Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

แผนพัฒนาเวียงหนองหล่ม กรมชลฯ ยืนยันไม่กระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมรับฟังชุมชน

กรมชลประทานชี้แจง “เวียงหนองหล่ม” ย้ำไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม—วางแผนแก้ขาดแคลนน้ำด้วยพื้นที่ 2 โซน อนุรักษ์–พัฒนา พร้อมรับฟังความเห็นชุมชน

เชียงราย, 18 กันยายน 2568 — กระแสวิพากษ์วิจารณ์บนสื่อสังคมออนไลน์กรณี “โครงการอนุรักษ์แบบกรมชลฯ คือการทำลายระบบนิเวศพื้นที่ลุ่มน้ำ” จุดประกายให้เกิดคำถามสำคัญต่อทิศทางการจัดการทรัพยากรน้ำของรัฐ โดยเฉพาะโครงการ พัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการวางแผนพัฒนา ล่าสุด กรมชลประทาน (โครงการชลประทานเชียงราย) ออกแถลงชี้แจงย้ำเจตนารมณ์ว่า โครงการไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมในลักษณะรุนแรง และได้กำหนด พื้นที่อนุรักษ์ กับ พื้นที่พัฒนาแหล่งน้ำ อย่างชัดเจนควบคู่การรับฟังความเห็นประชาชน

การชี้แจงครั้งนี้ไม่ใช่เพียง “ตอบโต้กระแส” หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของบทสนทนาสำคัญว่าด้วย สมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ บนพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ราว 14,000 ไร่ ซึ่งมีทั้งความหมายทางนิเวศและความจำเป็นด้านปากท้องของชุมชน

จุดตั้งต้นของปัญหา หนองน้ำตื้นเขิน–กักเก็บน้ำไม่ได้

เวียงหนองหล่มเป็นแอ่งรับน้ำธรรมชาติ เดิมอุดมไปด้วยพืชน้ำและสัตว์น้ำพื้นถิ่น แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกิด ตะกอนสะสมและวัชพืชปกคลุมหนาแน่น ทำให้ความสามารถในการเก็บกักน้ำถดถอย ส่งผลกระทบต่อ น้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร ในพื้นที่รอบข้าง

สถานการณ์นี้ถูกสะท้อนผ่าน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า และ ผู้นำชุมชน ที่รวบรวมข้อเท็จจริงและความเดือดร้อนไปยังหน่วยงานรัฐ กระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบ กรอบแผนพัฒนา–อนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม และมอบหมายให้กรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนพัฒนาเชิงระบบเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำให้ประชาชน

ใจความสำคัญ “ทำให้พื้นที่ชุ่มน้ำกลับมาทำหน้าที่กักเก็บ–ชะลอน้ำ และเป็นแหล่งน้ำดิบให้ชุมชน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและวิถีชุมชนดั้งเดิม”

กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบ–แบ่งโซน–รับฟังชุมชน

กรมชลประทานระบุว่า ก่อนกำหนดแนวทางพัฒนา ได้จัดทำ รายงานศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study Report) เพื่อตรวจสอบสถานภาพพื้นที่และความเสี่ยงเชิงนิเวศ ผลเบื้องต้นชี้ว่า พื้นที่โครงการไม่ทับซ้อนป่าสงวนแห่งชาติหรือพื้นที่คุ้มครองตามกฎหมาย และ “ไม่มีผลกระทบเชิงนิเวศในลักษณะรุนแรง” หากดำเนินการตามกรอบมาตรการที่กำหนด

เพื่อลดความกังวลและเพิ่มความโปร่งใส โครงการกำหนด 2 โซนหลัก ดังนี้

  1. โซนอนุรักษ์ – พื้นที่ที่ชุมชนร้องขอให้คงสภาพธรรมชาติ เช่น “ป่าโกงกางน้ำจืด” (Freshwater mangrove) ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์น้ำ–นกน้ำ และพืชเฉพาะถิ่น โซนนี้จะ ไม่นำเครื่องจักรเข้าไปรบกวน และจะมีมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ
  2. โซนพัฒนาแหล่งน้ำ – พื้นที่ที่จะดำเนินการ ขุดลอกตะกอน จัดเก็บพื้นที่รับน้ำ สร้าง อาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักและกระจายน้ำให้เพียงพอครัวเรือนและเกษตรกรรม โดยคำนึงถึงทางน้ำเดิม แก้มลิงตามธรรมชาติ และการเชื่อมโยงลุ่มน้ำสาขา

นอกจากการแบ่งโซน โครงการยังยืนยันว่ามี เวทีรับฟังความคิดเห็น จากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่อีกหลายรอบ เพื่อเก็บข้อมูลประกอบการออกแบบในรายละเอียด—ตั้งแต่ระดับระดับน้ำที่เหมาะสม พื้นที่หลบอาศัยสัตว์น้ำ แปลงพืชอาหารของชุมชน ไปจนถึงตำแหน่งพื้นที่สาธารณะ

เวียงหนองหล่ม” ในสายตาชุมชน ความหวังเรื่องน้ำ กับความกังวลเรื่องธรรมชาติ

เมื่อสืบคำบอกเล่าในพื้นที่ พบสองอารมณ์ที่ดำเนินควบคู่กัน—ความหวัง ว่าชุมชนและเกษตรกรจะมีน้ำเพียงพอมากขึ้น ลดต้นทุนขุดบ่อและซื้อน้ำในหน้าแล้ง และ ความกังวล ว่าการก่อสร้างจะกระทบพื้นที่อาหารของสัตว์น้ำและนกน้ำที่ชาวบ้านคุ้นชิน

การออกแบบเชิง “อยู่ร่วม” จึงเป็นโจทย์กลางของกรมชลประทาน นั่นคือ การยอมรับว่าพื้นที่ชุ่มน้ำไม่ใช่แค่อ่างเก็บน้ำ แต่เป็น ระบบนิเวศ ที่ต้องรักษาจังหวะน้ำขึ้น–ลง เส้นทางอพยพของปลา และพืชน้ำที่ทำหน้าที่ ดูดซับสารอาหาร เพื่อคุณภาพน้ำที่ดี

มาตรการเบื้องต้นที่ถูกหยิบยกในการชี้แจง ได้แก่

  • คงพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ เป็นเขตอนุรักษ์—งดงานก่อสร้าง–งดเรือเครื่อง–จำกัดการเข้าถึง
  • กำหนดระดับน้ำเชิงนิเวศ (Environmental Flow) ให้ใกล้เคียงสภาพธรรมชาติในฤดูกาลต่าง ๆ
  • ทำแนวกันชน (Buffer) รอบโซนอนุรักษ์ ลดการรบกวนของเสียง–ตะกอน–กิจกรรมท่องเที่ยว
  • ทำทางผ่านสัตว์น้ำ/ช่องเปิด ที่โครงสร้าง เพื่อรักษาการไหลเวียนและการขยายพันธุ์
  • เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ชีวภาพ ก่อน–ระหว่าง–หลังดำเนินงาน พร้อมเผยแพร่ผลอย่างสม่ำเสมอ

ก้าวย่างนโยบาย จาก “น้ำพอเพียง” สู่ “น้ำอย่างยั่งยืน”

ความสำคัญของเวียงหนองหล่มไม่ได้อยู่แค่พื้นที่ 14,000 ไร่ แต่คือการเป็น ต้นแบบ การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำของท้องถิ่นที่มีบทบาท “สองหน้าที่”—แก้มลิงรับน้ำ และ ระบบนิเวศอาหาร สำหรับชุมชน

หากการพัฒนาเดินตามกรอบ สองโซน อย่างมีวินัย ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจ–สังคมที่คาดหวังคือ

  • ความมั่นคงน้ำชุมชน ลดความเสี่ยงน้ำแล้ง น้ำท่วมเฉียบพลัน เพิ่มความเชื่อมั่นการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง
  • ต้นทุนเกษตรลดลง เข้าถึงน้ำใกล้แปลง ลดค่าเครื่องสูบน้ำ–ค่าน้ำมัน และเพิ่มรอบปลูกที่เหมาะสม
  • ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ–เรียนรู้ หากโซนอนุรักษ์รักษาคุณค่าไว้ได้ พื้นที่ศึกษาธรรมชาติ นกน้ำ และพืชน้ำจะกลายเป็นฐานกิจกรรมของโรงเรียน–ชุมชน (โดยไม่รบกวนระบบนิเวศ)
  • ทุนสังคม–สิ่งแวดล้อม เมื่อคนในพื้นที่เห็นประโยชน์จากการรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำ ก็มีแรงจูงใจร่วมดูแลในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นจริงได้ต่อเมื่อ การกำกับติดตาม เข้มแข็ง—ทั้งจากรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน—และมี กลไกสื่อสารข้อมูล ที่ต่อเนื่อง โปร่งใส ตรวจสอบได้

วิเคราะห์เชิงนโยบาย คำตอบของ “สมดุล” อยู่ที่วินัยการปฏิบัติ

การชี้แจงของกรมชลประทานครั้งนี้ตอบโจทย์ หลักการ ได้พอสมควร—ยืนยันไม่อยู่ในเขตคุ้มครอง, ศึกษาผลกระทบเบื้องต้น, แบ่งโซนอนุรักษ์–พัฒนา, รับฟังชุมชน—แต่ ความท้าทาย ยังอยู่ที่ “การลงมือทำ” ที่ต้องรักษาวินัย 4 ประการ

