Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

งบฯ เกือบ 3 พันล้าน! เปิดแผน 8 ปี “รื้อ-สร้างใหม่ทั้งทางน้ำและเมืองชายแดน” แก้ปัญหาน้ำท่วมแม่สายถาวร

งบฯ เกือบ 3 พันล้าน เปิดแผน 8 ปี “รื้อ–สร้างใหม่ทั้งทางน้ำและเมืองชายแดน” แก้น้ำท่วมแม่สายถาวร รับบทประตูเศรษฐกิจ GMS

แม่สาย, จังหวัดเชียงราย – วันที่ 12 ธันวาคม 2568 ห้องประชุมโรงแรมปิยะพร พาวิลเลี่ยนฮอลล์ อำเภอแม่สาย เต็มไปด้วยตัวแทนหน่วยงานรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และประชาชนริมฝั่งแม่น้ำสายที่เคยถูกน้ำหลากซัดบ้านเรือนจนเสียหาย เมื่อกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย เปิดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 1 เพื่อศึกษา “แผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสาย เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ จังหวัดเชียงราย” อย่างเป็นทางการ

ภายใต้แผนนี้ รัฐเตรียมใช้งบประมาณรวม 2,950 ล้านบาท ในช่วงเวลา 8 ปี ตั้งแต่ปลายปี 2568 จนถึงสิ้นปี 2575 เพื่อบูรณะทั้ง “ทางน้ำ–โครงสร้างป้องกัน–ระบบระบายน้ำ–พื้นที่ตั้งถิ่นฐานของประชาชน” โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ “ยุติวงจรน้ำหลาก–น้ำท่วมซ้ำซาก” ในเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สายที่ถูกนิยามว่าเป็นประตูสำคัญเชื่อมไทย–เมียนมา และกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS)

การประชุมครั้งนี้มี นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ร่วมด้วยนายอำเภอแม่สาย ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ขณะที่กรมโยธาธิการและผังเมืองได้มอบหมายให้บริษัท วอเตอร์ ดีเว็ลลัฟเม็นต์ คอนซัลแท็นส์ กรุ๊ป จำกัด ทำหน้าที่ที่ปรึกษาและนำเสนอรายละเอียดเชิงวิศวกรรมและผังเมืองต่อที่ประชุม

น้ำท่วมซ้ำซาก–ความเสียหายกว่า 6 พันล้าน ฉากหลังของ “แผนใหญ่น้ำสาย”

อำเภอแม่สายในวันนี้ ไม่ใช่เพียงอำเภอชายแดนที่มีสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาและตลาดค้าชายแดนคึกคัก หากแต่เป็น “พื้นที่เสี่ยงภัย” ที่ชื่อของมันถูกเชื่อมโยงกับข่าวน้ำหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนไหลบ่ามาอย่างต่อเนื่องหลายปี

รายงานของบริษัทที่ปรึกษาชี้ให้เห็นว่า ต้นตอสำคัญของปัญหาอยู่ที่ “การขยายตัวของชุมชนและเขตเมือง” ซึ่งรุกล้ำเข้าไปใน “เขตทางน้ำหลากของแม่น้ำสาย” ไปจนเกือบเต็มตลอดแนวบางช่วงของลำน้ำ เมื่อประกอบเข้ากับสภาพภูมิอากาศที่ฝนตกหนักในระยะเวลาสั้น ๆ น้ำจึงไม่สามารถไหลผ่านตามธรรมชาติได้อย่างสะดวก เกิดเป็นน้ำหลากและน้ำท่วมซ้ำซากทุกปี

เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนกันยายน 2567 ถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างชัดเจน หลังจากมีฝนสะสมกว่า 200 มิลลิเมตรในพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำหลาก–ดินโคลนไหลจากพื้นที่ต้นน้ำลงสู่เขตเศรษฐกิจชายแดน สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ทั้งบ้านเรือน ร้านค้า โกดังสินค้า และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของรัฐ

ด้วยสถานะของแม่สายในฐานะ “ด่านการค้าชายแดนและเมืองหน้าด่านของไทยใน GMS” รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจขยับจากมาตรการเฉพาะหน้า ไปสู่ “แผนหลักถาวร” ที่มีทั้งการศึกษาเชิงระบบ ออกแบบรายละเอียด และกำหนดกรอบการลงทุนระยะยาว เพื่อไม่ให้เหตุการณ์น้ำหลากกลายเป็น “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ต่อเศรษฐกิจชายแดนในอนาคต

ในปีงบประมาณ 2568–2569 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเบื้องต้นจำนวน 23,578,000 บาทให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ใช้สำหรับการศึกษาแผนหลักและออกแบบรายละเอียดในพื้นที่เป้าหมาย ก่อนจะนำไปสู่การของบดำเนินการเต็มรูปแบบรวม 2,950 ล้านบาทในช่วงปีถัดไป

พื้นที่ศึกษา 10.75 ตร.กม. ในเมือง 3 เทศบาล ปรับทางน้ำ–จัดระเบียบเมือง

แผนการศึกษาครอบคลุมพื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลเวียงพางคำ เทศบาลตำบลแม่สาย และเทศบาลตำบลแม่สายมิตรภาพ ซึ่งมีเนื้อที่รวม 56.13 ตารางกิโลเมตร อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่จะถูกศึกษาความเหมาะสมเชิงลึกและออกแบบรายละเอียดอยู่ที่ 10.75 ตารางกิโลเมตร โดยเน้นบริเวณที่ได้รับผลกระทบและมีความสำคัญต่อการระบายน้ำของแม่น้ำสายและพื้นที่ชุมชนโดยรอบ

