Categories
TOP STORIES

ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนข้อร้องเรียนทุจริตสอบนายอำเภอ 2568 เดิมพันศรัทธาระบบราชการ

เดินเกมสอบ “รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง” ปมร้องทุจริตสอบเข้าอบรมนายอำเภอ 2568 ป.ป.ช.เริ่มไต่สวนเบื้องต้น—เปิดฉากทดสอบศรัทธาระบบคุณธรรมราชการ

เชียงราย, 28 สิงหาคม 2568 —ข้อร้องเรียนเรื่องความไม่โปร่งใสในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอปี 2568 กำลังไหลบ่าเป็น “แรงกดดันสาธารณะ” ครั้งใหญ่ต่อระบบคุณธรรม (merit system) ของงานปกครองไทย เมื่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยสำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 เดินเกม ทำหนังสือเรียกข้อมูล–ชี้แจงข้อเท็จจริง จากทั้งข้าราชการในและนอกสังกัดกรมการปกครองตามเอกสารร้องเรียน ตอกย้ำ “เดิมพัน” ที่สูงกว่าคำว่าได้–เสียตำแหน่ง คือศรัทธาของประชาชนต่อความยุติธรรมในระบบสอบคัดเลือกของรัฐเอง

ปมร้องเรียนปะทุ จาก “เบาะแสรายชื่อ” สู่การไต่สวนเบื้องต้น

ผู้สื่อข่าวพิเศษได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3 ป.ป.ช. (ที่ตั้งนนทบุรี) ได้ทยอยส่งหนังสือไปยังเจ้าหน้าที่หลายรายเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงและเชิญชี้แจงพร้อมแนบพยานเอกสาร หลังมี เอกสารร้องเรียน กล่าวหาความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการคัดเลือกเข้า หลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 ของกรมการปกครอง

แกนกลางของข้อมูลร้องเรียน—ซึ่งเคยถูกเผยต่อสาธารณะผ่าน สำนักข่าวอิศรา—ถูกระบุว่าเริ่มต้นจากผู้ใช้ชื่อ “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” ในสังกัดกรมการปกครอง ส่ง รายชื่อผู้เกี่ยวข้อง “จำนวนมาก” พร้อมกล่าวหาการ “เอื้อประโยชน์พวกพ้อง” จนกระทบขวัญกำลังใจของผู้ไม่มีเส้นสาย และเสนอให้ ยกเลิกการสอบ ครั้งนี้ รวมถึงให้ หน่วยงานกลางที่ไม่ใช่กรมการปกครอง เป็นผู้จัดสอบใหม่เพื่อสร้างความเป็นธรรม

อีกด้านหนึ่ง แหล่งข่าววิเคราะห์ว่า รายชื่อที่ถูกจับตา “ส่วนใหญ่” มีความเชื่อมโยงกับ เครือข่ายทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง โดยคาดว่า กว่า 20 รายชื่อ จะถูกเชิญเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เป็นลำดับ ซึ่งหากพบมูล อาจขยายผลไปสู่กระบวนการไต่สวนเชิงลึกต่อไป

จุดที่สังคมเฝ้ามอง มีข้อกล่าวหาว่าผู้ผ่านเข้ารับการอบรม 300 คน (ในสังกัด 285 และนอกสังกัด 15 ตามเสียงร้องเรียน) มี “สายสัมพันธ์” ใกล้ชิดผู้มีอำนาจ ทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และนักการเมือง จึงเรียกร้องตรวจสอบความเชื่อมโยงอย่างเร่งด่วน

