกรณ์ และยานพาหนะที่ใช้ในการบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในกรณีที่เกิดอุทกภัย เช่น การจัดหาถุงยังชีพ และสิ่งของจำเป็นเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยทันที

แนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว

นายอนุทินกล่าวเพิ่มเติมว่า ทางรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยการพัฒนาระบบระบายน้ำและการวางผังเมืองให้สามารถรองรับน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงของน้ำท่วมในอนาคต นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุที่ได้วางไว้ เพื่อให้สามารถลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน และเพื่อให้การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

จากการเตรียมความพร้อมและการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ประชาชนสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลและช่วยเหลือในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ โดยนายอนุทินได้ย้ำว่า การร่วมมือของทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กระทรวงมหาดไทยปรับทัพ จ.เชียงราย แต่งตั้งข้าราชการใหม่ 4 ตำแหน่งฟื้นฟูเมือง

 

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 กระทรวงมหาดไทยได้ออกคำสั่งแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการระดับสูงเพื่อปรับปรุงการบริหารงานและสนับสนุนการปฏิบัติราชการของกระทรวงมหาดไทยให้มีประสิทธิภาพ โดยมีการแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนใหม่ และมีการปรับย้ายข้าราชการระดับบริหารจำนวน 6 ตำแหน่ง ตามคำสั่งที่ 3067/2567 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

ในคำสั่งดังกล่าว นายโชตินรินทร์ เกิดสม ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมกันนี้ นายดำรงค์ศักดิ์ ยอดทองดี ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ เดิมเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ได้รับการโยกย้ายให้มาดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายอีกตำแหน่ง นอกจากนี้ นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ ก็ได้ย้ายมาดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน ว่าที่ร้อยตรี ศราวุธ จันทวงศ์ ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ถูกโยกย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์แทน โดยการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการปฏิบัติราชการระดับภูมิภาคให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และรองรับการดำเนินงานต่าง ๆ ของกระทรวงมหาดไทยอย่างเต็มที่

ในวันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เป็นประธานในการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยที่ห้องประชุมราชสีห์ ชั้น 2 อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บริหารระดับกรมและผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกล (VCS) ซึ่งในที่ประชุม นายอนุทินได้กล่าวแสดงความยินดีกับ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยคนใหม่เป็นครั้งแรก โดยเน้นย้ำความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายปฏิบัติ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายและภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงมหาดไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การปรับเปลี่ยนตำแหน่งในครั้งนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับทีมบริหารของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในเรื่องของการให้บริการและการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งนี้ เขายังได้ขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนให้ทำงานอย่างเต็มที่ โดยไม่มีการ “เกียร์ว่าง” เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาของประชาชนได้อย่างทันท่วงที

สำหรับเหตุการณ์ความวุ่นวายในจังหวัดเชียงรายที่ผ่านมา นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวนเพิ่มเติม เนื่องจากทุกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์และไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาของประชาชนและเดินหน้าสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดต่อไป

สุดท้าย นายอนุทินย้ำว่า การปรับเปลี่ยนตำแหน่งในกระทรวงมหาดไทยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานรัฐและผู้ว่าราชการจังหวัดในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายที่ได้รับการแต่งตั้งผู้ว่าฯ และรองผู้ว่าฯ คนใหม่ เพื่อมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใสในทุกขั้นตอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ปลัด มท. ชี้น้ำท่วมพะเยาลด เตรียม Big Cleaning เตือนอย่าชะล่าใจ

 