แนวคิดหลักของโครงการ คือ “จัดระบบทางน้ำหลากใหม่” ให้สามารถรองรับน้ำหลากที่ไหลผ่านฝายเหมืองแดงบริเวณวัดถ้ำผาจมได้ไม่น้อยกว่า 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งเป็นปริมาณน้ำหลากสูงสุดที่เกิดขึ้นจริงในปี 2567 ตัวเลขนี้ถูกใช้เป็น “ค่ามาตรฐานออกแบบ” (design discharge) เพื่อให้โครงสร้างต่าง ๆ มีความสามารถเพียงพอต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เคยเกิดขึ้นแล้ว

การออกแบบโครงสร้างป้องกันและระบบระบายน้ำ จะประกอบด้วย

  • การจัดให้มี “ทางน้ำหลาก” เพื่อเปิดพื้นที่ให้กระแสน้ำเคลื่อนตัวได้สะดวกมากขึ้นในช่วงฝนตกหนัก
  • การสร้าง “คันป้องกันน้ำหลากริมฝั่งแม่น้ำสาย” (พนังกั้นน้ำ) เพื่อป้องกันน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน
  • การปรับปรุง “ระบบระบายน้ำหลัก” ทั้งท่อระบายน้ำ คูระบายน้ำ และจุดเชื่อมต่อระหว่างทางน้ำสาธารณะกับแม่น้ำสาย เพื่อให้รองรับปริมาณน้ำฝนได้ดีขึ้น

คันกั้นน้ำ 3 ช่วง–ถนน 4 สาย–การรื้อถอนอาคารริมฝั่ง ผังเมืองใหม่บนฐานความเสี่ยงเดิม

หนึ่งในมาตรการสำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบนเวทีประชุม คือ “แผนก่อสร้างคันกั้นน้ำริมแม่น้ำสาย” ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก รวมความยาวประมาณ 3,920 เมตร ได้แก่

  • ช่วงที่ 1 ความยาว 998 เมตร
  • ช่วงที่ 2 ความยาว 1,361 เมตร
  • ช่วงที่ 3 ความยาว 1,561 เมตร

คันกั้นน้ำดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับแนวถนนสายสำคัญ 4 สาย ที่ต้องมีการ “รื้อย้ายอาคารสิ่งปลูกสร้าง” ตามความจำเป็นในเขตขนานถนนเพื่อเปิดทางให้โครงสร้างใหม่ ได้แก่

  • ถนนสายลมจอย ความยาว 485 เมตร
  • ถนนตัดแนวใหม่ ความยาว 631 เมตร
  • ถนนเกาะทราย ความยาว 769 เมตร
  • ถนนกรมชลประทาน ความยาว 2,035 เมตร

แนวคันกั้นน้ำและถนนที่ปรับปรุงใหม่เหล่านี้ เปรียบเสมือน “โครงกระดูกหลัก” ของการจัดการน้ำหลากในอนาคต เพราะนอกจากจะทำหน้าที่ป้องกันน้ำเข้าท่วมชุมชนแล้ว ยังจะเป็นแนวเชื่อมต่อระหว่างระบบถนน–ระบบน้ำ–ระบบระบายน้ำในเมือง ให้ทำงานสอดประสานกันอย่างมีทิศทาง

แต่ในเชิงสังคมและชุมชน การรื้อย้ายอาคารริมฝั่งแม่น้ำและในแนวถนนที่กำหนด ย่อมมีผลต่อครัวเรือน ร้านค้า และกิจการจำนวนไม่น้อย รัฐจึงต้องวางแผนการจัดหาที่ดินใหม่และการชดเชยเยียวยาอย่างเป็นระบบควบคู่ไปด้วย

จัดหาที่ดิน 3 แปลงรองรับผู้ได้รับผลกระทบ ย้ายออกจากทางน้ำหลากสู่พื้นที่ปลอดภัยกว่า

เพื่อรองรับการโยกย้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการรื้อถอนอาคารในเขตทางน้ำหลากและแนวคันกั้นน้ำ โครงการได้กำหนด “พื้นที่รองรับการตั้งถิ่นฐานใหม่” ไว้เบื้องต้น 3 แปลง ได้แก่

  1. แปลงที่ 1 – ที่ดินสถานีใบยาสูบเวียงพาน เนื้อที่ 78 ไร่ 1 งาน 72 ตารางวา ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 2.5 กิโลเมตร
  2. แปลงที่ 2 – ที่ดินของกระทรวงการคลัง เนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 7.5 กิโลเมตร
  3. แปลงที่ 3 – ที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ 35 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 1.5 กิโลเมตร

ที่ดินเหล่านี้จะถูกนำมาศึกษาความเหมาะสมในมิติผังเมือง การคมนาคม การเข้าถึงบริการพื้นฐาน และศักยภาพการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ประกอบอาชีพในอนาคต ก่อนจะกำหนดรูปแบบการจัดแบ่งที่ดิน การชดเชย หรือการจัดสรรใหม่ในรายละเอียดต่อไป

เมื่อพิจารณาในภาพรวม การจัดหาที่ดินรองรับไม่เพียงเป็นมาตรการรองรับผลกระทบจากโครงการเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการ “จัดระเบียบการตั้งถิ่นฐานใหม่” ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงด้านภัยธรรมชาติ โดยผลักชุมชนที่รุกล้ำทางน้ำหลากออกจากพื้นที่เสี่ยง และส่งเสริมให้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับมากขึ้น

ไทม์ไลน์ 8 ปี–งบประมาณ 2,950 ล้านบาท จากแบบบนกระดาษสู่โครงสร้างจริงริมแม่น้ำ

โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมแม่สายครั้งนี้มีกรอบการดำเนินงานยาวนานราว 8 ปี และใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 2,950 ล้านบาท แบ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