เดิมพัน” ตำแหน่งนายอำเภอ ทำไมการสอบครั้งนี้ถึงสำคัญ

นายอำเภอ คือข้าราชการฝ่ายปกครองระดับหัวหน้าอำเภอที่ทำหน้าที่บูรณาการนโยบายรัฐกับความมั่นคง–บริการประชาชนในพื้นที่ ตั้งแต่งานทะเบียนราษฎร ความสงบเรียบร้อย การปกครองท้องที่ ไปจนถึงบูรณาการภัยพิบัติ–เศรษฐกิจฐานราก จึงไม่น่าแปลกเมื่อการเปิดคัดเลือกเข้าอบรมปีนี้ดึงดูดความสนใจ ข้าราชการผู้สมัครราว 1,700 คน แย่ง ที่นั่ง 300 ที่ โดยแบ่งเป็น สอบแข่งขัน 195 และ สายผู้มีประสบการณ์ 105 ที่ ความต้องการสูง–ที่นั่งจำกัด ทำให้ “แรงจูงใจแสวงหาช่องลัด” พุ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว และคือบริบทที่ก่อให้เกิดข้อกล่าวหานานารูปแบบ

ข้อกล่าวหาหนัก “ขายข้อสอบหัวละ 3 ล้าน” และเครือข่ายเงินการเมือง

เมื่อ 3 เม.ย. 2568 นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เปิดเผยต่อสาธารณะว่า มีการ ลักลอบนำข้อสอบ 100 ข้อไปจำหน่าย ในราคา หัวละ 3 ล้านบาท โดยให้วางมัดจำ 1.5 ล้านบาท และจ่ายส่วนที่เหลือในวันนัดรับข้อสอบ (อ้างว่า 4 เม.ย.) เพื่อท่องคำตอบก่อนสอบจริง (5 เม.ย.) พร้อมระบุว่ามีผู้สมัคร “หลายสิบคน” เข้าเกณฑ์ จนวงเงินหมุนเวียนทั้งกระบวนการ 200–600 ล้านบาท และโยงว่าเงินจำนวนนี้ถูกส่งต่อสู่ พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง โดยมีบุคคลชื่อเล่น “นายทอง” ทำหน้าที่จัดการ

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ยัง อยู่ในชั้นกล่าวอ้าง ต้องรอการพิสูจน์ตามกระบวนการ แต่ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางสังคม–การเมือง เพราะหากมีมูลจริง จะเป็นคดีเชิงโครงสร้าง ที่พัวพันผลประโยชน์มหาศาลระหว่าง “ระบบสอบ” และ “ทุนการเมือง”

 “สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้”

4 เม.ย. 2568 นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง แถลงยืนยันว่า กระบวนการสอบทุกระดับดำเนินไปอย่างสุจริต โปร่งใส และยุติธรรม พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อการแอบอ้าง และกรมฯ จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เรียกรับผลประโยชน์

ต่อมา 21 เม.ย. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ระบุว่า ได้รับรายงานว่า “โปร่งใส รอบคอบ และตรวจสอบได้” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า เสียงกล่าวหาอาจมาจากผู้ไม่ผ่านการสอบ ย้ำว่าเรื่องใดมีมูลจะให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบตามขั้นตอน

สาระสำคัญเชิงวิชาชีพสื่อ ขณะนี้ข้อกล่าวหาและคำชี้แจงเดินคู่ขนาน—สื่อมวลชนจึงต้องรายงานอย่างเป็นกลาง ใช้ถ้อยคำระวัง และยึด “ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้” เป็นหลัก จนกว่าจะมีผลการไต่สวนยืนยัน

บทเรียนที่ไม่ควรถูกลืม คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552

เหตุการณ์ปี 2552 เป็น หมุดหมายสำคัญ ที่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีคำพิพากษาคดีทุจริตสอบนายอำเภอ—มีจำเลยรวม หลักร้อยราย ในจำนวนนี้รวมถึง อดีตอธิบดีกรมการปกครอง และ อดีตผู้อำนวยการส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้าน ศาลพิพากษาจำคุกผู้บริหารระดับสูง 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา และลงโทษผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ฐานสนับสนุนการกระทำผิด แผนทุจริตในคดีนั้น แตกต่าง จากข้อกล่าวหาปี 2568 อย่างมีนัยสำคัญ—คือเป็น การแก้ไขสมุดคำตอบหลังสอบ” โดยเจ้าหน้าที่วงใน มากกว่าจะเป็น “การขายข้อสอบก่อนสอบ” ตามข้อกล่าวหาในปีนี้

