Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

สหรัฐฯ กดดันเปิดตลาด! ภาษี 36% เขย่าหมูไทย เชียงรายเสี่ยงขาดทุนมหาศาล

วิกฤตหมูไทย 2568 เชียงรายกับมหันตภัยราคาดิ่ง โดมิโนเศรษฐกิจปศุสัตว์จากแรงกดดันสหรัฐฯ

สถานการณ์ล่าสุดไทยเจอแรงกดดันสหรัฐฯ เปิดตลาดเนื้อหมู

เชียงราย, 12  กรกฎาคม 2568  – อุตสาหกรรมเนื้อหมูไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ หลังสหรัฐอเมริกาประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้า 36% กับเนื้อหมูไทย เริ่ม 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ส่งผลให้ไทยถูกกดดันให้นำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐฯ มากขึ้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุชัด ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่น้อยมาก แต่ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าและประสิทธิภาพการผลิตสูงของหมูสหรัฐฯ ส่งผลต่อการแข่งขันและราคาหมูในประเทศโดยตรง

หมูสหรัฐฯ ราคาแรง ผลิตถูกกว่าไทย

ราคาหมูสหรัฐฯ เฉลี่ยเพียง 1.7 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม ขณะที่หมูไทยแตะ 2.3 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม หมูสหรัฐฯ ถูกกว่าไทยถึง 1.3 เท่า ทำให้ยากต่อการแข่งขัน หากตลาดเปิดเสรี หมูราคาถูกจากสหรัฐฯ จะทะลักเข้าสู่ประเทศไทย สร้างแรงกดดันหนักต่อห่วงโซ่ปศุสัตว์

โดมิโนเอฟเฟกต์ผลกระทบครอบคลุมทุกภาคส่วน

เมื่อหมูราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเตือนว่า จะเกิด Domino Effect ต่อทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมดังนี้

  • เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู: ผู้เลี้ยงหมูรายย่อยกว่า 1.49 แสนราย เสี่ยงขาดรายได้หรือเลิกกิจการ
  • ผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์: 5 ล้านครัวเรือน ผลิตภัณฑ์หลักอย่างรำสด ข้าวโพด จะราคาตกต่ำ
  • โรงชำแหละและเขียงหมู: อาจถูกกดดันให้ต้องเลิกกิจการ หรือรายได้ลดลงจากการแข่งขันกับหมูแปรรูปนำเข้า
  • ผู้บริโภค: แม้ราคาหมูถูกลง แต่เสี่ยงต่อสุขภาพจากสารเร่งเนื้อแดงในหมูสหรัฐฯ
    คาดการณ์ความสูญเสียตลาดหมูไทยสูงถึง 112,330 ล้านบาท หากไทยเปิดตลาดเต็มรูปแบบ

เชียงรายจังหวัดยุทธศาสตร์การค้าปศุสัตว์ชายแดน

เชียงรายคือประตูสำคัญของการส่งออกปศุสัตว์ไปยัง สปป.ลาว เมียนมา และจีน จุดผ่านแดนเช่น ด่านกักกันสัตว์เชียงของ และท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน มีบทบาทสูงในการขับเคลื่อนตลาดสุกรมีชีวิตและเนื้อสัตว์แปรรูป ข้อมูลล่าสุดระบุ เชียงรายมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร 3,722 ราย สุกร 95,268 ตัว ผลผลิตสุกรรวม 23,817 ตัน

ต้นทุนพุ่ง-อุปทานลดความท้าทายของอุตสาหกรรมหมู

แม้การผลิตสุกรปี 2567 ฟื้นตัวจากโรค ASF รวม 21.723 ล้านตัว เพิ่มขึ้น 6.19% แต่ปี 2568 คาดผลิตลดเหลือ 21.370 ล้านตัว (-1.63%) เนื่องจากมาตรการควบคุมโรคและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น โดยเฉพาะค่าอาหารสัตว์ที่ผันผวน
โครงสร้างผู้ผลิตเปลี่ยนไป ฟาร์มขนาดกลางและใหญ่เพิ่มเป็น 74% ในปี 2567 เกษตรกรรายย่อยลดลง 22.6%
ราคาหมูหน้าฟาร์มเพิ่มสูงสุดในรอบ 2 ปี เฉลี่ย 75 บาทต่อกิโลกรัม (+14.1%)