  • ปลายปี 2568 – กลางปี 2569 (ประมาณ 6 เดือน)
    สำรวจพื้นที่ เก็บข้อมูล ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้น และจัดทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
  • ปี 2569 – 2570 (ระยะเวลา 15–18 เดือน, งบประมาณราว 600 ล้านบาท)
    จัดหาที่ดินโดย “วิธีเจรจาตกลงซื้อขาย” กับเจ้าของที่ดินในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่สำหรับคันกั้นน้ำ ทางน้ำหลาก ถนน และพื้นที่รองรับการตั้งถิ่นฐานใหม่
  • ต้นปี 2570 – ปลายปี 2571 (ระยะเวลา 12–18 เดือน, งบประมาณ 140 ล้านบาท)
    เริ่มก่อสร้าง “คันดินฐานป้องกันน้ำท่วม” และ “คันคอนกรีตเสริมเหล็กระยะแรก” เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานป้องกันน้ำหลักในช่วงต้นของโครงการ
  • ปลายปี 2570 – กลางปี 2573 (ระยะเวลา 24–35 เดือน, งบประมาณ 160 ล้านบาท)
    ก่อสร้างคันคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนที่เหลือ พร้อมทั้งถนนใหม่ และการปรับปรุงถนนเดิมที่เชื่อมโยงแนวคันกั้นน้ำและชุมชนโดยรอบ
  • ต้นปี 2571 – สิ้นปี 2572 (ระยะเวลา 12–24 เดือน, งบประมาณ 400 ล้านบาท)
    จัดหาที่ดินด้วย “วิธีปรองดอง/ออกพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน” พร้อมมาตรการเยียวยาและจัดการสิทธิในที่ดินอย่างเป็นธรรม
  • กลางปี 2571 – สิ้นสุดโครงการปี 2575 (ระยะเวลา 42–48 เดือน, งบประมาณ 450 ล้านบาท)
    ปรับปรุง “ระบบระบายน้ำหลัก” ของเมือง ทั้งคูระบายน้ำ ท่อระบายน้ำ และจุดระบายน้ำสู่แม่น้ำสาย เพื่อรองรับฝนตกหนักในอนาคต
  • กลางปี 2572 – กลางปี 2575 (ระยะเวลา 30–36 เดือน, งบประมาณ 400 ล้านบาท)
    ก่อสร้าง “เขื่อนป้องกันตลิ่ง” และ “จัดภูมิทัศน์ทางน้ำหลาก” เพื่อป้องกันการพังทลายของตลิ่งและยกระดับคุณภาพสภาพแวดล้อมริมแม่น้ำ ทั้งด้านความปลอดภัยและทัศนียภาพ

เมื่อนำงบประมาณแต่ละส่วนมารวมกัน จะได้ตัวเลขรวม 2,950 ล้านบาท ซึ่งต้องอาศัยการจัดสรรและการผลักดันต่อเนื่องตลอดหลายรัฐบาล จึงจะทำให้แผนนี้เดินหน้าไปจนถึงเส้นชัยได้ตามเป้าหมายปี 2575

จากกำแพงดินชั่วคราวสู่ระบบป้องกันถาวร บทเรียนจากน้ำท่วมปลายปี 2567

หลังน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2567 ก่อนมีแผนหลักฉบับนี้ เจ้าหน้าที่ทหารกรมการทหารช่าง กองทัพบก ได้ลงพื้นที่ร่วมกับฝ่ายปกครอง ใช้เครื่องจักร–อุปกรณ์–กำลังพลเข้ารื้ออาคารริมฝั่งแม่น้ำบางส่วน และก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วม “ชั่วคราวและกึ่งถาวร” สูงประมาณ 3 เมตร ตลอดแนวแม่น้ำสายระยะทางราว 3 กิโลเมตร พร้อมทั้งร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 ขุดลอกแม่น้ำรวก ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร

มาตรการดังกล่าวช่วย “ซื้อเวลา” ให้แม่สายพ้นจากภาวะวิกฤติในระยะสั้น ลดความเสี่ยงในการเผชิญกับน้ำหลากทันทีในฤดูกาลถัดมา แต่ข้อจำกัดสำคัญคือ

  • ยังมีอาคารริมฝั่งจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถรื้อถอนได้ในทันที
  • แนวป้องกันที่สร้างขึ้นถูกออกแบบในลักษณะเฉพาะหน้า
  • ระบบระบายน้ำภายในเมืองยังไม่ได้รับการปรับปรุงรองรับอย่างครบวงจร

จึงเป็นที่มาของการ “รอคอยการเข้ามาดำเนินการ” ของกรมโยธาธิการและผังเมืองในรูปแบบแผนระยะยาว เพื่อเปลี่ยนจากการแก้ไขปัญหาเชิงจุด ไปสู่โครงสร้างถาวรที่วางบนการศึกษาทั้งทางวิศวกรรม ผังเมือง และมิติทางสังคมร่วมกัน

โจทย์ที่มากกว่า “ตลิ่งและตัวเลขงบประมาณ” เมืองชายแดนที่ต้องอยู่กับน้ำอย่างเข้าใจ

แม้แผนหลักแก้น้ำท่วมแม่สายจะมีตัวเลขและไทม์ไลน์ที่ชัดเจน แต่การผลักดันให้แผนนี้ประสบความสำเร็จจริง ยังต้องเผชิญโจทย์สำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่