ความเหมือน ระบบตรวจสอบที่เปิดช่องให้ เครือข่ายอำนาจ แทรกตัวได้
ความต่าง: จาก “แก้ในห้อง” → สู่ “ลอบนำออกก่อนถึงห้อง” (ตามข้อกล่าวหา) สะท้อน วิวัฒน์ของกลโกง เพื่อตอบโต้มาตรการป้องกันที่เข้มขึ้น

เกมยาวของ “กฎหมาย–วินัย–ความน่าเชื่อถือ”

  1. ชั้นไต่สวนเบื้องต้น (ป.ป.ช.) — รวบรวมคำให้การ พยานหลักฐาน หนังสือสั่งการ/การเบิกจ่าย/การติดต่อสื่อสาร หากพบ “มูลพอสมควร” จะ ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน
  2. ชั้นวินัย (ต้นสังกัด) — กรมการปกครอง/มหาดไทย/ก.พ. ดำเนินการคู่ขนานได้ หากมีหลักฐานชัดว่ามีพฤติการณ์ผิดวินัยร้ายแรง
  3. ชั้นอาญา — หากเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่/เรียกรับผลประโยชน์/ปลอมเอกสาร ฯลฯ จะเข้าสู่กระบวนการพนักงานอัยการ–ศาล
  4. มาตรการคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — เป็นเงื่อนปมสำคัญ เพราะคดีเชิงโครงสร้างมักพัวพันผู้มีอำนาจ จำเป็นต้องมี ช่องทางที่ปลอดภัย ให้ผู้รู้เห็นกล้าให้ข้อมูล

ตัวเลข” ที่ชวนคิด

  • 1,700 : 300 ที่นั่ง — อัตราแข่งขันสูงเป็นดินแดนสีเทาที่ แรงจูงใจ ต่อ “ช่องทางพิเศษ” โตตาม
  • 3,000,000 บาท/หัว — ราคาที่ถูกกล่าวหาในการซื้อข้อสอบ สะท้อน ผลประโยชน์ที่คาดหวัง จากการได้สถานะนายอำเภอ
  • 200–600 ล้านบาท — ขนาดวงเงินหมุนเวียนในข้อกล่าวหา หากพิสูจน์ได้จริง เทียบเท่า ระบบซื้อ–ขาย” มากกว่าการทุจริตรายย่อย
  • บทเรียนปี 2552 — การลงโทษระดับ “อดีตอธิบดี” ยืนยันว่ากฎหมาย ไปถึงตัวใหญ่ได้ หากหลักฐานถึง

เสียงของผู้เดือดร้อน บทพิสูจน์ความเป็นธรรม

ในเอกสารร้องเรียน ผู้แจ้งระบุชัดว่า ผู้ไม่มีเส้นสายเสียขวัญกำลังใจ” นี่คือคำสั้น ๆ แต่สะท้อนความรู้สึกใหญ่ ๆ ของข้าราชการจำนวนมาก ที่มองว่า โอกาสในระบบราชการควรตั้งอยู่บนความสามารถ ไม่ใช่ “วงการ–สายสัมพันธ์” การไต่สวนครั้งนี้จึงไม่ได้ชี้ชะตาเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง หากแต่เป็น บทพิสูจน์ศรัทธาทั้งระบบ ว่า “กระบวนการสอบของรัฐ” ยังยืนอยู่บนหลักความเสมอภาคจริงเพียงใด

ทางสองแพร่งของนโยบาย ซ่อมระบบ หรือซ่อมเฉพาะคดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมาภิบาลชี้ว่า ขณะไต่สวนเดินหน้า ฝ่ายนโยบาย ควรเดินคู่ขนานด้วย 3 วาระเร่งด่วน