ความท้าทายจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ปี 2567 อุปสงค์เนื้อสุกรในประเทศขยายตัว 2.5% จากราคาที่ลดลงและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา ปี 2568 อุปสงค์คาดว่าจะลดลง 1.7% เพราะราคาสูงขึ้น ตลาดโลกเองก็มีแรงกดดันจากการลดการบริโภคในจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคหลัก
อีกทั้ง สังคมผู้สูงอายุในไทย ส่งผลให้การบริโภคเนื้อหมูมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว

กลยุทธ์ปกป้องอุตสาหกรรมสุกรไทย

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจแนะรัฐบาล “อย่าเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ” ไม่ว่ากรณีใด เพื่อรักษาเสถียรภาพห่วงโซ่อุปทานและความอยู่รอดของเกษตรกรไทย

สำหรับผู้ประกอบการ

  • บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พัฒนาและแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
  • สร้างจุดขายด้วยคุณภาพสินค้า เน้นหมูปลอดสาร
  • ใช้ประโยชน์การค้าชายแดน เชื่อมตลาดเพื่อนบ้าน

สำหรับภาครัฐ

  • สนับสนุนวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำ
  • พัฒนาการค้าชายแดนให้ได้มาตรฐาน
  • รักษาเสถียรภาพราคา โดยไม่บิดเบือนกลไกตลาด
  • เจรจาการค้าด้วยความรอบคอบ
  • สนับสนุนการวิจัยสินค้าสำหรับสังคมสูงวัย

เชียงรายต้องปรับตัวอย่างไรในยุคตลาดหมูเสรี

คำถามสำคัญ หากแรงกดดันจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เชียงรายซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนและจุดยุทธศาสตร์การค้าหมู จะต้องวางกลยุทธ์อย่างไรเพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งการรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และสร้างความอยู่รอดให้กับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่
สถานการณ์นี้จึงเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของทั้งผู้ประกอบการและรัฐ หากไม่เตรียมพร้อม ปัญหาอาจลุกลามเป็นวิกฤตระดับชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ
  • กรมปศุสัตว์
  • รายงานข่าวตลาดการค้าชายแดนจังหวัดเชียงราย ปี 2567-2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
HEALTH

โล่งใจ! สัตวแพทย์ยืนยัน กินหมูสุก ปลอดภัย แอนแทรกซ์

กินสุกเพื่อสุขภาพ: ปลอดภัยจากเชื้อโรค อร่อยไม่เปลี่ยน

ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเนื้อหมู

ในช่วงหน้าร้อนปี 2568 ความกังวลเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ เช่น โรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) และโรคไข้หูดับ ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการเลือกบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ รองเลขาธิการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ชี้แจงว่า โรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเกิดจากแบคทีเรีย Bacillus anthracis ไม่พบในหมู แต่พบในสัตว์กินพืช เช่น วัว ควาย แพะ และแกะ เนื้อหมูจึงปลอดภัยสำหรับการบริโภคหากปรุงสุกอย่างถูกวิธี อย่างไรก็ตาม การบริโภคเนื้อหมูดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ เช่น ลาบดิบหรือก้อย อาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากเชื้อ Streptococcus suis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้หูดับ อันอาจทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สูญเสียการได้ยิน หรือถึงขั้นเสียชีวิต การเลือกบริโภคเนื้อหมูที่ปรุงสุกจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและจำเป็น

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการบริโภคเนื้อหมู

เนื้อหมูเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเป็นที่นิยมในเมนูอาหารไทย เช่น ลาบ ก้อย และหมูกระทะ แต่การบริโภคแบบดิบหรือปรุงไม่สุกอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis ซึ่งพบในหมูที่ป่วยและสามารถแพร่สู่มนุษย์ผ่านการบริโภคหรือการสัมผัสเนื้อดิบ นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ระบุว่า การปรุงเนื้อหมูให้สุกที่อุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในความสะอาดและคุณภาพของเนื้อหมู

แนวทางการป้องกันเพื่อความปลอดภัย

เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคและรักษาสุขภาพที่ดี สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแนะนำแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้:

  1. ปรุงเนื้อหมูให้สุกทั่วถึง ใช้ความร้อนอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรีย เช่น Streptococcus suis และป้องกันโรคไข้หูดับ
  2. เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ซื้อเนื้อหมูจากร้านค้าหรือตลาดที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย หลีกเลี่ยงเนื้อที่มีกลิ่นหรือสีผิดปกติ
  3. ป้องกันการปนเปื้อน สวมถุงมือเมื่อสัมผัสเนื้อดิบ ล้างมือและอุปกรณ์ให้สะอาด และแยกเขียงสำหรับเนื้อดิบและสุก
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ป่วย ในพื้นที่ที่มีประวัติการระบาดของโรค ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสซากสัตว์หรือสัตว์ที่สงสัยว่าติดเชื้อ
  5. รีบพบแพทย์เมื่อมีอาการ หากมีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือสูญเสียการได้ยินหลังบริโภคหรือสัมผัสเนื้อดิบ ควรรีบไปโรงพยาบาลและแจ้งประวัติความเสี่ยง

ความอร่อยที่ปลอดภัยด้วยการกินสุก

การเปลี่ยนเมนูดิบมาเป็นเมนูสุกไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของรสชาติไว้ได้อย่างครบถ้วน เมนูอย่างลาบคั่ว ก้อยย่าง หรือหมูย่าง สามารถนำเสนอรสชาติที่เข้มข้นและหอมกรุ่นโดยไม่ต้องพึ่งความดิบ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเชิญชวนทุกคนลองปรับเปลี่ยนวิธีการปรุงอาหาร โดยไม่ห้ามการบริโภคเมนูดิบ แต่เน้นย้ำให้ลดการบริโภคแบบดิบและหันมาสร้างสรรค์เมนูสุกที่ทั้งปลอดภัยและน่ารับประทาน การปรุงสุกไม่เพียงปกป้องสุขภาพ แต่ยังเป็นการรักษาความสุขในการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและเพื่อนฝูง

กินสุกไม่ใช่เรื่องยาก รสชาติยังคงน่าจดจำ

การเลือกบริโภคอาหารที่ปรุงสุกไม่ใช่เรื่องซับซ้อนและไม่ทำให้สูญเสียรสชาติที่คุ้นเคย แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ส่งเสริมให้ทุกคนหันมาปรุงเมนูโปรดให้สุก เช่น ลาบคั่วที่หอมด้วยเครื่องเทศ ก้อยย่างที่สุกกำลังดี หรือหมูกระทะที่ย่างจนฉ่ำ การกินสุกไม่ได้หมายถึงการห้ามบริโภคเมนูดิบอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการเชิญชวนให้ลดความเสี่ยงด้วยการปรุงอาหารให้สุกเพื่อสุขภาพที่ดี ในช่วงหน้าร้อนนี้ มาร่วมกันเปลี่ยนความอร่อยให้เป็นความสุขที่ปลอดภัยด้วยการเลือกกินสุก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและความมั่นใจในทุกมื้ออาหาร

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
HEALTH

“กิ๋นสุก เป๋นสุข” รับหน้าร้อน! สธ.เตือน 5 โรค ควบคู่ทลายแก๊งค์หมู

การบริโภคอาหารสุก ทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ปลอดภัยในช่วงหน้าร้อน

ในช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อุณหภูมิที่สูงขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากอาหารที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะอาหารดิบหรือเนื้อสัตว์ที่มาจากแหล่งที่ไม่ได้รับการรับรอง กรณีการจับกุมผู้ลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรในกรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 และคำเตือนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายเกี่ยวกับโรคที่มากับฤดูร้อน สะท้อนถึงความสำคัญของการบริโภคอาหารที่ปรุงสุกและการเลือกวัตถุดิบที่สะอาด แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน โดยเน้นการปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติและความปลอดภัย

ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัย กรณีซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มา

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กก.1 บก.ปทส.) ร่วมกับกรมปศุสัตว์ เข้าจับกุมนายธนะพล อายุ 41 ปี ในข้อหาลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรโดยไม่ได้รับอนุญาต ณ โรงชำแหละซากสุกรไม่มีชื่อ แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร พบของกลางเป็นซากสุกร 1,800 กิโลกรัมจากทั้งหมด 7,500 กิโลกรัม ที่ไม่มีเอกสารรับรองแหล่งที่มา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตเฝ้าระวังโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ผู้ต้องหามีความผิดตามมาตรา 65 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