  1. การมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระยะ
    การรื้อย้ายอาคาร การเปลี่ยนแปลงแนวถนน และการจัดหาที่ดินใหม่ ย่อมกระทบต่อชีวิตและการทำมาหากินของครัวเรือนจำนวนไม่น้อย การสร้างความเข้าใจ ความโปร่งใสในการชดเชย และการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมออกแบบอนาคตชุมชนของตนเอง จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดสำคัญ ว่าแผนนี้จะได้รับการยอมรับหรือไม่
  2. ความต่อเนื่องของนโยบายในระยะยาว
    ด้วยกรอบเวลากว่า 8 ปี และงบประมาณเกือบ 3,000 ล้านบาท โครงการลักษณะนี้จำเป็นต้องอาศัย “ความต่อเนื่องเชิงนโยบาย” ข้ามรัฐบาลและข้ามปีงบประมาณ การกำกับติดตามอย่างใกล้ชิดจากทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จะช่วยให้แผนไม่หยุดชะงักกลางคัน และสามารถปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับสภาพจริงที่เปลี่ยนไปได้
  3. การประสานกับการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน
    แม่สายในฐานะเมืองเศรษฐกิจชายแดน ต้องรองรับทั้งการค้าข้ามแดน การท่องเที่ยว และการลงทุนในอนาคต การจัดระเบียบทางน้ำ ทางถนน และพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ จึงควรผูกโยงกับ “ภาพรวมการพัฒนาเมืองชายแดน” ไม่ให้มาตรการด้านน้ำกลายเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่กลับช่วยสร้าง “ความเชื่อมั่น” ให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนว่าพื้นที่นี้มีความปลอดภัยและมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างจริงจัง

แผนน้ำ 3 พันล้านกับอนาคตแม่สาย–จากเมืองเสี่ยงน้ำท่วมสู่เมืองหน้าด่านที่ยืนได้อย่างยั่งยืน

เมื่อพิจารณาจากรายละเอียดทั้งหมด แผนหลักการปรับปรุงแม่น้ำสายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในอำเภอแม่สาย ไม่ใช่เพียง “โครงการชลศาสตร์” แต่เป็น “แผนผังเมือง–ผังชีวิต–ผังเศรษฐกิจ” ฉบับใหญ่ของเมืองชายแดนแห่งนี้

ตัวเลขงบประมาณ 2,950 ล้านบาท และกรอบเวลา 8 ปี อาจดูใหญ่และยาวนาน แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำหลากครั้งล่าสุดเพียงครั้งเดียวที่สูงกว่า 6,000 ล้านบาท และความเสี่ยงที่จะเกิดซ้ำในอนาคต หากไม่มีการจัดระเบียบทางน้ำและที่อยู่อาศัยอย่างจริงจัง การลงทุนครั้งนี้จึงอาจเป็น “ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อความมั่นคงระยะยาว” ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ในมุมของคนแม่สายและจังหวัดเชียงราย โครงการนี้คือบททดสอบสำคัญว่า เมืองชายแดนที่ยืนอยู่บนจุดตัดของเศรษฐกิจ–การเมือง–การค้าระหว่างประเทศ จะสามารถ “อยู่กับน้ำ” ได้อย่างเข้าใจและเป็นระบบเพียงใด

หากแผนดำเนินไปได้ตามเป้าหมาย ทั้งทางน้ำหลาก คันกั้นน้ำ ระบบระบายน้ำ และการจัดสรรพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ถูกออกแบบอย่างรอบด้าน แม่สายอาจไม่เพียงหลุดพ้นจากภาพเมืองที่ถูกน้ำหลากซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ยังเสริมสถานะให้เป็น “เมืองหน้าด่านที่มั่นคง ปลอดภัย และพร้อมรองรับโอกาสทางเศรษฐกิจในอนาคต” ของทั้งจังหวัดเชียงรายและประเทศไทยโดยรวม

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย และที่ทำการอำเภอแม่สาย
  • บริษัท วอเตอร์ ดีเว็ลลัฟเม็นต์ คอนซัลแท็นส์ กรุ๊ป จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ย้ายชุมชนแม่สาย สู่โครงการ “บ้านมั่นคง” บนที่ดินโรงงานยาสูบ แก้ปัญหาน้ำท่วมยั่งยืน

ก้าวยาวสู่ความมั่นคง! แม่สายเตรียมย้ายชุมชนริมน้ำ จัดสรรที่ดินโรงงานยาสูบสร้างบ้านใหม่

แม่สายเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจ เชียงรายผลักดันแผนแก้ปัญหาอุทกภัยระยะยาวแบบระบบ ตั้งแต่ “ขยายลำน้ำก่อสร้างคันกันน้ำจัดระเบียบริมตลิ่งย้ายชุมชนเสี่ยง” สู่การตั้งถิ่นฐานใหม่ผ่าน โครงการบ้านมั่นคง บนที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ)

วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น

  • ตัวเลขชวนคิด: เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สายครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ 304.78 ตร.กม. (ราว 190,487.5 ไร่) เคยมี น้ำท่วมใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 6,000 ล้านบาท; แม่น้ำสายแคบลงจาก 70–80 ม. เหลือ <20 ม. ใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1; พบการรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด (เมียนมารื้อถอนแล้ว 20 จุด); แผนวิศวกรรมตั้งเป้า “ขยายลำน้ำ ≥50 ม. + คันยกระดับ สูงรวม ~3 ม. กว้าง 9 ม. ระยะทาง 3,960 ม. รองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที” พร้อมกรอบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท และสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท
  • ปมชี้ขาด: ความพร้อมในการ “ย้าย–เยียวยา–จัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่” ของ 843 หลังคาเรือน ริมน้ำ และการประสานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อแก้ที่ ต้นน้ำตะกอนมลพิษโลหะหนัก
  • กุญแจสู่การคลี่คลาย: ใช้ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาล ติดเมือง–พ้นแนวท่วม ทำ “บ้านมั่นคง” (สิทธิอยู่ เช่าที่ราชพัสดุ/กู้สหกรณ์สร้างบ้าน ~280,000–400,000 บาท ต่อหน่วย ขึ้นกับแบบและพื้นที่) โดย พอช. เป็นแม่งานภาคสังคม ร่วมกับ กรมโยธาฯ–กรมธนารักษ์–จังหวัดเชียงราย