  1. แยกผู้จัดสอบออกจากผู้ใช้คนสอบ — ให้ หน่วยงานกลางอิสระ ทำหน้าที่จัดสอบ–เก็บข้อสอบ–ตรวจข้อสอบ แทนหน่วยงานผู้บังคับบัญชาทางสายงาน เพื่อลดความขัดแย้งทางผลประโยชน์
  2. ใช้เทคโนโลยีปิดช่องทุจริต — ระบบ ธนาคารข้อสอบแบบสุ่ม (Randomized Pools), ตรวจอัตโนมัติ, วิเคราะห์แพตเทิร์นผิดปกติด้วย AI และ บันทึกเส้นทางเอกสาร (audit trail) ตั้งแต่ผลิต–ขนส่ง–เก็บรักษา
  3. คุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส — จัด แพลตฟอร์มร้องเรียนปลอดภัย พร้อมคุ้มครองสถานะการงานและข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อดึง “คนเห็นเหตุ” ออกมาเป็น “คนเห็นค่า”

เกมยาวที่ชื่อ “ความเชื่อมั่น”

การเริ่มไต่สวนของ ป.ป.ช. คือสัญญาณว่ารัฐรับฟังสังคม และพร้อมคลี่คลายข้อสงสัยด้วย กลไกที่ตรวจสอบได้ ทว่า ปลายทางของคดี ไม่ได้วัดเพียง “ลงโทษได้กี่ราย” แต่คือการ “ปิดวงจร” ให้ การทุจริตสอบ ไม่หวนกลับมาเป็นระลอกใหม่ แตกหน่อเป็นเครือข่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หากหน่วยงานเกี่ยวข้องสามารถ คลี่คลายข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ รวดเร็ว และโปร่งใส พร้อมวางมาตรการเชิงระบบเพื่ออุดช่องโหว่ ตั้งแต่วันนี้ วิกฤตศรัทธาครั้งนี้อาจแปรเป็น จังหวะปฏิรูป ที่ทำให้การคัดเลือกบุคลากรในตำแหน่ง “หัวใจของรัฐ” กลับมายืนอยู่บน ความสามารถ–ความเสมอภาค–ความยุติธรรม อย่างแท้จริง

สาระสำคัญสำหรับประชาชนและผู้สมัครในอนาคต ติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจาก ป.ป.ช., กรมการปกครอง และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบช่องทางรับร้องเรียนที่ปลอดภัย เก็บหลักฐานการสื่อสาร–เอกสารทุกชิ้น และหากพบพฤติการณ์ผิดปกติ แจ้งหน่วยงานโดยทันที—เพราะ “ระบบคุณธรรม” ต้องการพยานความจริงจากทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) — แนวทางรับเรื่องร้องเรียนและกระบวนการไต่สวนข้อกล่าวหาทุจริตภาครัฐ (สำนักไต่สวนการทุจริตภาครัฐที่ 3)
  • กรมการปกครอง (กระทรวงมหาดไทย) — เอกสารชี้แจงกระบวนการสอบคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ ปี 2568 (แถลงโดยอธิบดี 4 เม.ย. 2568)
  • กระทรวงมหาดไทย — คำให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีว่าการฯ (21 เม.ย. 2568) เกี่ยวกับความโปร่งใสในการจัดสอบและการตรวจสอบได้
  • สำนักข่าวอิศรา (isranews.org) — รายงานพิเศษและข้อมูลร้องเรียนจาก “ข้าราชการผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม” เกี่ยวกับรายชื่อ–ความเชื่อมโยงในการคัดเลือกเข้าอบรมหลักสูตรนายอำเภอ 2568
  • คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง (คดีทุจริตสอบนายอำเภอ ปี 2552) — สรุปคำพิพากษาและรายชื่อผู้ถูกลงโทษในคดีดังกล่าว
  • ข้อมูลสาธารณะจากการแถลงข่าว/ข่าวสารทางการ เกี่ยวกับจำนวนผู้สมัคร (~1,700 ราย) และโควตาที่นั่ง (สอบแข่งขัน 195/ผู้มีประสบการณ์ 105) ของหลักสูตรนายอำเภอปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายติดอันดับที่ 11 ของประเทศ หลังไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

 

เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายถึงการมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากกว่า 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาหลายปีแล้ว โดยทางกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้รวบรวมสถิติมาจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งสรุปข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 พบว่าประชากรไทยมีทั้งหมด 64,989,504 คน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป 13,450,391 คน หรือคิดเป็นสัดส่วน 20.70%

 

เมื่อจำแนกตามช่วงวัย พบว่ามีกลุ่มอายุ 60 – 69 ปี จำนวน 7,593,731 คน กลุ่มอายุ 70-79 ปี มีจำนวน 3,987,082 คน กลุ่มอายุ 80 – 89 ปี มีจำนวน 1,516,689 คน กลุ่มอายุ 90 – 99 ปี จำนวน 311,470 คน และกลุ่มอายุ 100 ปีขึ้นไป มีจำนวน 41,419 คน โดยจังหวัดที่มีผู้สูงอายุ อายุ 100 ปีขึ้นไปมากที่สุดคือ กรุงเทพมหานคร จำนวน 7,470 คน ตามด้วยนนทบุรี 1,729 คน ชลบุรี 1,310 คน เชียงใหม่ 1,296 คน นราธิวาส 1,232 คน สงขลา 1,132 คน นครศรีธรรมราช 1,131 คน นครราชสีมา 1,130 คน ยะลา 1,099 คน และปัตตานี 1,078 คน

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับประชากรในพื้นที่ พบว่า

  1. ลำปาง ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.83 % หรือจำนวน 203,111 คน จากจำนวนประชากร 704,473 คน
  2. แพร่ ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.18 % หรือจำนวน 119,225 คน จากจำนวนประชากร 423,758 คน
  3. ลำพูน ผู้สูงอายุคิดเป็น 28.00 % หรือจำนวน 110,397 คน จากจำนวนประชากร 397,345 คน
  4. สิงห์บุรี ผู้สูงอายุคิดเป็น 27.60 % หรือจำนวน 55,251 คน จากจำนวนประชากร 200,190 คน
  5. พะเยา ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.89% หรือจำนวน 122,050 คน จากจำนวนประชากรในพื้นที่ 456,572 คน
  6. ชัยนาท ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.38 % หรือจำนวน 82,961 คน จากประชากรไทยในพื้นที่ 314,839 คน
  7. สมุทรสงคราม ผู้สูงอายุคิดเป็น 26.30 หรือจำนวน 48,875 คน จากจำนวนประชากรในพื้นที่ 187,394 คน
  8. อ่างทอง ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.70 % หรือจำนวน 69,199 คน จากจำนวนประชากร ในพื้นที่ 269,274 คน
  9. อุตรดิตถ์ ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.64% หรือจำนวน 112,031 คนจากประชากรในพื้นที่ 438,060 คน
  10. เชียงใหม่ ผู้สูงอายุคิดเป็น 25.50 % หรือจำนวน 416,884 คน จากจำนวนประชากรไทยในพื้นที่ 1,797,138 คน

จังหวัดเชียงรายที่ติดอันดับที่ 11 ในการมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากที่สุดของประเทศ คิดเป็นผู้สูงอายุ 25.44% หรือจำนวน 295,987 คน จากประชากร ในพื้นที่ 1,297,666 คน

เป็นผลมาจากหลายปัจจัย ได้แก่

  1. **สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ**: เชียงรายมีอากาศที่บริสุทธิ์และภูมิประเทศที่งดงาม ทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสงบและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
  2. **การสนับสนุนจากชุมชนและครอบครัว**: ชุมชนในเชียงรายมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และครอบครัวมักให้การดูแลผู้สูงอายุอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข
  3. **การเข้าถึงบริการสาธารณสุข**: เชียงรายมีการจัดการและบริการสาธารณสุขที่ดี โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งรวมถึงการมีศูนย์บริการสุขภาพที่สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร

สรุปแล้ว การที่จังหวัดเชียงรายมีสัดส่วนผู้สูงอายุมากเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสภาพแวดล้อมที่ดี การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน และการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้เชียงรายเป็นจังหวัดที่เหมาะสมสำหรับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในประเทศไทย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS VIDEO

ปฏิบัติการพญางำเมือง จับ 2 จุด กลางเมืองพะเยา

 