  1. วินัยด้านนิเวศ – การยึดมั่นกรอบโซนอนุรักษ์อย่างเคร่งครัด ไม่ขยายงานก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่เปราะบาง แม้ภายหลังจะเกิดแรงกดดันเรื่องประสิทธิภาพกักเก็บน้ำ
  2. วินัยด้านวิศวกรรม–ข้อมูล – ออกแบบระดับน้ำและทางไหลให้สอดคล้องฤดูกาล ขณะที่ เก็บข้อมูลชีวภาพ–คุณภาพน้ำ อย่างต่อเนื่องเพื่อปรับแผนตามหลักฐาน (adaptive management)
  3. วินัยด้านการมีส่วนร่วม – ตั้งคณะกรรมการพื้นที่ที่มี ตัวแทนชุมชน–องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น–นักวิชาการ ร่วมกำกับติดตาม พร้อม แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่เผยแพร่ข้อมูลรายไตรมาสให้สาธารณะเข้าถึง
  4. วินัยด้านกฎหมาย–ธรรมาภิบาล – ทุกขั้นตอนต้องสอดคล้องกฎหมายสิ่งแวดล้อม–ผังเมือง–แหล่งน้ำ และเปิดเผยสัญญา–วงเงิน–ผู้รับจ้าง–ผลตรวจรับอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันข้อครหาในอนาคต

เมื่อทั้ง 4 วินัยถูกยึดถือจริง ความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายห่วงนิเวศกับฝ่ายห่วงน้ำกิน–น้ำใช้จะถูกคลี่คลายสู่ พื้นที่กลาง ที่จับต้องได้

เสียงสะท้อนที่ต้องฟัง คำถามเชิงสร้างสรรค์จากสังคม

กระแสในโลกออนไลน์ แม้บางส่วนจะตีความแรง แต่ก็สะท้อนความห่วงใยของสาธารณะต่อพื้นที่ชุ่มน้ำ โครงการเวียงหนองหล่มจึงควรรับ “คำถามสร้างสรรค์” เหล่านี้ไว้ประกอบการดำเนินงาน

  • จะวัดความสำเร็จอย่างไร นอกจากปริมาณกักเก็บน้ำ? ตัวชี้วัดด้านนิเวศ เช่น ชนิดสัตว์น้ำ–นกน้ำที่พบ, พื้นที่พืชน้ำสำคัญ, คุณภาพน้ำเฉลี่ยรายฤดู ควรถูกรายงานคู่กัน
  • กิจกรรมเศรษฐกิจบนพื้นที่ชุ่มน้ำ จะจัดระเบียบอย่างไรไม่ให้รุกล้ำโซนอนุรักษ์? เช่น การเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง การท่องเที่ยวเรือถีบ
  • ภาวะน้ำแล้ง–ฝุ่นควัน ภาคเหนือจะถูกบูรณาการแผนอย่างไรกับโครงการนี้? เช่น การใช้พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งชะลอเถ้าฝุ่น/เพิ่มความชื้นในพื้นที่โดยรอบ
  • เยาวชน–โรงเรียน จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพได้อย่างไร เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของร่วม

คำถามเหล่านี้หากได้รับคำตอบผ่าน เวทีสาธารณะ และ รายงานความคืบหน้าเป็นระยะ จะช่วยยกระดับความไว้วางใจ และทำให้โครงการเดินหน้าอย่างมีฉันทามติ

พูดให้ชัด โครงการนี้ “ไม่ใช่การถม–ปิด–ตัดขาดธรรมชาติ”

สารที่กรมชลประทานต้องการสื่อมีอยู่ 3 ประเด็น

  1. ไม่ใช่การปิดพื้นที่ชุ่มน้ำ แต่คือการ ปรับปรุงประสิทธิภาพกักเก็บ ในโซนที่เหมาะสม พร้อม คงพื้นที่อนุรักษ์ ตามที่ชุมชนร้องขอ
  2. ไม่ทับซ้อนป่าสงวน/พื้นที่คุ้มครอง และ ผ่านการศึกษาผลกระทบเบื้องต้น แล้ว
  3. มีกลไกรับฟังความคิดเห็น และจะเดินหน้าอย่างรอบคอบ หลักฐานตั้งต้นคือมติ ครม. ปี 2564 ที่กำหนดให้บูรณาการหน่วยงานหลายส่วน ทั้งการอนุรักษ์และการพัฒนา

ถ้อยแถลงนี้หากแปรเป็น “ภาคปฏิบัติ” อย่างซื่อสัตย์ โครงการเวียงหนองหล่มย่อมเป็นได้ทั้ง แหล่งน้ำหล่อเลี้ยงชุมชน และ ห้องเรียนธรรมชาติ ของเชียงราย

สมดุลที่ต้องทำให้เห็น—ไม่ใช่แค่พูดให้ฟัง

กรณีเวียงหนองหล่มสะท้อนโจทย์ร่วมของสังคมไทย—เราจะพัฒนาทรัพยากรน้ำอย่างไม่ทำลายธรรมชาติได้อย่างไร คำตอบจากเอกสารและเวทีชี้แจงวันนี้ คือ การจัดโซน–การศึกษาผลกระทบ–การมีส่วนร่วมของชุมชน แต่สิ่งที่จะชี้ชัดคือ การลงมือทำอย่างมีวินัยและโปร่งใส ในวันพรุ่งนี้

หากเชียงรายทำสำเร็จ เวียงหนองหล่มจะกลายเป็น ต้นแบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำแบบ “สองโซน–สองคุณค่า” ที่ทั้งดูแลปากท้องและรักษาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นบทเรียนว่าความไว้วางใจสาธารณะเกิดขึ้นได้จาก ข้อมูลที่เปิดเผย–กลไกตรวจสอบ–และผลสัมฤทธิ์จริง เท่านั้น

“น้ำพอเพียงกับธรรมชาติสมบูรณ์—ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือสองด้านของเหรียญเดียวกัน ที่ต้องขัดเกลาให้กลมกลืนด้วยข้อมูลและวินัย”

กล่องข้อมูลโครงการ (Key Facts)

  • ชื่อโครงกา โครงการพัฒนาแก้มลิงเวียงหนองหล่ม พร้อมอาคารประกอบ
  • ที่ตั้ง ตำบลจันจว้า อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
  • ขนาดพื้นที่ ประมาณ 14,000 ไร่ (พื้นที่ชุ่มน้ำธรรมชาติเดิม)
  • ปัญหาหลัก ตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น ทำให้กักเก็บน้ำไม่ได้เพียงพอ
  • มติ ครม. 18 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบกรอบแผนพัฒนาอนุรักษ์–ฟื้นฟูกว๊านพะเยาและเวียงหนองหล่ม
  • กรอบดำเนินงาน ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Reconnaissance Study), แบ่ง โซนอนุรักษ์ และ โซนพัฒนาแหล่งน้ำ, รับฟังความคิดเห็นประชาชน
  • มาตรการหลัก ขุดลอกในโซนพัฒนา, ก่อสร้างอาคารระบายน้ำ–ฝายทดน้ำ–ระบบส่งน้ำ, จัดทำแนวกันชนและเฝ้าระวังคุณภาพน้ำ–ความหลากหลายชีวภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมชลประทาน – โครงการชลประทานเชียงราย
  • มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 18 พฤษภาคม 2564
  • เทศบาลตำบลจันจว้า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

“เวียงหนองหล่ม” รอยต่อความมั่นคงน้ำกับความทรงจำชุมชน แผน 3.88 พันล้าน

เวียงหนองหล่ม “พรุทุ่งหญ้า” รอยต่อความมั่นคงน้ำกับความทรงจำของชุมชน เมื่อแผน 3.88 พันล้าน ปะทะเสียงนกอพยพและระฆังปางควาย

เชียงราย, 11 กันยายน 2568— ยามเช้าที่เวียงหนองหล่ม หมอกบางคลี่คลุมแนวหญ้ากก ดวงตากลมของนกแสกทุ่งหญ้าเฝ้ามองผืนน้ำตื้นที่ครั้งหนึ่งเคยพรั่งพร้อมด้วยลูกปลา ปูนา และแมลงน้ำ—โซ่อาหารที่เลี้ยงทั้งนกอพยพและคนท้องถิ่นมาหลายชั่วคน แต่วันนี้ภาพจำดั้งเดิมกำลังไหวกระเพื่อม ท่ามกลางคันดินใหม่และเรือขุดที่ขะมักเขม้นตาม “แผนแม่บทพัฒนา-ฟื้นฟูเวียงหนองหล่ม” งบประมาณรวม 3,880.85 ล้านบาท ซึ่งเพิ่งเดินหน้าต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา ภายใต้ความตั้งใจ “แก้แล้ง-ลดท่วม” และเพิ่มศักยภาพกักเก็บน้ำให้พอกับความต้องการการเกษตรและชุมชนโดยรอบกว่า 10,000 ครัวเรือน/11,000 ไร่ ตามกรอบงาน 65 โครงการย่อย ของภาครัฐ