 “ขยับเมืองหนีน้ำ” แม่สายเดินหน้าแผนใหญ่ขยายลำน้ำ สร้างคันกันน้ำ ย้ายชุมชนเสี่ยง สู่ ‘บ้านมั่นคง’ บนที่ดินโรงงานยาสูบ

เชียงราย, 24 สิงหาคม 2568 — ยามฝนหลงฤดูซัดกระหน่ำเหนือดอยแม่สายในคืนหนึ่ง น้ำขุ่นจัดไหลทะลักผ่านช่องแคบใต้สะพานมิตรภาพไทย–เมียนมา แห่งที่ 1 ก่อนจะแผ่ซ่านเข้าเขตตลาดและชุมชนริมน้ำในเวลาไม่กี่สิบนาที เป็นภาพที่คนในพื้นที่เรียกติดปากว่า “มาเร็ว–ลงไว–ทิ้งโคลน” และเป็นสัญญาณเตือนว่าต้นทุนการอยู่ร่วมกับสายน้ำในเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจแห่งนี้ “เปลี่ยนไป” แล้ว

หนึ่งปีให้หลังจาก เหตุอุทกภัยใหญ่ ก.ย.–ต.ค. 2567 ที่ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจประเมินค่ากว่า 6,000 ล้านบาท แม่สายเดินมาถึงจุดตัดสินใจสำคัญ: จะ “ซ่อมความเสียหาย” เป็นครั้ง ๆ แบบเดิม หรือ “ยกเครื่องทั้งระบบ” แม่น้ำ–ตลิ่ง–เมือง–ชุมชน ให้สอดคล้องกับภูมิประเทศเสี่ยงน้ำและความจริงใหม่ของสภาพภูมิอากาศ

คำตอบเริ่มชัด เมื่อแผนงานชุดใหญ่ที่รัฐบาลมอบหมายให้ กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) เป็นแกนกลาง กำหนดภาพรวมตั้งแต่ ขยายหน้าตัดแม่น้ำสาย ให้กว้าง ไม่น้อยกว่า 50 เมตร, ก่อสร้างคันป้องกันน้ำหลาก–โคลน ระยะทาง 3,960 เมตร ยกระดับความสูงรวมราว 3 เมตร (คันดิน 2 ม. + ผนังคอนกรีต 1 ม.) พร้อม ย้ายรื้อสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ และจัดระเบียบพื้นที่ริมตลิ่งทั้งสองฝั่ง เพื่อให้ระบบระบายน้ำรองรับอัตราการไหล ประมาณ 430 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยวางกรอบงบประมาณก่อสร้างเบื้องต้นราว 2,000 ล้านบาท และวงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท เพื่อเร่งงานเตรียมการในช่วง 8 เดือน ข้างหน้า

“เร่งศึกษารูปแบบก่อสร้างให้จบเร็วที่สุด แต่ย้ำว่านี่เป็น โครงการระยะยาว โดยเฉพาะการย้ายบ้านเรือนกว่า 800 หลัง ไม่อาจแล้วเสร็จภายในฤดูฝนนี้หรือปีหน้า” ข้อความตามการชี้แจงของ นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง

เมื่อ “แม่น้ำแคบ–ตะกอนหนา–กิจกรรมมนุษย์เร่งวิกฤต”

หากถอยออกมาดูทั้งลุ่มน้ำ ภาพใหญ่ของแม่สายคือเมืองชายแดนที่ตั้งอยู่บน เนินตะกอนรูปพัด (alluvial fan) อันเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำหลากโดยธรรมชาติ เมื่อประกอบกับลักษณะลำน้ำที่ แคบลงต่อเนื่องจาก 70–80 เมตร เหลือ ไม่ถึง 20 เมตร บริเวณใต้สะพานมิตรภาพฯ แห่งที่ 1 ความสามารถระบายน้ำย่อมลดฮวบ ขณะเดียวกัน “แรงเร่ง” จากกิจกรรมมนุษย์ทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

  • การเปิดหน้าดิน–ทำลายป่าต้นน้ำในรัฐฉาน (เมียนมา) เพื่อเกษตรและเหมือง สร้างมวลตะกอนพัดพาลงลำน้ำสาย เมื่อหน้าตัดลำน้ำแคบ–ความลาดชันในช่วงเมืองต่ำ ตะกอนจึง ตกทับถมรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่คนท้องถิ่นเปรียบว่า “สึนามิโคลน” นั่นคือไม่ใช่เพียงน้ำ แต่เป็น น้ำ+โคลน ที่ลากเศษซากลงสู่เขตชุมชน
  • การรุกล้ำลำน้ำ–ก่อสิ่งปลูกสร้างริมตลิ่ง พบจุดรุกล้ำ ฝั่งไทย 45 จุด และ ฝั่งเมียนมา 33 จุด โดย ฝ่ายเมียนมารื้อถอนไปแล้ว 20 จุด ฝั่งไทยก็ประกาศเดินหน้าเช่นกัน การรุกล้ำเหล่านี้ทำให้พื้นที่หน้าตัดลำน้ำหายไป ก่อ “คอขวด” หลายช่วง และเป็นอุปสรรคต่อวิธีแก้ทางวิศวกรรม
  • มลพิษจากเหมืองต้นน้ำ โดยเฉพาะการปนเปื้อน สารหนู (Arsenic) และโลหะหนักในบางจุดของแม่น้ำสาย—ประเด็นที่เกี่ยวพันกับสุขภาพชุมชนและระบบนิเวศ และต้องการความร่วมมือข้ามพรมแดนในการแก้ที่ต้นทาง

 “ขยายลำน้ำ–ย้ายเสี่ยง–สร้างคัน–ตั้งถิ่นฐานใหม่”