วันที่ 17 กันยายน 2566 เวลา 00.30 น. นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง สั่งการให้ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง โดย นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง พร้อมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กว่า 40 นาย

นำกำลังเข้าจับกุมสถานบริการขนาดใหญ่ในพื้นที่ อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา “ฮอลลีวูด ผับ” เปิดให้บริการเกินเวลากว่าที่กฎหมายกำหนด ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กและปล่อยปละละเลยให้เด็กเข้าใช้บริการจำนวนมาก พบนักเที่ยวเด็ก อายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 143 ราย อายุต่ำสุดเพียง 17 ปี!

ในเวลาเดียวกันชุดช่วยเหลือสนับสนุน ได้เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ณ โรงแรมภูทองเพลส ในตัวเมืองพะเยา เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ถูกร้านคาราโอเกะนำมาแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ รับส่วนแบ่งเงินจากการค้าประเวณี อ้างเป็นค่าเวลาของร้าน คิดเป็นรายชั่วโมง โดยสามารถช่วยเหลือผู้เสียหายได้ 2 คน เด็กมีอายุต่ำสุดเพียง 14 ปี เจ้าพนักงานชุดช่วยเหลือได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เก็บรวบรวมพยานหลักฐาน และร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าของร้านคาราโอเกะที่นำเด็กมาค้ามนุษย์ด้วยแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณีต่อไป

ความเชื่อมโยงของปฏิบัติการดังกล่าว เริ่มต้นจากกมูลนิธิอิมมานูเอล ลงพื้นที่สืบสวนข้อเท็จจริง และพบว่ามีการค้ามนุษย์ นำเด็กมาค้าประเวณี ณ ร้านคาราโอเกะ แห่งหนึ่ง ในตัวเมืองพะเยา โดยสามารถให้เด็กออกมาขายบริการเพศให้แก่ลูกค้า แต่จะต้องเสียค่าเวลาให้แก่ร้านเป็นส่วนแบ่งที่เด็กออกมาให้บริการทางเพศ และเด็กได้มีการชักชวนทีมงานชุดสืบสวนให้มาเที่ยวต่อยังผับในตัวเมืองพะเยา โดยเป็นที่รู้กันว่าเปิดดึก เด็กอายุไม่ถึง 20 ปี สามารถเข้าใช้บริการได้ จากข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นที่มาของการสืบสวนการกระทำผิดของสถานบริการ ฮอลลีวูด ผับ

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้รับใบอนุญาตตั้งสถานบริการว่า ยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ซึ่งมิได้ทำงานในสถานบริการนั้นเข้าไปในสถานบริการระหว่างเวลาทำการ, เปิดทำการเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด, จำหน่ายสุราให้แก่บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี, จำหน่ายสุราเกินกว่าเวลาที่กฎหมายบัญญัติ, ความผิดฐานโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม, ส่งเสริมหรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร, จำหน่ายสุราแก่เด็ก และยังเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางและการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ ข้อ 4 (1)-(4) ทั้งนี้ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุม จะได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยาออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตสถานบริการดังกล่าว และห้ามมิให้มีการเปิดสถานบริการในสถานที่ดังกล่าวอีกเป็นเวลา 5 ปี ต่อไป

นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการ กรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง ฝากเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานบันเทิง ควรประกอบธุรกิจด้วยความมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.ที่ 22/2558 ห้ามมิให้ผู้ประกอบกิจการสถานบริการหรือสถานประกอบการใดที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ กระทำการใดที่ห้ามไว้ตามคำสั่งดังกล่าว

สรุปให้จำง่ายๆ “ห้ามเด็ก การพนัน ค้ามนุษย์ อาวุธ ยาเสพติด ปิดเกินเวลา ถูกจับแล้วโดนปิดแน่นอน” จึงควรประกอบกิจการโดยมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ไม่ฝ่าฝืนข้อห้ามข้างต้น นายรณรงค์ กล่าวปิดท้ายฯ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมการปกครอง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News