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยกล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (16 ก.ย. 67) ที่จังหวัดพะเยา บริเวณมหาวิทยาลัยพะเยา ได้เกิดน้ำป่าไหลหลากจากฝนตกหนัก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่โดยรอบ ซึ่งนายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้ลงพื้นที่บัญชาการเหตุการณ์ร่วมกับนายอำเภอเมืองพะเยา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้โทรศัพท์รายงานทุกระยะ ทั้งนี้ ได้มีการระดมสรรพกำลัง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน องค์กรปกครองท้องถิ่น อส. อปพร. ไปช่วยตั้งแต่ 05.00 น. กระทั่งเมื่อเช้าก่อน 10.00 น. ได้ยกหูโทรศัพท์สอบถามท่านผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ซึ่งยังอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ทำให้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ฝนจำนวนมากตกอยู่บริเวณพื้นที่ป่าจังหวัดลำปางเขตติดต่อจังหวัดพะเยา แต่เนื่องจากอยู่บนพื้นที่สูงกว่า จึงกลายเป็นน้ำป่าไหลลงมาท่วมขัง เพราะจริง ๆ แล้วบริเวณพื้นที่มหาวิทยาลัยพะเยาไม่เคยมีน้ำท่วมเพราะอยู่ที่สูง แต่คราวนี้น้ำมันไหลมาจากที่สูงกว่า แต่อย่างไรก็ตามขณะนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว และผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาจะระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนไป Big Cleaning ทันทีต่อไป

“ในขณะเดียวกันทางจังหวัดเชียงราย จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดนครพนม และจังหวัดพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นมากจนเข้าใกล้ที่จะไว้วางใจได้ แต่ก็ยังคงต้องเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่ยังมีระดับน้ำสูงอยู่อย่างใกล้ชิด เพราะถ้าบังเกิดฝนฟ้าตกลงมาหนักอีก อาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์ซ้ำ อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้ กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่าปริมาณฝนไม่มาก จะเป็นฝนที่ตกตามฤดูกาลปกติ แต่ก็อาจจะมีฝนที่เกิดจากการก่อตัวของกลุ่มเมฆที่เราไม่คาดคิดได้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ระแวดระวังป้องกันด้วยการยกเครื่องใช้ไฟฟ้า ยกข้าวของที่จำเป็น รวมถึงเอกสารสำคัญขึ้นที่สูงได้ก็จะเป็นการเตรียมการที่ดี และที่สำคัญ ขอให้เชื่อการแจ้งเหตุของท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอำเภอ อปพร. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ้าแจ้งเตือนอย่างไรขอให้เชื่อกัน และขอย้ำว่า กันไว้ดีกว่าแก้ พอฝนเริ่มตกก็อย่าชะล่าใจว่ารอให้มันหนักกว่านี้แล้วถึงจะยก” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น
 
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ดีในเชิงระบบ เป็นที่น่าดีใจที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับบัญชาจากท่านแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และท่านอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการที่จะเพิ่มการแก้ไขในจุดอ่อนของการป้องกันสถานการณ์ภัย คือ “การเตือนภัยด้วยการทำระบบ Cell Broadcast” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการส่งข้อความไปยังผู้ใช้โทรศัพท์มือถือหลายรายในพื้นที่ที่กำหนดพร้อมกันได้อย่างทั่วถึงเป็นรายบุคคล เพราะตอนนี้เรายังใช้ลักษณะเตือนภัยแบบภาพรวมด้วยการใช้คนออกวิทยุกระจายเสียง ออกหอกระจายข่าว หรือใช้คนวิ่งไปบอก ซึ่งมันไม่ทันการณ์ โดยแต่เดิมตามแผนระบบดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2568 
 
แต่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ให้นโยบายว่าต้องทำให้เร็วที่สุดก่อนแผน ซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สายงานโทรคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ในการขอความร่วมมือผู้ให้บริการเครือข่าย AIS True และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ร่วมกันดำเนินการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าผ่านโทรศัพท์มือถือ (SMS) ทั้งการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า 12-24 ชั่วโมง และการแจ้งเตือนภัยแบบฉุกเฉิน 6 -12 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยได้รับข้อมูลการแจ้งเตือนภัยและสามารถเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างทันท่วงทีและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
 
“ถึงอย่างไรเสีย ตอนนี้สังคมต้องคุยกันให้ชัดว่าที่ทำอยู่นี้มันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนหรือการแก้ปัญหาที่จะเกิดประโยชน์ในระยะยาว เราต้องเอาจริงเอาจังกับการเพิ่มจำนวนต้นไม้ เพิ่มจำนวนป่าไม้ให้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะพื้นที่ที่ประสบปัญหารุนแรงส่วนใหญ่จะอยู่พื้นที่ที่อยู่ติดกับเชิงเขา เพราะตอนนี้ภูเขาในทุกภูมิภาคของไทยเราต้องยอมรับสภาพว่า “ต้นไม้ยืนต้นมันหายไปเยอะ” ถูกแปลงจากป่าที่อุดมสมบูรณ์กลายเป็นสวนยาง เป็นไร่ข้าวโพดก็เยอะ เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาภัยอันตรายที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องกระตุ้น ทำให้คนในสังคมช่วยกันให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูป่าไม้ให้มากขึ้นอย่างจริงจัง และอย่างได้ผลจริง ไม่ใช่ว่าระดมกันไปปลูกแล้วก็ทิ้ง ต้นที่ปลูกไว้ก็จะตาย” นายสุทธิพงษ์ กล่าวเน้นย้ำ
 
นายสุทธิพงษ์ กล่าวต่ออีกว่า ส่วนในการแก้ไขปัญหาเชิงภูมิประเทศพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ในขณะลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน ท่านชัยยนต์ ศรีสมุทร นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย นายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ได้จัดทำเอกสารเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในการที่จะนำข้อมูลแต่ละพื้นที่ ทั้งแม่สายและพื้นที่ต่าง ๆ ไปปรับปรุงในเชิงระบบ ซึ่งเมื่อวานนี้ได้เห็นข่าวที่เป็นผลต่อเนื่องหลังจากท่านนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่แม่สาย ก็คือ ท่านมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
 
ได้ประสานงานไปที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในการนำข้อเสนอแนะของนายกเทศมนตรีตำบลแม่สาย นายอำเภอแม่สาย และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไปสู่การปฏิบัติโดยทันที เพราะว่าน้ำที่แม่สายต้นทางมาจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และแม่น้ำแม่สายเป็นแม่น้ำระหว่างสองประเทศ แสดงให้เห็นว่าบัญชาของท่านนายกรัฐมนตรีจะนำไปสู่การตั้งโต๊ะนั่งคุยกันว่าประเทศไทยจะช่วยเมียนมาได้อย่างไร ร่วมกันได้อย่างไร และจะพัฒนาพื้นที่ฝั่งไทยตรงเขตแดนระหว่างประเทศได้อย่างไร
 
นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า สำหรับประเด็นการแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยในด้านการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ท่านนายกรัฐมนตรีก็เน้นย้ำให้ช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและเพิ่มเติม top up เข้าไป เพราะตามระเบียบราชการช่วยได้น้อย และช่วงสายวันนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 3,045.519 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 
 
ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีจ่ายเงินที่ ครม. กำหนด โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะเป็นหน่วยรับงบประมาณและดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ซึ่งทางธนาคารจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยที่มีสิทธิโดยตรงผ่านระบบพร้อมเพย์ต่อไป นอกจากนี้ เมื่อวานนี้ ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้นำเสนอเรื่องการบรรเทาความเดือดร้อนค่าไฟและค่าน้ำ 
 
ซึ่งที่ประชุมก็ได้เห็นชอบที่จะช่วยเหลือและเยียวยา และในส่วนข้อเสนออื่น ๆ ท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกพื้นที่ให้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงต่อนายกรัฐมนตรีเลยว่า ปัญหานี้จะแก้อย่างไร มีแนวทางข้อแนะนำจากพื้นที่อย่างไรให้เสนอมา ซึ่งถือเป็นเรื่องดี เพราะทำให้การแก้ปัญหาตรงจุด เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องด้วยการใช้แนวทาง Bottom Up แล้วท่านนายกรัฐมนตรีก็จะช่วยสนับสนุนในลักษณะ Top Down ระดมกำลังของทุกกระทรวงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off โครงการ “เส้นทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ปันสุข” 

 

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2567 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “เส้นทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ปันสุข” ณ วัดป่ายางสบยาบ หมู่ที่ 2 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมีนายคฑาสิทธิ์ เนื่องหล้า นายอำเภอเชียงแสน กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วยนางสุวาภรณ์ จิตต์พลีชีพ รองประธานแม่บ้านมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการอำเภอเชียงแสน ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น คณะครูและนักเรียน และประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธี

      ในการนี้ นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายปรีชา ปวงคำ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การดำเนินโครงการ โดยมีนางสุรีย์ศรี แสงสุวรรณ ผู้อำนวยการกลุ่มงานสารสนเทศการพัฒนาชุมชน พัฒนาการอำเภอและเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน จาก 18 อำเภอ ร่วมพิธี 

       สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานแนวพระราชดำริในการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชาชน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019 รวมทั้งใช้เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความรัก ความสามัคคีในหมู่ของประชาชน เกิดผลดีต่อการพัฒนาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม  

     กระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนำแนวพระราชดำริดังกล่าว มาขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมกับประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด และภาคีเครือข่ายการพัฒนา ดำเนินโครงการ “เส้นทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ปันสุข” เพื่อต่อยอดขยายผลการน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สู่ปฏิบัติการปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งจังหวัดเชียงราย ได้พิจารณาคัดเลือกบ้านสบยาบ หมู่ที่ 2 ตำบลแม่เงิน อำเภอเชียงแสน เป็นพื้นที่ดำเนินงาน 

        สำหรับกิจกรรมในวันนี้ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย ได้บูรณาการความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเชียงแสน เทศบาลตำบลแม่เงิน และประชาชนบ้านสบยาบ ดำเนินกิจกรรมตามโครงการ “เส้นทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ปันสุข” ดังนี้

1. กิจกรรม “ผู้นำต้นแบบตัวอย่างที่เห็นจริง” Kick off กิจกรรม โครงการ “เส้นทางนี้มีผล ผู้คนรักกัน ปันสุข” โดยร่วมกันปลูกไม้ผลและปลูกผักสวนครัว ภายในบริเวณวัดป่ายางสบยาบและบริเวณ 2 ข้างทางของหมู่บ้าน

2. การมอบเมล็ดพันธุ์และกล้าพันธุ์ไม้ให้แก่ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา สถานศึกษาและตัวแทนครัวเรือน เพื่อนำไปขยายพันธุ์ผัก และต่อยอดไปสู่การจัดตั้งเป็นศูนย์แบ่งปันเมล็ดพันธุ์ระดับตำบล 

3.กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และจัดทำวีดิทัศน์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลัดมท.สั่งผู้ว่าฯทุกจังหวัดค้นหา ผู้เสพ-ผู้ค้ายาเสพติดในทุกพื้นที่

 

เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 67 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือแจ้งให้ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด (ศอ.ปส.จ.) ทุกจังหวัดบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ปฏิบัติการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยดำเนินการให้ครอบคลุม ทั้งด้านการป้องกัน การปราบปราม การบังคับใช้กฎหมาย การบำบัดรักษายาเสพติด และการดำเนินการค้นหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ผู้ค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (Re X-ray) ในพื้นที่ตำบล/หมู่บ้านอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยกรณีผู้ค้าและผู้ผลิตให้จับกุม และดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด สำหรับผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ให้นำเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดทันที

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ใช้แนวทางในการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเชิงรุก ควบคู่กับนโยบายการจัดระเบียบสังคมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคีเครือข่าย ภาครัฐ อาทิ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ป.ป.ส. หน่วยงานด้านสาธารณสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาควิชาการ ภาคศาสนา ภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคสื่อสารมวลชน เข้าร่วมปฏิบัติการ Re X-ray สถานบริการและสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบริการ พร้อมทั้งรับแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดและการสกัดจับเครือข่ายผู้ค้ารายใหญ่ และรายย่อยที่ลักลอบขนย้ายยาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย โดยไม่มีการยกเว้น
 
“เพื่อให้การแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะการบำบัด รักษา และฟื้นฟูสภาพทางสังคมผู้ติดยาเสพติดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด ดำเนินการมาตรการเร่งรัดการดำเนินการค้นหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ผู้ค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (Re X-ray) โดยขอความร่วมมืออำเภอทุกอำเภอดำเนินการค้นการค้นหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ในพื้นที่รับผิดชอบ โดยดำเนินการขอความร่วมมือจากบุคคลในครอบครัว หัวหน้าสถานศึกษา ผู้นำศาสนา หรือ หัวหน้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เจ้าของสถานประกอบการ แจ้ง หรือ ให้ข้อมูลบุคคลในครอบครัว บุคคลในปกครองดูแล ลูกจ้างพนักงาน ที่เสพ หรือ ติดยาเสพติด เพื่อนำไปสู่กระบวนการบำบัดรักษา และขอความร่วมมือจากชุมชน ผู้นำชุมชน/หมู่บ้าน หัวหน้าสถานศึกษา ผู้นำศาสนา ผู้ประกอบการหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และประชาชน ให้ข้อมูลผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เพื่อนำไปสู่กระบวนการบำบัดรักษา โดยใช้สายด่วน 1567” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว
 
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่ออีกว่า “ขอให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด/อำเภอ รับแจ้งประสานการปฏิบัติ และเก็บรักษาข้อมูลผู้แจ้งผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด ไว้เป็นความลับ โดยมุ่งเน้นให้ได้ตัวผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เข้ากระบวนการบำบัดรักษา และเยียวยาฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย รวมทั้งฝึกฝนทักษะอาชีพ เพื่อให้มีรายได้และสามารถกลับคืนสู่สังคมอย่างปกติสุข และคัดกรองผู้ติดยาเสพติด โดยนำตัวผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด เข้าสู่ระบบการคัดกรองและประเมินความรุนแรงของการติดยาเสพติดโดยใช้ศูนย์คัดกรอง สถานพยาบาลยาเสพติด เพื่อส่งตัวเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษาและฟื้นฟูยาเสพติดต่อไป
 
“นอกจากนี้ ขอให้ทุกจังหวัดถอดบทเรียนการบูรณาการฐานข้อมูลยาเสพติด ให้เป็นแบบ “Real time” ของจังหวัดสุรินทร์ ให้ทุกจังหวัดได้นำไปใช้เพื่อให้มีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันตลอดเวลา อันจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ผู้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รวมทั้งให้กรมการปกครองเร่งรัดสร้างความเข้มแข็งของชุมชนให้ชุมชนดูแลกันเอง ด้วยการส่งเสริมให้เกิดระบบคุ้ม ตามแนวพระราชดำริหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมทั้งให้กรมการพัฒนาชุมชนไปกระตุ้นให้เกิดการรวมกลุ่มนำแนวทางของกองทุนแม่ของแผ่นดิน ตามแนวพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปดำเนินการให้เกิดกองทุนแม่ของแผ่นดินจนครบทุกหมู่บ้าน ชุมชน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

“เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน) สั่งบุกจับกุม ร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า

 
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เปิดเผยถึงการดำเนินการ ของชุดปฏิบัติการพิเศษฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายหลังจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษา และประชาชนว่ามีร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ตนจึงได้มอบหมายให้ นายบัลลังก์ ไวทย์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย และ นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย สั่งการ นายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย บูรณาการกำลังกับสมาชิกกองร้อยอาสารักษาดินแดนจังหวัดเชียงรายที่ 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย ร่วมปฏิบัติการ “เชียงรายฟ้าใส (ไร้ควัน)” โดยได้ลงพื้นที่เข้าจับกุมร้านลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่จำนวน 2 ร้าน พร้อมยึดของกลางเป็นเครื่องบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้ารวมกันราว 1,000 ชิ้น ทั้งนี้ ทางชุดปฏิบัติการพิเศษฯ ได้ทำบันทึกการจับกุมพร้อมแจ้งข้อกล่าวหา และนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
 

การปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องมากจากได้รับร้องเรียนมาจากผู้ปกครอง บุคลาการทางการศึกษาและประชาชนเป็นจำนวนมาก ว่ามีการลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งตนได้สั่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวทันที และพบว่ามีร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าจริงจำนวน 2 ร้าน ซึ่งได้มีการติดฟิล์มสีขาวขุ่นอำพรางไม่ให้มีการมองจากข้างนอกเข้าไปเห็นในบริเวณด้านใน และ 1 ใน 2 ร้าน มีการวางน้ำหอม ตั้งโชว์บริเวณหน้าตู้กระจก แต่จะเก็บบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในลิ้นชักเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ และมีกล้องวงจรปิดรอบทิศทางเพื่อดูสถานการณ์จากภายนอก แต่ผู้ซื้อจะรู้กันภายในกลุ่มไลน์ เฟสบุ๊ค หรือสื่อสังคมต่างๆ 

 

ทั้งยังพบในร้านมีการแจกคูปองเพื่อไว้ให้ลูกค้าลุ้นรางวัลด้วย โดยทั้ง 2 ร้าน ดังกล่าวประกอบด้วย ร้าน VMC HUB Chiangrai ตั้งอยู่ที่ 34/5 หมู่ 11 ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 2 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล และ ร้านบ้านควันหอม ตั้งอยู่ที่ 66/23 หมู่ 11 ตำบลสันทราย อำเภอเมืองเชียงราย พบผู้ต้องหา 1 คนแสดงตัวเป็นผู้ดูแล พร้อมกับยึดของกลางได้เป็นจำนวนมากคือ 1.เครื่องบุหรี่ไฟฟ้าชนิดเปลี่ยนหัวน้ำยา จำนวน 15 เครื่อง 2.หัวพอตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 522 ชิ้น 3.บุหรี่ไฟฟ้าใช้แล้วทิ้ง จำนวน 382 ชิ้น 4.น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 25 ชิ้น และ 5.คอยล์บุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 71 ชิ้น ซึ่งมีมูลค่ารวมหลายแสนบาท” นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าว

 

นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ได้เข้าตรวจสอบและยึดของกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษได้ทำการตรวจสอบรับจ่ายเงินหรือเงินหมุนเวียนภายในร้านเพิ่มเติม และพบว่า แต่ละร้านมีรายได้ต่อวัน ตั้งแต่วันละ 10,000 – 40,000 บาทต่อวัน หรือตกเดือนละประมาณ 300,000 – 500,000 บาท ซึ่งจากการสอบถามผู้ดูแลพบว่า เจ้าของที่แท้จริงจะติดต่อผ่านไลน์และส่งของมาให้ขายจึงไม่ทราบราคาต้นทุนต่อชิ้น และจะขายบุหรี่ไฟฟ้าและอุปกรณ์ตั้งแต่ราคาหลักสิบ ถึง หลักพันบาท อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้แจ้งสิทธิให้กับผู้กระทำผิดทั้ง 3 คนทราบแล้ว และได้แจ้งข้อกล่าวหาดังนี้ 

1) ได้มีการซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242 ตามมาตรา 246 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 ประกอบข้อ 4 แห่งประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้บารากู่และบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2557 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือ ทั้งจำทั้งปรับ และ 

2) ขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 เรื่อง ห้ามขายหรือห้ามให้บริการสินค้า บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ำยาสำหรับเติมบารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า ต้องระวางโทษ โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 

“บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าบุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายผู้สูบเป็นอย่างมาก อาทิ การก่อให้เกิดมะเร็งปอด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคปอดอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้สูบ ครอบครัว และชุมชนในระยะยาวอย่างแน่นอน จึงต้องดำเนินการจับกุมอย่างจริงจังและเด็ดขาด ทั้งนี้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนในความร่วมมือร่วมใจ และขอเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานด้วยความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม ในฐานะผู้ทำหน้าที่ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” และรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อให้ทุกคนในสังคมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านช่วยเป็นหูเป็นตา ระแวดระวังบ้านเมืองของเรา หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิดทุกรูปแบบ สามารถแจ้งข้อมูล และร้องเรียนร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ สายด่วน 1567 โทรฟรีตลอด 24 ชั่วโมง” นายพุฒิพงศ์ฯ กล่าวทิ้งท้าย

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตรวจตลิ่งริมแม่น้ำอิง จ.เชียงรายเตรียมสร้างเขื่อนป้องกันบรรเทาความเดือดร้อน

 

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567 เวลา 10:08 น.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) พร้อมด้วย นางสาวพรพิมล ธรรมสาร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมเกียรติ กิจเจริญ คณะทำงานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเอกภพ เพียรพิเศษ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมในการดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำอิง หมู่ที่ 4 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยมี นายอรัญ กิติเรืองแสง ผู้ตรวจราชการกรมโยธาธิการและผังเมือง นายบัลลังก์ ไวท์ศิริ ปลัดจังหวัดเชียงราย นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ พร้อมร่วมพูดคุยกับผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อรับฟังปัญหาและร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาการกัดเซาะ ณ บริเวณตลิ่งริมแม่น้ำอิงชุมชนห้วยขี้เหล็ก บ้านหลวง หมู่ที่ 4 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

 

นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่า ตลิ่งริมแม่น้ำอิง มีลักษณะเป็นทางโค้ง ทำให้กระแสน้ำกัดเซาะดินริมตลิ่งได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องซึ่งจุดที่เสียหายอยู่ใกล้กับถนนสายบ้านหลวงเชื่อมบ้านหลวงใหม่พัฒนา หากไม่ได้รับการป้องกันจะสร้างผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรที่อยู่ติดริมตลิ่งแม่น้ำอิงในเขตเทศบาลตำบลครึ่งได้ จึงได้มีข้อสั่งการให้เทศบาลตำบลครึ่ง และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ที่ประสบปัญหาเรื่องตลิ่งริมแม่น้ำถูกกัดเซาะ ประสานกับสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย ในการขอรับสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง เพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนในพื้นที่อย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งกำชับให้กรมโยธาธิการและผังเมือง พิจารณาจัดทำแผนงานขอรับสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ต่อไป

 

นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง เปิดเผยว่า เทศบาลตำบลครึ่ง มีหนังสือถึงสำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย เพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำอิง หมู่ที่ 4 ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ความยาว 400 เมตร พร้อมทั้งได้ดำเนินการตรวจสอบกรรมสิทธิ์ที่ดินทุกแปลงของพื้นที่ที่จะดำเนินโครงการฯ เรียบร้อยแล้ว พบว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ และไม่มีส่วนราชการอื่นดำเนินการในพื้นที่ กรมโยธาธิการและผังเมือง ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีภารกิจสำคัญในด้านการพัฒนาเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ได้ขานรับข้อสั่งการนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการพิจารณาจัดทำแผนงานขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

 

ทั้งนี้ หากโครงการฯ ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ จะมีประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าวกว่า 50 ครัวเรือน และเป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถรักษาพื้นที่เกษตรกรรม สภาพแวดล้อม และใช้ประโยชน์พื้นที่สาธารณะได้อย่างคุ้มค่าสูงสุด

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News