หัวใจของแผนแม่สายไม่ได้มีเพียงคันกันน้ำ แต่เริ่มจากการ คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ ผ่านการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำ มากกว่า 843 หลังคาเรือน และ ขยายหน้าตัด ลำน้ำให้ได้มาตรฐานทางไฮดรอลิก ก่อนเสริมด้วยคันป้องกัน–ผนังคอนกรีต เพื่อ ลดโอกาสน้ำทะลัก เข้าพื้นที่เศรษฐกิจ–ชุมชนสำคัญ

จุดชี้เป็นชี้ตายของการ “คืนพื้นที่ให้แม่น้ำ” คือ จัดหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ ให้กับผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว—และนั่นนำไปสู่การพิจารณาใช้ ที่ดินโรงงานยาสูบ (ที่ราชพัสดุ) ประมาณ 70 ไร่ ในเขตเทศบาลตำบลแม่สาย เพื่อจัดทำชุมชนใหม่ภายใต้ โครงการบ้านมั่นคง” ซึ่ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) รับบทเป็นแกนกลางการทำงานกับชุมชน

“ที่ดินดังกล่าวอยู่ห่างด่านพรมแดนราว 1.5 กม. ห่างที่ว่าการอำเภอเพียง 300 ม. ใช้เป็นสวนสุขภาพและ ไม่เคยท่วม จึงเหมาะสำหรับตั้งถิ่นฐานใหม่” สาระจากคำอธิบายของ นายวิเชียร พลสยม ผอ.พอช. ภาคเหนือ

บ้านมั่นคง แบบสิทธิภาระผ่อน

บ้านมั่นคง เป็นโมเดล “สิทธิอยู่อาศัย” ที่ให้ประชาชนเช่าที่ราชพัสดุจาก กรมธนารักษ์ (สิทธิรวมกลุ่มตามเงื่อนไขโครงการ) แล้วใช้กลไก สหกรณ์ออมทรัพย์ชุมชน เป็นแหล่งสินเชื่อเพื่อก่อสร้าง/ปรับปรุงบ้าน โดยมี แบบบ้านหลายขนาด รองรับครัวเรือนต่างบริบท ตัวอย่างเช่น ห้องแถว/ทาวน์เฮาส์ขนาดเล็ก ≤30 ตร.ม. ต้นทุนก่อสร้างประมาณ 280,000–300,000 บาท (ในเมืองใหญ่) และ 350,000–400,000 บาท ในต่างจังหวัดสำหรับครอบครัว ~5 คน ทั้งนี้สิทธิในโครงการเน้น ประชาชนสัญชาติไทย (เลข 13 หลัก) และ ครอบครัวขยาย ที่ได้รับการรับรองจากชุมชน เพื่อลดข้อขัดแย้งและป้องกันการเก็งกำไรสิทธิ

ทำไม “ที่ราชพัสดุโรงงานยาสูบ” จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ

พื้นที่โรงงานยาสูบในแม่สายเคยถูกหยิบยกใน ปี 2559 ภายใต้นโยบาย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครอบคลุมที่ราชพัสดุ 3 แปลง รวม ~870-3-5 ไร่ ใน ต.โป่งผา ทำเลติดถนนพหลโยธิน ใกล้ด่านศุลกากรแม่สายแห่งที่ 2 ราว 4 กม. แต่การพัฒนาติดเงื่อนไขการใช้ประโยชน์ที่ดินเดิม (เช่าปลูกข้าวโพด–ยาสูบ) การนำ บางส่วน ของที่ดิน “ที่พ้นแนวท่วม” มาใช้เพื่อแก้ปัญหาสาธารณะตั้งถิ่นฐานให้ผู้ย้ายจึงเป็น ทางเลือกใหม่ ที่น่าจับตา และหากเดินหน้าได้จริง จะช่วย “ลดแรงต้าน” ในภาคสนาม เพราะชุมชนใหม่อยู่ ไม่ไกล จากที่ทำกิน–ที่ทำงานเดิม

เสียงจากสนามจริง ใครได้–ใครเสีย–จะเดินต่ออย่างไร

ฝ่ายได้ประโยชน์

  1. ชาวแม่สายในระยะยาว: ลดความเสี่ยงชีวิต–ทรัพย์สิน เศรษฐกิจเมืองชายแดนมีเสถียรภาพมากขึ้น
  2. ครัวเรือนที่ย้ายเข้าโครงการ: เข้าถึงที่อยู่อาศัยมั่นคง ถูกกฎหมาย มีระบบสาธารณูปโภคครบถ้วน
  3. แม่น้ำ–สิ่งแวดล้อม: คืนหน้าตัดระบายน้ำ ลดการกัดเซาะ–ทับถม และเปิดทางสู่การฟื้นฟูคุณภาพน้ำ
  4. ภาพลักษณ์ชายแดน: ด่าน–ริมน้ำเป็นระเบียบ เพิ่มความเชื่อมั่นด้านท่องเที่ยว–การค้า

ฝ่ายได้รับผลกระทบ

  1. ครัวเรือนที่ต้องย้าย: แม้มีทางออก “บ้านมั่นคง” แต่การย้ายคือการเปลี่ยนชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่ ไม่มีเอกสารสิทธิ์ จะได้รับชดเชยเฉพาะ ค่าบ้าน ไม่รวมที่ดิน
  2. เกษตรกรผู้เช่าที่ในเขตโรงงานยาสูบ: หากนำบางส่วนของที่ดินมาใช้ตั้งถิ่นฐาน อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบทำกิน
  3. ผู้ประกอบการค้าริมน้ำที่รุกล้ำ: เช่น บางส่วนของตลาด–แผงค้า จำเป็นต้องรื้อ/ย้าย ไปสู่รูปแบบพื้นที่ค้าขายใหม่
  4. ภาครัฐ: แบกรับภาระงบฯ ทั้งศึกษาความเหมาะสม–รับฟังความเห็น–ชดเชย–ก่อสร้าง (ประเมินเบื้องต้น ค่าประนีประนอม ~200 ล้านบาท + ค่าก่อสร้าง ~2,000 ล้านบาท) และต้องบริหาร ความไว้วางใจสาธารณะ อย่างใกล้ชิด