การตรวจสอบพบว่าโรงชำแหละดังกล่าวดำเนินการโดยไม่ถูกสุขอนามัย ซากสุกรบางส่วนถูกวางบนพื้นโดยไม่มีภาชนะปกป้อง ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนและอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชนโดยรอบ กรณีนี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ซาลโมเนลลา อีโคไล หรือพยาธิ ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้บริโภคที่ได้รับเนื้อสัตว์จากแหล่งที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในเมนูที่ใช้เนื้อดิบ เช่น ลาบดิบ หรือก้อยดิบ

ความอร่อยไม่ต้องดิบก็เป็นเอกลักษณ์ที่น่าลิ้มลอง และเป็นที่น่าจดจำ

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งริเริ่มโดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมกับสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และนักศึกษาปริญญาโท สาขาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6 มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคอาหารที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อโรคที่อาจมากับอาหารดิบ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี แคมเปญนี้ไม่ห้ามการบริโภคอาหารดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ประชาชนลองปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุก เพื่อรักษารสชาติที่คุ้นเคยและยกระดับความปลอดภัย

ตัวอย่างเมนูที่แคมเปญนำเสนอ เช่น จิ้นส้มหมกไข่ ซึ่งปกติเป็นแหนมที่หมักดิบ แต่เมื่อนำมาอบหรือนึ่งจนสุก จะได้รสชาติเปรี้ยวเผ็ดที่ยังคงเป็นเอกลักษณ์ หรือลาบสุกที่ใช้เนื้อวัวหรือหมูย่างก่อนคลุกเคล้ากับเครื่องเทศและสมุนไพร เมนูเหล่านี้ยังคงความหอมและรสชาติเข้มข้นไว้ได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนจากเนื้อดิบ การเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง เช่น ตลาดที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของอาหาร

เฝ้าระวังโรคในช่วงหน้าร้อน คำเตือนจากสาธารณสุข

นพ.เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้ออกมาเตือนประชาชนเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2568 ถึงภัยสุขภาพในช่วงหน้าร้อน โดยระบุ 5 โรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ อหิวาตกโรค และไวรัสตับอักเสบเอ โรคเหล่านี้ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งมักพบในอาหารดิบหรืออาหารที่เก็บรักษาไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและพยาธิ

คำแนะนำจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายสอดคล้องกับโพสต์บนแพลตฟอร์ม X จากบัญชี @ddc_riskcom เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2568 ที่แนะนำให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” เพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงและอาหารเป็นพิษในช่วงฤดูร้อน การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสม เช่น ต้ม ย่าง หรือนึ่ง สามารถฆ่าเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบต่อรสชาติหรือคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่าการบริโภคอาหารสุกเป็นเรื่องง่ายและไม่จำเป็นต้องสูญเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบ การปรับเปลี่ยนเมนูดิบให้เป็นเมนูสุกสามารถทำได้โดยไม่ยุ่งยาก เช่น การย่างเนื้อแทนการใช้ดิบ การนึ่งหรืออบส่วนผสมแทนการหมัก ซึ่งยังคงความหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน ตัวอย่างเช่น จิ้นส้มหมกไข่ที่อบจนสุกจะมีกลิ่นหอมและรสชาติเข้มข้น หรือน้ำพริกอ่องที่ใช้หมูสับปรุงสุก ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านตามสูตรดั้งเดิม

นอกจากนี้ การเลือกวัตถุดิบที่สะอาดและมีแหล่งที่มาชัดเจน เช่น เนื้อสัตว์ที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมปศุสัตว์ หรือผักที่ล้างสะอาดก่อนปรุง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แคมเปญนี้ยังเชิญชวนให้ประชาชนแชร์เมนูสุกที่ทำเองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยแฮชแท็ก #กิ๋นสุกเป๋นสุข #สุกอร่อยปลอดภัย และ #ลดดิบเพิ่มสุข เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในวงกว้าง