โหนดเรื่อง (Nut graf) พื้นที่ชุ่มน้ำ “สำคัญระดับชาติ” ที่ยืนอยู่กลางสมการยาก

เวียงหนองหล่มตั้งอยู่ในแอ่งเชียงแสน คร่อมอำเภอแม่จัน–เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ครอบคลุมพื้นที่ราว 14,000–14,457 ไร่ ได้รับมติคณะรัฐมนตรี (1 ส.ค. 2543) ให้เป็น “พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ” (Nationally Important Wetland) ด้วยคุณค่าด้านนิเวศและวัฒนธรรม—แหล่งอาศัยของนกอพยพ และฐานทรัพยากรอาหารของชุมชนพื้นที่ต่ำเหนือสุดของประเทศ

ในเชิงนโยบายระหว่างประเทศ เวียงหนองหล่มไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น “แรมซาร์ไซต์” โดยตรง แต่ตั้งอยู่ในแอ่งเดียวกับ หนองบงคาย (Chiang Saen Lake) เขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่เป็น Ramsar Site ลำดับที่ 1101 (5 ก.ค. 2544) ซึ่งยืนยันสถานะ “หัวใจความหลากหลายชีวภาพ” ของทั้งลุ่มน้ำเชียงแสน ดังนั้น แม้สถานะกฎหมายต่างกัน คุณค่าทางนิเวศ “เชื่อมถึงกัน” ทั้งระบบ และเป็นเหตุผลว่าทำไมแผนใดๆ ต่อเวียงหนองหล่มจึงต้องเทียบชั้นมาตรฐานอนุรักษ์สากลอย่างระมัดระวัง

ไทม์ไลน์บนพรุ จาก “มติ-แผน” สู่ “เครื่องจักร-คันดิน”

  • 30 ต.ค. 2562: รัฐบาลเห็นชอบให้เร่งพัฒนาเวียงหนองหล่ม บูรณาการหลายหน่วยงาน ภายใต้มาตรการแก้น้ำท่วม-แล้งของลุ่มน้ำกก–โขงตอนบน
  • 2564–2568: คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) รับรอง แผนแม่บท 65 โครงการ วงเงินรวม 3,880.85 ล้านบาท (หลายช่วงสัญญา) เน้นงานดิน โครงสร้างระบายน้ำ ปรับปรุงลำน้ำ และยกระดับการจัดการน้ำในพื้นที่ชุ่มน้ำ
  • ปลายปี 2565–2567: กรมชลประทานแจงเป้าหมาย “เพิ่มความจุกักเก็บจาก 8 เป็น 20 ล้าน ลบ.ม.” เพื่อรองรับเมือง–เกษตร–ภัยพิบัติ รวมถึงเชื่อมแผนท่องเที่ยว-อนุรักษ์ในบางโซน (หอชมนก/เส้นทางเรียนรู้) ควบคู่ “กิจการพลเมืองน้ำ” ในพื้นที่ริมหนอง
เป็นพื้นที่เลี้ยงควายที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยชาวเวียงหนองหล่มแต่ละชุมชนรวมตัวจัดตั้งเป็น “ปางควาย” รวมแล้วมีกว่า 100 ปาง แต่ละปางมีควาย 450-490 ตัว จึงถูกยกให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ควาย การเลี้ยงควายที่นี่เป็นการเลี้ยงตามธรรมชาติ และทำประมงของเกษตรกรที่หาอยู่หากินในพื้นที่มาหลายร้อยปี โดย : Save Gurney Pitta

ฝั่งรัฐชี้ว่า ความเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้ฝนสวิง น้ำหลากเร็ว แล้งยาวนาน แหล่งเก็บน้ำกระจุกตัวแบบเดิม “ไม่พอ” การขุดลอก-เปิดทางน้ำและสร้างคันดิน “จำเป็น” เพื่อสะสมฝนหลวงและน้ำหลากเข้าพื้นที่ชุ่มน้ำแก้มลิง ก่อนปล่อยกลับให้ชุมชนยามแล้ง รวมทั้งลดน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มทางทิศใต้ของหนอง

เมื่อ “ทุ่งหญ้า-ผืนน้ำตื้น” ถูกแทนที่ด้วย “อ่างลึก-คันดินสูง”

ขณะที่เครื่องจักรก้าวหน้าตามแผน เสียงคัดค้านจากชุมชน “ปางควาย” และกลุ่มชาวประมง–หาของป่าเริ่มดังขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566–2568 ด้วยข้อกังวลหลัก 3 ประการ

  1. ความลึก-คันดิน: แกนนำชุมชนระบุว่า “สิ่งที่ทำจริงลึกเกินตกลง” กระทบพฤติกรรมสัตว์น้ำ–หญ้าน้ำ–การลงกินน้ำของควาย มีจุดที่คันดินสูงจน “ควายลงน้ำไม่ได้” และ “ปิดทับทางน้ำเดิมบางแขนง” ข้อกล่าวหานี้ปรากฏในรายงานภาคสนามและคลิปเสียงสะท้อนสื่อหลายเจ้า—เป็นปมที่หน่วยงานต้องเคลียร์ “ตัวเลข-แบบก่อสร้าง-EIA/IEE ที่อัปเดตล่าสุด” ให้สาธารณะเข้าใจ ตรงกันทุกฝ่าย
  2. วิถี “ปางควาย”: เวียงหนองหล่มคือศูนย์รวมปางควายมากกว่า “2,000 ตัว” (ข้อมูลปี 2566–2567) เลี้ยงแบบเปิดในทุ่งหญ้า–หนองตื้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนเป็นอ่างลึกและคันดินยาว วิถีเลี้ยง-หญ้าอาหาร-จุดลงน้ำจืดถูกบีบตัว ชาวบ้านห่วง “ต้นทุนอาหารเพิ่ม–สุขภาพฝูงแย่ลง” และ “เอกลักษณ์ปางควายล้านนา” ที่สร้างรายได้ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาจค่อยๆ หายไป
  3. แหล่งหากินนกอพยพ–นกหายาก: Eastern Grass Owl (นกแสกทุ่งหญ้า) เคยถูกบันทึกในเขตเชียงราย–เชียงแสน รวมถึงภาพถ่ายภาคสนามของนักดูนกบริเวณหนองหล่ม/ปริมณฑล หาก “น้ำลึก-กระแสลมเปลี่ยน–กอหญ้าหาย” จะซ้ำเติมการลดลงของพื้นที่ทำรัง-หากินของนกในสกุลทุ่ง–กก–อ้อ ขณะเดียวกันบรรดาเหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) ที่เคยรวมหลับนอนฤดูหนาวก็ต้องการทุ่งกว้างน้ำตื้นเป็นฐานหาอาหาร—ปรากฏการณ์ที่หลายกลุ่มอนุรักษ์กลัวว่าจะ “ซบเซา” หากภูมิทัศน์เปลี่ยนเร็วเกินไป

ฝั่งรัฐ–หน่วยงาน ยืนยันวัตถุประสงค์ “เพิ่มความมั่นคงน้ำ” และอ้าง “ช่วยชุมชน”

กรมชลประทานและหน่วยงานท้องถิ่นชี้ว่า โครงการทั้งหมดถูกออกแบบ “เพื่อชุมชน” ลดท่วม–เพิ่มน้ำ โดยระบุประโยชน์ 3 ระดับ: (1) เกษตรมีน้ำต้นทุนตลอดปี, (2) เมือง–ชุมชนปลอดภัยมากขึ้นจากน้ำหลากฉับพลัน, (3) เกิดโครงสร้างพื้นฐานรองรับกิจกรรมเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ที่เหมาะสม พร้อมยืนยันว่าการก่อสร้างหลายช่วง “พยายามคงสมดุลนิเวศ” และ “มีการหารือชุมชน” อย่างต่อเนื่อง โดยมีภาพข่าวและคำชี้แจงทางการหลายครั้งตั้งแต่ปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2567 สนับสนุนจุดยืนดังกล่าว

อย่างไรก็ดี องค์กรอนุรักษ์อย่าง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ออกแถลงการณ์เรียกร้อง “ทบทวนรูปแบบงานดิน” และ “จัดสรรโซนนิเวศเฉพาะ (Ecological Zoning)” ที่คุ้มครอง ทุ่งน้ำตื้น-กอหญ้า ให้พอสำหรับนก–ควาย–ปลาน้ำจืด และทำระบบติดตามผลกระทบทางนิเวศ (Ecological Monitoring) อย่างเปิดเผย ซึ่งสะท้อนว่ากระบวนการมีส่วนร่วมและการกำกับดูแลยัง “มีช่องว่าง” ที่รัฐต้องเร่งอุด

“เวียงหนองหล่ม” ถือเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับนักดูนกทั่วโลกด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะเป็นแหล่งทำรังวางไข่สำคัญของนกแสกทุ่งหญ้า Eastern Grass Owl นกประจำถิ่นที่หาได้ยากมากของไทย และมีสถานะใกล้การสูญพันธุ์ Endangered (EN) ส่วนในฤดูหนาวก็เป็นแหล่งรวมตัวกันนอนของนกอพยพ เช่น เหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเชียตะวันออก Eastern Marsh Harrier และ เหยี่ยวด่างดำขาว Pied Harrier จำนวนนับร้อยตัวติดต่อกันมานานนับสิบปี รวมถึงเหยี่ยวทุ่งพันธุ์ยูเรเซีย Western Marsh Harrier อีกด้วย ที่ช่วยกำจัดหนูนา, แมลงศัตรูพืชให้เกษตรกร ได้ประหยัดการใช้ยาฆ่าศัตรูพืชไปหลายร้อยล้านบาททุกปี โดย : Save Gurney Pitta

 “เวียงหนองหล่ม” กับมาตรฐานพื้นที่ชุ่มน้ำ—เรากำลังรักษาอะไร?

ด้วยสถานะ “พื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญระดับชาติ” (ตามมติ ครม. 2543) เวียงหนองหล่มมีคุณค่าหลักคือ ภูมิทัศน์น้ำตื้น–ทุ่งหญ้า–พืชน้ำ ที่รองรับความหลากหลายชีวภาพและวิถีหากินแบบดั้งเดิม การพัฒนาแบบ “อ่างเก็บน้ำลึก–คันดินสูง–เขื่อนดินยาว” จึงต้องอธิบายให้สังคมเห็น “เหตุผลเชิงนิเวศ” ว่าจะยังรักษาองค์ประกอบเหล่านี้ไว้ได้อย่างไร มิฉะนั้น “เราจะรักษาแต่ชื่อ แต่สูญเสียเนื้อแท้” ของพื้นที่ชุ่มน้ำไปทีละน้อย

 “น้ำของใคร—ประโยชน์ของใคร” และภาระตรวจสอบแบบมีส่วนร่วม

อีกปมคือธรรมาภิบาลน้ำ แผนแม่บท 65 โครงการย่อย ในระยะหลายปี ย่อม “ซับซ้อน–กระจายสัญญา” การเปิดเผยข้อมูลแบบอ่านง่าย (ดัชนีงานดิน–ความลึก–แนวคันดิน–ตารางน้ำเข้า-ออก–ตัวชี้วัดนิเวศ) จะทำให้ประชาชนร่วมตรวจสอบได้จริง ลดอคติและข่าวลือ ตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลเชิงระบบของหน่วยงานกลาง (กนช./กรมชลประทาน) ในช่วงปลายปี 2565 ที่เคยแถลงชุดใหญ่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่เมื่อ “งานภาคสนาม” เดินไปไกลกว่า “เอกสาร” ข้อมูลก็ต้อง “ตามทันพื้นที่” อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ความไม่ไว้วางใจลุกลามเป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง

เสียงจากพื้นที่ (Key voices) และสถิติที่ชวนคิด

  • 2,000+ ตัว: ประมาณการฝูงควายในโซนแม่จัน–เวียงหนองหล่มที่ได้รับผลกระทบตามข่าวโทรทัศน์ช่วงกลางปี 2566 สะท้อนให้เห็น “ต้นทุนดูแลฝูง” ที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อภูมิทัศน์เปลี่ยนจากทุ่ง–หนองตื้น สู่โครงสร้างน้ำลึก–คันดินสูง โดยเฉพาะฤดูแล้งที่หญ้าธรรมชาติขาดตอน
  • นกแสกทุ่งหญ้า (Eastern Grass Owl) และ เหยี่ยวทุ่ง (Eastern Marsh / Pied Harrier) เป็น “ดัชนีชีวภาพ” ของทุ่งชุ่มน้ำ เมื่อพื้นที่กอหญ้า–น้ำตื้นลดลง โอกาสกลับมารวมฝูงในฤดูหนาวย่อมลดลงตามไปด้วย—ประเด็นที่ชมรมดูนกและนักวิทยาศาสตร์พลเมืองติดตามต่อเนื่องในภาคเหนือ
  • 20 ล้าน ลบ.ม.: เป้าหมายความจุอ่างตามแผนรัฐ ช่วยลดเสี่ยงน้ำแล้ง–หลาก แต่คำถามคือ “จะทำอย่างไรให้ 1 ลบ.ม. ของน้ำใหม่” ไม่แลกมาด้วย “1 หน่วยบริการนิเวศ” (การหากินของปลา–นก–ควาย) ที่หายไป—ซึ่งต้องแก้ด้วย “การออกแบบพื้นที่ชุ่มน้ำเชิงนิเวศ (Ecohydrology)” มากกว่า “ขุดลอกอย่างเดียว”
ที่นอนของนกเหยี่ยวทุ่งในเวลากลางคืน ซึ่งจะรวมตัวกันนอนพร้อมกันหลายร้อยตัว พอตอนเช้ามืดก็จะบินออกไปหาอาหาร ทิ้งไว้แต่โพรงในทุ่งหญ้าเช่นนี้ ซึ่งลักษณะพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนกเช่นที่หนองหล่ม แทบไม่เหลือแล้วในประเทศไทย โดย : Save Gurney Pitta

โรดแมปสามชั้น “หยุดคิด–ปรับแบบ–ร่วมบริหาร”

  1. หยุดคิดก่อนทำ (Pause & Verify): หยุดช่วงงานที่มีข้อร้องเรียนสูง (ความลึก–แนวคันดิน) เพื่อตรวจแบบจริง-ก่อสร้างจริง โดยเปิดพื้นที่สาธารณะร่วมตรวจ (ชุมชน-นักวิชาการ-สื่อ) พร้อมติดตั้ง “ไม้บรรทัดน้ำ/ไลดาร์ฉากตัด” แสดงระดับงานแบบเรียลไทม์ให้ประชาชนดูได้ (Dashboard)
  2. ปรับแบบ (Redesign for Ecology): กำหนด “โซนคุ้มครองนิเวศ” อย่างเป็นทางการ—ไม่น้อยกว่า X% ของพื้นที่ต้องรักษาน้ำตื้น/กอหญ้า, ทำ “ลาดลงน้ำสำหรับควาย” ทุกระยะ Y เมตร, เจาะ “คอขวดปลา” ให้ปลาอพยพได้, ปลูกพืชกก-อ้อฟื้นฟูแนวกันชน และกำหนด “กรอบน้ำขึ้น-ลงรายฤดู” ให้คงเสถียรภาพต่อแหล่งอาหารนก
  3. ร่วมบริหาร (Co-management): ตั้ง “คณะกรรมการพื้นที่ชุ่มน้ำเวียงหนองหล่ม” รวม อปท.–กรมชลฯ–กนช.–ชุมชน–นักวิชาการ–ภาคธุรกิจ–กลุ่มดูนก เพื่อร่วมวางแผนเขตใช้ประโยชน์–เขตอนุรักษ์, งบเยียวยาปางควาย–ชาวประมง, และแผนท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่แบ่งปันรายได้กลับสู่การดูแลพื้นที่

แนวทางนี้ไม่ขัดกับ “เป้าหมายน้ำ” แต่จะยกระดับโครงการจาก “โครงสร้างวิศวกรรม” สู่ “ภูมิทัศน์น้ำที่มีชีวิต” รองรับทั้งน้ำ–นก–ปลา–ควาย–คน และที่สำคัญ—ลดความขัดแย้ง ด้วยการให้สิทธิข้อมูลและอำนาจตัดสินใจร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสีย

มองจากไกล แต่ไม่ไกลเกินใจ ทำไมเวียงหนองหล่มจึงเป็น “เรื่องใหญ่ของสังคมไทย”

เวียงหนองหล่มคือบททดสอบสำคัญของการพัฒนา “พื้นที่ชุ่มน้ำ” ในศตวรรษที่เผชิญทั้งวิกฤตอากาศและวิกฤตความไว้วางใจ หากพัฒนาได้สมดุล เราจะได้ “แบบเรียน” ที่ยืนยันว่าไทยสามารถ “สร้างความมั่นคงน้ำ” โดยไม่ทำลาย “บริการนิเวศ” และ “ความทรงจำของชุมชน” แต่หากสะดุด เราอาจสูญทั้งทุนธรรมชาติและทุนสังคมไปพร้อมกัน

บทสรุปของข่าวนี้จึงไม่ใช่การชี้นิ้ว หากคือการวางโจทย์สาธารณะร่วมกัน: น้ำเพื่อใคร–โดยใคร–อย่างไร และคำตอบที่ยั่งยืนที่สุดย่อมเกิดจาก ข้อมูลโปร่งใส–วิทยาศาสตร์เข้มแข็ง–และการมีส่วนร่วมจริง ของคนที่อยู่กับหนองหล่มมานานกว่าร้อยปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมชลประทาน
  • คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) / กรุงเทพธุรกิจ
  • ONEP/CHM–Thailand
  • Ch3Plus
  • Workpoint Today / The Lanner
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กันน้ำท่วม” เชียงรายสำรวจ ขุดลอกแม่น้ำกกรับฝน

จังหวัดเชียงรายตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัยในฤดูฝน

เชียงราย,26 มีนาคม 2568 – ที่จุดลงเรือท่าเรือเชียงราย เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สำรวจและตรวจสอบโครงการขุดลอกแม่น้ำกก เพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนนี้

การสำรวจครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น นายกเทศมนตรีนครเชียงราย รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ผู้อำนวยการเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย รวมถึงเจ้าหน้าที่จากศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 15 เชียงราย

แนวทางการขุดลอกแม่น้ำกกเพื่อป้องกันอุทกภัย

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นการสำรวจสภาพปัจจุบันของลำน้ำกกในเชิงลึก รวมถึงการตรวจสอบแนวป้องกันตลิ่งและสภาพการตื้นเขินของแม่น้ำ การขุดลอกแม่น้ำกกเป็นส่วนหนึ่งของแผนป้องกันอุทกภัยในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทัพบกและกรมชลประทาน ที่เพียงพอในการดำเนินการขุดลอกให้แล้วเสร็จก่อนฤดูฝนจะมาถึง

นอกจากนี้ ยังมีการหารือถึงการกำจัดซากต้นไม้ที่ยังคงตกค้างอยู่ในลำน้ำ ซึ่ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.) จะสนับสนุนเครื่องจักรกลเข้ามาช่วยดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ผลกระทบจากอุทกภัยที่ผ่านมาและการป้องกันในอนาคต

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน 2567 จังหวัดเชียงรายเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้เกิดความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอแม่สาย ดังนั้น การขุดลอกแม่น้ำกกจะช่วยลดปัญหาการตื้นเขินของลำน้ำ เพิ่มความสามารถในการระบายน้ำ และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า โครงการขุดลอกแม่น้ำกกนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันอุทกภัย แต่ยังเสริมศักยภาพการขนส่งสินค้าทางน้ำ และกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงรายโดยรวม

ความเห็นจากทั้งสองฝ่าย

  • ฝ่ายผู้บริหารและหน่วยงานรัฐ : มองว่าการขุดลอกแม่น้ำกกเป็นมาตรการเชิงรุกที่จำเป็นต่อการป้องกันอุทกภัย พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ฝ่ายประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ : หลายฝ่ายสนับสนุนโครงการนี้ แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงต้องการให้มีการติดตามผลและประเมินความสำเร็จของโครงการอย่างใกล้ชิด

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในเดือนกันยายน 2567: กว่า 15 ตำบล ในอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอแม่สาย (แหล่งข้อมูล: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย)
  • ความยาวของแม่น้ำกกที่มีการวางแผนขุดลอก: 12 กิโลเมตร (แหล่งข้อมูล: กรมเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรับมือ PM2.5 คุมเผา-แล้งเข้ม สั่งปิดป่าบางพื้นที่

เชียงรายประชุมคณะกรรมการป้องกันภัย ยกระดับมาตรการรับมือฝุ่น PM 2.5 และภัยแล้ง เตรียมการเชิงรุกปกป้องสุขภาพประชาชน

เชียงราย, 25 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายจัดประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ครั้งที่ 1/2568 เพื่อยกระดับมาตรการรับมือสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และภัยแล้งที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุม ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

มาตรการป้องกันและเฝ้าระวังฝุ่น PM 2.5 แบบเข้มข้น

การประชุมได้เน้นย้ำแผนการป้องกันไฟป่าและฝุ่นละออง โดยมีมาตรการเพิ่มความถี่ในการลาดตระเวนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเฝ้าระวัง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเผาในที่โล่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่า พื้นที่เกษตร หรือชุมชนเมือง รวมถึงการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ เช่น โรงงาน เตาเผาถ่าน และเตาเผาขยะ พร้อมตั้งจุดตรวจวัดมลพิษจากยานพาหนะในจุดเสี่ยงสำคัญ

ดูแลสุขภาพประชาชนกลุ่มเสี่ยง – แจกหน้ากาก N95 ครอบคลุม

ในด้านสุขภาพประชาชน จังหวัดได้ดำเนินมาตรการแจกจ่ายหน้ากากอนามัย N95 และยาขยายหลอดลมให้กลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ และเด็กในสถานศึกษา พร้อมทั้งจัดบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) และจัดระบบส่งยาถึงบ้านเพื่อลดความเสี่ยงในการเดินทาง

หากค่าฝุ่น PM 2.5 เกินระดับ 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรต่อเนื่อง 2 วัน จะมีการพิจารณาปรับรูปแบบการเรียนการสอน หรือปิดสถานศึกษาชั่วคราว พร้อมสนับสนุนให้ประชาชนปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from Home) และลดกิจกรรมกลางแจ้งในพื้นที่เสี่ยง

นอกจากนี้ ยังมีการจัดทีมแพทย์ 3 หมอ และ อสม. เคลื่อนที่เร็ว ออกตรวจเยี่ยมบ้านประชาชน พร้อมแจกหน้ากากและมุ้งสู้ฝุ่นให้ครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง

การประชาสัมพันธ์สถานการณ์ฝุ่นและภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง

หน่วยงานด้านประชาสัมพันธ์จังหวัด ได้รับมอบหมายให้เร่งกระจายข่าวสารผ่านทุกช่องทาง โดยเฉพาะหอกระจายข่าวในหมู่บ้าน เพื่อแจ้งเตือนประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และแนวทางการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย พร้อมรณรงค์สร้างความเข้าใจเรื่องผลกระทบจากการเผาในที่โล่งที่ยังเป็นปัจจัยสำคัญของปัญหาฝุ่นในภาคเหนือ

ปิดป่า คุมเข้มบุคคลเข้าออก พร้อมวิจัยทางเลือกการเกษตร

เพื่อควบคุมการเผาในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ จังหวัดมีนโยบาย “ปิดป่า” ชั่วคราว ยกเว้นแหล่งท่องเที่ยว โดยพื้นที่ป่าสงวนจะมีการควบคุมบุคคลเข้าออกอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันมีการประสานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อคิดค้นสารอินทรีย์ย่อยสลายเศษวัสดุทางการเกษตร ใช้แทนการเผาในพื้นที่สูง

ด้านการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร มีการผลักดันให้เปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นการทำเกษตรผสมผสานหรือเกษตรมูลค่าสูง เพื่อลดการเผาเศษพืชที่ก่อฝุ่นอย่างยั่งยืน

รับมือภัยแล้ง – จัดการน้ำ บูรณาการข้อมูลภาคเกษตร

โครงการชลประทานเชียงรายและการประปาส่วนภูมิภาค ได้รับมอบหมายให้ติดตามระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างใกล้ชิด หากพบว่าน้ำมีแนวโน้มต่ำกว่า 50% ต้องแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าและจัดแผนสำรองน้ำให้เพียงพอ

สำนักงานเกษตรจังหวัดร่วมสำรวจพื้นที่เพาะปลูก แยกตามการใช้น้ำฝนและน้ำชลประทาน เพื่อใช้ในการวางแผนส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อย พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการปลูกข้าวนาปรังในฤดูแล้ง

สำหรับแหล่งน้ำที่ตื้นเขิน มีการเตรียมแผนขุดลอกเร่งด่วน ได้แก่

  • หนองฮ่าง ตำบลทานตะวัน
  • อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว อำเภอพาน
  • ท้ายอ่างเก็บน้ำแม่ฉางข้าว อำเภอเวียงป่าเป้า

สร้างแรงจูงใจชุมชนต้นแบบ – ให้รางวัลหมู่บ้านไร้หมอกควัน

เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ปัญหาหมอกควัน ผู้ว่าราชการจังหวัดเสนอแนวทาง “หมู่บ้านต้นแบบไร้หมอกควัน” โดยให้รางวัลกับหมู่บ้านที่สามารถจัดการปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้สำเร็จ สร้างแรงจูงใจและต้นแบบให้กับชุมชนอื่นในพื้นที่

ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน – เส้นทางสู่การจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืน

นอกจากการประสานภายในจังหวัด เชียงรายยังดำเนินการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนและหน่วยงานระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสนับสนุนการเพาะปลูก การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง และส่งเสริมเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการเตรียมความพร้อมระยะยาวในการบรรเทาผลกระทบจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความคิดเห็นจากสองฝ่าย

ฝ่ายสนับสนุนมาตรการ
มองว่าการยกระดับมาตรการของจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่สาธารณสุข เกษตร ไปจนถึงงานชลประทาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการจัดการวิกฤติอย่างรอบด้าน การแจกจ่ายหน้ากากและบริการแพทย์ทางไกลยังแสดงให้เห็นถึงการคำนึงถึงคุณภาพชีวิตประชาชนเป็นหลัก

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
ชี้ว่ามาตรการเหล่านี้ แม้จะมีความรัดกุม แต่หากขาดการบังคับใช้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือเขตภูเขา จะไม่สามารถลดปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลเรื่องงบประมาณสนับสนุนที่อาจไม่เพียงพอต่อการดำเนินการอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียงในชนบท

สถิติที่เกี่ยวข้อง (อัปเดต 25 มีนาคม 2568)

  • ค่าฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ยรายวัน (พื้นที่เมืองเชียงราย): 78–92 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำค่ามาตรฐาน PM 2.5: ไม่เกิน 15 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  • พื้นที่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงไฟป่าและฝุ่นละออง: อำเภอแม่สรวย, เวียงป่าเป้า, แม่ฟ้าหลวง
  • จำนวนอ่างเก็บน้ำที่อยู่ในระดับน้ำต่ำกว่า 50%: 3 แห่ง (ข้อมูลจากโครงการชลประทานเชียงราย)
  • จำนวนหมู่บ้านเป้าหมายในการแจกมุ้งสู้ฝุ่นและหน้ากาก N95: 67 หมู่บ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศกรมควบคุมมลพิษ
  • รายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ครั้งที่ 1/2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“กรมชลประทาน” ถอดบทเรียนน้ำท่วม ให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะอยู่กับน้ำ

 

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากวิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีความรุนแรงมากขึ้น และยังส่งผลกระทบออกเป็นวงกว้าง เพื่อทำความเข้าใจถึงปัญหาอุทกภัยและหาแนวทางในการรับมือ กรมชลประทานได้ออกมาให้ความรู้กับพี่น้องประชาชน เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงภัยธรรมชาติ

ครั้งนี้ “นายเดช เล็กวิชัย” รองอธิบดีกรมชลประทาน แสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงรายและเสนอแนวทางแก้ปัญหา “เหตุการณ์น้ำท่วมเชียงรายถือว่าหนักสุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา การแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือ คือต้องฟื้นฟูระบบคลองต่างๆ ที่ใช้เป็นเหมือนเส้นเลือดย่อยๆ ในการช่วยระบายน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำต่างๆ จัดการให้หมด โดยเฉพาะน้ำท่วมในเขตเมืองเพราะผังเมืองบางทีไม่ได้รองรับฝนที่ตกเกินกว่ากำหนด น้ำควรจะมีทางไป หรือฟลัดเวย์สำหรับการจัดการมวลน้ำในภาคเหนือ มองว่าตอนนี้โครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะในเขตจังหวัดเชียงรายหรือจังหวัดเชียงใหม่เอง ตัวของอาคารบังคับน้ำ โครงสร้างพื้นฐานยังมีไม่มากนัก เรื่องอนาคตเป็นเรื่องของการศึกษาโดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ในการที่จะปรับปรุงลำน้ำ หรือทางผันน้ำจากแม่น้ำกกลงอ้อมเมืองลงสู่แม่น้ำโขงให้เร็วที่สุด”
 
“เนื่องจากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าจะหมดสิ้นฤดูฝนของภาคเหนือ ภาคกลาง หลังสิ้นเดือนตุลาคม เรามีระยะเวลาการดำเนินงานที่ต้องติดตามพื้นที่เสี่ยงอีกประมาณหนึ่งเดือน ฉะนั้นการจัดการจะมีภาคเหนือตอนล่าง ภาคอีสานตอนบน ตรงนี้ต้องจัดการในเรื่องของเขื่อน เพื่อให้กักเก็บน้ำได้มากที่สุด แล้วไม่ระบายน้ำมากระทบกับชาวบ้าน ในเรื่องของการระบายน้ำเรามีพร่องน้ำรอในระบบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคลอง ลำน้ำธรรมชาติ 
 
เพื่อรองรับฝนที่จะตกในพื้นที่ ส่วนการบริหารจัดการทุ่งต่างๆ กรมชลประทานดำเนินการในเรื่องของการจัดระบบการเพาะปลูก ซึ่งจะเก็บเกี่ยวภายในเดือนนี้แล้วเสร็จทั้งหมดในพื้นที่ประมาณหนึ่งล้านไร่ เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ลุ่มต่ำไม่เกิดความเสียหาย”
 
นอกจากนี้สภาพดินฟ้าอากาศของเพื่อนบ้าน ก็เป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าติดตาม “ต้องมีการแชร์ข้อมูลกันว่าสภาพอากาศในประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างไร มีการบริหารจัดการน้ำเขื่อนในประเทศอย่างไร ต้องรู้ว่าเค้าจัดการยังไง เพื่อที่เราเองจะได้รู้ว่าต้องจัดการบ้านเรายังไง”
 
ทั้งนี้ “รองฯ เดช” ยังกล่าวปิดท้ายอีกว่า ทุกๆ บทเรียนของอุทกภัยที่ผ่านมา กรมชลประทานได้ถอดบทเรียน เพื่อนำมาสู่ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการน้ำ “จากกระบวนการที่ผ่านมา เราเอาเคสวิกฤตมาถอดบทเรียน มองว่าประสิทธิภาพในการจัดการน้ำของกรมชลประทานดีขึ้นเรื่อยๆ เราต้องจัดการน้ำให้น้ำมีที่อยู่และมีที่ไป ถ้าน้ำไม่มีที่อยู่ไม่มีที่ไป มันก็อั้น พออั้นปุ๊บก็กลายเป็นไปไหนไม่ได้ ระเบิดเป็นโดมิโน่ เราต้องทยอยให้น้ำมีที่อยู่ มีที่ไปที่เหมาะสม ผลกระทบมันก็จะน้อย”
 
สุดท้ายนี้คนไทยทุกคนต้องปรับตัวและอยู่คู่กับน้ำให้ได้ “เราต้องให้คนเรียนรู้อยู่กับน้ำได้ เพราะเมืองไทยฝนเยอะ เราสามารถกักเก็บน้ำตอนฝนตกได้แค่หนึ่งในสามจากฝนที่ตกทั้งประเทศ ฉะนั้นส่วนที่เหลือ น้ำก็ต้องมีที่ไป แต่จะไปไหนได้สุดท้ายก็ไหลมาหาพวกเรา ฉะนั้นทุกประเทศเหมือนกัน ต้องปรับตัวให้อยู่กับน้ำ จะต้องมีการกำหนดพื้นที่ที่ระบุว่าเป็นพื้นที่เก็บน้ำ ทางน้ำผ่าน ต้องระบุชัดเจน ทุกประเทศเป็นเหมือนกัน 
 
ตอนสุดท้ายต้องมาดูเรื่องความเสียหาย มาตรการช่วยเหลือเยียวยามีความจำเป็น อย่างเรื่องน้ำท่วมเชียงราย คงต้องมีการศึกษาเรื่องการผันน้ำ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ส่วนเรื่องระบบชลประทาน จะบริหารจัดการ ระบาย และกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุดในฤดูฝน เรามีทีมควบคุมการระบายน้ำ การทดน้ำ ใช้สิ่งที่มีอยู่ให้เต็มศักยภาพ โดยใช้ผลคาดการณ์ที่มีการยืนยันในเรื่องของการจัดการภายใต้สภาวะของระบบที่มีอยู่”
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมชลประทาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ ลงพื้นที่แม่สายติดตามน้ำท่วม พร้อมเร่งฟื้นฟูพื้นที่

 

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2567 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในเขตพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมี นายสุริยพล นุชอนงค์ รองอธิบดีกรมชลประทาน และคณะเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย โดยได้เดินทางไปยังโรงเรียนชุมชนไม้ลุงขนมิตรภาพที่ 169 ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ประสบภัย เพื่อมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม พร้อมให้กำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านว่ารัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และจะเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาเป็นปกติในเร็ววัน

สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายในช่วงที่ผ่านมานั้น เกิดขึ้นจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน “ยางิ” ที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้ระดับน้ำในลำน้ำหลายสายเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนของประชาชนในหลายอำเภอ รวมถึงพื้นที่อำเภอแม่สายที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์น้ำได้คลี่คลายลงแล้ว ระดับน้ำในลำน้ำต่าง ๆ ลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ และเจ้าหน้าที่กำลังเร่งดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง

ในระหว่างการลงพื้นที่ นายอัครา พรหมเผ่า ได้ติดตามความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด และได้สั่งการให้กรมชลประทานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสำรวจความเสียหาย เพื่อวางแผนฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน โดยเน้นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเร่งแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โดยได้เน้นย้ำให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่สำคัญในระยะสั้นก่อน เช่น การระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำที่ยังมีน้ำท่วมขัง การฟื้นฟูถนนเส้นทางคมนาคมที่ถูกน้ำท่วม รวมถึงการจัดหาน้ำสะอาดให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ระบบน้ำประปาได้รับความเสียหาย

ด้านกรมชลประทาน โดยสำนักงานชลประทานที่ 2 และสำนักเครื่องจักรกล ได้จัดส่งเครื่องจักรกลหนัก เช่น รถแบคโฮ เครื่องสูบน้ำ รถบรรทุกน้ำ และเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ลงพื้นที่ทันทีหลังน้ำลด เพื่อเร่งดำเนินการขุดลอกลำคลอง และบ่อดักตะกอนที่ถูกตะกอนดินทรายอุดตันจากกระแสน้ำหลาก พร้อมกันนี้ยังได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมเพื่อเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมที่ยังไม่สามารถระบายน้ำออกได้เต็มที่ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการฉีดล้างทำความสะอาดถนนเส้นทางหลักและถนนในชุมชนที่ถูกโคลนและเศษดินจากน้ำท่วมพัดมากองทับถม เพื่อให้สามารถกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัยและเร็วที่สุด

นอกจากนี้ นายอัครา พรหมเผ่า ได้มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการขุดลอกคลองสาย RMC1 (เหมืองแดง) และบ่อดักตะกอนในพื้นที่แม่สายที่มีการสะสมของตะกอนสูง เพื่อคืนประสิทธิภาพการระบายน้ำของคลองสายนี้ให้สามารถรองรับน้ำได้มากขึ้นและลดความเสี่ยงของน้ำท่วมในอนาคต ทั้งนี้ได้เน้นย้ำให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยประสานงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

จากการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายอัคราได้กล่าวกับประชาชนผู้ประสบภัยว่า รัฐบาลตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการฟื้นฟูทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้นจะเร่งฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและช่วยเหลือประชาชนให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ในขณะที่ในระยะยาว จะมีการวางแผนป้องกันปัญหาน้ำท่วมซ้ำซ้อน เช่น การขุดลอกคลองและการสร้างระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นคงและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

นายสุริยพล นุชอนงค์ รองอธิบดีกรมชลประทาน ได้เสริมว่า กรมชลประทานจะเร่งดำเนินการตามคำสั่งการของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะการขุดลอกคลองและการบำรุงรักษาระบบระบายน้ำในพื้นที่ลุ่มต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งานในทุกสถานการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำในพื้นที่เสี่ยง และจะดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายให้เกษตรกรสามารถกลับมาปลูกพืชผลได้โดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งจะติดตามและรายงานความคืบหน้าให้กับผู้บริหารและประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การดำเนินการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมในจังหวัดเชียงรายจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการติดตามประเมินผลทุกระยะ เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจะได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์และยั่งยืน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังเน้นย้ำว่า การทำงานในครั้งนี้จะต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง และพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของทุกหน่วยงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติในเร็ววัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมชลประทาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย แก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ กรมชลฯ ดันก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำ

 

เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่ห้องประชุมชลประทานเชียงราย ต.รอบเวียง อ.เมืองเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมปัจฉิมทเทศ งานจ้างสำรวจ ออกแบบ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่น้ำ จังหวัดเชียงราย โดยมีนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย เป็นผู้กล่าวรายงานและวัตถุประสงค์โครงการ พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ รัตนปราสาทกุล ผู้อำนวยการสำนักออกแบบและสถาปัตยกรรม นายพรมงคล ชิดชอบ รองผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 2 นายธนพล สงวนตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 2 พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่เข้าร่วมประชุม จำนวน 140 คน

เนื่องจากลุ่มน้ำแม่คำและลุ่มน้ำแม่จัน ในฤดูแล้งประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ ส่วนในฤดูฝนประสบปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เกษตรและที่อยู่อาศัย สร้างความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนการพัฒนาแหล่งน้ำ ซึ่งก่อนหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดเล็กกระจายอยู่พื้นที่รอบๆ ไม่ประสบความสำเร็จ และแก้ไขปัญหาดังกล่าว กรมชลประทาน จึงดำเนินการศึกษาการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่คำและลุ่มน้ำแม่จัน โดยวางแผนพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำขนาดกลางในการบรรเทาและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการขาดแคลนน้ำในภาพรวมของลุ่มน้ำ 

ด้านอ่างเก็บน้ำแม่คำ มีที่ตั้งหัวงานอยู่ในเขต ม.13 บ.สามัคคีใหม่ ต.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ลักษณะเป็นเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียว มีความยาวสันเขื่อน 352 เมตร กว้าง 10 เมตร สูง 64 เมตร สามารถกักเก็บน้ำได้ 51.73 ล้าน ลบ.ม. โดยคาดว่าเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จตามแผนงาน จะสามารถทำการเพาะปลูกได้ประมาณ 67,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค ช่วยบรรเทาอุทกภัย เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำของท้องถิ่น แหล่งท่องเที่ยวของชุมชน ช่วยรักษาสมดุลนิเวศรอบอ่าง/ตลอดลำน้ำ รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมการใช้น้ำด้านอื่นๆ ของประชาชนในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่จัน อ.แม่สาย และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย

สำหรับการประชุมในครั้งนี้เป็นเพียงการสรุปผลการดำเนินงานของโครงการให้กับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับทราบ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่อาศัยในบริเวณโดยรอบพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้โครงการดังกล่าวฯ อยู่ในช่วงการสำรวจพัฒนาโครงการ โดยกรมชลประทานมอบหมายให้บริษัท วิศวชลกร จำกัด และ บริษัท ศุภฤกษ์ แพลนนิ่ง แอนด์ ดีไซน์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินงานจ้างสำรวจ ออกแบบโครงการอ่างเก็บน้ำแม่คำ ซึ่งมีแผนจะแล้วเสร็จในช่วงต้นเดือนกันยายน 2567 และคาดว่าจะทำการก่อสร้างประมาณปี 2570 ใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เตรียมสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำ ปี 2570 แก้ปัญหาภัยแล้ง-น้ำท่วมซ้ำซาก

 

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567นายพิเชษฐ รัตนปราสาทกุล ผู้อำนวยการสำนักออกแบบและสถาปัตยกรรม กรมชลประทาน กล่าวว่า “โครงการอ่างเก็บน้ำแม่คำ” จังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ในลุ่มน้ำคำ ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำ จะสามารถช่วยพื้นที่การเกษตรกว่า 75,000 ไร่ ที่มีทั้งปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมหลากซ้ำซากในพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่การเกษตรในอำเภอแม่จัน โครงการอ่างเก็บน้ำแม่คำ ตั้งอยู่บ้านสามัคคีใหม่ ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย

 

“ขณะนี้โครงการอยู่ในขั้นตอนของการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการ และจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 อ่างเก็บน้ำแม่คำมีความจุประมาณ 51.73 ล้าน ลบ.ม. และคาดว่าจะได้รับงบประมาณก่อสร้างประมาณปลายปี 2569 หรือ 2570 โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปีครึ่ง”

 

       เมื่อดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำแล้วเสร็จ จะช่วยให้การทำการเกษตรมีแหล่งน้ำถาวรเพิ่มขึ้น ทำการเพาะปลูกในฤดูฝนได้เต็มประสิทธิภาพประมาณ 67,000 ไร่ ลดปัญหาฝนทิ้งช่วง ส่วนฤดูแล้งจะสามารถทำการเกษตรเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 48,900 ไร่ สามารถส่งน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภคได้ประมาณ 1.8 ล้าน ลบ.ม./ปี ช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มริมน้ำแม่คำ ประมาณ 1,200 ไร่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำของท้องถิ่น เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และ รักษาสมดุลนิเวศท้ายน้ำ โดยระบายน้ำในฤดูแล้งลงลำน้ำเดิม

 

      ทางด้าน นายธนพล สงวนตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้าง ชลประทานขนาดกลางที่ 2 กล่าวว่า การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำ จะกระทบพื้นที่ทำกินของราษฎร จำนวน 175 ราย รวม 267 แปลง ประมาณ 1,207 ไร่ และกระทบที่อยู่อาศัยจำนวน 16 หลัง ซึ่งจะได้การชดเชยที่ดินและทรัพย์สินทั้งกรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ์และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2532 รวมทั้งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำ จะทำให้ระดับน้ำสูงสุดท่วมถนนในบางช่วงจากบ้านสามัคคีใหม่ไปบ้านห้วยหม้อ และจากบ้านห้วยหม้อไปบ้านห้วยมุ ก็จะสร้างถนนทดแทนให้ การก่อสร้างจะใช้วัสดุก่อสร้างเขื่อนจากภายในอ่างให้มากที่สุด เพื่อลดการขนส่งวัสดุจากภายนอกเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งจะมีผลกระทบด้านเสียง ฝุ่น และการสัญจร รวมทั้งมีการลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชนใกล้เคียง โดยปฏิบัติตามรายงานแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขและติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIMP) ที่กรมชลประทานได้จัดทำรายงานและผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) แล้ว “ผลกระทบในแง่ชีวิตและสิ่งแวดล้อม กรมชลประทานมีแผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไข และติดตาม โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการก่อสร้าง เป็นระยะเวลา 15 ปี อย่างเช่น ป่าไม้ที่ถูกน้ำท่วมก็จะปลูกป่าชดเชยให้ 2 เท่า”

 

      ดร.สมชาย ประยงค์พันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าวว่า อ่างเก็บน้ำแม่คำตั้งอยู่ห่างจากรอยเลื่อนแม่จัน 13 กิโลเมตร จึงต้องออกแบบเขื่อนให้สามารถต้านแรงแผ่นดินไหวได้ที่ขนาด 6.8 โดยออกเเบบตามมาตรฐานต้านแผ่นดินไหวทั้งของกรมชลประทานเเละมาตรฐานระดับโลก

 

       นายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย มักมีปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกหนัก น้ำล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่เกษตรและบ้านเรือนอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเขตอำเภอพาน, อำเภอแม่จัน, อำเภอแม่ลาว ส่วนในช่วงเดือนตุลาคม-พฤษภาคม จะเป็นช่วงที่ขาดฝนทำให้แม่น้ำและลำห้วยต่างๆ มีปริมาณน้ำลดลง บางแห่งน้ำขอด อย่างเช่นที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ ทำให้ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และทำการเกษตร โดยพื้นที่ที่มักจะประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก คือ อำเภอแม่จัน อำเภอเชียงแสน อำเภอเชียงของ อำเภอพญาเม็งราย อำเภอเวียงป่าเป้า และอำเภอแม่สรวย

 

       เมื่อมีการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำแม่คำแล้วเสร็จ จะสามารถส่งน้ำให้พื้นที่เพาะปลูกได้สม่ำเสมอตลอดปี ช่วยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำใช้เพื่อการเกษตรในช่วงฤดูแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำคำ สามารถดูแลผลผลิตจากการปลูกพืชให้มีผลผลิตมากขึ้น และจะบริการจัดการน้ำแบบมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้ใช้น้ำใน รวมทั้งช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่จัน และอำเภอเชียงแสนได้อีกด้วย

 

    ขณะที่นายผาย วงศ์ฝั่น ประธานฝายผาม้าและประธานเครือข่ายลุ่มน้ำคำ บอกว่า ในพื้นที่มักจะประสบปัญหาแล้งและท่วมสาหัส อยู่เสมอ อย่างเช่น ในขณะนี้เกิดภาวะภัยแล้งรุนแรงจากอากาศที่ร้อนจัด ทำให้ ไร่นาเสียหาย โดยเฉพาะปีนี้ไร่นาในอำเภอเชียงแสนเสียหายหนักมาก จึงรอความหวังให้กรมชลประทานเร่งก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำให้ได้โดยเร็ว

 

        ด้านนายเขียว วิยาพร้าว กรรมการลุ่มน้ำคำ ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย บอกว่ารอคอยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่คำมานานกว่า 30 ปี ปีนี้ ในตำบลศรีดอนมูล นาข้าวยืนต้นตายจากปัญหาภัยแล้งกว่า 2,000 ไร่ เพราะน้ำในคลองส่งน้ำแห้งขอด อ่างเก็บน้ำแม่คำจึงเป็นความหวังของชาวบ้านที่จะสามารถเพิ่มรายได้จากการทำการเกษตรและน้ำกินน้ำใช้ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย 

 

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมชลประทาน ยืนยันแผ่นดินไหว เชียงใหม่ล่าสุด ไม่กระทบเขื่อนเชียงใหม่-เชียงราย

 
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 รายงานข่าวจากกรมชลประทาน ระบุว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว บริเวณตำบลเวียง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเวลา 05.31 น. ของวันนี้ (1 เมษายน 2567) มีขนาด 3.0 ที่ความลึก 6 กิโลเมตร นั้น
 
 
กรมชลประทาน โดยส่วนวิศวกรรมธรณี และส่วนความปลอดภัยเขื่อน ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบค่าความเร่งสูงสุดจากสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวของสำนักสำรวจด้านวิศวกรรมและธรณีวิทยา ในพื้นที่เขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าความเร่งสูงสุดที่ตรวจวัดได้มีค่าเท่ากับ 0.0000532g ซึ่งต่ำกว่าค่าความเร่งของพื้นดินจากแผ่นดินไหวที่ใช้ในการออกแบบอย่างมาก (ค่าที่ใช้ในการออกแบบจะไม่น้อยกว่า 0.2g) ดังนั้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อนทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงแต่อย่างใด
 
 
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ออกแบบเขื่อนทุกแห่ง ให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว นอกจากนี้ ได้ดำเนินการตรวจสอบ และติดตามข้อมูลทางสถิติของค่าความเร่งสูงสุดที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวตลอดเวลา เพื่อนำมาประเมินสถานการณ์ รวมทั้งแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเขื่อน เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อน มีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในความปลอดภัยแข็งแรงของเขื่อน
 
 
ซึ่งเขื่อนแม่กวงอุดมธารา เป็นเขื่อนดินเก็บกักน้ำ ปิดกั้นลำน้ำแม่กวง ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เขื่อนหลัก เขื่อนฝั่งขวา และเขื่อนฝั่งซ้าย ระดับสันเขื่อนสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 390 เมตร มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำที่ระดับกักเก็บ 15 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 204 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตร 148,400 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันทราย อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอบ้านธิ และอำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
 
 
สร้างขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 โดยกรมชลประทาน เริ่มสำรวจออกแบบ และก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2520 พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเพื่อขอใช้เงินกู้จากต่างประเทศ โดยขอกู้เงินจากญี่ปุ่น ในระหวาง พ.ศ. 2525 ถึงปี พ.ศ. 2530 รวมเป็นเงิน 7,000.5 ล้านเยน 
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเขื่อนว่า เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 ในปี พ.ศ. 2558 กรมชลประทาน ได้เริ่มต้นดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนแม่กวงอุดมธารา โดยการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เมตร ด้วยงบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อผันน้ำจากลำน้ำแม่แตง และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มายังเขื่อนแม่กวงอุดมธารา
 
ส่วนแผ่นดินไหวที่เชียงรายใหม่ทีมข่าวได้มีการตรวจสอบย้อนหลังไปตั้งแต่ช่วงเช้ามือดพบว่ามีแผ่นดินไหวที่เชียงใหม่ ติดเนื่องในวันที่ 1 เม.ย. 2567
 
เวลา 03:25 น.แผ่นดินไหว ต.ป่าไผ่ อ.สันทรา จ.เชียงใหม่(18.92°N,99.07°E) ขนาด 2.8 ลึก 4 กม. 
 
เวลา 05:31 น. แผ่นดินไหว ต.เวียง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่(19.37°N,99.23°E) ขนาด 3.0 ลึก 6 กม. 

เวลา 05:40 น.แผ่นดินไหว ต.เวียง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่(19.38°N,99.19°E) ขนาด 1.7 ลึก 5 กม. 
 
เวลา 06:01 น. แผ่นดินไหว ต. ป่าตุ้ม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่(19.36°N,99.29°E) ขนาด 1.5 ลึก 3 กม. วันที่ 1 เม.ย. 2567  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข้าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมชลประทาน ขุดลอกเวียงหนองหล่มเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำและพื้นที่สีเขียว

 
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทาน เป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้เข้าไปฟื้นฟู “เวียงหนองหล่ม” ในด้านการจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำและพื้นที่สีเขียว ภายใต้แผนหลักการพัฒนา ฟื้นฟู และอนุรักษ์เวียงหนองหล่ม โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ซึ่งหนึ่งในแผนงานที่สำคัญ คือ
 

โครงการขุดลอกเวียงหนองหล่ม เป็นการขุดลอกตะกอนดินประมาณ 2,500 ไร่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเก็บกักน้ำให้มากขึ้น สนับสนุนความต้องการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง ทั้งด้านการอุปโภคบริโภการเกษตร และการปศุสัตว์ ได้อย่างเพียงพอ ปัจจุบันแก้มลิงแห่งนี้เก็บกักน้ำได้เพียง 8 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาให้เก็บน้ำได้เพิ่มเป็น 20 ล้าน ลบ.ม. โครงการดังกล่าวมีแผนดำเนินงานในปีงบประมาณ 2565-2568 ซึ่งกรมชลประทานได้เข้าไปดำเนินการขุดลอกตามรูปแบบรายการที่เทศบาลตำบลจันจว้าได้ทำการประชาคมร่วมกับประชาชนในพื้นที่ รวมถึงกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงควายในพื้นที่ด้วย

การขุดลอกตะกอนดินได้ดำเนินการขุดไปแล้วประมาณ 5 ล้าน ลบ.ม. จากแผน 12 ล้าน ลบ.ม. และกำลังดำเนินการในส่วนที่เหลืออย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้

 
 นอกจากนี้ กรมชลประทาน ยังได้วางแผนช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงควาย ซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในพื้นที่ โดยได้ทำการปรับพื้นที่แหล่งน้ำให้มีความลาดเอียง (SLOPE) เพื่อให้ควายสามารถเดินขึ้น–ลงแหล่งน้ำได้ พร้อมทั้งนํารถเกรดเดอร์เปิดทางเดินเข้าสู่แหล่งอาหารในพื้นที่ นอกจากนี้ยังได้วางแผนปลูกพืชอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่างโครงการชลประทานเชียงราย ปศุสัตว์จังหวัด และเทศบาลจันจว้า ที่ได้วางแผนการปลูกพืชอาหารสัตว์ออกเป็น

2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การปรับพื้นที่บริเวณจุดทิ้งดินให้เป็นแปลงเพาะพันธุ์หญ้าประมาณ 50 ไร่ โดยมีนายอำเภอแม่จัน เป็นประธานการดำเนินกิจกรรม พร้อมจัดทำ MOU ร่วมกับสมาชิกปางควายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานดังกล่าว

ส่วนระยะที่ 2 จะทำการเพาะปลูกหญ้าอีกประมาณ 400 ไร่ เพื่อนําไปขยายผลให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงควายในระยะยาวต่อไป จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแหล่งอาหารเลี้ยงควาย นอกจากนี้ ทางศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์เชียงราย ปศุสัตว์จังหวัดเชียงราย ปศุสัตว์อำเภอแม่จัน และเทศบาลตำบลจันจว้า ได้ร่วมกันมอบหญ้าแห้งสำรองให้แก่กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงควายบริเวณเวียงหนองหล่ม จำนวน 8,000 กิโลกรัม เพื่อเป็นคลังเสบียงอาหารสัตว์ในการดูแลสัตว์เลี้ยงต่อไป

 

ซึ่ง “เวียงหนองหล่ม” แหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 14,091 ไร่ ในเขต อ.แม่จัน และ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งในอดีตเวียงหนองหล่มเป็นแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่ใช้ประโยชน์ตามวิถีวัฒนธรรม มีการประกอบอาชีพประมงพื้นถิ่นและการเลี้ยงควายเป็นหลัก แต่ในระยะเวลาต่อมาแหล่งน้ำดังกล่าวกลับมีสภาพตื้นเขิน เนื่องจากการสะสมของตะกอนดินและปัญหาวัชพืชอย่าง ไมยราบยักษ์ ที่แผ่อาณาเขตปกคลุมทั่วหนองน้ำ จนไม่สามารถเก็บกักน้ำได้และเกิดความแห้งแล้งในพื้นที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมชลประทาน

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News