ท่าทีจังหวัด ด้าน นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ “รับทราบความจำเป็นต้องย้าย” เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว และจังหวัดได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ ข้อมูลครัวเรือนกว่า 1,500 หลังคาเรือน ที่อยู่ในแนวต้องเคลื่อนย้าย เพื่อกำหนด ลำดับ–มาตรการเยียวยา–แบบชุมชนใหม่ ให้เหมาะสม

ข้ามพรมแดนเพื่อแก้ที่ต้นเหตุ: ขุดลอก–คุมตะกอน–ลดมลพิษ

ปัญหาแม่สายไม่สิ้นสุดที่ฝั่งไทย เพราะ ต้นน้ำส่วนใหญ่อยู่ในเมียนมา รัฐบาลไทยจึงเดินหน้าเจรจา ขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก, ตั้ง คณะทำงานวิชาการร่วม เพื่อจัดการมลพิษข้ามแดน โดยเฉพาะ โลหะหนักจากกิจกรรมเหมือง และการ อนุรักษ์ป่าต้นน้ำ แม้ความคืบหน้ายังผูกกับสถานการณ์ภายในเมียนมา แต่กรอบความร่วมมือถือเป็น ก้าวแรกที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มาตรการปลายน้ำของไทย “รับภาระลำพัง”

เส้นเวลา–สิ่งที่จับตาจากแบบบนกระดาษสู่สนามจริง

  • 1–2 เดือน: กรมโยธาฯ ใช้งบกลางเริ่มศึกษารูปแบบก่อสร้าง–โครงสร้างป้องกัน
  • ภายใน ~8 เดือน: สำรวจ–ออกแบบ–รับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (งบ 24 ล้านบาท)
  • ระยะก่อสร้าง: ผูกกับผลการออกแบบ รายการเวนคืน/รื้อย้าย และ ฤดูกาลฝน ซึ่งอาจต้อง “ก่อสร้างเป็นช่วง ๆ”
  • กระบวนการสังคม: สำรวจสิทธิ–เข้าโครงการบ้านมั่นคง–จัดผังชุมชน–สาธารณูปโภค—เป็น “งานใหญ่” ไม่แพ้โครงสร้างทางวิศวกรรม

หมุดเช็กความก้าวหน้า ที่สาธารณะควรถามซ้ำทุกไตรมาส คือ
(1) แผนผัง “แนวเขตเวนคืน/รื้อย้าย” โปร่งใสเพียงใด
(2) รายชื่อ–สถานะ “ผู้มีสิทธิ์เข้าบ้านมั่นคง” ชัดแค่ไหน
(3) ตารางการขุดลอก–เพิ่มหน้าตัดลำน้ำ เดินตามแบบหรือไม่
(4) ความคืบหน้าความร่วมมือข้ามแดนด้านตะกอน–มลพิษ

เมืองที่ยืนอยู่ได้บน “สายน้ำที่ยอมรับความจริง”

แม่สายเป็นหนึ่งใน เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่สำคัญ ครอบคลุม 8 ตำบล พื้นที่ ~304.78 ตร.กม. เศรษฐกิจชายแดนเติบโตเร็วแต่ความเปราะบางก็ขยายตาม หากปล่อยให้น้ำท่วมเป็น “เหตุการณ์พิเศษ” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมืองจะสูญเสียทั้ง ความเชื่อมั่นเสถียรภาพ และ โอกาส ในการเป็นศูนย์กลางการค้า–ท่องเที่ยวของภาคเหนือ

แผน “ขยายลำน้ำ–สร้างคัน–ย้ายเสี่ยง–บ้านมั่นคง” จึงคือการเลือก ยอมรับความจริง ของภูมิประเทศ และปรับเมืองให้เข้ากับสายน้ำ มากกว่าบังคับให้สายน้ำ “เดินตามเมือง” การจะสำเร็จได้ จำเป็นต้องมีทั้ง วิศวกรรมที่ดี และ วิศวกรรมสังคมที่ละเมียดสื่อสารโปร่งใส เยียวยาเป็นธรรม ประสานผลประโยชน์ และ “จับมือกันข้ามพรมแดน” กับเมียนมาในประเด็นตะกอน–มลพิษ