ในช่วงหน้าร้อนที่ความเสี่ยงจากอาหารไม่ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น การเลือกกินอาหารสุกไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันโรคที่มากับอาหาร เช่น อุจจาระร่วงหรืออาหารเป็นพิษ แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาว กรณีการลักลอบเคลื่อนย้ายซากสุกรที่ไม่ทราบแหล่งที่มาเป็นเครื่องเตือนใจว่า การเลือกวัตถุดิบที่ปลอดภัยและการปรุงอาหารให้สุกเป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ทั้งง่ายและมีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพที่ดี โดยไม่ต้องละทิ้งความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กรมปศุสัตว์เร่งฟื้นฟูสุขภาพกระบือเวียงหนองหล่ม

กรมปศุสัตว์เร่งฟื้นฟูสุขภาพกระบือเวียงหนองหล่ม สร้างความมั่นคงให้เกษตรกร

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจของกรมปศุสัตว์ได้ลงพื้นที่ปางควายเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เพื่อดำเนินการฟื้นฟูสุขภาพกระบือ ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของเกษตรกรในพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์กระบือไทย

นายพืชผล น้อยนาฝาย ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า การปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอธิบดีกรมปศุสัตว์ ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพสัตว์และส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์อย่างยั่งยืน โดยทีมปฏิบัติการได้ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ สำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ ทีม DART ของศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ต่างๆ สำนักงานปศุสัตว์เขต 5 และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย

การปฏิบัติงานฟื้นฟูสุขภาพกระบือ

ทีมปฏิบัติการได้ดำเนินการตรวจสุขภาพกระบืออย่างละเอียด ให้วัคซีนป้องกันโรค ทำหมัน และให้ยาตามอาการ รวมถึงการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ เพื่อติดตามและบันทึกข้อมูลสุขภาพของกระบือแต่ละตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการปฏิบัติการครั้งนี้ ครอบคลุมพื้นที่ปางป่าสักหลวง ปางห้วยน้ำราก และปางต้นยาง สามารถให้บริการฟื้นฟูสุขภาพกระบือได้ทั้งหมด 330 ตัว และทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ได้ 316 ตัว

การดำเนินงาน

การดำเนินงานฟื้นฟูสุขภาพกระบือของกรมปศุสัตว์ครั้งนี้ มีผลดีต่อเกษตรกรและชุมชนในหลายด้าน ดังนี้

  • ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร: การมีกระบือที่แข็งแรงสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร
  • อนุรักษ์พันธุ์กระบือไทย: การดูแลสุขภาพกระบืออย่างต่อเนื่องจะช่วยรักษาพันธุ์กระบือไทยให้คงอยู่
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร: การมีกระบือที่แข็งแรงและสวยงาม จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมและสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน
  • สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค: ผลิตภัณฑ์จากกระบือที่ได้รับการดูแลสุขภาพอย่างดี จะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคมากขึ้น

คำขวัญ “ครอบครัวปศุสัตว์ ทำด้วยใจ ทำให้ไว ทำได้จริง” สรุปได้ถึงความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ทุกคนในการทำงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและดูแลสุขภาพสัตว์

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมต้องฟื้นฟูสุขภาพกระบือ? เพราะกระบือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของเกษตรกร ช่วยในการไถนาพรวนดิน และเป็นแหล่งอาหารโปรตีน การดูแลสุขภาพกระบือจึงเป็นการรักษาอาชีพของเกษตรกรและส่งเสริมการเกษตรแบบยั่งยืน
  2. หน่วยงานใดบ้างที่ร่วมในการปฏิบัติการครั้งนี้? หน่วยงานที่ร่วมในการปฏิบัติการ ได้แก่ สำนักควบคุมป้องกันและบำบัดโรคสัตว์ ทีม DART ของศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ต่างๆ สำนักงานปศุสัตว์เขต 5 และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย
  3. การทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์มีประโยชน์อย่างไร? การทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ช่วยให้สามารถติดตามและบันทึกข้อมูลสุขภาพของกระบือแต่ละตัวได้อย่างต่อเนื่อง
  4. การฟื้นฟูสุขภาพกระบือจะส่งผลดีต่อชุมชนอย่างไร? การฟื้นฟูสุขภาพกระบือจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
  5. ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์กระบือไทยได้อย่างไร? ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้โดยการสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากกระบือไทย เลือกซื้อเนื้อวัวจากแหล่งที่เชื่อถือได้ และร่วมกันรณรงค์ให้คนในชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์พันธุ์กระบือไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ไชยา รมช. เกษตร มอบสัญญายืมโคให้เกษตรกร จ.เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 67  ที่ทำการคณะกรรมการพัฒนาสตรีอำเภอแม่จัน เลขที่ 81 หมู่ 7 บ้านดง ต.สันทราย อ.แม่จัน จ.เชียงราย นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธีมอบกรรมสิทธิ์และไถ่ชีวิตโค-กระบือ ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ โดยมีว่าที่ร้อยตรี ศราวุธ  จันทวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้การต้อนรับ และนายสัตวแพทย์โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์นำหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเกษตรกรชาวเชียงรายเข้าร่วมอย่างคับคั่ง

.
          ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ได้ส่งมอบโคจากการไถ่ชีวิตโค-กระบือ ของผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมกันบริจาคเงิน เพื่อไถ่ชีวิตโค-กระบือเข้าร่วมโครงการธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ ให้กับสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย นำมาช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์ และสร้างความรัก ความสามัคคีในชุมชน ให้กับวิสาหกิจ ชุมชน กลุ่มเกษตรกร ในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาตามนโยบายของรัฐ ให้เกษตรกรที่มีความ สนใจด้านอาชีพการเลี้ยงสัตว์ และสมัครเข้าร่วมโครงการ ภายใต้เงื่อนไขโครงการธนาคาร โค-กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ ซึ่งเกษตรกรจะต้องคืนลูกตัวแรกเมื่ออายุครบ 18 เดือน ให้กับโครงการ และเมื่อครบสัญญา 5 ปี โครงการฯจะมอบกรรมสิทธิ์แม่โค พร้อมลูกตัวที่ 2 , 3 , 4 ให้กับเกษตรกรต่อไป 

.
          สำหรับในวันนี้ จังหวัดเชียงราย ได้รับสนับสนุนโค จากโครงการธนาคาร โค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริจำนวน 55 ตัว รวมเกษตรกรที่ได้รับสัตว์ทั้งสิ้น จำนวน 55 ราย ซึ่งเป็นเกษตรกรที่มีคุณสมบัติถูกต้อง ตามระเบียบของโครงการฯ สมควรได้รับการช่วยเหลือจากโครงการฯ ต่อไป

 

          โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกร ตามพระราชดำริ เป็นโครงการหนึ่งของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยกรม ปศุสัตว์เป็นผู้ดำเนินการ และเป็นศูนย์รวมในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน ที่มีอาชีพ ในการทำนา ทำไร่ได้อย่างแท้จริง วัตถุประสงค์ที่สำคัญของธนาคารโค-กระบือเพื่อเกษตรกร ตาพระราชดำริเพื่อช่วยให้เกษตรกรที่ยากจนทั่วประเทศได้มีโค-กระบือไว้ใช้แรงงาน และเพิ่มผลผลิต ทางการเกษตร เป็นการช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น 

.
           ภายในงานมีหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำการบริการแก้ไขปัญหาทางการเกษตรหลายหน่วยงานมาให้บริการ เช่น คลินิกดิน พืช ปศุสัตว์ ประมง ชลประทาน สหกรณ์ บัญชี พืชสวน ยางพารา สาธารณสุข มาให้บริการให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย

 

หลังจากนั้น นาย ไชยา เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตรในพื้นที่เดียวกัน พร้อมเปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ มีหน้าที่ดูแลเกษตรกรในทุกมิติ ทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง ชลประทาน การทำบัญชี การทำงานของสหกรณ์ การผลิตสินค้า รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำเกษตรกรรมให้เกิดรายได้ และมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น จึงขอเชิญชวนพี่น้องเกษตรกรร่วมชมคูหานิทรรศการของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ นิทรรศการจากกรมหม่อนไหม ที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในพื้นที่ 3 ไร่ หากเก็บเกี่ยว 1 ครั้ง สามารถขายได้ราคา 9,000 บาท

 

ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวได้ 12 ครั้ง ต่อปี และมีนิทรรศการจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงเกษตรฯ ที่จะมาช่วยผลักดันเกษตรกรให้สามารถสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น 3 เท่าภายในระยะเวลา 4 ปี ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อีกด้วย

 

สำหรับช่วงบ่าย นาย ไชยาเดินทางไปเป็นประธานพิธีมอบโค-กระบือ ให้เกษตรกรยืมเลี้ยงเพื่อการผลิต ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ณ ศาลาแดงหนองซง บ้านหนองแรดใต้ อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย โดยมอบสัญญายืมโค จำนวน 30 ตัว ให้กับเกษตรกร จำนวน 30 ราย คิดเป็นมูลค่า 840,000 บาท

 

นายไชยา กล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้รับเกียรติจากพี่น้องเกษตรกรมามอบหนังสือสัญญายืมโคเพื่อการผลิต ภายใต้โครงการธนาคารโค-กระบือ เพื่อเกษตรกรตามพระราชดำริ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงปศุสัตว์เป็นอาชีพหลัก ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์จะคอยสนับสนุนข้อมูลการเลี้ยงดูต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ปศุสัตว์ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เตือน “โรคแอนแทรกซ์” พบ 3 ผู้ป่วย ในลาว เหตุกินเนื้อวัว-ควายดิบ

 

เมื่อวันที่ 9 มี.ค.67 น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี   กล่าวว่า ในขณะนี้กรมปศุสัตว์ได้แจ้งเตือนการพบโรคแอนแทรกซ์ ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนในประเทศลาว โดยมีสาเหตุจากการบริโภคเนื้อโค-กระบือดิบ   โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2567 มีรายงานข่าวต่างประเทศว่าพบผู้ป่วยโรคแอนแทรกซ์ 3 ราย ที่เมืองสุขุมา แขวงจำปาสัก ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยโรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacillus anthracis) สัตว์ที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่ในดินหรือหญ้าเข้าสู่ร่างกาย หรือจากการกินน้ำและอาหารที่มีเชื้อปะปนเข้าไป เมื่อเชื้อเข้าตัวสัตว์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมสร้างสารพิษทำให้สัตว์ป่วยและตายในที่สุด

 

ทั้งนี้ ระหว่างสัตว์ป่วย เชื้อถูกขับออกมากับอุจจาระ ปัสสาวะหรือน้ำนม เมื่อเปิดผ่าซาก เชื้อสัมผัสกับอากาศ จะสร้างสปอร์ทำให้คงทนในสภาพแวดล้อมได้นาน โค กระบือ แพะ และแกะที่ป่วยจะมีอาการแบบเฉียบพลัน คือจะตายอย่างรวดเร็ว มีเลือดสีดำคล้ำไหลออกตามทวารต่างๆ ซากไม่แข็งตัว สำหรับคนที่ผ่าซากหรือบริโภคเนื้อสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้แบบสุกๆ ดิบๆ จะพบแผลหลุมตามนิ้วมือ แขน หรือช่องปาก และมีอาการเจ็บปวดในช่องท้อง โรคนี้ทำให้คนตายได้หากตรวจพบโรคช้า

 

น.ส.เกณิกากล่าวต่อว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมปศุสัตว์ ได้ยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรค โดยสั่งการให้ด่านกักกันสัตว์ตามแนวชายแดนไทย-ลาวเข้มงวดตรวจสอบการลักลอบนำเข้าโค กระบือ แพะ และแกะที่มีชีวิต รวมถึงผลิตภัณฑ์ด้วย เตรียมความพร้อมด้านวัคซีนป้องกันโรค และขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ แพะ และแกะ ให้ดูแลสัตว์ของตนเองให้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง และหมั่นสังเกตอาการสัตว์เลี้ยงของตนเองอยู่เสมอ ขอย้ำให้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ผ่านการปรุงสุกและเป็นเนื้อสัตว์ที่ทราบแหล่งที่มาเท่านั้น

 

               “หากเกษตรกรหรือประชาชนทั่วไป พบโค กระบือ แพะ แกะ แสดงอาการป่วยหรือตายผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุแบบเฉียบพลัน ห้ามเปิดผ่าซาก ห้ามเคลื่อนย้ายซากหรือชำแหละเพื่อการบริโภค ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อาสาปศุสัตว์  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในพื้นที่ หรือ ผ่านทาง Application DLD 4.0 หรือโทรศัพท์สายด่วน 06-3225-6888 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างทันท่วงที”  รองโฆษกรัฐบาลกล่าว

 

โรคแอนแทรกซ์ หรือชาวบ้านเรียกว่า โรคกาลี เป็นโรคที่รู้จักกันมาแต่โบราณกาล แอนแทรกซ์นับว่าเป็นโรคระบาดสำคัญโรคหนึ่งในพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2499 เป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงที่เกิดขึ้นได้ในสัตว์กินหญ้าแทบทุกชนิด ทั้งสัตว์ป่า เช่น ช้าง เก้ง กวาง และสัตว์เลี้ยง เช่น โค กระบือ แพะ แกะ แล้วติดต่อไปยังคนและสัตว์อื่น เช่น เสือ สุนัข แมว สุกร โรคมักจะเกิดในท้องที่ซึ่งมีประวัติว่าเคยมีโรคนี้ระบาดมาก่อน แต่ปัจจุบันเนื่องจากการคมนาคมสะดวกและรวดเร็ว พ่อค้าสัตว์มักจะนำสัตว์ป่วย หรือสัตว์ที่อยู่ในระยะฟักตัวของโรคไปขายในท้องถิ่นอื่น ทำให้เกิดการกระจายของโรคไปไกลๆ ได้ เชื้อนี้ก่อให้เกิดโรคในคน 3 แบบ คือที่ผิวหนัง ที่ปอดจากการสูดดม ที่ทางเดินอาหาร และ oro-pharynx จากการกินเชื้อนี้เข้าไป.

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมปศุสัตว์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

รมช.ไชยา ลงตรวจห้องเย็นสมุทรสาคร พบเนื้อเถื่อนนำเข้าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

 

   นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบห้องเย็นบริษัท เจ.พี. ห้องเย็น จำกัด ต.โคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร กรณีได้รับรายงานว่ามีการตรวจพบการลักลอบนำเข้าและลักลอบเก็บสินค้าเกษตร ประเภทเนื้อสัตว์นำเข้าจากต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมปศุสัตว์และกรมประมง ว่า จากนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ ดำเนินการปราบปรามประกาศสงครามเนื้อเถื่อนผิดกฎหมายทุกชนิด ในวันนี้จึงได้ลงพื้นที่ติดตามการจับกุมหลังได้รับรายงานว่ามีสินค้าลักลอบนำเข้าประเภทเนื้อเถื่อนผิดกฎหมาย และได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนธิกำลังตรวจสอบห้องเย็นในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเข้มงวด

 


     สำหรับรายการสินค้าผิดกฎหมายที่ตรวจพบภายในห้องเย็น จำนวน 3 แห่ง ประกอบด้วย เนื้อกระบือ โคเนื้อ ขาไก่/ปีกไก่ หมูสามชั้น และขาหมู วางแทรกระหว่างสินค้าประเภทปลาทูอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก ทางเจ้าหน้าที่จึงได้อายัติสินค้าไว้เพื่อตรวจสอบแหล่งที่มา พร้อมกับเรียกผู้ดูแลสถานประกอบการหรือเจ้าของสถานประกอบการมาสอบปากคำเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ที่นำมากักเก็บไว้ และจะต้องทำการขยายผลถึงผู้ที่นำมาฝากแช่แข็งอีกด้วย เพื่อนำผู้กระทำความผิดทั้งหมดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 


     นายไชยา กล่าวว่า มาตรการต่าง ๆ ในการตรวจเข้มจับกุมดังกล่าวนี้ เป็นการหยุดยั้งกระบวนการนำเข้า สินค้าเนื้อเถื่อนผิดกฎหมายที่ทำให้บิดเบือนกลไกตลาดและสร้างความเสียหายกับทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อย ซึ่งมูลค่าในการตรวจพบครั้งนี้พบความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท และได้สั่งกำชับการเข้าปฏิบัติการทุกครั้งให้กระทำด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง โดยประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เช่น ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากการปราบปรามทุกครั้งที่ลงพื้นที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งระดับท้องถิ่น และระดับชาติ และขอยืนยันว่าจะยังคงเดินหน้าในการปราบปรามเนื้อเถื่อนที่ผิดกฎหมายต่อไป

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News