ท้ายที่สุด หาก “บ้านหลังใหม่” ของ 843 ครัวเรือนเกิดขึ้นจริงบนที่ดินที่ ไม่ท่วม–ไม่ไกล–มีงาน–มีโอกาส และหากแม่น้ำสายกลับมามีหน้าตัดตามหลักไฮดรอลิก เมืองแม่สายก็จะไม่ได้เพียง “หนีน้ำ” แต่ “อยู่กับน้ำได้”—อย่างมั่นคง และเดินหน้าบทบาทเมืองหน้าด่านเศรษฐกิจได้อย่างไม่สะดุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมโยธาธิการและผังเมือง (โยธาฯ) — กรอบแนวทางออกแบบ–ก่อสร้างคันกันน้ำ/ผนังคอนกรีต–การขยายหน้าตัดลำน้ำสาย ระยะทางรวม 3,960 ม., ขีดความสามารถรองรับน้ำหลาก ~430 ม³/วินาที, วงเงินศึกษาสำรวจ–ออกแบบ 24 ล้านบาท, กรอบงบก่อสร้างเบื้องต้น ~2,000 ล้านบาท
  • สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) – พอช. (สำนักงานภาคเหนือ) — โมเดล โครงการบ้านมั่นคง: หลักเกณฑ์สิทธิ, กลไกสหกรณ์สินเชื่อ, ช่วงราคาก่อสร้างต่อหน่วย ~280,000–400,000 บาท, หลักเกณฑ์การรับรองสมาชิก
  • กรมธนารักษ์ — หลักการใช้ประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และการเช่าที่เพื่ออยู่อาศัยภายใต้กรอบโครงการบ้านมั่นคง
  • จังหวัดเชียงราย / ที่ว่าการอำเภอแม่สาย — ข้อมูลพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย (8 ตำบล, 304.78 ตร.กม. / ~190,487.5 ไร่), สถานการณ์อุทกภัย ก.ย.–ต.ค. 2567 และการตั้งคณะทำงานสำรวจครัวเรือน ~1,500 หลังคาเรือน
  • หน่วยงานชายแดนไทย–เมียนมา (คณะกรรมการร่วม) — ข้อมูลจุดรุกล้ำลำน้ำ ฝั่งไทย 45 จุด/ฝั่งเมียนมา 33 จุด และความคืบหน้าการรื้อถอนฝั่งเมียนมา 20 จุด
  • หน่วยงานสิ่งแวดล้อม/สาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง — ข้อมูลเบื้องต้นด้านคุณภาพน้ำ กรณีการปนเปื้อน สารหนู/โลหะหนัก จากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน (เมียนมา) ที่ส่งผลข้ามพรมแดน
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่จันพ้นน้ำท่วม กรมโยธาฯ เร่งสร้างระบบระบายน้ำ

โครงการป้องกันน้ำท่วมแม่จัน เดินหน้าออกแบบระบบระบายน้ำระยะยาว

ประชุมรับฟังความคิดเห็นโครงการระบบป้องกันน้ำท่วมแม่จัน

วันที่ 1 เมษายน 2568 เวลา 9.30 น. กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดประชุมชี้แจงรายละเอียดโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบป้องกันน้ำท่วม ณ ห้องประชุมสำนักงานเทศบาลตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

ในการประชุมครั้งนี้ นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมตัวแทนหน่วยงานราชการ ผู้นำท้องถิ่น บริษัทที่ปรึกษา และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมรับฟัง และแสดงความเห็นอย่างคับคั่ง

แม่จันยังเผชิญปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก

แม่จัน จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน การดำรงชีวิต และระบบสาธารณูปโภคของประชาชน รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการวางแผนระยะยาวอย่างเป็นระบบ

รายละเอียดโครงการระยะที่ 5 เฟส 2

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาระบบป้องกันน้ำท่วมลุ่มน้ำภาคเหนือ ระยะที่ 5 โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนแม่จันและพื้นที่ต่อเนื่องในเฟสที่ 2 โดยเน้นการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ที่ดินในปัจจุบัน

บริษัทโปรเกรส เทคโนโลยี คอนซัลแท็นส์ จำกัด ได้รับมอบหมายให้ศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบต่างๆ ซึ่งประกอบด้วย คันป้องกันน้ำท่วม ท่อระบายน้ำ คลองระบายน้ำ ถนน อาคารชลศาสตร์ รวมถึงสถานีสูบน้ำและประตูน้ำ

เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน

การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ชี้แจงโครงการ แต่ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกในการอภิปราย ได้แก่ ความกังวลเรื่องการเวนคืนพื้นที่ ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความเหมาะสมของแบบก่อสร้างในแต่ละจุด

เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการฯ ยืนยันว่า โครงการจะพยายามลดผลกระทบต่อประชาชนให้น้อยที่สุด และเปิดรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเพื่อปรับแผนให้เหมาะสมกับชุมชนในทุกขั้นตอน

เป้าหมายหลักของโครงการ

  1. ลดความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ซ้ำซาก
  2. ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนแม่จันและพื้นที่ใกล้เคียง
  3. สนับสนุนการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
  4. เสริมสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำในระยะยาว

การบริหารจัดการอย่างบูรณาการ

โครงการนี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้หลักการบูรณาการจากหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการในระยะยาว

ความเห็นจากสองมุมมองของภาคประชาชน

ในเวทีประชาคม มีเสียงสะท้อนหลากหลายจากประชาชนในพื้นที่ บางส่วนเห็นว่าโครงการนี้จำเป็นและควรเร่งดำเนินการ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นมายาวนาน

ในขณะเดียวกัน ประชาชนอีกกลุ่มแสดงความกังวลเรื่องการเวนคืนที่ดิน และผลกระทบต่อวิถีชีวิตเดิมของชุมชน ซึ่งทางผู้รับผิดชอบโครงการให้คำมั่นว่าจะมีมาตรการรองรับและเยียวยาอย่างเป็นธรรม

ข้อมูลสถิติและแหล่งอ้างอิง

จากรายงานของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ปี 2567 ระบุว่า พื้นที่อำเภอแม่จันเกิดน้ำท่วมซ้ำซากเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความเสียหายรวมกว่า 420 ล้านบาท และมีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 3,500 ครัวเรือน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังระบุว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งใน 10 จังหวัดที่ประสบภัยน้ำท่วมมากที่สุดในประเทศไทย

สรุปภาพรวมเชิงนโยบาย

โครงการระบบป้องกันน้ำท่วมแม่จัน เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญในยุทธศาสตร์การบริหารจัดการน้ำ เน้นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ และออกแบบอย่างมีส่วนร่วม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนหากสามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบและโปร่งใส

ทิศทางต่อไป

หลังการประชุมชี้แจง กรมโยธาธิการและผังเมืองจะสรุปความคิดเห็นและข้อเสนอแนะทั้งหมด เพื่อนำไปปรับปรุงแผนโครงการให้เหมาะสม ก่อนเข้าสู่กระบวนการวางงบประมาณและเตรียมการดำเนินการก่อสร้างในระยะถัดไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE